วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Taiwan Navy : The Kuang Hua Program


พัฒนาการกองทัพเรือไต้หวัน

ไต้หวันตั้งอยู่ระหว่างทะเลจีนตะวันออกกับทะเลจีนใต้ ห่างจากมณฑลฟูเจี้ยนของจีนเพียง 160 กิโลเมตร มีพื้นที่รวม 36,191 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วย เกาะไต้หวัน เกาะจินเหมิน เกาะหมาจู่ และหมู่เกาะเผิงหู มีจำนวนประชากร 23.58 ล้านคน ใช้ภาษาจีนกลางหรือแมนดารินเป็นภาษาราชการ ของฝากยอดนิยมคือพายสัปปะรดกับชานมไข่มุก

ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นได้เข้ามายึดครอง ใช้เป็นจุดส่งกำลังบำรุงระหว่างสงคราม พวกเขายังได้สร้างถนน ท่าเรือ และทางรถไฟ ส่งผลให้เกาะมีความเจริญมากกว่าเดิม หลังสงครามโลกสิ้นสุดพื้นที่กลับมาเป็นของจีน และในวันที่ 7 ธันวาคม 1949 พรรคก๊กมินตั๋งซึ่งแพ้สงครามกลางเมืองแก่พรรคคอมมิวนิสต์ ได้พาประชาชนกว่า 2 ล้านคนข้ามทะเลมายังไต้หวัน เพื่อสถาปนาประเทศพร้อมกับก่อตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนและการคุ้มกันจากอเมริกา

ต่อมาในปี 1971 ไต้หวันสูญเสียสมาชิกภาพประเทศตัวแทนให้กับจีนแผ่นดินใหญ่ ครั้นพอถึงปี 1978 สหประชาชาติประกาศรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันไปในตัว ฝ่ายอเมริกาเองก็หันมาผูกไมตรีกับจีน และถอดถอนการรับรองสถานะรัฐของไต้หวัน แม้ว่าประเทศส่วนใหญ่จะยอมรับนโยบายจีนเดียว แต่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีแข็งกร้าวจากรัฐบาลจีน ที่มักข่มขู่ว่าจะใช้กำลังทางทหารเข้ามาจัดการ ไต้หวันจึงพอมีหนทางจัดหาอาวุธป้องกันตนเอง


เรือฟริเกต ROCS Lan Yang (FFG-935) กำลังปล่อยจรวดปราบเรือดำน้ำ ASROC ว่ากันว่านี่คือเรือฟริเกตชั้น Knox ที่ดีที่สุดในโลก เพราะเรือได้รับมรดกสำคัญมาจากศิษย์พี่

ราชนาวีไต้หวันในยุคแรกเริ่ม

กองทัพเรือไต้หวันถือเป็นด่านแรกสุด ในการเข้าปะทะกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์จีน มีการจัดหาเรือรบเข้าประจำการ ส่วนใหญ่เป็นเรือมือสองยุคสงครามโลกจากอเมริกา ที่แม้ว่าตอนนั้นกำลังหวานกับจีนอยู่ก็ตาม แต่ยังให้ความสนับสนุนไต้หวันไปพร้อมกัน เรือรบหลักยุค 197x ของพวกเขาแบ่งง่ายๆ ดังนี้ กองเรือพิฆาตกับกองเรือฟริเกตตรวจการณ์


กองเรือพิฆาตก็คือเรือรบแท้ๆ นี่แหละครับ ใช้ในการทำสงครามใหญ่ขั้นแตกหัก มีปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว ปืนกล 40 มม.ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ และอากาศยานไร้คนขับ QH-50D Dash เป็นอาวุธในการป้องกันอธิปไตย เรือลำบนคือเรือพิฆาตชั้น Gearing ระวางขับน้ำเต็มที่ 3,460 ตัน ทันเข้าร่วมสงครามโลกแต่เป็นช่วงสุดท้าย หลังสงครามถูกลดจำนวนจาก 152 ลำเหลือ 98 ลำ (ไม่มีสงครามใหญ่แล้วนี่นา) มีบทบาทสำคัญในสงครามเกาหลีกับวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา

ส่วนกองเรือฟริเกตตรวจการณ์ก็เป็นเรือรบเช่นกัน แต่ใช้ลาดตระเวนในยามปรกติอีกหนึ่งภารกิจ ลำล่างคือเรือพิฆาตคุ้มกันชั้น Buckley ซึ่งถูกปรับปรุงให้เป็นเรือ APD หรือ High-Speed Transports ย้ายมาช่วยภารกิจยกพลขึ้นบกทวีปยุโรป มีการยกสูงตัวเรือด้านข้าง (Freeboard หรือ Deck Side) ใส่เรือระบายพลไว้ด้านบนจำนวน 4 ลำ ท้ายเรือติดเครนขนาดใหญ่ใช้ลำเลียงสิ่งของ ครั้นมาอยู่ไต้หวันจึงติดปืนท้ายเรือกลับคืน บางลำมีโซนาร์กับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำด้วย นี่คือเรือพิฆาตคุ้มกันหมัดหนักที่สุดในโลก ขนาดใหญ่กว่าเรือหลวงปิ่นเกล้าเล็กน้อย แต่ติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วทีเดียวเชียว

ช่วงนั้นกองทัพเรือจีนยังไม่แข็งแกร่ง มีแต่เรือรบเก่าๆ รับโอนมาจากโซเวียต ความสมดุลของทั้งสองฝ่ายจึงใกล้เคียงกัน ครั้นเข้าสู่ปี 198x ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลง จีนสร้างเรือพิฆาตชั้น Type 051 Luda ได้ด้วยตัวเอง สร้างเรือฟริเกตชั้น Type 053 Jianghu ได้ด้วยตัวเอง สร้างเรือรบขนาดเล็กได้ด้วยตัวเอง สร้างจรวดต่อสู้เรือรบได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งจีนยังได้คบค้ากับชาติตะวันตก โดยมีแผนจะนำระบบเรดาร์ ระบบโซนาร์ หรือระบบอาวุธทันสมัยเข้ามาทดแทนของเดิม

ไต้หวันจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง พวกเขาสร้างเรือรบขนาดใหญ่ไม่ได้ก็จริง แต่การซื้ออาวุธรุ่นใหม่ๆ เข้ามาใช้งานนั้น ไม่ยากเกินความสามารถและต้องทำเดี๋ยวนี้เลย จรวดต่อสู้เรือรบ จรวดต่อสู้อากาศยาน รวมทั้งจรวดปราบเรือดำน้ำ ถูกจัดหาเข้ามาประจำการอย่างเร่งด่วน ปี 1985 ไต้หวันมีเรือดำน้ำ 2 ลำ เรือพิฆาต 26 ลำ เรือฟริเกต 10 ลำ เรือคอร์เวต 4 ลำ และเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี 24 ลำ ดูแค่ตัวเลขผู้อ่านอาจคิดว่าใหญ่โต แต่พอได้เห็นภาพถ่ายอาจคิดเปลี่ยนใจก็ได้


ผู้เขียนขอแนะนำเรือพิฆาตชั้น Fletcher ระวางขับน้ำเต็มที่ 3,210 ตัน ติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วแฝดสอง 2 กระบอก ปืนใหญ่ 76/62 มม.1 กระบอก ถัดไปเป็นเครื่องยิงลูกระเบิดปราบเรือดำน้ำ Hedgehog ข้างเสากระโดงหลักคือจรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng I แท่นเดี่ยว (จรวด Gabriel ของอิสราเอล) กลางเรือเป็นตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ ข้างเสากระโดงรองคือปืนกล 40L70 มม.ต่อด้วยจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Chaparral แฝดสี่ และจรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng I แฝดสาม โดมสีดำบนเสากระโดงคือระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ULQ-6 ECM Suites กับ WLR-1 ESM ใช้เรดาร์ควบคุมการยิง RTN-10X ของอิตาลี บังเอิญในภาพยังไม่ได้ติดหรือผู้เขียนมองไม่เห็น


ลำถัดมาเป็นเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Dvora ไต้หวันซื้อแบบเรืออิสราเอลมาสร้างเอง ระวางขับน้ำ 45 ตัน ยาว 21.8 เมตร ติดจรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng I ได้ 2 นัด และมีปืนกล 20 มม.อีก 1 กระบอก เรือทุกลำปลดประจำการหมดแล้ว บางลำถูกส่งต่อให้กับประเทศในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ หรือตามหมู่เกาะแปซิฟิก เชื่อมความสัมพันธ์ทางด้านการทูตและการค้าขาย ปารากวัยซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ยังได้รับมอบเรือเปล่าๆ จำนวน 2 ลำมาใช้งาน

เข้าสู่ปี 199x มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เรือพิฆาตชั้น Gearing จำนวน 7 ลำ ถูกปรับปรุงใหญ่ตามโครงการ Wu Chin III โดยการติดตั้งอาวุธทันสมัยชนิดล้นลำ เริ่มจากปืนใหญ่ 76/62 มม.ที่หัวเรือ ปืนกล 40L70 กลางเรือ 2 กระบอก จรวดต่อสู้อากาศยาน SM-1 อีก 10 นัด จรวดปราบเรือดำน้ำ ASROC 8 นัด ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx 1 ระบบ และจรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng II ที่เพิ่งพัฒนาแล้วเสร็จอีก 8 นัด (เบียดอยู่กับจรวด ASROC กลางลำ)


เรดาร์ตรวจการณ์ Signaal DA-08/2 กับเรดาร์ควบคุมการยิง Signaal STIR 180 สำหรับนำวิถีจรวดถูกเพิ่มเติมเข้ามา และที่เห็นเป็นโดมกลมๆ บนเสากระโดงรอง คือเรดาร์ควบคุมการยิง HW-160 ที่ได้นำเรดาร์ AN/APG-66 ของเครื่องบิน F-16 มาปรับปรุงใหม่ ใช้คุมปืนหลัก ปืนรอง รวมทั้งค้นหาเป้าหมายให้กับจรวด มีระบบเป้าลวงตอร์ปิโด Mk 6 Fanfare ระบบเป้าลวงจรวด King Fen แบบ16 ท่อยิง มี WLR-1 ESM เพื่อตรวจจับการแพร่คลื่นเรดาร์ และมี Chang Feng III ECM Suite เพื่อแจมเรดาร์ ใช้งบประมาณในการปรับปรุงค่อนข้างมาก ไต้หวันจึงนำเรือมาจอดโชว์ประชาชนถึงหน้าบ้าน

เรือพิฆาตชั้น Gearing ทั้ง 7 ลำ ถูกปรับปรุงจนทันสมัยมากก็จริง เป็นเรือชั้น Gearing ในตำนานไปแล้วก็จริง ทว่าตัวเรือค่อนข้างชราภาพตามอายุไข เรือพิฆาตลำอื่นๆ ก็เริ่มทยอยปลดประจำการ ไต้หวันจำเป็นต้องมีเรือรบรุ่นใหม่เข้ามาทดแทน กองทัพเรือจึงได้ผุดแผนใหญ่ใช้ชื่อว่า The Kuang Hua Program ขึ้นมา โดยมีโครงการยิบย่อยดังต่อไปนี้

Kuang Hua I Guide Missile Frigate

                โครงการเรือฟริเกตอาวุธนำวิถีหรือ PFG-2 Guide Missile Frigate นั้น สรุปความว่าได้เรือฟริเกตชั้น Oliver Hazard Perry 8 ลำสร้างเองในประเทศ บทความก่อนเขียนถึงอย่างละเอียดไปแล้ว รวบกวนอ่านตามลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ

