วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

The Lost Ship: New Rookie


เรือส่งออกที่โลกลืม: ตอนผู้เล่นหน้าใหม่
การสร้างเรือขึ้นเองในประเทศโดยเฉพาะเรือรบ ถือเป็นสุดยอดปรารถนาของบุคคลในแวดวงการทหาร แต่การส่งออกเรือรบที่เราสร้างเองในประเทศ เปรียบได้กับถูกหวยสามตัวล่างห้าร้อยคูณห้าร้อย นอกจากคุณจะสามารถคุยโวได้ทุกเว็บบอร์ดแล้ว ยังเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในชาติ และถ้าผลงานดีอาจมีลูกค้าทยอยสั่งซื้ออีกเพียบ รวมทั้งเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมการต่อเรือให้เจริญก้าวหน้า สามารถสร้างเรือที่ดีขึ้นใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นได้ในอนาคต
ฉะนั้นแล้วทุกประเทศที่สร้างเรือได้ล้วนอยากส่งออก ปัญหาสำคัญมีแค่เพียงๆ สั้นเรื่องเดียว ทุกวันนี้หลายประเทศสามารถส่งออกได้แล้ว การแข่งขันทวีความรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แทบไม่เหลือที่ว่างให้กับผู้อ่อนแอหรือเด็กหัดคลาน แต่ทว่าท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงเข้มข้นนั้น บังเอิญมีเด็กหัดคลานเข้ามาท้าทายขาใหญ่ประจำซอย หมอนี่เข้ามาโกยเงินโกยทองกลับไปให้น้องเมีย บทความนี้จะพูดถึงพวกเขาเหล่านั้น เรือที่ใครหลายคนไม่รู้จักสร้างโดยเด็กหัดคลาน
ไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้าสู่เนื้อหาสาระกันเลย ระหว่างปี 2014 ประเทศเคนยาสั่งซื้อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจากบริษัท Western Marine Shipyard ประเทศบังคลาเทศ ใช่ครับอ่านไม่ผิดบังคลาเทศอยู่ติดกับพม่านี่แหละ พวกเขาสามารถส่งออกเรือตรวจการณ์ทันสมัยได้แล้ว และนี่ก็คือภาพกราฟิกของแบบเรือลำที่ว่านี้

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า ทุกประเทศบนโลกเรียกชื่อรุ่นเรือไม่เหมือนกัน เรือลำนี้ได้รัฐมนตรีกระทรวงการประมงเป็นผู้ตรวจงานก่อสร้าง มีหน้าที่ดูแลเรือประมงน้อยใหญ่ของตัวเอง อยู่สังกัดหน่วยยามฝั่งที่เพิ่งแยกตัวออกมาจากกองทัพเรือ ตอนสั่งซื้อจึงได้กำหนดคุณลักษณะต่างๆ ของเรือ ตรงตามความต้องการและตามภารกิจหลักที่ต้องกระทำ
อู่ต่อเรือ Western Marine ใช้แบบเรือบริษัท Icarus Marine Pty ประเทศแอฟริกาใต้ หัวเรือติดปืนกลขนาด 40 มม.ได้ถ้าลูกค้าต้องการ สะพานเดินเรือสูง 3 ชั้นอยู่ชิดหัวเรือพอสมควร บนเสากระโดงมีเรดาร์เดินเรือกับอุปกรณ์สื่อสาร กลางเรือมีเครนกับเรือยางท้องแข็งความเร็วสูง ท้ายเรือมีห้องพักไล่เรียงตามยาวจำนวนหนึ่ง โดยที่ด้านบนสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดกำลังเหมาะ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลทำงานคู่กับระบบวอเตอร์เจ็ท ที่ความสูงระดับน้ำท้ายเรือสร้างฟรีบอร์ดกับบันใดทางขึ้น สำหรับช่วยคนตกน้ำให้ปีนขึ้นเรือได้อย่างสะดวก
แบบเรือถือว่าแปลกและน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะต้องการลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนเรือขนาดเล็ก ผู้ออกแบบจึงคิดคำนวณจนได้รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ และเนื่องมาจากตัวเรือไม่สูงจากน้ำทะเลเท่าไร จำเป็นต้องยกลานจอดเฮลิคอปเตอร์เพื่อป้องกันอันตราย อาจดูแปลกตาไม่เหมือนกับเรือตรวจการณ์ทั่วไป แต่ด้วยเหตุนี้เองหน่วยยามฝั่งเคนยาถึงเลือกใช้งาน

ทีนี้มาชมภาพเรือจริงเทียบกับภาพกราฟิกกันบ้าง สะพานเดินเรือสูง 3 ชั้นค่อนข้างโดดเด่น แต่ไม่ได้สูงตลอดทั้งลำจนเรือโคลงเคลงเกินเหตุ เสากระโดงเรือมีขนาดเล็กกว่าภาพกราฟิก ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ตั้งเสาตรงส่วนภาพกราฟิกใช้เสาเอียง บรรดาห้องต่างๆ ขยับมาอยู่มุมสุดของลานจอด ติดยางกันกระแทกด้านข้างเรือเพิ่มเติมเข้ามา สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดเห็นจะเป็นสมอเรือ ถูกโยกมาอยู่ด้านหน้าสุดของตัวเรือเป็นรูปปากฉลาม
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำนี้ใช้ชื่อว่า Dora ระวางขับน้ำ 350 ตัน ยาว 54.7 เมตร กว้าง 7.8 เมตร กินน้ำลึก 2.2 เมตร เฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลจากเยอรมันทำความเร็วสูงสุด 28 นอต แต่ถ้าใช้ระบบวอเตอร์เจ็ทด้วยจะมีความเร็วถึง 35.9 นอต ระยะทำการไกลสุด 1,500 ไมล์ทะเล ปรกติใช้ลูกเรือ 25 นายกับเจ้าหน้าที่กรมประมงอีก 10 นาย โดยมีอีกทางเลือกคือใช้ลูกเรือ 12 นายเพื่อลำเลียงเจ้าหน้าที่หรือพลเรือนไปกับเรือได้ถึง 60 คน ติดอาวุธปืนกลขนาด 20 มม.ไว้ที่หัวเรือหนึ่งกระบอก

เนื่องจากเป็นเรือตัวท๊อปของหน่วยยามฝั่ง จึงมีอะไรต่อมิอะไรบนเรือเต็มไปหมด อาทิเช่นเรดาร์เดินเรือจำนวน 3 ตัว มีปืนฉีดน้ำความดันสูง 2 กระบอก มีเรือยางขนาดเล็ก 2 ลำ มียางท้องแข็งความเร็วสูงอีก 1 ลำ ลานจอดรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 5 ตัน แต่ได้เฉพาะรับ-ส่งช่วงเวลาสั้นๆ กลางทะเล เรือเล็กแบบนี้สู้คลื่นลมแรงไม่ไหวเดี๋ยวงานเข้า ใต้ลานจอดเป็นพื้นที่โล่งสำหรับเจ้าหน้าที่กรมประมงระหว่างเดินทาง ค่อนข้างอเนกประสงค์และทำหน้าที่สกัดกั้นทางทะเลได้ดี
มีพิธีเซ็นสัญญาในวันที่ 14 มกราคม 2014 เรือถูกส่งมอบให้กับเคนยาวันที่ 19 กันยายน 2017 แต่เข้าประจำการจริงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2018 อันเป็นวันที่หน่วยยามฝั่งเริ่มงานวันแรกตามกฎหมาย ประธานาธิบดีเคนยาให้งบประมาณปีละ 100 ล้านเหรียญหรือ 3,244 ล้านบาท สำหรับหน่วยยามซึ่งแยกออกมาจากกองทัพเรือ มีภารกิจสำคัญคือดูแลกองเรือประมงตัวเอง และปราบปรามยาเสพติดซึ่งมีการลักลอบลำเลียงเยอะมาก ประเทศเคนยามีความคิดก้าวหน้ามากพอสมควร
มีอยู่จุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือกราบเรือก่อนถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เป็นช่องระบายความร้อนและเคนยาเลือกไม่ทากราบเรือสีดำ (ต้องบอกว่าบริษัทออกแบบเรือเลือกไม่ทาจะชัดเจนกว่า) ทำให้มีรอยควันเลอะกราบเรือสักเล็กน้อย ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ไม่ค่อยทากราบเรือสีดำกันแล้วล่ะครับ โดยมีหลายลำออกแบบให้ปล่อยควันดำน้อยกว่าสมัยก่อน เลอะควันจนสกปรกก็จริงแต่อยู่ในเกณฑ์รับได้ หลักนิยมหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา

ชมภาพสุดท้ายบริเวณกลางเรือจนถึงท้ายเรือ เห็นเรือยางติดเครื่องยนต์ขนาดเล็ก 2 ลำพร้อมไม้พาย เห็นเรือยางท้องแบนความเร็วสูงยาวประมาณ 8 เมตร เห็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์พร้อมบันใดทางขึ้น ในกรณีตรวจพบผู้บาดเจ็บหรือราชาเฮโรอีน ลูกเรือจะใช้เรือเล็กแล่นเข้าไปรับที่ความเร็ว 45 นอต นำมาขึ้นเรือรอให้เฮลิคอปเตอร์รับตัวไปเดี๋ยวนั้นเลย เสียดายว่าเรือลำจริงตัดฟรีบอร์ดท้ายเรือทิ้งไป ฉะนั้นคนตกน้ำปีนขึ้นเรือลำบากหน่อย (อาจเป็นเพราะระบบวอเตอร์เจ๊ทก็ได้)
ตอนนี้บังคลาเทศเริ่มต้นนับหนึ่งแล้ว โดยมีโอกาสที่จะนับสอง-สาม-สี่-ห้าต่อไปเรื่อยๆ แต่ต้องหาตลาดที่เหมาะสมให้ได้เสียก่อน และตลาดที่เหมาะสมที่สุดก็คือเรือตรวจการณ์ ปัจจุบันยอดขายเรือชนิดนี้ดีเอามากๆ โดยเฉพาะกับประเทศในทวีปแอฟริกา เอเชียกลาง หรือตามหมู่เกาะน้อยใหญ่ ล้วนต้องการนำมาใช้งานป้องกันทรัพย์สินในทะเล โดยเฉพาะประเทศที่เพิ่งจัดตั้งหน่วยยามฝั่งขึ้นมา ประเทศเหล่านี้ชอบซื้อเรือใหม่เลยนะครับ ไม่ใช่รับช่วงเรือเก่าอายุ 30 ปีมาจากกองทัพเรือ
ผู้เขียนอาจมีคำถามว่าได้กำไรสักกี่บาท อู่ต่อเรือในไทยขายเรือให้ราชการเยอะกว่านี้เห็นมีแต่ร่วงโรย แล้วเรือที่มีปืนกลกระบอกเดียวจะกำไรสักกี่บาท ทุกคนครับยิ่งเรือติดอาวุธน้อยยิ่งมีส่วนต่างกำไรมาก ไม่ต้องแบ่งเงิน ไม่ต้องปรับปรุงเรือ ไม่ต้องเสียค่าดำเนินการ เรือเคนยาลำนี้ราคา 3,600 ล้านชิลลิงเคนยาหรือ 1,093 ล้านบาท ไม่มีอาวุธปืนอัตโนมัติ ไม่มีระบบอำนวยการรบ ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเล็งและติดตามเป้าหมาย แต่ราคา 1,093 ล้านบาทตอนนี้น่าสนใจหรือยังครับ
ทำความรู้จักเรือส่งออกจากบังคลาเทศกันไปแล้ว ขอพาทุกคนล่องลงใต้ไปยังแหลมมลายูบ้าง วันที่ 18 ตุลาคม 2012 บริษัท Shin Yang Shipyard ได้แถลงข่าวพร้อมส่งมอบเรือที่ตนเองสร้างแล้วเสร็จ ให้กับกองทัพเรือสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์หรือยูเออีภายในปีนี้ และนี่ก็คือเรือส่งออกจากดินแดนเสือเหลืองมาเลเซีย

