โครงการบำรุงกำลังทางเรือ
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศในปี 2475 กองทัพเรือไทยขนาดค่อนข้างเล็กเต็มไปด้วยเรือเก่าใกล้ปลดประจำการ
ประกอบกับเรือสมัยนั้นอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น เรือปืนอายุ 15 ปี เรือพิฆาตและเรือตอร์ปิโดอายุ 15 ปี
เรือยามฝั่งอายุ 5-10 ปี
ส่งผลให้กองทัพเรือเหลือเรือใช้งานได้ประกอบไปด้วย เรือปืนจำนวน 2 ลำ (เรือหลวงสุโขทัยกับเรือหลวงรัตนโกสินทร์) เรือยามฝั่งจำนวน 5 ลำ (ร.ย.ฝ.2 ถึง ร.ย.ฝ.5 และเรือหาญหักศัตรู)
รวมทั้งเรือหลวงพระร่วงซึ่งเข้ารับการปรับปรุงยึดอายุการใช้งาน
กำลังรบที่มีน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับภัยคุกคามซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ย่างเข้าสู่ปี 2477 กองทัพเรือปรับปรุงกำลังทางเรือให้แข็งแกร่งกว่าเดิม
โดยการซื้อเรือตอร์ปิโดจากประเทศอิตาลีจำนวน 2 ลำ ได้แก่เรือหลวงตราดและเรือหลวงภูเก็ต
ราคารวมทั้งอาวุธประมาณ 2.6 ล้านบาท
กับเรือยามฝั่งจากอังกฤษจำนวน 3 ลำได้แก่เรือ ร.ย.ฝ.6
ถึง ร.ย.ฝ.8 ราคาไม่รวมอาวุธประมาณ 8 แสนบาท โดยใช้งบประมาณที่ได้รับเพิ่มเติมจากกระทรวงกลาโหมช่วงปลายปี 2476
ราชนาวีไทยขยับตัวครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ภาพประกอบที่หนึ่งคือเรือหลวงรัตนโกสินทร์
หนึ่งในสองเรือปืนซึ่งจัดว่าทันสมัยที่สุดในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เรือจากอังกฤษขนาดเล็กมากระวางขับน้ำเต็มที่เพียง 1,000 ตัน ระบบควบการยิงค่อนข้างล้าสมัยใช้งานยากความแม่นยำต่ำ
เพื่อให้การปรับปรุงกำลังทางเรือเป็นไปตามแบบแผนการที่นานาประเทศนิยมปฏิบัติ
กองทัพเรือได้จัดทำโครงการสร้างเรือ (Naval
Construction Programme หรือ Naval Programme)
เพื่อส่งมอบให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาในวันที่ 18 มกราคม 2477 ผู้เขียนขอคัดลอกข้อมูลสำคัญบางส่วนมาเผยแพร่ต่อตามนี้
เรียน นายพันเอก หลวงพิบูลย์สงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ตามนโยบายป้องกันประเทศสยามในปัจจุบัน
ทุกหน่วยกำลังของชาติกำลังวางโครงการที่จะทำให้ประเทศมีกำลังพลเหมาะสมกับสถานการณ์
สำหรับกองทัพเรือได้วางโครงการไว้เป็นขั้นๆ ตามกำลังทรัพย์ของประเทศ
และขั้นต่ำสุดที่ต้องการให้พอทำการได้ผลบ้างเฉพาะในยุคนี้มีดังนี้
-เรือปืนขนาดหนัก 2,000
ตันจำนวน 2 ลำ