                                         PFG-2Taiwan Guide Missile Frigate



   Kuang Hua II Patrol Frigate

         แต่ก่อนชะง่อนไรไต้หวันมีเรือรบติดอาวุธหนัก วิ่งตรวจการณ์ตามปรกติเช้าเย็นอยู่เป็นนิจ แม้จะมีเรือตรวจการณ์แท้ๆ ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า สร้างง่ายกว่า ราคาถูกกว่า แต่ออกจากฝั่งได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เผชิญคลื่นลมในทะเลลึกได้ไม่ดี และติดอาวุธน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับเรือจีน Patrol Frigate จึงมีความสำคัญกับไต้หวันมาก โครงการ Kuang Hua II ได้ข้อสรุปในปี 1988 ว่า เรือฟริเกตชั้น Ulsan จากเกาหลีใต้ได้รับการคัดเลือก รูปร่างหน้าตาประมาณนี้เลยครับ


เรือลำนี้มีฉายาอย่างไม่เป็นทางการว่าสูงชะลูด-ตูดปอด-ยอดขุนพล เพราะถูกออกแบบให้ติดปืนใหญ่ 76/62 มม.บนดาดฟ้าชั้นสอง จึงต้องติดตั้งปืนกล 40L70 มม.บนดาดฟ้าชั้นสาม สะพานเดินเรือเลยขึ้นมาอยู่ชั้นสี่ครึ่งหรือชั้นห้า ทำให้สูงลิบลิ่วผิดเพื่อนไปจากพ้องน้องพี่ กองทัพเรือไต้หวันชอบใจเรือลำนี้มาก ต้องการถึง 16 ลำและสร้างเองภายในประเทศ

เรือแบ่งออกเป็นสองเฟสด้วยกัน เฟสแรก 8 ลำเน้นภารกิจปราบเรือผิวน้ำ จึงมีปืนใหญ่ 76/62 มม.ทั้งที่หัวเรือและท้ายเรือ เฟสสองอีก 8 ลำเน้นภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ ติดจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Chaparral เพิ่มเข้ามา เรือทุกลำใช้จรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng II ของไต้หวัน ใช้ระบบอำนวยการรบของไต้หวัน ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ก็ของไต้หวัน ทำให้เรือมีราคาถูกลงอย่างเห็นได้ชัด ลำล่ะไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ซึ่งถือว่าถูกมาก


โครงการนี้ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวหมด ยกเว้นแค่จีนที่เริ่มโมโหควันออกหู ความกดดันจากกรุงปักกิ่งวิ่งตรงเข้าสู่กรุงโซล เล่นเอารัฐบาลเกาหลีใต้แทบล้มทั้งยืน ก่อนตัดสินใจกระซิบเบาๆ ในปีถัดมาว่า ไม่ขายเรือให้แล้วนะแต่เรายังเป็นเพื่อนรักกันใช่ไหม? ไต้หวันแอบกลืนเลือดขณะตอบกลับว่าใช่! แล้วนายพลกองทัพเรือก็ยกโขยงไปเที่ยวปารีส ตุลาคมปีนั้นเองมีข่าวใหญ่โตพาดหัวว่า ไต้หวันสนใจซื้อเรือฟริเกตชั้น Lafayette จากฝรั่งเศสจำนวน 6 ลำ โดยมีออปชั่นสร้างเรือตั้งแต่ลำที่ 7 ด้วยตัวเอง พร้อมการถ่ายโอนเทคโนโลยีของเรือลำนี้ให้ไต้หวัน ซึ่งในตอนนั้นยังมีแค่เพียงไม่กี่ประเทศ (ตอนนี้ก็ด้วย)

เรือฟริเกตชั้น Lafayette ระวางขับน้ำเต็มที่ 3,600 ตัน ยาว 124.2 เมตร กว้าง 15.4 เมตร ทยอยเข้าประจำการตั้งปี 2006 โดยใช้ระบบทั้งหมดจากบริษัท Thomson ฝรั่งเศส รวมทั้งโซนาร์ลากท้าย ATAS(V)2 Towed Array Sonar System ซึ่งมีทั้งโหมด Active และ Passive ในการค้นหาเป้าหมาย เมื่อจีนทราบข่าวจึงเริ่มกดดันเหมือนที่ผ่านมา ทว่ารัฐบาลฝรั่งเศสบอกว่าฉันโนสนโนแคร์ ถ้ายังงอแงไม่เลิกพ่อจะไม่ขายอาวุธให้อีก เท่านั้นเองเสียงจากกรุงปักกิ่งก็พลันเลือนหาย

ตอนนั้นเรือฟริเกตชั้น Lafayette กำลังเนื้อหอม สิงคโปร์และซาอุดิอาระเบียให้ความสนใจมาก เพราะเรือมีเทคโนโลยีใหม่เอี่ยมอ่อง นั่นคือการลดการตรวจจับคลื่นเรดาร์หรือ Stealth โดยเป็น Full Stealth ทั้งลำจากพิมพ์เขียวกันเลยทีเดียว มีการคิดคำนวณกันแบบง่ายๆ ว่า เรือเกาหลีใต้ 1 ลำเท่ากับ 100 ล้านเหรียญ ฉะนั้นเรือฝรั่งเศส 1 ลำจึงควรเท่ากับ 200 ล้านเหรียญ เพราะติดเรดาร์และอาวุธใกล้เคียงกันมาก ปรากฏว่างานนี้ไต้หวันดันพลาดท่าอย่างแรง

งบประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญตอนตั้งโครงการ ถูกคนกันเองผลักกันเองกระทั่งมาหยุดที่ 2.8 พันล้านเหรียญ หรือเท่ากับลำล่ะ 466 ล้านเหรียญ มีเหตุผลสำคัญอยู่ด้วยกัน 4 เรื่อง หนึ่งเรือฝรั่งเศสต้องใช้ระบบฝรั่งเศสทั้งลำ สองมีการติดตั้งโน่นนั่นนี่เพิ่มเติม สามเทคโนโลยีใหม่ทำให้เรือมีราคาแพง และเรื่องสุดท้ายมีการคอรัปชั่นเกิดขึ้น เป็นเงินก้อนใหญ่มากและเป็นข่าวอื้อฉาวมาก นี่คือกรณีศึกษาที่ไต้หวันศึกษาอย่างจริงจัง โดยหวังว่าอนาคตจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก


เยี่ยมชมเรือลำจริงกันสักนิดดีกว่า ใหญ่โตเกินไปสำหรับภารกิจลาดตระเวน สิ้นเปลืองเกินไปถ้าต้องใช้งานแทบทุกวัน โชคดีที่รัฐบาลจัดตั้งหน่วยยามฝั่งขึ้นมาใหม่ แบ่งเบาภารกิจกองทัพเรือได้พอสมควร เรือฝรั่งเศสทั้ง 6 ลำโยกมาอยู่กองเรือรบแท้ๆ ไม่มีการสร้างเรือลำที่ 7 เพราะอะไรหลายอย่าง และไต้หวันยังคงไม่มี Patrol Frigate มาจนถึงปัจจุบัน

เรือฟริเกตชั้น Lafayette ติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Chaparral ซึ่งเป็นอาวุธจากยุค 1970 ของกองทัพบก โดยนำจรวดไซด์ไวน์เดอร์มาใส่บนแท่นยิง มีพลยิงนั่งควบคุมหรือใช้รีโมทเอาก็ได้ ใช้งานโดยเล็งกล้องจับความร้อนไปยังเป้าหมาย เมื่อจับเป้าได้จะมีเสียงเตือนว่า ติ๊ง!’ ติ๊ง!’ ติ๊ง!’ พลยิงกดปุ่มปล่อยจรวดจะกี่ลูกก็แล้วแต่ ระบบนำวิถีอินฟาเรดวิ่งหาเป้าหมายด้วยตัวเอง ด้วยความเร็ว 2.5 มัค ระยะยิงหวังผล 9 กิโลเมตร เครื่องบินไม่ว่าจะมิกหรือซูเป็นอันเสร็จตรูทุกราย

ข้อเสียสำคัญมีอยู่แค่ประการเดียว ระบบจับความร้อนทำงานได้ดีเมื่อยิงไล่หลัง แต่ถ้ายิงดักหน้าความแม่นยำจะหายไป เพราะข้อเสียประการเดียวอเมริกาก็เลยไม่ใช้ แต่ไต้หวันใช้เพราะกองทัพบกมี Chaparral อยู่แล้ว รวมทั้งตอนนั้นพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น แต่ถึงตอนนี้มีทางเลือกมากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นในอนาคตเรือถูกปรับปรุงอย่างแน่นอน

Kuang Hua III Indigenous design Patrol ship

                โครงการถัดมาก็คือเรือตรวจการณ์รุ่นใหม่ กองทัพเรือมีความต้องการ 12 ลำ ออกแบบเองสร้างเองและใช้งานเอง โดยใช้แบบเรือ PSMM Mk5 ของอเมริกาซึ่งอยู่ในมือ (ใช้สร้างเรือตรวจการณ์ชั้น Lung Chiang มาก่อน) มาปรับปรุงอีกครั้งให้มีความเอนกประสงค์กว่าเดิม แบบเรือ PSMM Mk5 ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เกาหลีใต้กับอินโดนีเซียใช้สร้างเรือหลายรุ่น รวมทั้งประเทศไทยนำมาสร้างเรือตรวจการณ์ปืน ซึ่งก็คือเรือชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 6 ลำนั่นเอง

                โครงการ Kuang Hua III เดินหน้าอย่างรวดเร็ว เข้าประจำการตั้งแต่ปี 1994 ไล่ไปเรื่อยๆ จนครบทุกลำในปี 2000 เรือตรวจการณ์ชั้น Ching Chieng ระวางขับน้ำเต็มที่ 580 ตัน ยาว 6.14 เมตร กว้าง 9.5 เมตร ติดตั้งปืนกล 40L70 1 กระบอก ปืนกล 12.7 มม. 2 กระบอก และจรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng I อีก 4 นัด ภาพบนสุดคือ ROCS Ching Chieng (PG-603) ช่วงเพิ่งเข้าประจำการ นอกจากเรือจะยาวและกว้างกว่าเดิมแล้ว ยังมีปล่องระบายความร้อนโผล่ขึ้นมาด้วย


เข้าสู่ปี 2003 เรือพิฆาตชั้น Gearing ทั้ง 7 ลำทยอยปลดประจำการ จึงได้มีการถอดเรดาร์กับอาวุธทันสมัยไปติดเรือลำอื่น เรือตรวจการณ์ชั้น Ching Chieng พลอยได้รับมรดกตกทอด ประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ 76/62 มม.จรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng II และเรดาร์ควบคุมการยิง HW-160 กลายร่างมาเป็นเรือลำกลางมีเสากระโดงถึง 2 เสา

เรืออีก 5 ลำได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน ด้วยการติดระบบเรดาร์ CS/SPG-6N (ภาพล่างวงกลมสีเหลือง) ซึ่งแปลงร่างมาจากเรดาร์ CS/MPQ-561 ของกองทัพบก (ใช้ควบคุมปืนกล 40L70 มม.ได้ 4 กระบอก) โดยมีทั้งเรดาร์ควบคุมการยิง กล้องโทรทัศน์ กล้องตรวจจับความร้อน ระบบเรเซอร์วัดระยะ และเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติอยู่ด้านบนสุด มีระยะตรวจจับเป้าหมาย 74.1 กิโลเมตร ท้ายเรือยังมีรางปล่อยระเบิดลึก 2 ราง กับรางปล่อยทุ่นระเบิดอีก 2 ราง

อาวุธพวกนี้ค่อนข้างโบราณแล้วก็จริง แต่ไต้หวันจำเป็นต้องฝึกฝนคนของตัวเอง เพราะถ้าไม่เคยฝึกก็จะใช้งานกันไม่เป็น รวมทั้งเพิ่มทางเลือกในการรบให้มากที่สุด เรือตรวจการณ์ชั้น Ching Chieng เทียบได้กับเรืออเนกประสงค์ เป็นม้างานที่สามารถตอบสนองได้ทุกภารกิจ โดยมีบางลำติดจรวด Hsing Feng III รุ่นใหม่ล่าสุด (ในภาพนั่นแหละครับ)

ผู้เขียนอาจมีคำถามในใจว่า นำเสนอเรือต๊อกต๊อกลำนี้ไปเพื่ออะไร ไม่ได้มีความน่ากลัวแม้แต่นิดเดียว ความจริงก็คือเรือลำนี้เก็บได้ 1 แต้ม วันที่ 1 กรกฎาคม 2016 เวลา 8.15 .เรือชื่อ ROCS Jin Chiang (PG-610) ซึ่งจอดสงบนิ่งอยู่ที่ท่าเรือนั้น ได้บังเอิญทำจรวดลั่นโดยความไม่ตั้งใจ จรวด Hsing Feng III แหวกอากาศด้วยความเร็ว 2 ถึง 4 มัค เมื่อเรดาร์ตรวจพบเรือประมงไต้หวันขนาดเล็ก ห่างจากชายฝั่งประมาณ 75 กิโลเมตร จึงพุ่งตรงเข้าใส่สูงจากพื้นน้ำไม่เกิน 4 เมตร!