ลำใหญ่เบ้อเริ่มกันเลยทีเดียว ที่สำคัญมีด้วยกันถึง 2 ลำ นี่คือเรือระบายพลขนาดใหญ่หรือ Landing Craft Tank หรือ LCT ต้องใช้คำว่าเรือระบายพลขนาดยักษ์ถึงจะเหมาะสม ขณะที่บริษัท Shin Yang ใช้คำว่าเรือฝึกบนโบรชัวร์ แต่ถ้าพิจารณาจากเรืออเมริกาที่ไทยเคยใช้งาน ควรเป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลางหรือ Landing Ship Medium หรือ LSM เฉพาะคำเรียกแบบเรือก็ปวดหัวข้างซ้ายจะแย่ อ่านข่าวนี้ครั้งแรกผู้เขียนประหลาดใจมาก ไม่นึกมาก่อนว่ามาเลเซียเคยส่งออกเรือขนาดใหญ่ เข้าไปส่องดูบริษัท Shin Yang ขนาดใหญ่โตพอสมควร เคยสร้างอู่ลอยความยาว 160 เมตรให้อู่ต่อเรือญี่ปุ่นมาแล้ว

และนี่คือภาพเรือลำแรกซึ่งควรใช้เป็นชื่อชั้นเรือ A81 Al Quwaisat ขณะฝึกซ้อมร่วมกับกองเรืออาหรับในปี 2018 ระวางขับน้ำปรกติ 2,046 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 3,469 ตัน ยาว 80 เมตร กว้าง 16.8 เมตร กินน้ำลึก 4 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคัมมินส์ 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 12 นอต หัวเรือสามารถเปิดลงมาได้ ฝั่งซ้ายมือมีเครนขนาดใหญ่ 1 ตัว ดาดฟ้าเรือข้างเครนเปิดโล่งถึงชั้นล่าง เพื่อความสะดวกในการขนอุปกรณ์ขึ้นลงจากเรือ ที่เหลือเป็นพื้นที่โล่งยาวไปจนเกือบสุดท้ายเรือ
เรือจากมาเลเซียมีท้องเรือปรกติ ไม่ใช่ท้องป้านเหมือนเรือยกพลขึ้นบกหรือ LST วิ่งมาเกยชายหาดเพื่อลำเลียงรถถังไม่ได้ก็จริง แต่มีความคงทนทะเลมากกว่ากัน รวมทั้งเรือค่อนข้างกว้างพอสมควร จึงพลอยมั่นใจว่าเหล่าทหารหาญจะไม่อ้วกแตกก่อนเวลา เรือจริงผู้เขียนขออนุญาตชมว่าสวยใช้ได้เลย ไม่เหมือนเรือยกพลขึ้นบก  LST ลำใหม่ของอินโดนีเซีย มองอย่างไรก็ขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน เหมือนนำเรือสินค้ายุค 90 มาดัดแปลงเป็นเรือใช้งานทางทหาร

ทีนี้มาชมท้ายเรือกันบ้าง นี่คือเรือลำที่สองชื่อ A82 Al Futaisi ติดเรดาร์เดินเรือทั้งหมด 3 ตัว มีจานดาวเทียมสื่อสารหรือ SATCOM อีก 2 ใบ ติดปืนกลอัตโนมัติ 12.7 มม.รุ่นเดียวกับเรือ ต.994 ไว้ 4 กระบอก กราบซ้ายมือวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ไม่แน่ใจว่าเป็นเหล็ก อลูมีเนียม หรือหลังคาผ้าใบ ส่วนกราบขวามือเป็นเครนกับเรือยางขนาดเล็ก 1 ลำ มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน มีห้องควบคุมอากาศยานขนาดพอดี ท้ายเรือมีช่องให้คนออกได้แต่ยานหุ้มเกราะออกไม่ได้
ผู้เขียนชอบเรือลำนี้มาก อยากให้ประเทศไทยจัดหามาใช้งาน เพราะสามารถทำภารกิจดังต่อไปนี้ได้
-ลำเลียงทหาร ยานหุ้มเกราะ รถถัง และอื่นๆ ตามภารกิจยกพลขึ้นบก หรือทำหน้าที่แทนเรือ LST ในอดีต
-ลำเลียงน้ำมัน น้ำดื่ม อาหารของกิน รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ หรือทำหน้าที่เรือลำเลียงทางด้านพลเรือน
-เป็นเรือพี่เลี้ยงเรือดำน้ำแทนเรือจีนขนาด 2 หมื่นตัน
-เป็นเรือพี่เลี้ยงเรือกวาดทุ่นระเบิดแทนเรือหลวงถลาง รวมทั้งทำหน้าที่กวาดทุ่นระเบิดด้วยระบบ Mission Module
-เป็นเรือวางทุ่นระเบิด โดยการเจาะท้ายเรือสำหรับวางรางจำนวน 3-4 ชุด เนื่องจากมีพื้นที่ใหญ่โตโอ่อ่าตั้งแต่หัวจรดท้าย จึงสามารถบรรทุกทุ่นระเบิดได้ประมาณ 500 ลูก
-ทำหน้าลำเลียงผู้ประสบภัยทางทะเล เฉพาะการลำเลียงจากเกาะสู่แผ่นดินใหญ่นะครับ จะได้ตัดภารกิจนี้ไปจากเรือ LPD ที่มีอู่ลอยด้านท้าย หรือจะค้นหากู้ภัยกลางทะเลด้วยเฮลิคอปเตอร์ก็พอได้
จากนี้ไปผู้เขียนขอพาทุกคนย้อนเวลา วันที่ 13 มิถุนายน 2018 มีข่าวสำคัญจากกบฏฮูตีผ่านโลกออนไลน์ว่า วันนี้ตนเองยิงเรือรบประเทศยูเออีจมทะเลไปอีก 1 ลำ เท่านั้นเองพี่น้องชาวไทยพากันเปิดเบียร์ฉลอง พร้อมเปรยเบาๆ กับลมกับฟ้าว่าจมอีกแล้วเหรอ ผู้เขียนได้ลองทบทวนกับข่าวต่างๆ ที่ฮูตีปล่อยออกมา พบว่าวันนี้กองเรือรบยูเออีจมหมดทั้งกองเรือแล้ว รวมทั้งเรือคอร์เวตติดเรดาร์ Sea Giraffe AMB จรวดต่อสู้อากาศยาน ESSM และอาวุธป้องกันตนเองระยะประชิด RAM
ทั้งๆ ที่ไม่มีภาพถ่ายเรือยูเออีโดนยิง ที่นำมาลงเป็นภาพเก่าเรือซาอุไฟไหม้เพราะเรือยางติดระเบิด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าปักใจเชื่อได้อย่างไร ทีนี้เรามาฟังข่าวจากอีกฝั่งกันบ้าง สื่อมวลชนซาอุดิอาระเบียเปิดเผยข้อมูลว่า เรือลำหนึ่งของยูเออีโดนทีเด็ดครูวัยใหญ่จริง แต่เป็นจรวดต่อสู้รถถัง Kornet ไม่ใช่จรวดต่อสู้เรือรบ ถูกยิงตอนเรือแล่นเข้าเทียบท่าจนเกิดไฟลุกไหม้ แต่จรวดลูกเท่านั้นไม่ทำให้เรือยาว 80 เมตรจมหรอกครับ และนี่ก็คือภาพถ่ายใบเดียวซึ่งเล็ดลอดมาจากสมรภูมิ

ในภาพจะเห็นเรือ A82 Al Futaisi จอดเกยท่าเรือ มีทหารยูเออีบางส่วนนั่งรวมกันใกล้กองอุปกรณ์ต่างๆ ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือมีรอยดำจากไฟไหม้ สรุปความได้ว่าเรือรบที่ตกเป็นข่าวก็คือลำนี้ ข่าวฝั่งนี้บอกว่าไม่จมแค่ไฟไหม้เล็กน้อย สามารถทำภารกิจตัวเองต่อไปได้เรื่อยๆ คล้ายกับเรือหลวงลันตาไปทำภารกิจที่เวียดนาม โดนจรวดอาร์พีจียิงใส่จนเกิดความเสียหาย ถูกส่งไปซ่อมที่เกาะกวมและได้รับการปรับปรุงใหญ่ กลายเป็นเรือ LST ลำที่ทันสมัยที่สุดของราชนาวีไทย
ข่าวทั้งสองฝั่งไม่เหมือนกันนะครับ ผู้อ่านพิจารณาตามเหตุผลส่วนตัวได้เลย กลับมาที่อู่ต่อเรือมาเลเซียเป็นการปิดท้าย พวกเขาเริ่มขายเรือได้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เรือขนาดค่อนข้างใหญ่ขายให้กับประเทศฐานะดี ดูจากจุดนั้นถือว่ามีอนาคตพอสมควร แต่พอมาดูจากจุดนี้หาอนาคตไม่เจอแล้ว คือยังคงขายเรือพาณิชย์ให้กับเอกชนได้อยู่เรื่อยๆ แต่เรือทหารไม่มีลูกค้าหลงเข้ามาอีกแล้ว ซึ่งถ้าหากจะมีสมควรมีตั้งหลายปีแล้ว เรื่องปรกติของอู่ต่อเรือขนาดเล็กไม่มีการตลาดที่ดี
เมื่อหันกลับมาดูลูกค้าเก่าบ้าง ใช้คำว่าสิ้นหวังน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะยูเออีมีอู่ต่อเรือ Damen ในประเทศแล้ว ปีนี้รับงานต่อเรือยกพลขึ้นบกขนาด 100 เมตรให้กับประเทศในแอฟริกา เวลาผ่านไปแค่ 8 ปีสถานการณ์พลิกหน้ามือหลังมือ
จากนี้ไปขอพามาพบเรือลำที่สาม อันเนื่องมาจากข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งในประเทศไทย วันที่ 9 ตุลาคม 2018 คณะผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมศรีลังกาเข้าพบรัฐมนตรีกลาโหมไทย วันนั้นเองมีการปล่อยข่าวว่าบริษัทอู่กรุงเทพ เสนอสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 3 ลำมูลค่า 12,000 ล้านบาทให้กับศรีลังกา นอกจากนี้ยังได้เสนอแบบเรือเดียวกันให้กับฟิลิปปินส์อีก 6 ลำ ถ้าไม่ติดขัดปัญหาบริษัทอู่กรุงเทพจะขายเรือใหญ่ได้ถึง 9 ลำ ผู้เขียนคิดว่าบริษัท Navantia กับ Damen รวมทั้ง Naval Group ซึ่งเป็นเจ้าพ่อวงการเรือตรวจการณ์มานาน ต้องล้มละลายเพราะอู่ต่อเรือเล็กๆ จากสยามเมืองยิ้มในคราวนี้
ตอนนั้นเองพ่อแม่พี่น้องแวดวงการทหารประเทศไทย พากันเปิดเบียร์เฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จ (อีกแล้ว) มียกเว้นอยู่ก็แค่คนบ้าอย่างผู้เขียน ที่เข้าไปส่องในอินเทอร์เน็ตและพบข้อมูลสำคัญว่า วันที่ 19 เมษายน 2018 หรือย้อนเวลากลับไป 6 เดือนกว่าๆ กองทัพเรือศรีลังกาเข้าประจำการเรือตรวจการณ์ใหม่เอี่ยม 1 ลำ ต่อมาในวันที่ 27 สิงหาคม 2018 หรือย้อนกลับไปแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น กองทัพเรือศรีลังกาเข้าประจำการเรือตรวจการณ์มือสองอีก 1 ลำ