-เรือตอร์ปิโดขนาด 400
ตันจำนวน 6 ลำ
-เรือดำน้ำขนาด 300-400 ตันจำนวน 6 ลำ
-เรือทิ้งทุ่นระเบิดจำนวน 2 ลำ
-ทุ่นระเบิดจำนวน 2,000
ลูก
-เรือยามฝั่งไม่ต่ำกว่า 20 ลำ
-เรือตอร์ปิโดขนาดเล็กสำหรับฝึกคนจำนวน 2 ลำ
-เรือฝึกหัดนักเรียนจำนวน 1 ลำ
ด้วยกำลังเท่านี้จะช่วยรักษาความเป็นกลางไว้ได้
ถ้าเกิดสงครามจะช่วยป้องกันการยกพลขึ้นบก
และช่วยรักษาปีกทหารบกบริเวณก้นอ่าวสยามไว้ได้
แต่จะไปทำการรุกรานไม่ได้สำหรับป้องกันตัวเท่านั้น
ราคาเรือและอาวุธที่กล่าวถึงประมาณได้ดังนี้
-เรือปืนขนาด 2,000
ตันลำละ 5,000,000 บาท
-เรือตอร์ปิโดขนาด 400
ตันลำละ 1,300,000 บาท
-เรือดำน้ำขนาด 300 ตันลำละ 2,300,000 บาท
-เรือทิ้งทุ่นระเบิดขนาด 400 ตันลำละ 500,000 บาท
-เรือยามฝั่งลำละ 120,000
บาท
ในขั้นนี้กองทัพเรือขออนุมัติเริ่มดำเนินการเฉพาะ
-เรือปืนขนาด 2,000
ตันจำนวน 1 ลำ
-เรือตอร์ปิโดขนาด 400
ตันจำนวน 4 ลำ
-เรือดำน้ำขนาด 300 ตันจำนวน 3 ลำ
-เรือทิ้งทุ่นระเบิดขนาด 400 ตันจำนวน 1 ลำ
รวมทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 17,600,000 บาท
กองทัพเรือกำลังทาบทามบริษัทต่างๆ ในการใช้เงิน
ถ้าหากบริษัทตกลงให้ผ่อนปีละ 2,000,000 บาท กองทัพเรือขอให้กระทรวงกลาโหมเจรจาตกลงกับรัฐบาล
ถ้ารัฐบาลอนุมัติกองทัพเรือจะรีบดำเนินการต่อไป
ฉะนั้นถ้าเริ่มได้เสียเดี๋ยวนี้จะเป็นการดียิ่ง มิฉะนั้นจะไม่ได้เรือมาใช้ทันการ
ควรมีควรแล้วแต่จะกรุณา นาวาเอกพระยาวิจารณ์จักรกิจ
ผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการทหารเรือ
หมายเหตุ : ผู้เขียนถือวิสาสะปรับปรุงสำนวนการเขียนเล็กน้อย
ข้อมูลยังอยู่ครบถ้วนแต่อ่านเข้าใจง่ายกว่าเดิม
ภาพประกอบที่สองเรือลำใหญ่คือเรือหลวงระยอง
เรือตอร์ปิโดใหญ่สร้างจากประเทศอิตาลี
ส่วนเรือลำเล็กสองลำคือเรือหลวงตากใบกับเรือหลวงสัตหีบ
เรือตอร์ปิโดเล็กสร้างจากประเทศญี่ปุ่นและสร้างเอง เป็นหนึ่งในผลผลิตจากโครงการบำรุงกำลังทางเรือเรือ
โครงการบำรุงกำลังทางเรือแบ่งออกเป็น 2 สกรีมประกอบไปด้วย สกรีมหนึ่งสร้างเรือเล็กสำหรับทำการรบใกล้ฝั่ง
สกรีมสองสร้างเรือใหญ่สำหรับทำการรบระยะไกล
จำนวนเรือที่กองทัพเรือเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเพียงสกรีมแรกเนื่องจากเกรงว่ารัฐบาลอาจมีงบประมาณไม่เพียงพอ
โครงการบำรุงกำลังทางเรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐบาล
เพียงแต่รัฐบาลไม่เห็นด้วยที่กองทัพเรือขอซื้อเรือด้วยวิธีผ่อนจ่าย