ในความโชคร้ายมีความโชคดีปะปน เพราะเรือประมงมีขนาดค่อนข้างเล็ก จึงมีความสูงค่อนข้างน้อยตามไปด้วย รวมทั้งตัวเรือทำจากไม้หาใช่เหล็ก แทนที่จรวดจะพุ่งชนกราบเรือแล้วจุดระเบิด กลายเป็นว่าจรวดพุ่งชนสะพานเดินเรือชั้นสอง ทะลุไปอีกฝั่งก่อนตกลงสู่ท้องทะเล แรงปะทะจากไม้ไม่เพียงพอที่จะจุดชนวน เรือประมงจึงได้กลับเข้าฝั่งช่วงเย็นวันนั้น อุบัติเหตุครั้งนี้พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า จรวดที่ไต้หวันสร้างเองแม่นยำเหมือนจับวาง แต่คนใช้งานออกจะทะเล่อทะล่าอยู่บ้าง ฉะนั้นแล้วถ้าผู้อ่านเจอเรือลำนี้เมื่อไหร่ สมควรอยู่ห่างเกิน 400 กิโลเมตรหรืออยู่ห่างไม่เกิน 400 เมตรให้เลือกเอา

Kuang Hua IV Anti-Submarine Frigate

            โครงการต่อไปคือเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นโครงการที่มีโจทย์สำคัญอยู่ว่า กองทัพเรือมีจรวดปราบเรือดำน้ำ ASROC เต็มคลังแสง เพราะฉะนั้นเรือต้องใช้อาวุธที่มีอยู่แล้วได้ หวยจึงมาออกเรือฟริเกตชั้น Knox ของอเมริกา รูปร่างหน้าตารวมทั้งวิธีจัดหามาใช้งาน เหมือนกับเรือหลวงพุทธทั้งสองลำของเรานั่นเอง

                เรือรบอเมริกาแม้ปลดประจำการไปแล้ว แต่ทางบัญชียังมีมูลค่าและถือเป็นทรัพย์สิน จึงต้องหาทางลัดปล่อยเรือให้กับเพื่อนพ้อง โดยใช้วิธีให้เช่าซื้อ (Lease) เป็นเวลา 5 ปีบ้าง (เรือรบซึ่งยังมีราคาสูง) หรือ 2 ปีบ้าง (เรือช่วยรบราคาค่อนข้างต่ำ) เมื่อครบกำหนดมูลค่าเรือจะร่วงลงมามาก อเมริกาจะถามอีกครั้งว่าอยากซื้อไปเลยไหม แน่นอนที่สุดว่าทุกประเทศต้องขอซื้อขาด 

                เพราะฉะนั้นเรือฟริเกตชั้น Knox ที่ไต้หวันซื้อในปี 1993 จะมีราคารวมเท่ากับ 40 ล้านเหรียญ (เช่าซื้อ 5 ปี) + 3 ล้านเหรียญ (ซื้อขาด) = 43 ล้านเหรียญ ตัวเลขนี้ผู้เขียนมั่วขึ้นมาเองประกอบคำอธิบาย

                ไต้หวันเช่าซื้อเรือฟริเกตชั้น Knox จำนวนรวม 6 ลำ ใช้งานได้สักพักเริ่มรู้ตัวว่าลำไหนเกินเยียวยา พอถึงปี 1998 จึงขอซื้อเรืออีก 3 ลำ เพื่อมาทดแทนของเดิม 2 ลำและเป็นอะไหล่ 1 ลำ โดยครั้งนี้เป็นการขายขาดม้วนเดียวจบ มีการปรับปรุงเรือทั้งลำมาให้เสร็จสรรพ โดยเฉพาะระบบเครื่องยนต์ซึ่งมีปัญหาค่อนข้างมาก ทั้งนี้เนื่องมาจากอเมริกาได้เปลี่ยนวิธีปล่อยของ จากการเช่าซื้อมาเป็นการโอนให้หรือ Transfer โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซ่อมเรือด้วย

               เรือฟริเกตชั้น Knox ระวางขับน้ำเต็มที่ 4,260 ตัน ยาว 134 เมตร กว้าง 14.25 เมตร เข้าประจำการตั้งแต่ปี 1969 ติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว จรวดปราบเรือดำน้ำ ASROC จรวดปราบเรือรบ Harpoon และระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx เมื่อเรือพิฆาตชั้น Gearing ถูกปลดประจำการ เรือฟริเกตชั้น Knox จำนวน 7 จาก 8 ลำ ได้รับมรดกเจ้าคุณปู่ประกอบไปด้วย จรวดต่อสู้อากาศยาน SM-1 เรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลาง Signaal DA-08/2 เรดาร์ควบคุมการยิง Signaal STIR 180 และที่ขาดไม่ได้ก็คือระบบอำนวยการรบ H-930 Modular Combat System (MCS)




                ระหว่างปี 197x บริษัท Honey Well ได้พัฒนาระบบอำนวยการรบรุ่นใหม่ เข้าแข่งขันในโครงการ Next-generation Air Defense Destroyer โชคร้ายที่กองทัพเรือเลือกบริษัท UNISYS ผู้แพ้จึงนำสินค้ามาขายไต้หวันแบบยกชุด เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น H-930 Series Combat System มีหลายเวอร์ชั่นตามขนาดและอาวุธบนเรือ และด้วยอุปกรณ์ทันสมัยที่ได้รับมาใหม่นั้น เรือจึงสามารถติดตามเป้าหมายได้พร้อมกัน 24 เป้าหมาย และสามารถโจมตี 4 เป้าหมายในเวลาเพียง 8 วินาที!

                เรือฟริเกตชั้น Perry ซึ่งมีความทันสมัยกว่านั้น ยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน SM-1 ได้ 1 นัดต่อ 10 วินาที และยิงจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon ได้ 1 นัดต่อ 22 วินาที ทำไมความเร็วถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว? เพราะเรือฟริเกตชั้น Knox ใช้แท่นยิงเดี่ยววางอยู่บนดาดฟ้า จึงยิงจรวดแทบจะพร้อมๆ กันได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาโหลดขึ้นมาจากแมกกาซีน

แต่ก็มีข้อเสียใหญ่โตอยู่เหมือนกัน เรือสามารถบรรจุจรวดได้เพียง 10 นัด รวมทั้งแท่นยิงไม่สามารถหันทิศทางได้ ถ้าเหลือจรวดหันไปทางซ้ายอยู่ 3 นัด แต่ดันมีเครื่องบินบินมาทางขวา 2 ลำ กัปตันเรือมีทางเลือกอยู่ด้วยกัน 2 ทาง หนึ่งสั่งยิงจรวดไปทางซ้ายพร้อมสวดมนต์ให้จรวดเลี้ยวกลับ 180 องศา สองหันหัวเรือให้ได้ถึง 90 องศา ก่อนสั่งยิงจรวดไปทางซ้ายพร้อมสวดมนต์ให้จรวดเลี้ยวกลับ 90 องศา ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนรับรองได้เลยงานนี้มีเสียว

ในเมื่อมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แล้วลำไหนป้องกันภัยทางอากาศได้ดีที่สุด? คำตอบข้อนี้ต้องดูตามสถานการณ์ ถ้าตรวจพบเครื่องบิน 3 ลำบินเกาะกลุ่มกันมา ให้เรือฟริเกตชั้น Knox เปิดโหมดซัลโวจะดีที่สุด แต่ถ้าตรวจพบเครื่องบินจำนวนนับไม่ถ้วน บินมาจากทุกทิศทางเต็มท้องฟ้ากรุงไทเป ให้เรือฟริเกตชั้น Perry เปิดโหมดยิงไปเรื่อยๆ จะดีที่สุด เพราะบนเรือมีจรวด SM-1 มากสุดถึง 40 นัด แล้วให้เรือฟริเกตชั้น Knox คอยเก็บกวาดเป็นด่านสุดท้าย


และนี่ก็คือมรดกตกทอดจากเรือพิฆาตชั้น Gearing เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 180 ที่กาลครั้งหนึ่งเรือหลวงนเรศวรของเราก็เคยมี เรดาร์ตรวจการณ์ Signaal DA-08/2 อยู่บนเสากระโดงโน่น (ของไต้หวันถูกปรับปรุงให้ทันสมัยกว่าเดิม) ส่วนแท่นยิงจรวด SM-1 ตั้งอยู่ไกลๆ ด้านหลัง จะเห็นได้ว่าปล่องระบายความร้อนทาสีเทาอ่อน เสากระโดงเรือจึงมีสีอ่อนตามไปด้วย เรือหลวงพุทธของเราทาสีดำทั้งปล่องและเสากระโดง ข้อแตกต่างที่สามารถแบ่งแยกได้ด้วยสายตา

ก่อนไปที่เรือลำอื่นขอปิดท้ายนิดหน่อย ระบบอำนวยการรบ H-930 Series Combat System ถูกกำหนดให้ติดบนเรือฟริเกตชั้น Ulsan ทั้ง 16 ลำ โดยแบ่งออกเป็นสองรุ่นเท่ากับเรือซึ่งมีสองเฟส โชคร้ายที่โครงการกลับตาลปัดหน้ามือหลังมือ H-930 จึงมีใช้งานแค่เพียงเรือฟริเกตชั้น Knox จำนวน 7 ลำ กับเรือตรวจการณ์ชั้น Ching Chieng อีก 5 ลำ

Kuang Hua V Indigenous design Corvettes

            โครงการเรือคอร์เวตรุ่นใหม่ถูกเลื่อนออกไปก่อน เนื่องมาจากความวุ่นวายขายปลาช่อนของหลายโครงการ เดี๋ยวผู้เขียนจะวนมาใหม่อีกครั้งนะครับ ขอเขียนถึงโครงการที่ไม่ถูกยกเลิกให้แล้วเสร็จก่อน

Kuang Hua VI Stealth Missile Boat

            โครงการเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีรุ่นใหม่ เพื่อทดแทนเรือชั้น Dvora ที่มีขนาดเล็กเกินไป กำหนดให้สร้างเองในประเทศจำนวน 30+1 ลำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเนื่องจากเคยทำมาก่อน เรือต้นแบบ FACF-60 (Fast Guided Missile Patrol Craft) สร้างเสร็จในเดือนมีนาคม 2004 ก่อนที่ทุกลำจะเข้าประจำการครบในปี 2011 นี่คือโครงการที่เรียบง่ายที่สุดของไต้หวัน


เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Kuang Hua VI หรือ KH-6 Missile Boat ระวางขับน้ำเต็มที่ 180 ตัน ยาว 34.2 เมตร กว้าง 7.6 เมตร ติดจรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng II จำนวน 4 นัด ปืนกล 20 มม.1 กระบอก ปืนกล 12.7 มม.2 กระบอก ระบบเป้าลวง Kung Fen อีก 2 ระบบ มีเรดาร์เดินเรือ 1 ตัว ใส่เครื่องยนต์ดีเซลไว้ 3 ตัว พร้อมระบบขับเคลื่อน 3 ใบพัด ความเร็วสูงสุด 36 นอต ราคาต่อลำอยู่ที่ 12.3 ล้านเหรียญหรือ 387 ล้านบาท สวย-เรียบ-หรู-ดูดี-ไม่มีปัญหา-จบข่าว!