ในภาพคือเรือตรวจการณ์ลำใหม่ของศรีลังกา P624 SLNS Sindurala ซึ่งเป็นเรือชั้น Saryu ของประเทศอินเดีย ระวางขับน้ำ 2,350 ตัน ยาว 105.7 เมตร กว้าง 13.6 เมตร กินน้ำลึก 3.6 เมตร มีลานจอดพร้อมโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ เรือต้นฉบับติดปืนใหญ่ 76 มม.ที่หัวเรือกับปืนกลอัตโนมัติ 30 มม.กลางเรืออีก 2 กระบอก แต่เรือศรีลังกาติดแค่ปืนกล 37 มม.ลำกล้องแฝด กับปืนกล 20 มม.อีก 2 กระบอกเท่านั้น ราคาเรือเปล่า 66 ล้านเหรียญ รวมอาวุธด้วยเป็น 74 ล้านเหรียญ มาจากอู่ต่อเรือ GOA ซึ่งเคยเป็นข่าวโด่งดังในอดีต เรื่องที่เอาชนะโครงการเรือฟริเกตฟิลิปปินส์แต่การเงินไม่ผ่านเลยโดนปรับแพ้
ภาพถัดไปเป็นเรือ P624 SLNS Sindurala เข้าประจำการแล้วสักพักหนึ่ง เทียบกับเรือชั้น Hamilton ระวางขับน้ำ 3,250 ตันชื่อ BRP Ramon Alcaraz ของฟิลิปปินส์ ขนาดสูสีกันมากไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ส่วนเรือคอร์เวตของมาเลเซียเล็กกว่ากันทันตาเห็น (อาจเป็นเพราะเรืออยู่ไกลและมุมกล้อง) เรือติดตั้งอาวุธทันสมัยได้ถ้าลูกค้าต้องการ มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์มาให้เลย บอกตามตรงถ้าเข้าแข่งขันโครงการเดียวกัน เรือตรวจการณ์ชั้น River Batch II จากอังกฤษน้ำลายเหนียวคอแน่

ขอพูดถึงกองทัพเรือศรีลังกาสักเล็กน้อย พวกเขามีแผนใหญ่ระหว่างปี 2015 ถึงปี 2025 ว่า จะเพิ่มเรือรบชนิดต่างๆ เข้ามามากถึง 20 ลำ นับรวมเรือทุกชนิดและทุกขนาดที่ขาดหายไป ศรีลังกามีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งอยู่แล้ว 4 ลำ แต่ต้องการลำใหญ่กว่าเดิมคือมากกว่า 2,000 ตัน ใช้ชื่อเรียกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงหรือ Advance Offshore Patrol Vessel หรือ AOPV อาจเป็นโครงการนี้หรือเปล่าที่อู่กรุงเทพเสนอแบบเรือเข้าห้ำหั่น?
ผู้เขียนขออนุญาตเฉลยตอนจบ ปัจจุบันศรีลังกาประจำการเรือ AOPV ถึง 4 ลำแล้ว ประกอบไปด้วยเรือชั้น Saryu จำนวน 2 ลำ (P623 SLNS Sayurala กับ P624 SLNS Sindurala) ลำที่ 3 เป็นเรือตรวจการณ์มือสองชั้น Hamilton จากอเมริกา (P626 SLNS Gajabahu) ซึ่งน่าจะเสียค่าใช้จ่าย 10-15 ล้านเหรียญในการซ่อมแซม ส่วนลำสุดท้ายเป็นเรือฟริเกตมือสองชั้น Type 053H2G จากจีน (P 625 SLNS Parakramabahu) คิดว่าไม่เสียเงินสักบาทตามโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน
ราคารวม 4 ลำเท่ากับ 74+74+15+0= 163 ล้านเหรียญหรือ 5,287 ล้านบาทตามค่าเงินวันที่เขียนถึง ขณะที่เรือจากไทยแลนด์ลำละ 4,000 ล้านบาทหรือ 123.32 ล้านเหรียญ สามารถซื้อเรือชั้น Saryu แบบไม่ติดปืนกลได้ถึง 1.86893 ลำ
ส่วนตัวคิดว่าศรีลังกามีเรือ AOPV เพียงเท่านี้ก่อน เพราะการเข้าประจำการเรือใหญ่กว่า 2,300 ตันถึง 4 ลำ ต้องใช้ลูกเรือประมาณ 400 นาย ต้องใช้ผู้การเรือที่มีฝีมือพอสมควร ต้องมีท่าจอดเรือขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ต้องมีระบบจ่ายไฟฟ้าให้เรือแต่ละประเทศ อเมริกา อินเดีย จีน บางทีเรืออาจใช้ไฟไม่เท่ากันสักลำ ต้องมีอู่ซ่อมเรือสำหรับซ่อมบำรุงตามวงรอบ ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายไม่ว่าจะค่าน้ำมัน ค่าอาหารค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าโน่นค่านี่ค่าเบี้ยหัวแตกอีกนับไม่ถ้วน
แต่ทว่าแต่ทว่า เมื่อผู้เขียนลองคิดในแง่มุมที่อาจเป็นไปได้ ถ้ากองทัพเรือศรีลังกาไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ถ้าไม่กำหนดว่าต้องใหญ่กว่า 2,000 ตัน ถ้าไม่ต้องการโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ถ้าต้องการ Guide Missile Offshore Patrol Vessel หรือ GOPV ซึ่งเป็นรุ่นติดอาวุธนำวิถีสุดท้ายสมัย ใช้เป็นไม้เด็ดในการออก Blue Sea เลียนแบบบางประเทศ และถ้าบริษัทอู่กรุงเทพเสนอแบบเรือเหมือนเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ (ราคาถูกกว่ากองทัพเรือไทยเพราะศรีลังกาสั่งซื้อถึง 3 ลำ) ถ้าเป็นตามนี้ทั้งหมดก็มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้ แต่ต้องฝ่าด่านคู่แข่งขันน้อยใหญ่ไปให้ได้เสียก่อน
คู่แข่งรายแรกประกาศตัวมาตั้งแต่ปี 2017 รัสเซียเสนอแบบเรือ Gepard 5.1 Ocean Patrol Vessel ให้กับรัฐบาลศรีลังกา ราคาเรือต่อลำอยู่ที่ 135 ล้านเหรียญ ถ้ารวมอะไหล่ กระสุนปืน รวมทั้งบริการหลังการขายจะอยู่ที่ 158 ล้านเหรียญ อู่ต่อเรือรัสเซียยืนยันว่าเรือพร้อมประจำการใน 40 เดือน ทีเด็ดทีขาดอยู่ที่รัฐบาลรัสเซียจะปล่อยเงินกู้ให้ทั้งก้อน
โครงการนี้ได้เจรจากันจนถึงปลายปี 2017 สรุปว่าได้เป็นเรือรุ่นเดียวกับเวียดนาม แต่ติดจรวดโจมตีชายฝั่ง Kalibr-M มาด้วยเลย (เพื่อ???) มีลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ อาวุธส่วนที่เหลือจะคล้ายคลึงกัน ราคาเรือขึ้นมาอยู่ที่ 158.5 ล้านเหรียญ รวมโน่นนั่นนี่โน่นแน่เข้าไปเป็น 195 ล้านเหรียญ นี่คือข่าวภาษาอังกฤษจากประเทศศรีลังกา ผู้เขียนไม่ทราบจริงๆ ว่าตอนนี้รุ่งหรือร่วงไปแล้ว ที่ไม่ทราบยิ่งกว่าก็คือโครงการ 3 ลำ 12,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นขออนุญาตตัดจบเลยนะครับ
สมมุติว่าโครงการ AOPV กับ GOPV มีพื้นที่เต็มแล้ว ยังเหลือโครงการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นธรรมดาให้ได้ลุ้น ปัจจุบันศรีลังกามีเรือ OPV ขนาดต่ำกว่า 2,000 ตันจำนวน 4 ลำ โดยสามในสี่ลำค่อนเก่าพอสมควร และหนึ่งในสามลำมีขนาดเล็กเท่าๆ เรือตรวจการณ์เคนยา ถ้าเขาอยากได้เรือมาทดแทนเข้าทางของเราพอดี เพราะแบบเรือ OPV ความยาว 90 เมตรจากอังกฤษระวางขับน้ำประมาณ 2,000 ตัน ติดปัญหาเล็กๆ แค่ราคาเรือเท่านั้นเอง เนื่องจากเรือ AOPV จากอินเดียราคา 74 ล้านเหรียญ ส่วนเรือ OPV พี่ไทยราคา 123.32 ล้านเหรียญ ปัญหาเล็กๆ แค่นี้เองหาทางแก้อย่างไรดีหนอ
เรือลำที่สามคุยกันนานพอสมควร บังเอิญมีความเกี่ยวกับประเทศไทยแบบอ้อมๆ ประเด็นสำคัญก็คืออินเดียเริ่มเดินหน้าอย่างจริงจัง นาทีนี้พวกเขาขายเรือขนาด 2,350 ตันได้แล้ว เป็นแบบเดียวกับกองทัพเรือทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ ส่วนลูกค้าที่ไม่เคยมั่นใจถึงอย่างไรก็คงไม่เปลี่ยน ต่างคนต่างอยู่กระเป๋าเงินใครกระเป๋าเงินมัน อินเดียพยายามบุกตลาดโลกมากกว่าเดิม ล่าสุดได้โครงการเรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งเวียดนาม มูลค่ารวมโครงการอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญ
ทำไมเวียดนามซึ่งต่อเรือได้เองมานานแล้ว รวมทั้งมีอู่ต่อเรือ Damen ในประเทศถึงซื้อเรืออินเดีย คำตอบก็คือรัฐบาลอินเดียให้เงินกู้ 100 ล้านเหรียญ ใช้แผนเดียวกับรัฐบาลรัสเซียทำกับกองทัพเรือศรีลังกา ฝรั่งเศสเคยทำกับอียิปต์ตอนขายทั้งเรือรบและเครื่องบิน หรืออเมริกาเคยทำกับโปแลนด์ตอนขายเครื่องบิน F-16 เรื่องแบบนี้ว่ากันไม่ได้แอบบ่นในใจก็ยังไม่ได้ ไม่ทราบว่ารัฐบาลไทยพอจะช่วยเหลืออู่ต่อเรือไทยได้ไหม ไม่น่าถามเลยเนอะในเมื่อรู้คำตอบอยู่แล้ว
เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยาวพอสมควร มีเรืออีกหลายลำที่น่าสนใจยังไม่ได้พูดถึง เกรงว่าผู้อ่านจะพากันถอดใจไปเสียก่อน ฉะนั้นบทความนี้ต้องขออำลาแต่เพียงเท่านี้ เรือส่งออกที่โลกลืมตอนต่อไปที่จะตามติดมา ถ้ามีเวลาผู้เขียนอยากวาดภาพประกอบสวยๆ (ตั้งใจไว้แล้วจะพยายาม) เก็บตัวอยู่ในบ้านเพื่อชาตินะครับแล้วเจอกันใหม่ J