เกรงว่านานาชาติจะเข้าใจผิดคิดว่าการเงินประเทศไทยไม่ดี รัฐบาลจึงตัดสินใจใช้เงินคงคลังซึ่งมีเงินสดมากเพียงพอ
กำหนดให้ใช้งบประมาณบำรุงกำลังทางเรือ 18
ล้านบาทในเวลา 6 ปี
วันที่ 29 มีนาคม 2477 พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือถูกดันเข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ต่อมาในวันที่ 8 เมษายน 2478 พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือถูกประกาศเป็นกฎหมาย
เนื้อหาใจความสำคัญมีแค่เพียง 4 มาตรา ประเด็นสำคัญอยู่ในมาตราที่
3 ให้ตั้งงบประมาณก้อนหนึ่งเป็นเงิน 18 ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงกลาโหมจัดสร้างโครงการบำรุงกำลังทางเรือภายใน 6
ปี และมาตราที่ 4
ให้จ่ายเงินจากเงินงบประมาณปีละ 1 ล้านบาท
ที่เหลือให้จ่ายเงินจากเงินคงคลัง
เท่ากับว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้สูตร เงินงบประมาณ 1 ล้านบาท + เงินคงคลัง 2 ล้านบาท = งบประมาณบำรุงกำลังทางเรือเรือ 3 ล้านบาทต่อปี
ข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่สมควรบันทึกเพิ่มเติมก็คือ กองทัพเรือใช้สูตร
1+2= 3 ระยะเวลา 6 ปีในการใช้เงินซื้อเรือ ครั้นถึงเวลาจริงเงินคงคลังจำนวน
12 ล้านถูกใช้หมดสิ้นภายใน 4 ปีแรก เนื่องจากกองทัพเรือมีการปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายเงินกับบริษัทสร้างเรือเล็กน้อย
ความเปลี่ยนแปลงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งใดรัฐบาลยังคงจ่ายเงินเท่าเดิม
เมื่อพระราชบัญญัติถูกประกาศเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ
กองทัพเรือได้ออกคำสั่งเฉพาะที่ 2/78 เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาโครงการบำรุงกำลังทางเรือ
ประกอบไปด้วยนายทหารเรือระดับนาวาตรีขึ้นไปจำนวน 13 นาย คณะกรรมการใช้วิธีประกวดราคาและคัดเลือกซื้อเรือ
จากบริษัทที่เสนอราคาต่ำสุดแต่มีคุณภาพตรงตามความต้องการ
และอาจแยกซื้อเรือจากบริษัทหนึ่งแต่ซื้ออาวุธจากอีกบริษัท ทั้งนี้เพื่อให้กองทัพเรือได้ใช้อาวุธคุณภาพดีราคาประหยัด
ยกตัวอย่างเช่นซื้อเรือตอร์ปิโดจากอิตาลี ซื้อปืนใหญ่จากสวีเดน
ส่วนตอร์ปิโดซื้อจากเดนมาร์กและญี่ปุ่น
เมื่อการประกวดราคาได้ผู้ชนะการคัดเลือกครบถ้วนทั้งหมด
คณะกรรมการพิจารณาโครงการบำรุงกำลังทางเรือจึงสั่งซื้อเรือชนิดต่างๆ ประกอบไปด้วย