Kuang Hua VII Indigenous Aegis Destroyer

            จากเรือลำเล็กสุดขอพามายังเรือลำใหญ่สุด หนึ่งในความต้องการมากที่สุดของไต้หวัน คือเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศติดระบบเอจิส จึงได้ขอซื้อระบบเอจิสในปี 2000 พ่วงไปกับแผน ‘Taiwan Naval Modernization’ มูลค่าหลายพันล้านเหรียญ แต่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ ปฏิเสธกลับมาและเสนอระบบ Evolved Advanced Combat System (EACS) หรือ Aegis lite ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำกว่ากันมาให้ ทว่าคนซื้อไม่เอาเพราะเข็ดมาจากเรือชั้น Perry แล้ว

                ปี 2002 ไต้หวันอยากลองของอีกสักครั้ง ด้วยการขอซื้อเรือพิฆาตชั้น Arleigh Burke จำนวน 4 ลำ โดยขอทุกอย่างเหมือนเรือติดธงชาติอเมริกา คราวนี้คนขายตอบตกลงแทบจะทันที โดยบอกคร่าวๆ ว่าพร้อมส่งมอบในปี 2010 ราคารวมอยู่ที่ 4.8 พันล้านเหรียญ หรือเท่ากับลำล่ะ 1.2 พันล้านเหรียญ คนอยากได้จึงตัดใจลาหันมามองแผนสำรอง

                หลังละครเรื่อง 'รักใสๆ หัวใจสี่ดวง ฉายตอนแรกในเมืองไทยได้ 19 เดือน หรือตรงกับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2002 ไต้หวันขอซื้อเรือพิฆาตอาวุธนำวิถีชั้น Kidd จากอเมริกาจำนวน 4 ลำวงเงิน 875 ล้านเหรียญ จับมาหารสี่ได้เท่ากับลำล่ะ 218.75 ล้านเหรียญ ต่อมาในปี 2007 ไต้หวันสั่งซื้อจรวดต่อสู้อากาศยาน SM-2 Block IIIA จำนวน 144 นัดวงเงิน 272 ล้านเหรียญ หรือเท่ากับนัดละ 1.888 ล้านเหรียญ ปิดฉากโครงการเรือพิฆาตระบบเอจิสที่ไม่มีระบบเอจิส

กาลครั้งหนึ่งยังไม่นานเท่าไหร่ อิหร่านเปรยๆ ว่าอยากได้เรือพิฆาตอาวุธนำวิถี อเมริกาจึงเสนอเรือชั้น Spruance รุ่นปรับปรุงใหม่ให้ ต่อมาในปี 1979 อิหร่านเกิดการรัฐประหาร อเมริกาจึงนำเรือทั้ง 4 ลำมาใช้งานเอง กระทั่งปลดประจำการในปี 1999 ก่อนเข้าประจำการใหม่กับไต้หวันในปี 2005 ‘Hot Ship’ ลำนี้มีพิษสงรอบตัวไม่น้อยหน้าเรือลำไหน


เรือพิฆาตชั้น Kidd ระวางขับน้ำเต็มที่ 9,785 ตัน ยาว 171.6 เมตร กว้าง 16.8 เมตร ติดอาวุธจนล้นลำประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว 2 กระบอก ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx 2 ระบบ จรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon Block II  8 นัด ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ 2 แท่นยิง (ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์) และแท่นยิงแฝด Mk 26 อีก 2 แท่นยิง ใส่จรวดต่อสู้อากาศยาน SM-2 ได้ 68 นัด หรือถ้าใส่จรวดปราบเรือดำน้ำ ASROC เข้ามา 16 นัด จะเหลือพื้นที่ใส่จรวด SM-2 ได้อีก 50 นัด ไต้หวันยังขอปรับปรุงระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ AN/SLQ-32(V)3 บนเรือ ให้เป็นรุ่น SEWIP เหมือนกับเรือพิฆาตอเมริกา

เรือลำนี้ติดเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPS-48E สามารถติดตามและกำหนดเป้าหมายแบบอัตโนมัติ ต่อมาในปี 199x อเมริกาได้ปรับปรุงเรือครั้งใหญ่ โดยติดเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติ AN/SPS-49(V)5 เพิ่มเข้ามาที่เสากระโดงหน้า (จะเห็นได้ว่า AN/SPS-48E ใหญ่กว่า AN/SPS-49(V)5 พอสมควร) เรือมีเรดาร์ควบคุมการยิง AN/SPG-51D อยู่ 2 ตัว สามารถยิงจรวด SM-2 ได้พร้อมกัน 2 ทิศทาง ระบบควบคุมปืนใหญ่ 5 นิ้วก็อลังการไม่แพ้กัน ดูภาพถัดไปกันก่อนนะครับ


นี่คือภาพถ่ายก่อนติดตั้งเรดาร์ AN/SPS-49(V)5 เรือลำนี้ใช้ AN/SPQ-9A ในการควบคุมปืนใหญ่ และใช้ AN/SPG-60 ทำงานร่วมกัน ภายใต้ระบบอำนวยการยิง Mk 92 Fire Control System ทำไมต้องมีถึง 2 ระบบ? ใช้แค่ AN/SPQ-9A ตัวเดียวไม่ได้เหรอ? ผู้เขียนคิดว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ภายในโดมสีขาวเป็นเรดาร์หมุนติ้วๆ ทั่วไปนี่แหละ ทำหน้าที่ตรวจจับเป้าหมายพื้นน้ำ 360 องศา แต่ถ้าอยากยิงจะต้องใช้ AN/SPG-60 นำวิถีให้กับปืนใหญ่ (เท่าที่ทำได้ เพราะลูกกระสุนโดยทั่วไปไม่นำวิถี)

ที่ต้องทำให้มันวุ่นวายนั้นมีสาเหตุ เพราะมีปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วที่หัวเรือกับท้ายเรือ ป้องกันตนเองได้รอบด้านโดยไม่มีจุดบอด หลักในการควบคุมปืนต้องแยกเป็นอิสระได้ เรดาร์ใน AN/SPQ-9A จึงทำงานฉายเดี่ยวตลอดเวลา ถึงระบบอำนวยการรบล่มก็ยังทำงานได้ เรือรบอเมริกาอีกหลายลำก็ใช้วิธีการนี้ เฉพาะลำที่มีปืนใหญ่ 5 นิ้ว 2 กระบอกนะครับ

เมื่อ AN/SPS-49(V)5 ถูกติดตั้งบนเรือแล้ว AN/SPG-60 จึงถูกโยกไปอยู่เสากระโดงรอง โดนบังมุมเล็กน้อยแต่ไม่ส่งผลมากนัก ภาพนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า AN/SPG-51D ขนาดใหญ่กว่า AN/SPG-60 พอสมควร และ AN/SPG-60 ซึ่งใช้นำวิถีจรวด SM-1 บนเรือชั้น Perry นั้น แท้จริงแล้วผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานกับปืน 5 นิ้ว

                กลับมาที่เรือคอร์เวตรุ่นใหม่กันอีกครั้ง หลังจัดการความวุ่นวายโครงการอื่นเสร็จแล้ว โครงการนี้จึงเริ่มเดินหน้าในปี 2010 แบบเรือถูกพัฒนาโดย Naval Shipbuilding Center พวกเขาเลือกสร้างเรือท้องแฝดหรือ Catamaran ใช้เทคโนโลยีลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ ที่ได้มาจากฝรั่งเศสตอนซื้อเรือฟริเกต Lafayette เริ่มสร้างเรือต้นแบบในอีก 2 ปีต่อมา ก่อนที่ PGG-618 Tuo Chiang จะเข้าประจำการปี 2014 รูปร่างหน้าตาเหมือนกบตั้งท่ากระโดด ไต้หวันต้องการจำนวน 12 ลำด้วยกัน


                เรือคอร์เวตชั้น Tuo Chiang ระวางขับน้ำเต็มที่ 600 ตัน ยาว 60.4 เมตร กว้าง 14.4 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคู่กับระบบวอเตอร์เจ็ท ความเร็วสูงสุดมากถึง 40 นอต ติดปืนใหญ่ 76/62 1 กระบอก จรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng II 8 นัด จรวดต่อสู้เรือรบ Hsing Feng III อีก 8 นัด ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx 1 ระบบ และตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ 2 แท่นยิง ท้ายเรือมีลานจอดอากาศยานไร้คนขับ หรือติดตั้งตู้คอนเทรนเนอร์เอนกประสงค์ ใช้เรดาร์ควบคุมการยิง CS/SPG-6N เหมือนเรือตรวจการณ์ชั้น Ching Chieng แต่ย้ายเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติขึ้นไปอยู่บนเสากระโดง


                ส่องมุมอื่นของเรือกันบ้างนะครับ ภายในสี่เหลี่ยมสีแดงคือด้านข้างตัวเรือ เจาะช่องระบายความร้อนให้กับจรวด 2 ช่องไม่ตรงกัน ส่วนช่องเล็กๆ ซ้ายมือสำหรับปล่อยตอร์ปิโด บริเวณท้ายเรือมีรูโบ๋เพราะเป็นเรือท้องแฝด กราบซ้ายเป็นช่องปล่อยโซนาร์ลากท้าย ส่วนกราบขวามือเป็นช่องปล่อยเรือเล็ก ซึ่งถ้าเปิดออกมาจะเป็นดังภาพต่อไปนี้


                 โซนาร์ลากท้าย VDS (Variable Depth Sonar) ขนาดค่อนข้างเล็ก ประสิทธิภาพตามขนาดนั่นแหละครับ ไต้หวันใช้งานในเขตน้ำตื้นหรือใกล้ฝั่ง รวมทั้งแถวท่าเรือต่างๆ ที่มีความสำคัญ ส่วนเรือยางมีขนาดเล็กไปบ้าง การขึ้นลงจากเรือดูวุ่นวายไปบ้าง แต่ไม่น่ามีปัญหาเพราะปรกติไม่ค่อยใช้งาน นอกจากระบบเป้าลวงกับระบบ ESM แล้ว ยังมีระบบแจ้งเตือนการถูกตรวจจับด้วยเลเซอร์ อุปกรณ์ตัวนี้เรือฟริเกตลำใหม่ของเรายังไม่มี และ SAAB มีสินค้าพร้อมส่งมอบ 24 ชั่วโมง

                เรือคอร์เวตชั้น Tuo Chiang ถูกตั้งชื่อเล่นว่า ‘Carrier Killer’ เพราะมีความเร็วสูงมาก มีลูกยาวและลูกยาวกว่าถึง 16 นัด ออกแบบให้ทนทะเลถึงระดับ 7 หมายความว่าตัวเรือยังไม่แตกหัก แต่คนบนเรือซึ่งยาวเพียง 60 เมตรคงเมากันเละ เพราะฉะนั้นเรือลำนี้จะแล่นอยู่แถวๆ ช่องแคบไต้หวัน เป็นจ่าฝูงเรือชั้น Kuang Hua VI ซึ่งติดอาวุธน้อยกว่าอีกที

                ผู้อ่านรู้จักเรือจาก Kuang Hua Program ครบทุกลำแล้ว ทว่าเรื่องราวกองทัพเรือไต้หวันนั้นยังไม่จบ ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโครงการเรือดำน้ำ อาวุธที่ไต้หวันพัฒนาขึ้นมาเอง รวมทั้งเรือรุ่นใหม่ที่จะถูกสร้างในอนาคต ผู้เขียนต้องขอยกยอดไปตอนถัดไป ตามอ่านเพื่อเป็นกำลังใจกันต่อนะครับ ;)

                                                ----------------------------------------

อ้างอิงจาก

เอกสารรายงานเรื่อง : Taiwan: Major U.S. Arms Sales Since 1990




วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

CPFH (Cost Per Flight Hour)


ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบิน

เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ได้รับความที่นิยมอย่างแพร่หลาย นอกจากเป็นพาหนะในการเดินทางหรือขนส่งแล้ว ยังใช้เป็นอาวุธสำหรับป้องกันตนเองได้อีกด้วย เกือบทุกประเทศล้วนมีกองทัพอากาศ เกือบทุกประเทศล้วนมีเครื่องบินกับเฮลิคอปเตอร์ มากน้อยว่ากันไปตามงบประมาณกับความสำคัญ โดยไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันเสมอไป

ยกตัวอย่างง่ายๆ สัก 2 ประเทศ เริ่มจากลาวซึ่งปลดประจำการเครื่องบินขับไล่ Mig-21 มานานพอสมควร ปัจจุบันลาวยังไม่ค่อยมีงบประมาณ แต่พวกเขาเพิ่งจัดหาเครื่องบินฝึกโจมตี Yak-130 มาสดๆ ร้อนๆ รวมทั้งมีแผนจัดหาเครื่องบินขับไล่ในอนาคต ทั้งนี้เนื่องมาจากมีข้อขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน

ส่วนนิวซีแลนด์ซึ่งปลดประจำการเครื่องบินโจมตี A-4K Skyhawk นานแล้วเช่นกัน ปัจจุบันนิวซีแลนด์มีงบประมาณเพียงพอ ทว่าพวกเขาไม่มีเครื่องบินรบแม้แต่ลำเดียว แต่มีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ SH-2G Super Seasprite จำนวน 8 ลำ ทั้งนี้เนื่องมาจากกองทัพเรือไม่มีหน่วยอากาศยาน สิงคโปร์ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่คล้ายๆ กัน

การจัดหาเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์เข้าประจำการ แต่ละคนหรือแต่ละประเทศมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน โดยมีสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญมาก ส่งผลกระทบกับเงินในกระเป๋าอย่างชัดเจน สิ่งนั้นก็คือค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบิน หรือ Cost Per Flight Hour อาจไม่แตกต่างหลักล้านเหรียญเหมือนราคาเครื่อง แต่ในระยะยาวจะเริ่มแตกต่างจนอาจเทียบเท่า ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินสำคัญมากแค่ไหน สำคัญเสียจนผู้เขียนได้ยินหรือได้อ่านอยู่บ่อยครั้งว่า

เครื่องบิน F-35A ราคาถูกลงแล้วก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินสูงกองทัพอากาศคงไม่ไหวหรอก!”

เราควรซื้อเครื่องบิน F-15E มาสัก 8 ลำนะ กองทัพอากาศสู้ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินได้แน่นอน!”

ตกลงแล้วค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินคืออะไร? กองทัพอากาศสู้ได้หรือสู้ไม่ได้กันแน่? บทความนี้จะเป็นกุญแจช่วยไขปริศนาข้อแรก เพียงแต่ผู้อ่านต้องมีกุญแจส่วนตัวดอกที่สอง เพื่อไขปริศนาข้อสองกันด้วยตัวเองนะครับ



เครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen ครองแชมป์ความประหยัดมานานหลายปี นาทีนี้ยังเป็นจ่าฝูงเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ ถามใจ JF-17 Thunder ของปากีสถานกับ Tejas ของอินเดียดูเสียก่อน

อารัมภบทมานานพอสมควรแล้ว เข้าสู่เนื้อหาของบทความอย่างเป็นจริงเป็นจัง ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบิน หรือ Cost Per Flight Hour ถูกพูดถึงในวงกว้างทั่วโลก นักบินรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องมักได้ยินจนคุ้นหู วิธีคำนวณของแต่ล่ะรายล้วนแตกต่างกัน ไม่มีใครผิดไม่มีใครผิดถูกหรอกครับ อยู่ที่ว่าคุณใส่รายละเอียดมากน้อยแค่ไหน เรามาดูตัวอย่างกันก่อนดีกว่า



ในสี่เหลี่ยมสีเขียวที่อยู่ด้านบน เป็นวิธีคำนวณค่าใช้จ่ายเครื่องบินพลเรือน ซึ่งมีสูตรคำนวณง่ายๆ อยู่ว่า

ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง + ค่าซ่อมบำรุงแอร์เฟรมกับใบพัด + ค่าซ่อมคืนสภาพเครื่องยนต์ = ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบิน

เป็นสูตรง่ายๆ สำหรับบุคคลผู้มีเครื่องบินส่วนตัว ใช้เป็นข้อมูลในการคำนวณค่าโดยสาร ค่าขนส่ง การซื้อเครื่องบินเพิ่ม การขายเครื่องบินเก่า การขายต่อกิจการ รวมทั้งตัดสินใจว่าจะเปิดบริษัทต่อหรือหนีเจ้าหนี้ดี บางรายนับค่าเช่าที่เก็บเครื่องบินกับภาษีต่างๆ ด้วย ส่วนภาษีของแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน ตัวเลขที่ได้จากการคำนวณจึงแตกต่างกัน

ตัวอย่างที่สองอยู่ในสี่เหลี่ยมสีแดงด้านล่าง จากรายงานของนิตยสารทางทหารฉบับหนึ่ง ในรายงานระบุค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินของ Gripen ในปี 2012 เท่ากับ 4,700 เหรียญต่อชั่วโมง เทียบกับเครื่องบิน F-16 Block 40/50 ซึ่งอ้างอิงจากรายงาน Study กองทัพอากาศอเมริกาในปี 2005 ว่าเท่ากับ 7,000 เหรียญต่อชั่วโมง โดยมีวิธีการคิดคำนวณตามสูตรนี้

ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริง + ค่าเตรียมความพร้อมและซ่อมแซมก่อนบิน +   ค่าซ่อมบำรุงตามตารางกับค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่ = ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบิน

อ่านแล้วผู้เขียนนึกสงสัยเรื่องตัวเลข บังเอิญข้อมูลฝั่งอเมริกานั้นพอตรวจสอบได้ (ส่วนของสวีเดนไม่รู้จะไปหาที่ไหน) จึงตามเข้าไปส่องจนพบข้อมูลที่น่าสนใจ อเมริกาเริ่มจัดเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินตั้งแต่ปี 2006 (เฉพาะส่วนที่เผยแพร่ต่อสาธารณะชน) ในปีนั้นเอง F-16A มีค่าใช้จ่าย 8,495 เหรียญต่อชั่วโมง สูงกว่าในรายงานถึง 21.3 เปอร์เซ็นต์

ทำไม F-16 มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ถูกกล่าวอ้าง? เนื่องมาจากรัฐบาลอเมริกามีวิธีคิดคำนวณแตกต่างจากนิตยสาร ตัวแปรที่พวกเขานำมาใช้ในการหาข้อมูลนั้น ประกอบไปด้วยตามภาพนี้เลยครับ



คุณพระคุณเจ้า! อะไรมันจะเยอะแยะกันปานนี้ ผู้เขียนขอไม่ลงรายละเอียดแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นบทความคงยาวเกิน 20 หน้ากระดาษ ตัวเลขยุบยับเหล่านี้เกี่ยวเนื่องกับเรื่องบัญชีด้วย ช่วงท้ายบทความจะย้อนมาที่เรื่องนี้อีกครั้ง ทว่าตอนนี้อยากพูดถึงอีกสักประเด็น สิ่งนั้นก็คือค่าใช้จ่ายต่อเครื่องบิน (หนึ่งลำ) ซึ่งมีความผกผันกับค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบิน

ยกตัวอย่างตามแผนภูมิด้านล่าง เครื่องบิน 2 ลำถูกใช้งานเป็นเวลา 6 เดือนเท่ากัน โดยลำแรกบินไปทั้งสิ้น 326 ชั่วโมงบิน ส่วนลำที่สองบินแค่เพียง 250 ชั่วโมงบิน ความแตกต่างของทั้งสองลำจึงมีดังนี้



เครื่องบินลำแรกซึ่งมีชั่วโมงบินมากกว่า มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินน้อยกว่าลำสอง 11 เปอร์เซ็นต์ แต่มีค่าใช้จ่ายต่อเครื่องบินมากกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ เพราะต้องซ่อมบำรุงตามวงรอบมากกว่ากัน ฉะนั้นเครื่องบินลำแรกอาจมีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินน้อยกว่า 1 หมื่นเหรียญ และอาจมีค่าใช้จ่ายต่อเครื่องบินสูงกว่า 5 หมื่นเหรียญ เรื่องพวกนี้ต้องนำมาคำนวณอย่างรอบคอบ เพราะบางประเทศนั้นฝึกบินกันแทบทุกวัน ส่วนบางประเทศก็ฝึกบินกันแทบทุกเดือน

มัวแต่โม้เพลินเดี๋ยวผู้อ่านจะเบื่อ ตัดเข้าสู่ช่วงข้อมูลสำคัญต่อกันไปเลย ทุกปีกระทรวงกลาโหมอเมริกาจะมีรายงานฉบับหนึ่ง เนื้อหากล่าวถึงค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบิน ของอากาศยานทุกรุ่นที่ยังประจำการอยู่ ในบทความนี้เป็นรายงานประจำปีงบประมาณ 2019 ซึ่งจัดเก็บข้อมูลจากปีงบประมาณ 2018 (ตุลาคม 2017 ถึงกันยายน 2018) ก่อนถูกเผยแพร่ในวันที่ 12 ตุลาคม 2018 หยิบแว่นสายตายาวแล้วมาเพ่งอ่านกันได้เลย





สองภาพนี้คือค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินของเครื่องบินทุกเหล่าทัพ เครื่องบิน E-4B Advance Airborne Command Post (AACP) ซึ่งปรับปรุงมาจากเครื่องบิน Boeing 747-200 ครองแชมป์ค่าใช้จ่ายสูงอันดับหนึ่ง เพราะทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการจากบนฟากฟ้า จึงต้องแบกอุปกรณ์มากมายให้มาตามซ่อมบำรุง รองลงมาก็คือเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2A เรดาร์อาจตรวจจับเครื่องบินไม่พบก็จริง แต่ถ้าบินเพลินไปหน่อยเจ้าของเครื่องอาจกระเป๋าฉีก ผู้เขียนหาเครื่องบิน VC-25A Air Force One ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำตัวประธานาธิบดีไม่เจอ ไปหลบอยู่ตรงไหนกันล่ะหนอ?



ส่วนภาพนี้คือค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินของเฮลิคอปเตอร์ทุกเหล่าทัพ อันดับหนึ่งคือ VH-3D Marine One เฮลิคอปเตอร์ประจำตัวประธานาธิบดีของนาวิกโยธิน (ปรากฏตัวในภาพยนตร์เยอะมาก) Sea King รุ่นนี้มีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน ในอนาคตจะถูกทดแทนด้วย Lockheed Matin VH-71 หรือ AgustaWestland AW101 นั่นเอง แต่เนื่องมาจากความล่าช้าและอะไรหลายอย่าง ทำให้โครงการจัดหาต้องถูกยกเลิก ในการคัดเลือกรอบสองเฮลิคอปเตอร์ Sikosky VH-92 หรือ Sikosky S-92 ที่ประเทศไทยมีอยู่ 3 ลำเข้ามาเสียบแทนที่ ถ้าโครงการไม่ถูกยกเลิกไปอีกรอบนะครับ

ดูภาพรวมคร่าวๆ จนปวดสายตาแล้ว ผู้เขียนจะขอเจาะลึกเครื่องบินบางลำ เฉพาะลำที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยทั้งทางตรง ทางอ้อม ทางจากข่าวลือ ข่าวเต้า รวมทั้งข่าวมโน โดยใช้ตัวเลขจากช่องซ้ายสุดติดชื่อเครื่องบิน (DoD) ซึ่งเป็นข้อมูลเครื่องบินรัฐบาลอเมริกา ที่ไม่ได้บวกค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่พื้นดิน และค่าจัดเก็บเครื่องบินในกรณีเครื่องบินต่างชาติเพิ่ม