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงลำใหม่ล่าสุดของศรีลังกาชื่อ P 625 SLNS Parakramabahu มีอำนาจการยิงสูงที่สุดในกองเรือ เพราะมีปืนใหญ่ขนาด 100 มม.ลำกล้องแฝด 1 แท่นยิง ปืนกล 37 มม.ลำกล้องแฝดควบคุมด้วยไฟฟ้าอีก 4 แท่นยิง รวมทั้งลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตัน ถ้ามีเงินซื้อจรวดต่อสู้เรือรบ C-802A มาติดได้เลย (หลังปืนหลัก 8 นัด กลางเรืออีก 8 นัด อ่าห์!!!) รับใช้ชาติได้อีกอย่างๆ น้อย 15-20 ปี นี่คือของดีของเด็ดโดนใจจากหลังม่านไม้ไผ่
ผู้เขียนคิดว่าจีนแอบเหล่ศรีลังกาอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ยังหาทีเด็ดทีขาดในการเข้าตีไม่ได้ จีนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่ากลัวที่สุด เผลอหน่อยเดียวพ่อเหมาทั้งกองเรือทำมาแล้ว ผู้อ่านคนไหนไม่เชื่อเดินทางมาดูที่สัตหีบได้เน่อ
                                     -------------------------------
อ้างอิงจาก


วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2563

Tamandaré Class Corvettes (CCT)


เมื่อบราซิลสร้างเรือคอร์เวตด้วยตัวเอง
ปี1977 รัฐบาลบราซิลได้เริ่มต้นโครงการขนาดใหญ่ อีกทั้งมีความสำคัญต่อกองทัพเรือมากที่สุด นั่นคือการสร้างเรือคอร์เวตชั้น Inhaúma ขึ้นมาเองภายในประเทศ โดยราชนาวีมีความต้องการจำนวน 12 ถึง 16 ลำ เรือถูกออกแบบโดยวิศวกรชาวบราซิล ภายใต้ความช่วยเหลือจากบริษัท Marine Technik ประเทศเยอรมัน ก่อนหน้านี้ในปี 1970 พวกเขาเคยสร้างเรือฟริเกตชั้น Mk10 2 ลำ ภายใต้ความช่วยเหลือจากบริษัทอังกฤษเจ้าของแบบเรือมาแล้ว (ต่อมาภายหลังสร้างเพิ่มอีก 1 ลำ) ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างเรือรบได้เอง ระวางขับน้ำก็น้อยกว่าเดิมไม่น่ายากเย็นเท่าไร
ที่ต้องการเป็นจำนวนมากเพื่อนำมาทดแทนเรือเก่า อันประกอบไปด้วยเรือพิฆาตชั้น Gearing เรือพิฆาตชั้น Allen M. Sumner และเรือพิฆาตชั้น Fletcher ซึ่งเป็นเรือเก่าจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ที่บราซิลเช่าซื้อมาจากอเมริกาผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน อ่านดูคร่าวๆ คล้ายประเทศไทยเมื่อกาลครั้งหนึ่ง สมัยที่เราสร้างเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นคำรณสินธุ กับเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงสัตหีบขึ้นมาเอง ก่อนเข้าสู่เนื้อหาชมภาพคอนเซ็ปต์เรือลำนี้ดูสักนิด

จะเห็นได้ว่าเรือบราซิลใช้ตัวอักษร V นำหน้าหมายเลขเรือ ต่างเรือฟริเกตใช้ซึ่งใช้ตัวอักษร F เหมือนกับประเทศอื่นๆ รูปทรงคล้ายเรือปลายยุค 70 ถึงต้นยุค 80 นั่นแหละครับ หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 4.5 นิ้วหนึ่งกระบอก กลางเรือมีแท่นยิงจรวดต่อสู้เรือรบกับแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ ตัวเรือยกสูงหนึ่งชั้นยาวมาถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ด้านข้างโรงเก็บเป็นจุดติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยาน ท้ายเรือถูกตัดให้ต่ำลงใช้เป็นจุดผูกเชือกท้ายเรือ เรือลำนี้ถูกแบ่งสร้างเป็นบล็อกแล้วนำมาประกอบภายหลัง ใช้เทคโนโลยีใหม่เอี่ยมอ่องกันเลยทีเดียว อ่านดูคร่าวๆ คิดว่าเข้าทีและเป็นเรือรบที่ดีมากลำหนึ่ง
เมื่อโครงการได้รับอนุมัติกองทัพเรือเดินหน้าทันที โดยการสั่งซื้อเรือคอร์เวต 2 ลำแรกในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1982 และสั่งซื้ออีก 2 ลำในวันที่ 9 มกราคม 1986 (รวมเป็น 4 ลำในสองเฟสแรก) ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม 1986 มีพิธีปล่อยเรือลำแรกชื่อ V30 Inhaúma ลงน้ำอย่างเป็นทางการ ส่วนวันที่ 8 มิถุนายน 1987 เป็นคิวของเรือลำที่สองชื่อ V31 Jacejuai ครั้นถึงวันที่ 12 ธันวาคม 1989 เรือ V30 Inhauma เข้าประจำการอย่างเป็นทางการ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเข้าทางผู้มีความมุมานะ

.ในภาพคือเรือ V30 Inhaúma สร้างเสร็จทั้งลำแล้วในปี 1988 แต่ยังเก็บงานไม่เรียบร้อยมีแค่ปืนใหญ่หัวเรือกระบอกเดียว นี่คือเรือคอร์เวตซึ่งถูกออกแบบโดยคนบราซิล และสร้างขึ้นเองภายในประเทศโดยคนบราซิล
ท่ามกลางความโชคดีบังเอิญมีความโชคร้ายแทรกเข้ามา เมื่อเศรษฐกิจบราซิลเริ่มไม่ดีเหมือนเดิมอีกต่อไป รัฐบาลจำเป็นต้องเตะถ่วงการสร้างเรือเฟสใหม่ออกไป และให้บังเอิญอู่ต่อเรือมีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ จนถึงขั้นล้มละลาย ทำให้การสร้างเรือลำท้ายๆ ล่าช้ากว่ากำหนดการ และเต็มไปด้วยปัญหาน้อยใหญ่ตามแก้แทบไม่ไหว เรือลำที่ 4 ชื่อ V33 Frontin ได้เข้าประจำการวันที่ 11 มีนาคม 1994 โน่น เท่ากับใช้เวลา 12 ปีเต็มในการสร้างเรือ 4 ลำ ท่ามกลางความโล่งใจทั้งจากคนจ่ายเงินและคนรับเงิน ซึ่งอยากปิดโครงการกลับไปนอนตีพุงอยู่บ้านสบายใจกว่า
แน่นอนที่สุดโครงการนี้ต้องหยุดชะงักชั่วคราว รัฐบาลให้กองทัพเรือประเมินผลเรือคอร์เวตต้นแบบสักพักใหญ่ๆ ถ้าตัวเรือไม่มีปัญหาและการคลังเองก็ไม่มีปัญหา วันใดวันหนึ่งโครงการอภิมหาโปรเจกต์อาจได้เดินหน้าต่อ

ชมภาพเรือคอร์เวตลำจริงกันต่อเลยครับ ในภาพคือเรือชื่อ V32 Júlio de Noronha ซึ่งเป็นลำที่สามจากสี่ลำ สะพานเดินเรือตีโป่งออกมาเล็กน้อย เสากระโดงหลักใช้แผ่นเหล็กปิดทั้งหมด (ภาพเรือคอนเซ็ปต์เป็นเสาแบบโปร่ง) กลางเรือเหมือนของเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ตีโป่งทางเดินทั้งสองกราบ เนื่องจากความกว้างของเรือมีค่อนข้างน้อย
เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 1,700 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,000 ตัน ยาว 95.8 เมตร กว้าง 11.4 เมตร กินน้ำลึก 4.2 เมตร ติดปืนใหญ่ 4.5 นิ้ว 1 กระบอก ปืนกล Bofors 40L70 ป้อมปืนเหมือนเรือหลวงราชฤทธิ์อีก 2 กระบอก จรวดต่อสู้เรือรบ Exocet MM40 จำนวน 4 นัด ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk46 อีก 6 นัด ใช้เรดาร์อังกฤษ โซนาร์เยอรมัน เรดาร์ควบคุมการยิงอิตาลี ออบทรอนิกส์ควบคุมการยิงสวีเดน ระบบอำนวยการรบอังกฤษ และเครื่องยนต์จากเยอรมันบวกอเมริกา มีราคาสุทธิลำละ 150 ล้านเหรียญ เทียบกับเรือจากยุโรปคิดว่าคงสูสีกันมาก แต่ถ้าเทียบกับเรือจีนยุคนั้นจะแพงกว่าสองสามเท่าตัว
หน้าตาใกล้เคียงเรือคอร์เวตชั้น Kasturi ของมาเลเซีย ขนาดและระวางขับน้ำก็ใกล้เคียงกัน ท้ายเรือนี่เหมือนกันราวแพะกับแกะ เพียงแต่ไม่มีจรวดปราบเรือดำน้ำของ Bofors หลังปืนหลัก การออกแบบเรือสมัยก่อนมักคล้ายคลึงกันตามยุคสมัย อยู่ที่ว่าติดตั้งเรดาร์หรืออาวุธอะไรเข้าไปบ้าง เรือสมัยนั้นเน้นติดปืนหลักขนาดค่อนข้างใหญ่ ตามหลักการระดมยิงชายฝั่งที่มีความจำเป็นสูง อย่างเรือคอร์เวตมาเลเซียเองก็ใช้ปืน 100 มม. ของฝรั่งเศส เพิ่งมาถอดออกตอนปรับปรุงใหญ่เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ทว่าปัจจุบันนิยมใช้ปืนหลักขนาด 76/62 มม.กับ 57 มม. เท่านั้น ผู้เขียนไม่ได้ตำหนิอะไรหรอกแค่เห็นแล้วรู้สึกเบื่อๆ