1.กรกฎาคม 2478 เรือกวาดทุ่นระเบิดไม่มีอาวุธจากอิตาลีจำนวน
2 ลำ ราคา 583,000 บาท
2.กรกฎาคม 2478 เรือตอร์ปิโดใหญ่ไม่มีอาวุธจากอิตาลีจำนวน
7 ลำ ราคา 3,999,940 บาท
3.สิงหาคม 2478
เรือสลุปไม่มีอาวุธจากญี่ปุ่นจำนวน 2 ลำ ราคา 1,885,000
บาท
4.พฤศจิกายน 2478
เรือดำน้ำพร้อมอาวุธยกเว้นลูกตอร์ปิโดจากญี่ปุ่นจำนวน 4 ลำ
ราคา 3,280,000 บาท
5.ธันวาคม 2478
เรือปืนหนักพร้อมอาวุธยกเว้นปืนใหญ่ 75 มม.จากญี่ปุ่นจำนวน 2
ลำ ราคา 5,726,666 บาท
6.มกราคม 2479
เรือตอร์ปิโดเล็กพร้อมอาวุธจากญี่ปุ่นจำนวน 3 ลำ ราคา 721,154
บาท
7.มีนาคม 2479
เรือลำเลียงไม่มีอาวุธจากญี่ปุ่นจำนวน 2 ลำ ราคา 676,722
บาท
ราคารวมเรือทุกลำเท่ากับ 16,872,482 บาท
ภาพประกอบที่สามคือเรือหลวงวิรุณในอู่ต่อเรือประเทศญี่ปุ่น
เป็นหนึ่งในสี่เรือดำน้ำชุดแรกของราชนาวีไทย
นอกจากเรือชนิดต่างๆ จำนวน 7 แบบยอดรวม 22 ลำ คณะกรรมการได้พิจารณาซื้ออาวุธมาใช้งานเพิ่มเติมประกอบไปด้วย
1.ปืนใหญ่ขนาด 120/45
มม.จำนวน 12 กระบอก ราคา 514,948 บาทใช้ในเรือสลุป
2.ตอร์ปิโดขนาด 45 มม.(แบบ
ฉ) จำนวน 80 ลูก และท่อยิงเดี่ยวกับท่อยิงคู่จำนวน 15 ชุด ราคา 1,259,545 บาทใช้ในเรือตอร์ปิโดกับเรือดำน้ำ
3.ปืนใหญ่ขนาด 75/51 มม.(โบฟอร์ส) จำนวน 40 กระบอก ราคา 1,222,402 บาทใช้ในเรือตอร์ปิโดกับเรือปืน
4.ทุ่นระเบิดชนิดทอดประจำที่จำนวน 200
ลูก ราคา 500,000 บาท
5.เครื่องบินทะเลแบบ บรน.1จำนวน 6 ลำ ราคา 229,476 บาท
6.ปืนใหญ่ขนาด 76/25 มม.จำนวน 5 กระบอก ราคา 92,505 บาทติดในเรือตอร์ปิโดเล็กที่จะสร้างเอง
7.ลูกปืน 75/51 มม.และลูกปืนหลอด ราคา 210,000 บาท
8.ตอร์ปิโดขนาด 45 มม.(แบบ
ฉ) จำนวน 20 ลูก และท่อยิงคู่จำนวน 8 ชุด
ราคา 301,282 บาทใช้ในเรือสลุปกับเรือหลวงพระร่วง
9.เครื่องจักรและหม้อน้ำเรือตอร์ปิโดเล็กจำนวน
3 ชุด ราคา 334,103 บาท
(กองทัพเรือต้องการสร้างเอง)
10.สร้างเรือตรวจการณ์ประมงขนาด 50 ตันจำนวน 3 ลำที่กรมอู่ทหารเรือ ราคา 151,815
บาท ประกอบไปด้วยเรือหลวงสารสินธุ เรือหลวงเทียวอุทก
และเรือหลวงตระเวนนารี
11.ซื้อเครื่องหนีภัยจากเรือดำน้ำจำนวน 200
ชุด ราคา18,366 บาท
ราคาระบบอาวุธทั้งหมดเท่ากับ 4,834,442 บาท
คณะกรรมการยังได้ซื้ออาวุธชนิดอื่นเพิ่มเติมทว่าผู้เขียนไม่สามารถหาราคาได้ดังนี้
1.ปืนกลแมดเสนขนาด 20 มม.ทั้งรุ่นแท่นเดี่ยวและแท่นคู่
2.หมวกเหล็ก 4,000 ใบ
3.ลูกปืนซ้อมยิงกับลูกสลุตของปืนใหญ่ 120/45 มม.