เข้าใจตรงกันแล้วก็ลุยกันเลย ลำแรกสุดเป็นเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งทางวิ่งสั้น AV-8B Harrier II ของนาวิกโยธินอเมริกา มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 13,152 เหรียญหรือ 414,033 บาท (ค่าเงินวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2019 อยู่ที่ 1 ดอลลาร์เท่ากับ 31.4807 บาท) เพราะใช้เทคโนโลยีแตกต่างจากชาวบ้าน การบินขึ้นลงทางดิ่งผลาญน้ำมันค่อนข้างมาก รวมทั้งอะไหล่ต่างๆ ถูกผลิตอย่างจำกัดจำเขี่ย จึงมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับขนาดเครื่อง



กองทัพเรือไทยเคยมีเครื่องบินตระกูลนี้ เป็นรุ่น AV-8S Matador หรือ AV-8A Harrier จำนวน 9 ลำ (ซื้อต่อมาจากสเปน) ใช้งานบนเรือหลวงจักรีนฤเบศรได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันปลดประจำการทุกลำแล้ว มีข่าวเรื่องจัดหา AV-8B Harrier II มือสองจากอเมริกากันทุกปี เพียงแต่เป็นข่าวลือที่ไม่เคยเป็นข่าวจริง เพราะทางอเมริกาไม่คิดจะขายให้กับเรา

ส่วนประเทศที่อยากขายก็คืออังกฤษ ปลายปี 2010 พวกเขาจะปลดประจำการ Harrier ฝูงสุดท้าย จึงได้เสนอขายยกฝูงทั้งเครื่องบินและอะไหล่ บังเอิญกองทัพเรือมีโครงการปรับปรุงเรือหลายลำ และหยอดกระปุกไว้ซื้อเรือดำน้ำมือสองเยอรมัน สุดท้ายอเมริกาเข้ามาซื้อไปครอบครอง เพื่อเป็นอะไหล่สำหรับเครื่องบินตนเองต่อไป

ลำต่อไปก็คือ F-16 Fighting Falcon ซึ่งมีเรื่องน่าหวาดเสียวให้ได้ขบคิดว่า เครื่องบิน F-16C กองทัพอากาศอเมริกามีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 8,374 เหรียญหรือ 263,619 บาท แต่ F-16A Block 15 ของกองทัพเรือมีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 14,171 เหรียญหรือ 446,113 บาท แตกต่างกันเสียจนแอบใจใจคว่ำ ที่ F-16A รุ่นเดียวกันบล็อกเดียวกับของเราดันแพงหูฉี่ ผู้เขียนรีบย้อนกลับไปดูในปี 2018 ปรากฏว่า F-16A Block 15 ของกองทัพเรือมีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 8,067 เหรียญหรือ 253,954 บาท ต่ำกว่า F-16C กองทัพอากาศอเมริกาเล็กน้อย

ตัวเลขที่แตกต่างกันหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่ามีปัญหาขนาดใหญ่เกิดขึ้น โดยเพิ่งจะเกิดในปี 2018 ที่ผ่านมา แล้วปัญหาขนาดใหญ่ที่ว่าคืออะไร? ตอบกันตรงๆ ว่าไม่ทราบจริงๆ ครับ มีตัวแปรยิบย่อยอยู่ด้วยกันถึง 23 ตัวแปร ถ้าตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวเกิดมีปัญหา จะส่งผลกระทบมายังตัวเลขรวมแบบนี้เลย



ประเทศไทยมี F-16 จำนวนค่อนข้างมาก ประกอบไปด้วยเครื่องบินใหม่เอี่ยมจำนวน 2 ฝูง เครื่องบินมือสองจำนวน 1 ฝูง และสิงคโปร์มอบให้เป็นค่าเช่าสถานที่อีก 7 ลำ ฝูงบิน 403 ตาคลีมี F-16 MLU ที่ดีที่สุดทันสมัยที่สุด เนื่องจากเพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ 18 ลำในวงเงิน 700 ล้านเหรียญ เครื่องบินฝูงนี้เราซื้อมาในปี 1992 จำนวน 18 ลำราคารวม 400 ล้านเหรียญ หรือลำล่ะ 22.22 ล้านเหรียญ โดยสามารถซื้อเพิ่มอีก 18 ลำได้ในอนาคต แต่เราไม่ได้สั่งเพิ่มเพราะกำลังสนใจลำอื่นอยู่

เครื่องบินลำต่อไปอันที่จริงเรานั้นไม่มี แต่เราเคยเกือบมีทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังไม่มี เครื่องบินที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายลำนี้ก็คือ F/A-18C/D Hornet ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 18,989 เหรียญหรือ 597,787 บาท ส่วน F/A-18E/F Super Hornet ที่ทั้งใหม่กว่า ใหญ่กว่า และทันสมัยกว่า มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 11,828 เหรียญหรือ 372,354 บาท Super Hornet ขนาดใหญ่กว่าแต่ดันประหยัดกว่า สาเหตุเป็นเพราะอะไรท้ายบทความจะมีเฉลย



ความเกี่ยวข้องเครื่องบินลำนี้กับเรานั้น ฟังความจากฝั่งอเมริกากันก่อน ในปี 1996 ประเทศไทยสั่งซื้อเครื่องบิน F/A-18C/D Hornet จำนวน 8 ลำ พร้อมจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon อีก 5 นัด มีอะไหล่ การสนับสนุน กับการฝึกอบรมด้วย มูลค่ารวมอยู่ที่ 578 ล้านเหรียญ โดยมีข้อเสนอพ่วงก็คือต้องขายจรวดต่อสู้อากาศยาน AMRAAM ด้วย ตอนนั้นสภาคองเกรสยังไม่อยากขาย เพราะจรวดรุ่นนี้มีความทันสมัยสูงมาก รัฐบาลไทย บริษัทผู้ผลิต รวมทั้งเพนตากอนจึงช่วยกันกดดัน โดยยกตัวอย่างการขายจรวดของชาติในยุโรปขึ้นมาอ้างอิง สุดท้ายเครื่องบินขายออกและเราได้จรวดตามต้องการ

ความโชคดีมาพร้อมกับความโชคร้าย ปี 1997 ได้เกิดวิกฤตการเงินขนาดใหญ่ทั่วทั้งเอเชีย หรือที่เรียกกันติดปากว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง ตอนนั้นเราจ่ายค่าเครื่องบินบางส่วนไปแล้ว แต่ไม่มีเงินมาจ่ายส่วนที่เหลือตามสัญญา รัฐบาลไทยจึงทำเรื่องขอยุติโครงการ โดยให้อเมริกาซื้อเครื่องบินที่ผลิตแล้วไปใช้งานเอง ตามปรกติเขาจะยึดเงินก้อนแรกและปรับเงินเราเพิ่ม ทว่าผลการเจรจาก็คือทางเราไม่เสียค่าปรับ แต่เงินยังไม่ได้คืนและไม่มีแนวโน้มว่าจะได้คืน

รับเผือกร้อนมาแล้วเพนตากอนต้องทำงานต่อ เป้าหมายแรกพวกเขาเสนอขาย F/A-18C/D Hornet ให้กับชิลี แล้วต่อกันด้วยคูเวต ก่อนมาจับยัดลงที่นาวิกโยธินอเมริกา ขายได้แล้วจึงยกเลิกสัญญาในวันที่ 5 เมษายน 1999 เหตุการณ์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลอเมริกา ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในโครงการจัดซื้อทางทหาร (Foreign Military Sale หรือ FMS) คนอเมริกาส่วนใหญ่ไม่พอใจรัฐบาล ที่อยู่ดีๆ เอางบประมาณจากภาษีในส่วนอื่น มาซื้อเครื่องบินรบที่ใกล้ตกรุ่นให้กับนาวิกโยธิน ในปีนั้น F/A-18E/F Super Hornet เข้าประจำการกับกองทัพเรือแล้วด้วย สาเหตุนี้เอง F/A-18C/D จึงขายได้ค่อนข้างยาก ไม่มีใครเอาจนต้องมาลงที่นาวิกโยธิน ซึ่งถ้าสลับมาเป็น F-16C/D น่าจะมีแต่คนแย่งกันจับจอง

จากนั้นในปี 2000 รัฐบาลไทยเจรจาขอซื้อเครื่องบิน F-16 ADF มือสองจำนวน 1 ฝูง โดยใช้เงินก้อนแรกที่จ่ายไปแล้วนั่นแหละครับ เราจึงได้ครอบครองเครื่องบินที่ยิงจรวด AMRAAM ได้ แต่จรวดยังไม่มีต้องเจรจาขอซื้อกันอีกครั้ง (โอยเหนื่อย) และในปีเดียวกันนั้นเอง เครื่องบิน F/A-18C/D Hornet ได้ปิดสายการผลิตไปตลอดกาล

วันที่ 27 กันยายน 2001 อเมริกาขายจรวด AMRAAM จำนวน 8 นัดให้ไทยในวงเงิน 7 ล้านเหรียญ โดยอ้างเหตุผลว่าพม่าได้รับเครื่องบิน Mig-29 จากรัสเซียจำนวน 10 ลำ จรวดทั้งหมดจะถูกจัดเก็บอยู่ในอเมริกา และพร้อมส่งมอบให้กับประเทศไทยภายใน 48 ชั่วโมง เราเป็นชาติที่ 25 ที่ได้ใช้งานจรวดสมรรถนะสูง ตามหลังสิงคโปร์กับไต้หวันซึ่งสั่งซื้อไปก่อนแล้ว โดยน่าจะมีออปชั่นที่ไม่อยากเลือกเหมือนเรานี่แหละ กว่าจะเขียนจบเล่นเอาปวดข้อมืออะไรมันจะวุ่นวายขนาดนี้

ทีนี้มาฟังความฝั่งจากฝั่งเราบ้าง ในการจัดซื้อเครื่องบิน F/A-18C/D Hornet จำนวน 8 ลำ เราได้ขู่ว่าถ้าไม่ขายจรวด AMRAAM มาให้พร้อมกัน เราจะไปซื้อเครื่องบิน Mirage 2000 กับจรวดรุ่นใหม่ของฝรั่งเศสมาใช้งานแทน อเมริกาก็เลยยอมขายทั้งเครื่องบินและจรวด ส่วนเรื่องจัดซื้อจรวด AMRAAM ซึ่งว่ากันว่าอยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาเองนั้น เป็นเพราะเราได้แอบจัดซื้อจรวดครั้งล่ะไม่กี่นัด ให้มีมูลค่าน้อยๆ จนไม่ต้องเสนอเข้าสู่สภาคองเกรส

ผู้เขียนได้ยินได้ฟังแล้วก็ว่าเข้าที บังเอิญต่อมมโนทำงานขึ้นมาแบบปุบปับว่า ถ้าอเมริกาในตอนนั้นไม่ยอมขายจรวดให้ และไทยแลนด์ในตอนนั้นซื้อเครื่องบิน Mirage 2000 กับจรวด Mica และ Exocet จริงตามคำขู่ ต่อมาไม่นานวิกฤตต้มยำกุ้งก็พลันมาเยือน เมื่อย้ายผู้เล่นจากฝั่งอเมริกามาเป็นฝรั่งเศส แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น???