ชมภาพท้ายเรือกันบ้างดีกว่า มีที่ว่างค่อนข้างเยอะตั้งโต๊ะตีปิงปองได้สบาย ถ้าเป็นยุค 50 คงเหมาะสมกับติดตั้งรางระเบิดลึก แต่บราซิลคิดการใหญ่ไปไกลกว่านั้นเยอะ พวกเขาอยากได้ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx เนื่องมาจากสงครามฟอคแลนด์ระหว่างอังกฤษกับอาเจนตินาในปี 1982 เรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Type 42 ของอังกฤษ โดนยิงจมลงด้วยจรวดต่อสู้เรือรบ Exocet เพียงนัดเดียว บราซิลจึงอยากได้ไอเทมลับจากอเมริกามาใช้ป้องกันเรือ
แต่แล้วก็แห้วเหมือนกับหลายชาติรวมทั้งไทยในตอนนั้น Phalanx มีราคาค่อนข้างแพงและอเมริกายังหวงของ โอกาสจะได้มาครอบครองค่อนข้างลำบากลำบน เหลียวมองคู่แข่งรายอื่นซึ่งตอนนั้นมีด้วยกันหลายเจ้า ที่ว่าตั้งหลายเจ้าก็ดันแพ้ภัยตัวเองไปเรื่อยๆ รวมทั้งตัวเรือมีปัญหาส่วนตัวเพิ่มเข้ามา อาทิเช่น Phalanx หนักเกินกว่าแบบเรือรองรับได้ ความสูงของอาวุธรบกวนการจอดเฮลิคอปเตอร์ และอยู่ใกล้ผิวน้ำเกินไปทำให้อาวุธอาจเสียหายเร็วกว่าเดิม
เมื่อเรือคอร์เวตทั้ง 4 ลำเข้าประจำการครบถ้วน ช่วงเวลานั้นเรือเก่าจำนวนมากทยอยปลดประจำการ จนก่อให้เกิดกองเรืออำพรางมีแต่ตำแหน่งกับท่าเรือว่างเปล่า บราซิลจำเป็นต้องซื้อเรือฟริเกตมือสองชั้น Type 22 Batch I จากอังกฤษจำนวน 4 ลำ มาใช้งานทดแทนโครงการเรือคอร์เวตซึ่งถูกดองเค็ม ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี
เรือฟริเกต Type 22 Batch I หน้าตาประหลาดกว่าเรือทุกลำ เพราะไม่ติดตั้งปืนใหญ่ไม่ว่าจะหัวเรือกลางเรือหรือท้ายเรือ (อังกฤษเพิ่งนำมาใส่ในเรือ Batch III) และทั้งๆ ที่เป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำโดยกำเนิด แต่กลับได้รับหน้าที่ป้องกันภัยทางอากาศระยะใกล้ ให้กับเรือบรรทุกเครื่องบินทั้ง 2 ลำในสงครามฟอคแลนด์ เนื่องจากตัวเองติดจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Wolf จำนวน 12 นัด ยิงเป้าหมายระยะใกล้แม่นยำกว่าจรวด Sea Dart หรือ Sea Cat รวมทั้ง Sea Slag
ปัญหาขาดแคลนเรือรบผิวน้ำยังคงวิกฤต ต้องรีบแก้ไขเร่งด่วนไม่อย่างนั้นลำบากหนัก เมื่อเคลียร์เรื่องคาใจกับรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย กองทัพเรือบราซิลได้หวนกลับมามองน้ำพริกถ้วยเก่า ด้วยการขึ้นโครงการสร้างเรือคอร์เวตอีกครั้ง โดยจะสร้างเรือจำนวน 10 ลำ ใช้แบบเรือเดิมจำนวน 4 ลำ และแบบเรือปรับปรุงใหม่อีก 6 ลำ เข้าสู่ปี 1996 เรือลำแรกจากโครงการใหม่ถูกสร้างขึ้นมา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเรืออีก 9 ลำจะทยอยตามมา แต่ทว่าเหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นดั่งใจคาดหวัง
กาลครั้งหนึ่งเอเรนเคยถามมิคาสะในช่วงเวลาคับขันว่า ทำไมเธอกับอามีนต้องออกไปล่อไททันเพศเมียเพื่อปกป้องเขาด้วย การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องตาย มิคาสะตอบกลับมาสั้นๆ ว่า ‘This World is Cruel’ แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ โลกนี้มันช่างโหดร้าย ก่อนสวมฮูดปิดบังใบหน้าแล้ววิ่งออกไปเผชิญหน้าความตาย ใช่แล้วครับผู้อ่านทุกท่าน กองทัพเรือบราซิลอาจเคยรู้จักคำว่าโหดร้ายมาก่อน แต่ไม่มีครั้งไหนโหดร้ายเจ็บปวดได้เทียบเท่าครั้งนี้อีกแล้ว
เรือลำแรกซึ่งใช้แบบเรือชั้น Inhaúma มาปรับปรุงเพิ่มเติม บราซิลไม่ได้ปรับปรุงอะไรมากมายเลย โดยมีความยาวเพิ่มขึ้นมาแค่ 8 เมตร เรือลำนี้ต้องทำพิธีปล่อยลงน้ำในปี 1999 ก่อนเข้าประจำการจริงในอีกไม่เกิน 3 ปีถัดมา แต่เอาเข้าจริงกว่าจะให้สุภาพสตรีตีขวดแชมเปญใส่หัวเรือ ก็ปาเข้าไปปลายปี 2002 ติดโรคเลื่อนนานมาก และเข้าประจำการจริงเดือนสิงหาคมปี 2008 โน่น เท่ากับว่าใช้เวลาสร้างเรือรวมทั้งสิ้น 10 ปี ผลลัพธ์ตามมาก็คือโครงการนี้ต้องถูกยกเลิก

นี่คือเรือลำแรกและลำเดียวของโครงการน้ำพริกถ้วยเก่า เรือโทนลำนี้ชื่อ V34 Barroso หน้าตากลับไปเหมือนเรือคอนเซ็ปต์ที่เยอรมันช่วยออกแบบให้ ไม่ว่าจะสะพานเดินเรือก็ดี กราบข้างโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ก็ดี เพียงแต่เสากระโดงหลักและรองทันสมัยมากขึ้น ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย อีกทั้งติดตั้งอาวุธปืนกลน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ทว่าเรือลำนี้ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 10 ปี หมายความว่าแบบเรือต้องมีปัญหามาตั้งแต่พิมพ์เขียว
V34 Barroso ระวางขับน้ำปรกติ 1,800 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,300 ตัน ยาว 103.4 เมตร กว้าง 11.4 เมตร กินน้ำลึก 4.5 เมตร ใช้เรดาร์และระบบอำนวยการรบใหม่ก็จริง แต่ติดระบบอาวุธเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นปืนรองถูกเปลี่ยนมาเป็น Bofors 40 mm Mk3 โดยติดแค่เพียงกระบอกเดียวบนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ถูกจัดให้เป็นเรือ Frontline หรืออยู่แถวหน้าสุดของกองเรือ ทั้งนี้เนื่องมาจากเป็นเรือรบที่มีอายุน้อยที่สุด เพียงแต่ขนาดเล็กเกินไปที่จะออกไปเผชิญมหาสมุทร

ท้ายเรือคือส่วนที่แตกต่างอย่างชัดเจน สร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์เต็มพื้นที่สี่เหลี่ยม เว้นพื้นที่ไว้เพียงเล็กน้อยสำหรับผูกเชือกท้ายเรือ โดยไม่รองรับ Phalanx หรือ CIWS ราคาแพงรุ่นอื่น ในภาพจะเห็นปืนกล Bofors 40 mm Mk3 หันมาทางซ้ายมือของภาพ โดยมีออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง EOS400 หันตามเช่นกัน กองทัพเรือบราซิลจัดให้เป็นระบบอาวุธป้องกันระยะประชิดหรือ CIWS รุ่นมาตรฐานตัวเอง ด้วยอานุภาพของกระสุน 3P ผู้เขียนคิดว่าพอถูๆ ไถๆ ได้
แม้บราซิลเคยสร้างเรือคอร์เวตถึง 4 ลำแล้วก็ตาม และลำใหม่ที่สร้างก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการ ทว่าพวกเขาดันทำพลาดจนต้องยกเลิกในท้ายที่สุด เป็นบทเรียนสำคัญสอนให้ทุกคนได้รับรู้ว่า การปรับปรุงแบบเรือไม่ใช่นึกอยากทำก็ทำได้เลย ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียดตามหลักการสร้างเรือ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นเหมือนเรือคอร์เวตโทนลำนี้
โครงการนี้เต็มไปด้วยปัญหาน้อยใหญ่ นอกจากปัญหาเรื่องการเงินและการออกแบบ ยังมีปัญหาสำคัญเรื่องคุณภาพการสร้างเรือ ซึ่งทำได้ไม่ดีเทียบเท่ามาตรฐานสากล ปัญหาเกิดจากเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ความรู้ความชำนาญของบุคลาการ รวมทั้งปัญหาเรื่องการเงินของอู่ต่อเรือ ส่งผลกระทบมายังอายุการใช้งานอย่างชัดเจน ปัจจุบันเรือจำนวน 3 ลำปลดประจำการเรียบร้อยแล้ว โดยมีอายุการใช้งานเพียง 25 ปีถึง 28 ปีเท่านั้น ที่เหลืออีก 1 ลำใกล้ถึงเวลาพักผ่อนตลอดกาล
บราซิลจำเป็นต้องขึ้นโครงการเรือคอร์เวตใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้พวกเขาห้ามทำพลาดซ้ำซ้อนเด็ดขาด

ปี 2012 มีภาพคอนเซ็ปต์จากโครงการหลุดออกมา ใช้ชื่อว่า CV03 หรือเรือคอร์เวตหมายเลข 3 ง่ายๆ แค่นี้เอง รูปร่างหน้าตาสวยงามและทันสมัยกว่าเดิม โดยเฉพาะหัวเรือเหมือนเรือคอร์เวตจากเนเธอร์แลนด์ หรือสเปน ไม่ก็จีนแผ่นใหญ่สักแห่งสิน่า ครั้นพอผู้เขียนไล่มองไปเรื่อยๆ จนถึงบั้นท้าย กลับพบว่านี่คือเรือ V34 Barroso ไปแอบเหลาหน้ามาใหม่ การจัดวางอาวุธเหมือนเดิมทุกประการ ปล่องระบายความร้อนยกของเดิมมาใส่ ลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ก็เหมือนของเดิม เพียงแต่โดยภาพรวมสวยงามกว่าเดิมตามยุคสมัย รวมทั้งอาจติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานท่อยิงแนวดิ่งได้
ความรู้สึกเหมือนกับว่าเลิกกับแฟนเก่าไปสองรอบแล้ว แต่พอเขาเอาดอกมะลิมาง้อก็ยอมใจอ่อนรอบที่สาม
ภาพเรือคอนเซ็ปต์อาจยังไม่ตรงใจเท่าไร กองทัพเรือบราซิลใช้เวลาอีก 3 ปีเต็ม ในการพัฒนาแบบเรือใหม่เอี่ยมอ่องขึ้นมาอย่างมุ่งมั่น จนกระทั่งในงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ LAAD 2015 ซึ่งถูกจัดขึ้นในกรุงริโอ เดอจาเนโร ประเทศตัวเอง พวกเขาได้เผยโมเดลเรือ CV03 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อีกครั้ง พร้อมกับเปิดเผยโครงการสร้างเรือคอร์เวตด้วยตัวเองในอนาคต โดยใช้ชื่อว่าเรือชั้น Tamandaré รูปร่างหน้าตาเรือคอร์เวตลำใหม่ตามนี้เลยครับ