4.ระเบิดลึกและพาราเวนกวาดทุ่นระเบิดจากญี่ปุ่น
5.ปืนใหญ่สนามขนาด 75/40
มม.สำหรับนาวิกโยธิน (ขอแบ่งจากกองทัพบก)
6.ปืนกลแมดเสนขนาด 8 มม.สำหรับนาวิกโยธินและเรือยามฝั่ง
7.สร้างเรือยามฝั่งเพิ่มเติมจำนวน 3 ลำ โดยกรมอู่ทหารเรือ ประกอบไปด้วยเรือ ร.ย.ฝ.9 ถึง ร.ย.ฝ.11
8.สร้างเรือบรรทุกน้ำมันขนาด 150 ตันจำนวน 1 ลำโดยกรมอู่ทหารเรือ ได้แก่เรือหลวงปรง กระทรวงกลาโหมออกเงินให้
75,000 บาทโดยให้ใช้เรือร่วมกับกรมเชื้อเพลิง
ระยะเวลาตั้งแต่ปี 2478
ถึง 2481 หรือ 4 ปี
กองทัพเรือใช้งบประมาณในการพัฒนากำลังรบทางเรือจำนวน 21.7 ล้านบาท
รวมอาวุธที่ไม่มีข้อมูลเรื่องราคากับการสร้างอู่แห้งที่กรมอู่ทหารเรือ
อาคารสถานที่ คลังเชื้อเพลิงที่สัตหีบ เท่ากับว่ากองทัพเรือใช้เงินประมาณ 23
ล้านบาท เป็นเงินจากพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือเรือจำนวน 16
ล้านบาท บวกเงินจากงบประมาณประจำปีกองทัพเรืออีกประมาณ 7 ล้านบาท
ภาพประกอบที่สี่คือเรือสลุปชั้นเรือหลวงท่าจีนสร้างโดยญี่ปุ่น
สังเกตนะครับโครงการสร้างเรือที่กองทัพเรือยื่นให้กับกระทรวงกลาโหมไม่มีเรือชนิดนี้
แต่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลังโดยคณะกรรมการพิจารณาโครงการบำรุงกำลังทางเรือ
นี่คือเบื้องหลังโครงการสร้างเรือหรือ Naval Programme ครั้งแรกของราชนาวีไทย
เป็นโครงการระยะยาว 6 ปีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและรัฐสภา
มีการเพิ่มเติมชนิดเรือเข้ามาจากความต้องการสกรีมแรกของกองทัพเรือ
นั่นคือเรือสลุปขนาด 1,400 ตันจากญี่ปุ่นจำนวน 2 ลำ เรือชนิดนี้ทำการรบ 3 มิติได้เหมือนเรือฟริเกตในปัจจุบัน
รวมทั้งสามารถใช้เป็นเรือฝึกให้กับกำลังพลทั้งหลายได้เป็นอย่างดี
นอกจากซื้อเรือชนิดต่างๆ จำนวน 22 ลำเข้าประจำการ กองทัพเรือยังมีโครงการสร้างเรือยามฝั่งและเรือตรวจการณ์ประมงจำนวนหนึ่ง
รวมทั้งมีแผนการสร้างเรือตอร์ปิโดเล็กด้วยฝีมือตัวเองจำนวน 3 ลำ ถึงได้จัดหาปืนใหญ่ขนาด 76/25 มม.จำนวน 5 กระบอก
กับเครื่องจักรและหม้อน้ำเรือตอร์ปิโดเล็กจำนวน 3 ชุด
โครงการนี้ค่อนข้างล่าช้ากว่าจะสร้างเสร็จปาเข้าไปปี 2499 และสร้างเพียงลำเดียวคือเรือหลวงสัตหีบในภาพประกอบที่สอง
โครงการบำรุงกำลังทางเรือเรือประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการเรือทุกลำถูกส่งมอบตามกำหนดการ
ลูกประดู่ไทยสามารถสร้างกำลังทางเรือขนาดใหญ่ในเวลาไม่กี่ปี ผู้เขียนคาดหวังว่าชั่วชีวิตตัวเองจะได้เห็น
RTN Naval Programme เกิดขึ้นกับตาสักครั้ง
อ้างอิงจาก
อนุสรณ์นักบินทหารเรือที่เสียชีวิตเมื่อ 17 มีนาคม 2512
https://www.shipscribe.com/thai/images/above.html
https://web.facebook.com/photo?fbid=2187605524716389&set=pcb.2187606464716295
https://web.facebook.com/photo/?fbid=867927502005009&set=a.511878827609880
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น