                .ไก่ รัฐบาลฝรั่งเศสยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ซื้อเครื่องบิน Mirage 2000 ที่ผลิตแล้วไปใช้งานเอง พร้อมกับขายเครื่องบิน Mirage F-1 มือสองให้กับไทยแลนด์จำนวน 1 ฝูง

                .ไข่ รัฐบาลฝรั่งเศสช่วยยกเลิกสัญญาซื้อขาย แต่ไม่คืนเงินและไม่มีเครื่องบินมือสอง

.ควาย นอกจากจะไม่ได้อะไรติดมือแล้ว ไทยแลนด์ยังต้องจ่ายค่าปรับเต็มวงเงินตามสัญญา

ผู้เขียนนอนตีลังกาคิดมาตั้งหลายคืน ทว่ายังไม่ได้คำตอบที่ตรงกับใจสักที จึงตัดสินใจเลือก ง.งู ถูกทุกข้อก็แล้วกัน

ลำถัดไปคือเครื่องบินโจมตีสนับสนุนภาคพื้นดิน A-10 thunderbolt ติดปืนกล 30 มม. 7 ลำกล้องรวบไว้ที่ปลายจมูก และบรรทุกระเบิดได้อีก 7,200 กิโลกรัม เป็นเครื่องบินในฝันของใครหลายคน รวมทั้งเรืออากาศโทเกร็ก เกทส์ แห่งแอเรีย 88 รูปร่างอาจจะดูเทอะทะไปบ้าง มีน้ำหนักมากกว่า F/A-18C/D Hornet เล็กน้อย แต่มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 6,118 เหรียญหรือ 192,599 บาท ต่ำที่สุดในบรรดาเครื่องบินรบที่ยังคงประจำการ ผลงานในการรบจริงค่อนข้างดีจนถึงดีมาก



กองทัพอากาศไทยเคยทดสอบเครื่องบิน A-10 ในปี 1983 ก่อนได้ข้อสรุปว่าสนใจอยากจัดหามาใช้งาน เพราะมีราคาและค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงเท่าไหร่ รับมือกองทัพรถถังเวียดนามในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี ถามไปทางอเมริกาทางนั้นไม่ตอบกลับเสียที ครั้นพอมีคู่แข่งเข้ามาเสนอเครื่องบินมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินฝึกโจมตี Hawk เครื่องบินฝึกโจมตี MB339 เครื่องบินโจมตี AMX เครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado รวมทั้งเครื่องบินขับไล่ F-7M จากจีนซึ่งว่ากันว่าราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ

เห็นราคาคู่แข่งขันรายสุดท้ายแล้วเริ่มหนักใจ ปี 1988 อเมริกาตอบกลับมาว่ายินดีขาย A-10 ให้ไทย แต่ถึงตอนนั้นสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะสงครามร่มเกล้าที่ระอุขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้เราอยากได้เครื่องบิน F-16 ฝูงที่สองมากกว่า เนื่องจากสามารถทำภารกิจได้หลากหลายกว่า สรุปความได้ว่างานนี้แยกย้ายบ้านใครบ้านมัน

ขอบคุณภาพถ่ายและข้อมูลจากท่านท้าวทองไหล ผมแอบส่องมาจากเว็บบอร์ด Thaifighter นี่แหละครับ

บทความค่อนข้างยาวอย่าเพิ่งเบื่อกันล่ะ เครื่องบินลำต่อไปก็คือพญาอินทรีย์ผู้เกรียงไกร ซึ่งมาด้วยกัน 2 รุ่นตามอายุและเทคโนโลยี เริ่มกันจาก F-15C Eagle เครื่องบินขับไล่ครองอากาศที่มีชื่อเสียง ซึ่งบินกลับจากสมรภูมิในฐานะผู้พิชิตแทบทุกครั้ง ออกแบบให้ทำสงครามกลางอากาศอย่างเดียว จึงติดแต่เพียงปืนกล 20 มม.กับจรวดต่อสู้อากาศยานทั้งระยะใกล้และไกล F-15C Eagle มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 21,290 เหรียญหรือ 674,224 บาท แอบกลืนน้ำลายกันเล็กน้อย

ลำต่อไปก็คือ F-15E Strike Eagle ซึ่งสามารถทำภารกิจได้หลากหลายกว่า ทั้งขับไล่ครองอากาศเหมือนกับรุ่นเดิม และโจมตีทางลึกด้วยระเบิดทันสมัยจำนวนมาก จึงสามารถฉายเดี่ยวได้โดยไม่ต้องมีรุ่นอื่นคุ้มกัน F-15E มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 17,071 เหรียญหรือ 537,407 บาท ถูกกว่ารถเก๋งผู้เขียนประมาณหนึ่งหมื่นบาท



ความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้นมีอยู่ว่า ปลายปี 2018 มีข่าวชิ้นหนึ่งสร้างความฮือฮาทั่วยุทธจักร เมื่อญี่ปุ่นต้องการขายเครื่องบิน F-15J ของตนเองกลับคืนอเมริกา เพื่อระดมเงินมาสมทบซื้อเครื่องบิน F-35 เพิ่มเติม ในข่าวแจ้งว่าอเมริกาจะเอาไปปล่อยต่อ ให้กับประเทศในกลุ่มอาเซียนประเทศใดประเทศหนึ่ง นั่นหมายความว่ารวมประเทศไทยเข้าไปด้วย

F-15J ของญี่ปุ่นค่อนข้างใกล้เคียงกับ F-15C ของอเมริกา ฉะนั้นจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 674,224 บาทต่อชั่วโมง ถ้าอเมริกาเกิดอยากขายให้กับเราจริง โดยไม่รอให้จีนเสนอ FTC-2000 Mountain Eagle ตัดหน้าแบบคราวก่อน ต้องถามท่านกบแล้วละครับว่าจะเอาดีไม่เอาดี ทางนั้นก็พญาอินทรีย์ทางนี้ก็อินทรีย์ภูเขา เลือกกันไม่ถูกเลยจริงๆ นะเออ

ลำถัดไปเป็นเครื่องบินใหม่เอี่ยมอ่อง แฝดสามผู้มีชื่อเสียงทั้งในทางที่ดีและไม่ดี (ตอนนี้น่าจะดีเอามากๆ แล้ว เมื่ออิสราเอลเก็บแต้มสำคัญได้) โดยเป็นเครื่องบินจากโลกอนาคตที่แท้จริง เริ่มต้นจากเครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์ F-35A มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 17,701 เหรียญหรือ 557,240 บาท (แพงกว่ารถเก๋งผู้เขียน 8,240 บาท) ต่อกันที่เครื่องบินขับไล่ขึ้นลงแนวดิ่งทางวิ่งสั้น F-35B มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 23,891 เหรียญหรือ 752,105 บาท ก่อนปิดท้ายด้วยเครื่องบินขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน F-35C มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 22,978 เหรียญหรือ 723,363 บาท



 กองทัพอากาศไทยสนใจ F-35A หรือเปล่า? กองทัพเรือล่ะอยากได้ F-35B หรือไม่? ตัวเลขที่แสดงให้เห็นเป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ ของจริงอาจมากกว่าหรือน้อยกว่าตามการใช้งาน รวมทั้งมีโอกาสสวิงขึ้นสูงเมื่อเจอปัญหา (เคยเกิดปัญหาใหญ่โตและแก้ไขสำเร็จมาแล้ว) แต่นี่ก็เป็นตัวเลขที่ชัดเจนมากที่สุด โดยเฉพาะ F-35A ซึ่งมีการจัดเก็บมาหลายปี

เครื่องบินลำสุดท้ายก็คือ C-130 ถูกใช้งานด้านลำเลียงและขนส่งมาอย่างยาวนาน โดยเครื่องต้นแบบเริ่มทดลองบินในปี 1954 โน่น อเมริกามีประจำการอยู่จำนวน 2 รุ่น C-130H ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 9,120 เหรียญหรือ 287,104 บาท กับ C-130J ซึ่งใหม่กว่าและยังมีเครื่องบินขาย ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 6,135 เหรียญหรือ 193,134 บาท กลายเป็นลำใหม่ถูกลงกว่าลำเก่า 93,970 บาทต่อชั่วโมง ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดตัวเลขนี้น่าสนใจเหลือเกิน



กองทัพอากาศไทยมีเครื่องบิน C-130 จำนวน 12 ลำ แบ่งเป็นรุ่นลำตัวสั้น C-130H จำนวน 6 ลำ และรุ่นลำตัวยาว C-130H-30 อีก 6 ลำ ถ้ามีการจัดหาเครื่องบินใหม่เข้ามาทดแทนและหรือเพิ่มเติม C-130J ลำนี้เองน่าสนใจมากที่สุดของแจ้ ไม่ต้องมองเครื่องบินลำเลียงจีนหรือรัสเซียกันหรอก ค่าเครื่องอาจแพงกว่ากันอยู่บ้าง อเมริกาอาจเล่นตัวอยู่บ้าง ต้องใช้เวลารอคอยอยู่บ้าง แต่ของเขาดีจริงและมีคุณภาพสูงสุด ค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานถูกกว่าอย่างแน่นอน

ลำต่อไปเป็นเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงทางยุทธวิธี UH-60 Blackhawk ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีจากภาพยนตร์ชื่อดัง กองทัพบกอเมริกามีประจำการ 3 รุ่น เริ่มจาก UH-60A Blackhawk ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 4,587 เหรียญหรือ 144,402 บาท ต่อด้วย UH-60L Blackhawk ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 4,188 เหรียญหรือ 131,841 บาท รวมทั้ง UH-60M Blackhawk ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 4,124 เหรียญหรือ 129,826 บาท ยิ่งเป็นรุ่นใหม่ยิ่งประหยัดมากกว่าเดิม



กองทัพบกไทยมีประจำการ 2 รุ่น ประกอบไปด้วย UH-60L Blackhawk จำนวน 7 ลำ เฮลิคอปเตอร์ชุดแรกเข้าประจำการในปี 2545 ราคาต่อลำอยู่ที่ 666.498 ล้านบาท เรายังมี UH-60M Blackhawk อีก 7 ลำ ทยอยซื้อช่วงปี 2014-2016 จนครบจำนวน นอกจากนี้เรายังเอาซากเฮลิคอปเตอร์ CH-47 Chinook จำนวน 6 ลำ ไปแลกกับ UH-60A Blackhawk มือสองที่ผ่านการซ่อมใหญ่จำนวน 3 ลำ พร้อมติดตั้งถังดับเพลิงแบบพับได้ชิดแบมบี้ ขนาด 1,500 ลิตร โดยต้องจ่ายเงินเพิ่ม 491.13 ล้านบาท เป็นอันว่าไทยแลนด์มีครบ 3 รุ่นไม่น้อยหน้าอเมริกา

ลำต่อไปย้ายมาฝั่งกองทัพเรือบ้าง ลำนี้เป็นญาติสนิทกับเหยี่ยวดำผู้โด่งดัง แต่ถูกแปลงร่างเป็นเหยี่ยวทะเลกับเหยี่ยวกลางคืน นั่นก็คือ MH-60R Blackhawk เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำ มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 4,378 เหรียญหรือ 137,822 บาท และ MH-60S Knighthawk เฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ใช้งานทางทะเล มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 4,900 เหรียญหรือ 154,255 บาท แพงกว่ารุ่นใช้งานบนฝั่งของกองทัพบกแต่ไม่มาก



กองทัพเรือไทยประจำการ S-70B-7 Blackhawk ซึ่งเป็นรุ่นส่งออกของ MH-60R แต่เป็นรุ่นที่เก่ากว่ากันพอสมควร สั่งซื้อในปี 1993 วงเงิน 3,528,000 ล้านบาท หรือลำล่ะ 588 ล้านบาท ติดตั้งระบบโซนาร์แบบชักหย่อนจำนวน 3 ลำ (จัดหาในภายหลัง) ส่วนอีก 3 ทำหน้าที่มือหย่อนตอร์ปิโด เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำของเรามีอยู่เท่านี้แหละครับ

นอกจากนี้ยังมี MH-60S Knighthawk อีก 2 ลำ อเมริกาอนุมัติขายให้เราเป็นชาติแรกจำนวน 6 ลำวงเงิน 246 ล้านเหรียญ (แต่เราเพิ่งซื้อแค่ 2 ลำ) เพื่อใช้ในภารกิจค้นหากู้ภัยทางอากาศ สั่งซื้อในปี 2007 และเข้าประจำการปี 2011 วงเงิน 58 ล้านเหรียญแต่ไม่ทราบว่ากี่บาท (ไม่รู้ค่าเงินในตอนนั้น) เฮลิคอปเตอร์ทุกลำประจำการบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร หมายถึงเวลาออกทำภารกิจนะครับ ส่วนเวลาปรกติอยู่ในโรงเก็บบนฝั่งทั้งหมด รวมทั้งใช้ทำภารกิจอื่นด้วยให้คุ้มกับค่าตัว