ความรู้สึกเหมือนกับว่าเลิกกับแฟนเก่าไปสามรอบแล้ว แต่พอเขาเอาพวงมาลัยมาง้อก็ยอมใจอ่อนรอบที่สี่
เรือลำใหม่ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,790 ตัน ยาว 103.4 เมตร กว้าง 12.8 เมตร ความเร็วสูงสุด 25 นอต ทดข้อมูลตรงนี้ไว้ในใจก่อนนะครับ รูปทรงเหมือนเรือยุค 90 ทั้งที่เข้าสู่ปี 2015 เข้าไปแล้ว ทั้งนี้เนื่องมาจากนำเรือ V34 Barroso มาขยายให้ใหญ่ขึ้น หัวเรือกับสะพานเดินเรือขี้เหล่กว่าเดิม การจัดวางอาวุธยังคงเหมือนเดิม ปล่องระบายความร้อนเป็นสิ่งเดียวที่ดูต่างออกไป พูดกันตรงๆ คนบราซิลภูมิใจเรือลำนี้ค่อนข้างมาก แต่รัฐบาลกับกองทัพเรือดูเหมือนจะไม่ปลื้มสักเท่าไร
ผู้เขียนไม่มีอคติกับเรือลำนี้นะครับ ถ้าเอกชนไทยออกแบบเรือหน้าตาเหมือนกันเลย และสามารถสร้างออกมาใช้งานได้จริงในราคาเหมาะสม ผู้เขียนจะอวยสุดหัวใจและภาคภูมิใจกับเรือลำนี้ โชคร้ายแบบเรือ CV03 ไม่มีความคุ้มค่าที่จะสร้างจริง เพราะนำแบบเรือจากยุคสงครามเย็นมาปรับปรุงใหม่ เมื่อชาวบราซิลนึกถึงคำพูดมิคาสะก็รีบถอยหลังทันที
มีอยู่จุดหนึ่งอยากให้สังเกตเล็กน้อย บริเวณสองกราบของโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างล้นออกมาด้านข้างตัวเรือ ผู้อ่านคิดว่ามันคืออะไรเหรอครับ? บอกใบ้ให้นิดเดียวว่ามาจากประเทศสเปน อุปกรณ์ชิ้นนี้หายไปจากองทัพเรือไทยเกือบหมดแล้ว อีกสักพักจะมาเฉลยใครตอบถูกเจอกันที่ร้านน้องจอยหมูกระทะ
กาลครั้งหนึ่งเมื่อมิคาสะรู้ว่าเอเรนเสียชีวิตแล้ว เธอหมดความพยายามที่จะมีชีวิตอีกต่อไป สาวน้อยผู้แสนอาภัพเปรยกับตัวเองเบาๆ ว่า ‘This World is Cruel and Beautiful’ แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ โลกนี้โหดร้ายก็จริงแต่สวยงามมาก เปรียบได้กับลูกประดู่บราซิลซึ่งเคยล้มเหลวสองครั้งติดกัน แต่พวกเขาจำเป็นต้องเดินหน้าต่อเพื่อสานฝันให้สำเร็จ
วันที่ 18 มิถุนายน 2018 กองทัพเรือบราซิลเริ่มต้นโครงการ Tamandaré Class Corvettes หรือ CCT โดยต้องการซื้อเรือคอร์เวตเอนกประสงค์จำนวน 4 ลำ พร้อมสัญญาซ่อมบำรุง 8 ปีภายใต้งบประมาณ 1.6 พันล้านเหรียญ เงื่อนไขสำคัญก็คือต้องสร้างเองภายในประเทศ คุณสมบัติเรือมีระวางขับน้ำเต็มที่ 2,790 ตัน ยาว 103.4 เมตร กว้าง 12.8 เมตร ความเร็วสูงสุด 25 นอต กำหนดให้ติดอาวุธกับอุปกรณ์ต่างๆ ตามมาตรฐาน หรือพูดง่ายๆ ว่าต้องดีเทียบเท่าแบบเรือ CV03 นั่นเอง
เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่กับประเทศใหญ่ เป็นลูกค้าหน้าใหม่ที่ซื้อจริงและอาจซื้อเพิ่มในอนาคต มีความเหมาะสมที่จะทุ่มหมดหน้าตักเพื่อไขว้คว้า จึงมีบริษัทชั้นนำเข้าร่วมโครงการนี้มากถึง 9 ราย ส่วนใหญ่มาจากยุโรปแต่มีเอเชียโผล่เข้ามานิดหน่อย ผู้เขียนขอแนะนำแบบเรือเข้าร่วมโครงการสัก 3 รุ่น จริงๆ อยากได้ครบทุกลำแต่หาข้อมูลได้เพียงเท่านี้
แบบเรือลำแรกมาจากประเทศอินเดีย หลังบราซิลประกาศเดินหน้าโครงการ CCT เพียง 10 วัน บริษัท Garden Reach Shipbuilders & Engineers หรือ GRSE ของอินเดีย จับมือกับบริษัท Sinergy Group Corporate ของบราซิลซึ่งมีอู่ต่อเรือ EISA shipyard เป็นของตัวเอง นำเสนอแบบเรือ Project 28 รุ่นปรับปรุงใหม่เข้าร่วมโครงการ โดยใช้ระบบอำนวยการรบบริษัท Elbit Systems จากอิสราเอล รูปร่างหน้าตาของเรือลำแรกประมาณนี้เลยครับ

แบบเรือ Project 28 ก็คือเรือคอร์เวตปราบเรือดำน้ำชั้น Kamorta ของกองทัพเรืออินเดีย มีระวางขับน้ำเต็มที่ 3,300 ตัน ยาว 109 เมตร กว้าง 14.14 เมตร กินน้ำลึก 3.7 เมตร เรือต้นแบบไม่ได้ติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบกับจรวดต่อสู้อากาศยาน เรือที่นำเสนอจึงต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติม โดยการตัดดาดฟ้าสูงหนึ่งชั้นหน้าสะพานเดินเรือทิ้ง เพื่อใส่ท่อยิงแนวดิ่งจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor 12 ท่อยิง (จุดเดียวกับคลังแสงจรวดปราบเรือดำน้ำ RBU-6000 เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือ ) กับจรวดต่อสู้เรือรบ Exocet MM40 จำนวน 4 นัด กลางเรือใส่ตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ได้ 2 ตู้ ท้ายเรือมีปืนอัตโนมัติขนาด 25 มม. กับแท่นยิงจรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ Simbad-RC โผล่เข้ามา 2 แท่น
 ย้อนกลับไปวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2016 เรือลำนี้ชนะเลิศโครงการเรือฟริเกตฟิลิปปินส์ ซึ่งต้องการซื้อเรือ 2 ลำในวงเงิน 321 ล้านเหรียญ (หรือลำละ 160.5 ล้านเหรียญ) บังเอิญโชคร้ายถูกตัดสิทธิ์เพราะสถานะการเงินอู่ต่อเรือไม่ผ่านเกณฑ์ หวยจึงมาออกที่บริษัทฮุนไดจากเกาหลีใต้ ทำให้ฟิลิปปินส์ได้เรือฟริเกตที่ดีมากลำหนึ่งไปใช้งาน GRSE ใช้แบบเรือลำนี้นำเสนอให้กับฟิลิปปินส์ ความสวยงามลดลงจากเรือต้นฉบับพอสมควร แต่ไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหล่แอบพาไปวัดตอนตีสามได้
ตัวเลขมิติเรือผู้เขียนอ้างอิงจากเรือฟิลิปปินส์นะครับ มีความแตกต่างจากเรือต้นฉบับอินเดียสักเล็กน้อย
เรือลำถัดไปมาจากประเทศที่มีดินแดนสองทวีป และมีนโยบายการทหารสองด้านทำเอาวุ่นวายไปหมด ประเทศนั้นก็คือตุรกีดินแดนไก่งวง บริษัท STM จากตุรกีจับมือกับอู่ต่อเรือ Brasfels Shipyard ของบราซิล นำเสนอแบบเรือ MILGEM รุ่นปรับปรุงในโครง CCT ชมภาพแบบเรือในโครงการนี้กันก่อนดีกว่า

เรือมีระวางขับน้ำเต็มที่ 2,970 ตัน มากกว่าต้นฉบับซึ่งมีแค่เพียง 2,300 ตัน ยาว 103.4 เมตรขณะที่ต้นฉบับยาว 99.5 กว้าง 14.4 เมตร กินน้ำลึก 3.9 เมตรเท่าเดิม ใช้เรดาร์กับระบบอำนวยการรบจาก Thales ติดปืนใหญ่ 76/62 ที่หัวเรือ ปืนกล Bofor 40 mm Mk4 ท้ายเรือ ปืนกลอัตโนมัติ 12.7 มม.อีก 2 กระบอก จรวดต่อสู้เรือรบ Exocet MM40 จำนวน 4 นัด ส่วนแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำอยู่ในตัวเรือ ลานจอดกับโรงเก็บรองรับเฮลิคอปเตอร์ S-70B ขนาด 10 ตัน
เนื่องจากแบบเรือเดิมไม่รองรับแท่นยิงแนวดิ่งสำหรับจรวดต่อสู้อากาศยาน ได้มีการปรับปรุงเพิ่มความยาวหัวเรือเล็กน้อย จากนั้นจึงใส่ท่อยิง ExLS จำนวน 3 ท่อยิงเข้าไป สำหรับจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor จำนวน 12 นัด (จรวด 4 นัดต่อ 1 ท่อยิง) ประหยัดพื้นที่ก็จริงแต่ดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อน บราซิลอยากได้ท่อยิงเดี่ยว 12 ท่อยิงซึ่งใช้งานและดูแลง่ายกว่า
ก่อนอื่นเลยผู้เขียนออกตัวว่าชอบแบบเรือต้นฉบับมาก ค่อนข้างทันสมัยแม้ไม่รอบรับแท่นยิงแนวดิ่งก็ตาม ครั้นพอเจอแบบเรือปรับปรุงเข้าไปถึงกับตะลึงแล จึงตัดสินใจขออนุญาตไม่วิจารณ์เรื่องความสวยงาม ตุรกีคาดหวังกับโครงการนี้ไว้ค่อนข้างสูง แบบเรือ MILGEM ของพวกเขาขายให้ปากีสถานได้แล้ว 4 ลำ ตอนนี้กำลังนำเสนอให้กับประเทศโคลัมเบียอยู่ โดยใช้แบบเรือย่อยชื่อ CF3500 ซึ่งมีขนาดใหญ่โตที่สุด ขณะนี้พี่เติร์กเริ่มบุกตลาดโลกอย่างจริงจังและหนักหน่วง
เรือลำที่สามมาจากทวีปยุโรปแท้ๆ บ้าง เมื่อบริษัท Damen จากเนเธอร์แลนด์จับมือกับบริษัท Saab ประเทศบราซิล (สวีเดนเข้ามาตั้งเพื่อรองรับการผลิตเครื่องบินกริเพน) นำเสนอแบบเรือ Sigma 10514 ของตัวเองโดยใช้ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบของ Saab พอได้ยินแล้วรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง ไม่ทราบว่าแบบเรือจะสวยงามมากน้อยแค่ไหน

แบบเรือของพวกเขาหน้าตาแบบนี้เลย ระวางขับน้ำมาตรฐาน 2,575 ตัน ยาว 105.11 เมตร กว้าง 14.02 เมตร กินน้ำลึกประมาณ 4 เมตรกว่า ติดปืนหลักขนาด 57 มม. มีแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อ หน้าสะพานเดินเรือมีที่ว่างติดปืนกลเพิ่มเติมได้ ใช้เรดาร์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB เรดาร์ควบคุมการยิง Ceros200 และระบบอำนวยการรบ 9LV กลางเรือติดจรวดต่อสู้เรือรบจำนวน 4 นัด บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดปืนกล 40 มม.กับออปทรอนิกส์ควบคุมการยิง EOS500
สังเกตบนท้องฟ้าเห็นเครื่องบินกริเพนไหมครับ คนขายต้องการสื่อว่ามีระบบดาต้าลิงก์กับกองทัพอากาศด้วยนะ แผนการนี้เคยประสบความสำเร็จกับบางประเทศมาแล้ว แต่บราซิลมีดาตาลิงก์ตัวเองทั้งกองทัพเรือและกองทัพอากาศ คงไม่อยากได้ของแพงจากสวีเดนสักเท่าไร แบบเรือ Sigma 10514 ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อินโดนีเซียวางแผนว่าจะจัดหาจำนวน 4-6 ลำ ตอนนี้เฟสแรก 2 ลำพร้อมเข้าประจำการแล้ว แต่เรือฟริเกต Sigma 10514 ที่ดีที่สุดอยู่ที่ประเทศเม็กซิโก

นี่คือเรือฟริเกตอเนกประสงค์ชื่อ POLA 101 ARM Reformador สร้างขึ้นเองโดยอู่ต่อเรือภายในประเทศ ติดอาวุธทันสมัยล้นลำตั้งแต่หัวจรวดท้าย เริ่มจากปืนใหญ่ 57 มม.ยิงได้เร็วสุด 220 นัดต่อนาที ถัดไปเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง MK56 จำนวน 8 ท่อยิง สำหรับจรวดต่อสู้อากาศยาน ESSM (เม็กซิโกซื้อมาเฟสแรก 6 นัด) ต่อด้วยปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.ใช้เรดาร์กับระบบอำนวยการรบจาก Thales กลางเรือมีจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon Block II อีก 8 นัด บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดแท่นยิงจรวด RAM Block II อีก 21 นัดใช้เป็น CIWS ที่ดียอดเยี่ยม ท้ายเรือติดตั้งโซนาร์ท้าย Thales CAPTAS-2 ซึ่งมีโหมดการทำงานทั้ง Passive และ Active จัดว่าทันสมัยมากที่สุด โดยใช้ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ Mk-54 จากอเมริกา
เรือติดตั้งอาวุธกับอุปกรณ์ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี ยกเว้นแค่เพียงระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์จากสเปน นั่นคือระบบตรวจจับสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RESM และระบบก่อกวนสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RECM ซึ่งสเปนมีใช้งานบนเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศระบบเอจิส สังเกตนะครับว่าไม่เกี่ยวข้องกับระบบอำนายการรบ ไม่จำเป็นต้องติดระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของ Thales เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดเหมาะสมที่สุด และเม็กซิโกจัดแน่นจัดเต็มจัดบึกมากที่สุด เสียดายก็แต่ติดเรดาร์ควบคุมการยิงจรวด ESSM แค่ตัวเดียว ตามปริมาณจรวดซึ่งตัวเองมีไม่เยอะสักเท่าไร
ชมแบบเรือที่เข้าร่วมโครงการพอหอมปากหอมคอแล้ว มาพบกับแบบเรือผู้ได้รับการคัดเลือกกันบ้างดีกว่า วันที่ 29 มีนาคม 2019 กองทัพเรือบราซิลประกาศว่าบริษัท Thyssenkrupp จากเยอรมันกับบริษัท Embraer จากบราซิล คือผู้ชนะเลิศโครงการ Tamandaré Class Corvettes หรือ CCT โดยใช้แบบเรือ MEKO A-100 ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาประมาณนี้

เรือผู้ชนะโครงการระวาง 3,455 ตัน ยาว 107.2 เมตร กว้าง 16 เมตร มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 40 ปี ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีทันสมัยจากเยอรมัน ไม่ว่าจะเป็น MEKO Platform Modularity และ MEKO Configuration Modularity รวมทั้ง MEKO Mission Modularity เพราะมีความทันสมัยสูงการต่อเรือจึงต้องใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นตามกัน
เรือติดตั้งปืนใหญ่ Bofors 57 mm Mk3 แท่นยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor จำนวน 12 ท่อยิง กลางเรือติดจรวดต่อสู้เรือรบ Exocet MM40 จำนวน 4 นัด แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำอยู่ในตัวเรือ ท้ายเรือมีปืนกล Bofors 40 mm Mk4 1 กระบอก กับปืนกลอัตโนมัติ 12.7 มม.อีก 2 กระบอก ลานจอดกับโรงเก็บรองรับเฮลิคอปเตอร์ S-70B ใช้เรดาร์ 3 มิติ Artisan 3D จาก BAE ใช้เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 EO จาก Thales จำนวน 1 ตัว กับออปทรอนิกส์ควบคุมการยิง Paseo XLR จาก SAFRAN จำนวน 2 ตัว ติดโซนาร์หัวเรือ ASO713 จาก ATLAS ระบบอำนวยการรบก็ ATLAS ประเทศเยอรมัน
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ใช้ระบบตรวจจับสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RESM และระบบก่อกวนสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RECM จากสเปน ผู้อ่านเห็นแท่งยาวๆ หัวมนข้างเสากระโดงเรือไหมครับ สิ่งนี้ก็คือ Uplink Antenna ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลให้กับจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ซึ่งเป็นจรวดที่มีระบบนำวิถีอยู่ในหัวรบ เมื่อยิงออกไปแล้วจะวิ่งเข้าหาเป้าหมายด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องใช้เรดาร์ควบคุมการยิงบังคับทิศทาง มีความทันสมัยมากก็จริงแต่ก็พบจุดอ่อนเช่นกัน
เช้าวันหนึ่งกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ เจ้าหน้าที่เรดาร์ตรวจพบฝ่ายตรงข้ามบุกรุกเข้ามา ผู้การเออร์วินสั่งยิงจรวดสกัดกั้นเครื่องบินที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ต่อมาครู่เดียวดันตรวจเจอจรวด C-802 ที่ตำแหน่ง 8 นาฬิกา ผู้การจำเป็นต้องสั่งยิงจรวดนัดที่สองขึ้นไปสกัดกั้น ทีนี้ถ้าเรือไม่เหลือจรวดแล้วก็เอวังด้วยประการฉะโน้น แต่ด้วยอุปกรณ์ชิ้นนี้ท่านผู้การสามารถสั่งเปลี่ยนเป้าหมาย ให้จรวดวิ่งปะทะจรวดด้วยกันที่ตำแหน่ง 8 นาฬิกาได้ นี่คือการปิดจุดอ่อนขนาดใหญ่โตอย่างชาญฉลาด
ที่ผู้เขียนเขียนถึงว่ากันตามหลักการนะครับ ส่วนในการปฏิบัติการจริงมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาปะปน จรวดอาจเปลี่ยนทิศทางพุ่งชนจรวดอย่างแม่นยำ หรือจรวดอาจเปลี่ยนทิศทางไม่ทันจึงได้แห้วไป รวมทั้งจรวดอาจวิ่งตรงเข้าใส่เป้าหมายเดิม ทุกอย่างเกิดขึ้นได้หมดในสนามรบด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ แต่ถึงอย่างไรก็สมควรมี Uplink Antenna ติดไว้บนเรือ ปรกติแล้วจรวด Sea Ceptor จะติดอุปกรณ์ชิ้นนี้จำนวน 2 ตัว ครอบคลุมทิศทาง 360 องศามีความเหมาะสมที่สุด
ต่อไปนี้จะเขียนถึงแบบเรือกันสักนิด ข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตแบ่งเรือตระกูลนี้ออกเป็น 4 รุ่นประกอบไปด้วย
1. MEKO 100 RMN ของมาเลเซีย
2. MEKO A-100 PL ของโปแลนด์
3. K130 ของเยอรมัน
4. MEKO A-100 ตัวปัจจุบัน ซึ่งสามารถแบ่งรุ่นย่อยออกเป็น 3 รุ่นตามระวางขับน้ำ ประกอบไปด้วย
4.1 MEKO A-100 Mk I
4.2 MEKO A-100 Mk II
4.3 MEKO A-100 Mk III ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมากที่สุด และเป็นแบบเรือชนะเลิศโครงการ CCT ประเทศบราซิล

ปีนี้ผู้เขียนเขียนถึงแบบเรือใหม่ 4 บทความเข้าไปแล้ว โดยทุกแบบเรือมีพื้นที่ใช้งานอเนกประสงค์เรียกว่า Mission Deck หรือ Mission Bay ติดตั้งมาให้ครบทุกลำ เรือจากเยอรมันก็มีและมีเยอะกว่าเรือชาติอื่น แบ่งออกเป็น Forward Mission Deck Flex บริเวณกลางเรือระหว่างเสากระโดงสองต้น สามรถติดจรวดต่อสู้เรือรบกับตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ได้ 1 ตู้ แต่ถ้าถอดจรวดออกจะติดตู้คอนเทนเนอร์ได้ 2 ตู้ ส่วนจุดที่สอง After Mission Deck Flex อยู่บริเวณใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ บรรทุกเรือยางท้องแข็ง RHIB ขนาด 11 เมตรได้ 2 ลำ พร้อมตู้คอนเทนเนอร์เอนกประสงค์อีก 4 ตู้ หรือจะติดตั้งเฉพาะตู้คอนเทนเนอร์ได้ถึง 6 ตู้ด้วยกัน นี่แหละครับระบบ MEKO Mission Modularity จากประเทศเยอรมัน
เพราะฉะนั้นเรือ MEKO A-100 Mk III สามารถแบกตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ได้มากสุด 8 ตู้ และมีเรือยางท้องแข็ง RHIB ขนาด 8 เมตรอีก 1 ลำที่กราบเรือฝั่งขวา นี่คือออปชันเสริมที่บราซิลได้รับจากเรือคอร์เวตลำใหม่
เรื่องต่อไปก็คือระบบตรวจจับสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RESM และระบบก่อกวนสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RECM จากประเทศสเปน ซึ่งในตอนนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นอกจากมีใช้งานในกองทัพเรือสเปน เม็กซิโก และบราซิลรายล่าสุดแล้ว เยอรมันยังซื้อไปใช้งานบนเรือคอร์เวตชั้น K130 ของตัวเองตั้งนานแล้ว  RIGEL มีทั้งระบบตรวจจับและก่อกวนเรดาร์รวมอยู่ด้วยกัน ทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยไม่ผู้มัดกับระบบอำนวยการรบแต่อย่างใด