ลำต่อไปเป็นเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด UH-72 Lakota ขนาดค่อนข้างเล็กบรรทุกทหารไม่เกิน 9 นาย แต่สามารถเปิดท้ายเพื่อขนสัมภาระหรือเปลสนามได้ อเมริกามีใช้งานทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และโรงเรียนฝึกหัดนักบิน มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 2,759 เหรียญหรือแค่ 86,855 บาท เป็นเฮลิคอปเตอร์บริษัท Eurocopter จากยุโรป (ปัจจุบันก็คือบริษัท Airbus Helicopters) นี่สามารถเจาะตลาดกองทัพอเมริกาได้สำเร็จ มียอดผลิตรวมทุกรุ่นอยู่ประมาณ 400 ลำ



กองทัพบกไทยสนใจ UH-72 Lakota ค่อนข้างมาก ปี 2013 จึงได้ซื้อจำนวน 6 ลำในวงเงิน 77 ล้านเหรียญ แต่เอาเข้าจริงไม่ถึงหรอกครับ เพราะรัฐบาลไทยอนุมัติซื้อวงเงิน 55 ล้านเหรียญหรือ 1,737 ล้านบาท ถัดมาอีกเพียง 1 ปีกองทัพบกขอซื้อเพิ่มอีก 9 ลำในวงเงิน 89 ล้านเหรียญ และมีแผนจะจัดหามาจนครบ 30 ลำ เพื่อมาทดแทนเฮลิคอปเตอร์เก่าใกล้หมดอายุ

ครั้นถึงกุมภาพันธ์ 2015 กองทัพบกยกเลิกคำสั่งซื้อ UH-72 Lakota จำนวน 9 ลำ ก่อนหันมาซื้อ EC145 T2 จำนวน 6 ลำเพื่อใช้งานภารกิจ VIP ระดับผู้บัญชาการ ปัจจุบัน Lakota สภาพพร้อมใช้งานเหลืออยู่เพียง 4 ลำ เมื่อ 3 ปีที่แล้วตกไป 1 ลำ กับลงจอดฉุกเฉินอีก 1 ลำในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ผ่านมา ยังไม่มีรายละเอียดว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน

เฮลิคอปเตอร์ลำต่อไปทุกคนรู้จักกันดี เจ้าของฉายา ฮิวอี้ ผู้โด่งดังมาจากสงครามเวียดนาม กองทัพอากาศอเมริกายังประจำการอยู่นะครับ UH-1H มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 2,241 เหรียญหรือ 70,548 บาท และ UH-1N Twin Huey ซึ่งใหม่กว่าและใช้ 2 เครื่องยนต์ มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 3,931 เหรียญหรือ 123,750 บาท



กองทัพบกไทยเคยมี UH-1H รวมกันประมาณ 122 ลำ ปัจจุบันน่าจะบินได้ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกองทัพอากาศก็มีอยู่ 17 ลำ สำหรับภารกิจค้นหากู้ภัยทางอากาศ แต่กำลังจะถูกทดแทนด้วย Eurocopter EC725 Caraca หรือมีชื่อใหม่ทั้งบริษัทและรุ่นว่า Airbus Helicopters H225M ฉะนั้นแล้วอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ฉายา ฮิวอี้ จะเหลือแค่เพียงตำนานเท่านั้น

มาถึงลำสุดท้ายกันแล้วนะครับ โดยลำนี้มีหน้าตาแตกต่างจากชาวบ้าน เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีไล่ล่ารถถัง นาวิกโยธินอเมริกามีอยู่ 2 รุ่นด้วยกัน ประกอบไปด้วย AH-1W SuperCobra มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 7,659 เหรียญหรือ 241,111 บาท และรุ่นใหม่กว่า AH-1Z Viper มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 4,115 เหรียญหรือ 129,543 บาท ตัวเลขแตกต่างกันพอสมควร ย้อนกลับไปดูในปี 2018 ตัวเลขอยู่ที่ 8,996 เหรียญกับ 4,690 เหรียญ หนักกว่าเดิมเข้าไปอีก



อาจจะเป็นเพราะความชราภาพ เพราะ AH-1W ประจำการปี 1985 ส่วน AH-1Z ปี 2008 กลับมาที่กองทัพบกไทยอีกครั้ง เรามี AH-1F Cobra รุ่นโก๋แก่อยู่ 7 ลำ ซื้อในปี 1990 จำนวน 4 ลำ (ตกไป 1 ลำ) ในปี 2012 ซื้อมือสองมาอีก 4 ลำ คล้ายว่าเราอยากได้รุ่นใหม่มาทดแทน คล้ายว่าเรามีรุ่นที่ต้องการในใจแล้ว และคล้ายว่าจะเป็น AH-1Z Viper หรือเปล่านะ?

 ผู้อ่านอาจมีคำถามในใจว่า ตัวเลขที่มีการจัดเก็บทั้งหมดนั้น สามารถปลอมแปลงข้อมูลได้หรือไม่? ตกแต่งให้ดีเกินจริงได้หรือไม่? หรือปั้นน้ำเป็นตัวเสียเลยได้หรือไม่? คำตอบก็คือได้ครับ ปลอมในระดับฝูงบินก็ได้ ปลอมในระดับกองบินก็ได้ หรือปลอมในระดับกองทัพก็ได้ แต่ถ้าต้นสังกัดตรวจพบว่าโคตรโกงเมื่อไหร่ ได้จำคุกขี้ไก่ตลอดชีวิตสถานเดียว ไม่มีนะครับแบบที่ว่าสำรองราชการ หรือย้ายมานั่งตบยุงในกระทรวงทบวงกรม กฎหมายอเมริกาค่อนข้างแข็งและมีช่องโหว่น้อยมาก

ตัวเลขจะถูกนำไปใช้งานหลายอย่าง แผนกบัญชีใช้เป็นค่าตั้งต้นในการเบิกงบประมาณ ยกตัวอย่างเช่น  AH-1Z Viper มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินอยู่ที่ 4,115 เหรียญ เดือนมกราคมฝูงบิน HMLA-169 ทำการบิน 312 ชั่วโมง เท่ากับมีค่าใช้จ่าย 1,283,880 เหรียญ ถ้าทำเบิก 1,298,457 เหรียญเกินไปเล็กน้อยยังพอถูไถ แต่ถ้าทำเบิก 1,583,800 เกินไปถึง 3 แสนเหรียญ จะมีการตรวจสอบว่าเกิดปัญหาจากตรงไหน ซึ่งถ้าตรวจแล้วไม่พบปัญหาคนทำเบิกนั่นแหละจะมีปัญหา

ตัวเลขพวกนี้ยังใช้ในการวิเคราะห์ วางแผนระยะยาว รวมทั้งหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวเลขแค่เพียงปีเดียวคงทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีตัวเลข 6 ปีติดต่อกัน นำมาจัดเรียงเป็นกราฟเส้นอย่างสวยงาม ทุกคนจะมองเห็นภาพรวมอย่างชัดเจน



นี่คือค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินตั้งแต่ปี 2014 ถึงปี 2019 ผู้เขียนขอไล่จากล่างสุด (ค่าใช้จ่ายน้อยสุด) ขึ้นไปยังบนสุด (ค่าใช้จ่ายมากสุด) เริ่มจาก A-10 ปรกติสุขทุกประการ ค่าใช้จ่ายน้อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย ส่วน F-16C ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ F/A-18E มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเล็กน้อย ที่น่าหนักใจก็คือ F/A-18C ซึ่งพุ่งพรวดไปไกลลิบ (จากเคยใกล้เคียง F/A-18E ในปี 2014 ) ปัญหานี้กองทัพเรืออเมริกาไม่หนักใจเลย เพราะฝูงบิน VFA-34 Blue Blasters ซึ่งยังคงใช้งาน F/A-18C เป็นฝูงท้าย ได้ปลดประจำการไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ผ่านมา เหลือแค่เพียงนาวิกโยธินเหล่าเดียวเท่านั้น

มาที่เครื่องบิน AV-8B กันบ้าง เหมือนว่าเคยมีปัญหาแต่แก้ไขสำเร็จแล้ว เครื่องบินลำต่อไปตอนนี้ติ่งจีนกำลังงอน เขาก็คือ F-35A ผู้เคยมีปัญหาระดับใหญ่โคตรในปี 2016 อเมริกาใช้เวลา 2 ปีเต็มในการจัดการแก้ไข ปัจจุบันมีตัวเลขอยู่ในระดับมาตรฐาน ต่อกันด้วยเครื่องบินซึ่งมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเดิม F-15E สามารถทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทิ้งห่าง F-15C ซึ่งเคยมีตัวเลขใกล้เคียงกันมาก ลำนี้สวิงขึ้นลงอยู่บ้างแต่ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ ส่วน F-35B กับ F-35C เพิ่งจัดเก็บข้อมูลเป็นปีแรกสุด ก็เลยไม่มีกราฟเส้นเหมือนกับชาวบ้านชาวช่อง ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีปัญหาให้แก้ไขหรือเปล่า

ปิดท้ายกันด้วยสุดยอดเครื่องบินขับไล่ในยุคปัจจุบัน F-22A Raptor ผู้มีปัญหาใหญ่โตในระดับจักวาล จาก 21,464 เหรียญในปี 2014 พุ่งพรวดมาเป็น 36,455 เหรียญในปี 2019 ปัญหาของ F-22A เกิดขึ้นพร้อมกับ F-35A ลำหลังแก้ไขได้แล้วแต่ลำนี้ยังบานปลายไม่หยุด เห็นไหมครับว่าตัวเลขบอกอะไรกับเราเยอะแยะมาก

ตัวเลขพวกนี้เอกชนนำไปใช้งานได้ด้วย ถ้ามีนิตยสารฉบับหนึ่งทำภาพกราฟิกสวยงาม อ้างอิงจากข้อมูลจริงซึ่งหาได้ไม่ยากเลย นิตยสารฉบับนั้นจะมีความน่าเชื่อถือระดับสูงมาก ผู้เขียนบอกคำเดียวว่าเทหน้าตักรักหมดใจ ทั้งที่พวกเขาเสียเวลาโหลดข้อมูล 3 นาที กับตกแต่งภาพอีกไม่น่าเกิน 30 นาที แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีปัญหาใหม่ตามมาอยู่ดี



ภาพนี้แสดงข้อมูลจากปี 2016 (ผู้เขียนใส่ปีเพิ่มให้เอง) เป็นปีที่ F-35A กับ F-22A ต้องเผชิญวิบากกรรมครั้งใหญ่ ปัจจุบัน F-35A แก้ไขปัญหาได้แล้ว ทว่าผู้คนยังจดจำข้อมูลเก่าติดหัว ส่วน F-22A ไม่มีใครพูดถึงสักคน ทั้งที่ปัญหายังคงสาหัสอยู่เลย เรื่องนี้อาจไม่เกิดขึ้นถ้ามีการใส่ปีเพิ่มเข้าไป พร้อมเขียนกำกับว่าข้อมูลของปีนี้เท่านั้น ครั้นพอไม่ใส่จึงกลายเป็นตัวเลขตลอดกาล ถูกนำมาอ้างอิงโดยไม่ตรงกับเวลาจัดเก็บข้อมูล ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แต่ผลกระทบใหญ่โตเบ้อเริ่มเลย

คาดว่าผู้อ่านคงตาเปียกตาแฉะกันแล้ว บทความนี้จึงขออำลาแต่เพียงเท่านี้ จนกว่าจะพบกันใหม่สวัสดีครับ ;)
-------------------------------------------

อ้างอิงจาก

เอกสารรายงาน : Fixed Wing and Helicopter Reimbursement Rates FY 2019
เอกสารรายงาน : Metrics to Compare Aircraft Operating and Support Costs in the Department of Defense
เอกสารรายงาน : FAST JET OPERATING COSTS COST PER FLIGHT HOUR STUDY OF SELECTED AIRCRAFT
เอกสารรายงาน : Operating Costs of Aging Air Force Aircraft