นี่คือภาพถ่ายเรือชื่อ POLA 101 ARM Reformador ประเทศเม็กซิโก ระบบตรวจจับสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RESM อยู่ในโดมตัวเล็กใกล้เรดาร์ 3 มิติ ส่วนระบบก่อกวนสัญญาณเรดาร์ Indra RIGEL RECM อยู่ในโดมตัวใหญ่ใต้ ESM อีกที สามารถก่อกวนเรดาร์ข้าศึกได้ตั้งแต่ 3 จนถึง 12 รูปแบบ นี่คืออุปกรณ์ที่หายไปจากกองทัพเรือไทยนานพอสมควร
จริงอยู่ Indra RIGEL สู้คู่แข่งจากอเมริกาหรืออิตาลีซึ่งแพงกว่ากันไม่ได้ แต่มีประสิทธิภาพสูงได้รับการยอมรับจากหลายชาติ ผ่านการปฏิบัติงานจริงในอ่าวเอเดนกับทะเลเมอดิเตอร์เรเนียนมาแล้ว ลูกประดู่ไทยไม่สนใจสักนิดเลยเหรอครับ ซื้อมาใช้งานบนเรือหลวงจักรีนฤเบศรก็ดูเข้าที สเปนน่าจะให้ราคาพิเศษในฐานะลูกค้าเก่าแก่ ให้เรานำสินค้าไปประชาสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนที่เราเคยทำกับเครื่องบินกริเพนมาก่อนหน้านี้
วันเวลาผ่านพ้นจนมาถึงวันที่ 5 มีนาคม 2020 บริษัท Thyssenkrupp จากเยอรมันกับบริษัท Embraer จากบราซิล ได้เซ็นสัญญามูลค่ารวม 2 พันล้านเหรียญ ในโครงการ Tamandaré Class Corvettes หรือ CCT ของกองทัพเรือบราซิล สังเกตได้ว่ามูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 400 ล้านเหรียญ รายละเอียดเท่าที่บริษัทคู่สัญญากับกองทัพเรือเปิดเผยมีดังนี้
1.สร้างเรือคอร์เวต MEKO-A100 จำนวน 4 ลำ
2.เรือทั้ง 4 ลำสร้างในประเทศบราซิล โดยลำแรกต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเรืออีก 3 ลำต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์
3.โครงการนี้ก่อให้เกิดการจ้างงานโดยตรง 1,000 ตำแหน่ง และการจ้างงานทางอ้อมอีก 4,000 ตำแหน่ง
4.อู่ต่อเรือ Alianca-Oceana ของบริษัท Embraer จะได้รับการถ่ายโอนเทคโนโลยีการสร้างเรือในระดับแข็งแกร่ง รองรับการดูแลซ่อมบำรุงเรือคอร์เวตทันสมัยทั้ง 4 ลำได้ตลอดอายุการใช้งาน
5. อู่ต่อเรือ Alianca-Oceana จะสามารถเข้าแข่งขันเพื่อตอบสนองความต้องการของกองทัพเรือในอนาคตได้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือสามารถสร้างเรือรบได้เองในอนาคต
6.บริษัท Atech ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท Embraer จะได้รับการถ่ายโอนเทคโนโลยีระบบอำนวยการรบจากบริษัท ATLAS และ L3 รองรับการดูแลซ่อมบำรุงเรือคอร์เวตทันสมัยทั้ง 4 ลำ รวมทั้งพัฒนาระบบอำนวยการรบของตัวเองขึ้นมา
7 จะมีการปรับปรุงใหญ่เรือคอร์เวต V34 Barroso ให้มีความสามารถทัดเทียมเรือคอร์เวตจากโครงการ CCT คร่าวๆ ก็คือเปลี่ยนระบบอำนวยการรบกับระบบสื่อสาร เปลี่ยนระบบอาวุธกับเรดาร์ทั้งหมด รวมทั้งติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor เท่ากับว่าบราซิลจะได้เรือรบทันสมัยถึง 5 ลำ นี่คือเรื่องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในโครงการราคาแพง
ผู้เขียนค้นหาเรื่องสัญญาซ่อมบำรุง 8 ปีไม่เจอ ไม่ทราบว่าตัดทิ้งไปแล้วหรือไม่ได้ชี้แจงสื่อมวลชน เพราะฉะนั้นยังไม่ขอยืนยันนะครับ อาจมีสัญญาหรือไม่มีก็ได้ รวมทั้งไม่ทราบว่าสัญญามีมูลค่าเท่าไรกันแน่ ปัจจุบันการขายอาวุธมักทำกันเป็นแพ็กเกจรวม ไม่สามารถนำจำนวนเรือมาหารกันดื้อๆ เป็นราคาต่อลำ รวมทั้งบางครั้งสัญญาอาจเปลี่ยนแปลงในภายหลัง

ในวันเดียวกันบริษัท Thyssenkrupp ได้เผยแพร่วิดีโอโปรโมทสินค้า ปรากฏว่าเรือในโครงการมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ปืนใหญ่ 57 มม.ถูกแทนที่ด้วยปืนใหญ่ 76/62 มม.ส่วนเรดาร์ 3 มิติกลายเป็น TRS-4D ของ HENSOLDT ซึ่งมีระยะตรวจจับไกลสุด 250 กิโลเมตร รวมทั้งปืนกล 40 มม.ถูกแทนที่ด้วยปืนกล 30 มม. ผู้เขียนเดาว่าน่าจะเป็นรุ่น DS-30MR ซึ่งกองทัพเรือบราซิลมีใช้งานอยู่แล้ว บนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River กับเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์มือสองจากอังกฤษ
ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเรือเวอร์ชันจริงหรือยัง ผู้เขียนขอจัดให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดก็แล้วกัน สังเกตนะครับว่ายังใช้แท่นยิงแนวดิ่ง 12 ท่อยิง ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยถ้าเรือมีพื้นที่ควรใช้ท่อยิงเดี่ยวแบบนี้ ส่วน Uplink Antenna จรวดต่อสู้อากาศยานเปลี่ยนตำแหน่งเล็กน้อย โดยติดอยู่เหนือสะพานเดินเรือฝั่งซ้ายมือหนึ่งตัว กับด้านหลังออปทรอนิกส์ควบคุมการยิงท้ายเรืออีกหนึ่งตัว เสากระโดงหลังมองเห็นระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์จากสเปนอย่างชัดเจน
ชมภาพโมเดลเรือลำนี้อย่างชัดเจนบ้าง สังเกตนะครับว่าสะพานเดินเรือใช้ Superstructure ค่อนข้างเตี้ย ไม่สูงชะลูดตูดปอดยอดขุนพลเหมือนเรือเกาหลีใต้ ส่งผลดีมายังการทรงตัวรวมทั้งการพรางตัว ซึ่งอาจไม่มากมายเท่าไรในเวลาปรกติ แต่เมื่อเจอพายุใหญ่กลางทะเลลึกทุกคนจะเริ่มเข้าใจ เรือรบยุคใหม่จากเยอรมันมักถูกออกแบบให้เตี้ยๆ แบนๆ

โมเดลเรือติดปืนใหญ่ 76/62 มม.กับเรดาร์ TRS-4D มองเห็นอย่างชัดเจน ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ก็เช่นกัน ส่วนปืนกล 30 มม.ยังมองไม่ค่อยชัดเท่าไร หมายความว่าปืนกล 40 มม.จะหายไปจากบราซิลอย่างนั้นหรือ? คงต้องรอดูกันต่อไปอีกสักพักหนึ่ง ประเทศที่คัดเลือกแบบเรือกันอย่างโปร่งใส ไม่น่ามีอะไรหมกเม็ดโผล่ออกมาภายหลังให้ครางฮือ
ที่เห็นชัดเจนอีกอย่างก็คือโซนาร์หัวเรือรุ่น ASO713 ในเว็บไซด์บริษัท ATLAS มีโซนาร์หัวเรือขายอยู่เพียง 2 รุ่น คือรุ่น ASO713 กับ ASO723 แตกต่างกันเล็กน้อย จนถึงนาทีนี้ผู้เขียนยังสงสัยอยู่เลยว่า เป็นรุ่นเดียวกับเรือหลวงนเรศวรแต่นำมาเปลี่ยนชื่อใหม่ หรือว่าเป็นรุ่นใหม่เอี่ยมเพิ่งออกมาได้ไม่นานเท่าไร ถ้ามีเวลาว่างจะหาคำตอบมาให้อีกครั้งหนึ่ง
สัญญาโครงการนี้เซ็นแล้วก็จริงแต่ปัญหายังไม่จบ วันที่ 27 มีนาคม 2020 หรือไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพเรือบราซิลได้ออกมาแถลงการณ์ว่า จะยกเลิกการปรับปรุงเรือคอร์เวต V34 Barroso ออกไปจากโครงการ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะล้มเหลว อย่างที่รู้กันแหละครับว่าแบบเรือค่อนข้างโบราณ กองทัพเรือบราซิลเองถึงแม้ตอนแรกดึงดันอยากไปต่อ ครั้นพอนึกถึงประโยคเด็ดประโยคนั้นขึ้นมาในสมอง ก็พลันใส่เกียร์ถอยไม่คิดที่จะลองดีอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นสัญญาโครงการนี้จะต้องมีการแก้ไข จำนวนเงินอาจลดลงจนใกล้เคียงสัญญาฉบับเดิม หรืออาจเพิ่มเติมส่วนอื่นเข้ามาอาทิเช่นเรือลำที่ 5 (มั่วแล้ว!) ถามว่าทำได้ไหมทำได้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเจรจาความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน อีกสักพักใหญ่ๆ น่าจะมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งความชัดเจนเรื่องแบบเรือที่จะสร้างเป็นลำจริง
เรือทั้ง 4 ลำมีแผนเข้าประจำการระหว่างปี 2025 ถึง 2028 หลังจากนั้นบราซิลซึ่งได้รับการถ่ายโอนเทคโนโลยีไปแล้วจะทำอย่างไร? ถ้าเป็นผู้เขียนจะซื้อเรือ MEKO A-100 ต่ออีก 4 ลำ นำมาทดแทนเรือฟริเกตชั้น Type 22 ที่สุดแสนชราภาพ มีการปรับปรุงเล็กน้อยให้เหมาะสมมากขึ้น โดยการใส่โซนาร์ลากท้าย ATLAS ACTAS เข้ามาด้วย ท้ายเรือมี Mission Deck ขนาดใหญ่โตไม่น่ามีปัญหา เพียงเท่านี้บราซิลจะมีเรือรบขนาด 3,455 ตันเหมือนกันถึง 8 ลำ โดยที่ 4 ลำทำหน้าที่ปราบเรือดำน้ำ และอีก 4 ลำทำหน้าที่ปราบเรือผิวน้ำ ตรงตามความต้องการ Common Fleet ที่เคยฝันถึงมาเนิ่นนาน
เมื่อโครงการเรือคอร์เวต MEKO A-100 Batch II สำเร็จเรียบร้อย จากนั้นผู้เขียนจะนำองค์ความรู้มาพัฒนาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ระวางขับน้ำสัก 2,000 ตันไม่น่ายากเกินความสามารถ แล้วสร้างขึ้นมาใช้งานสัก 4 ลำก่อนในเฟสแรก ถ้าทำตามแผนนี้โอกาสล้มเหลวแบบเดิมคงมีน้อยมาก แต่ถ้าเกิดห้าวจัดอยากพัฒนาแบบเรือคอร์เวตขึ้นมาเอง (อีกแล้ว) หรือเป็นเสือข้ามห้วยซื้อเรือฟริเกต Type 054BR จากจีนมาใช้งาน งานนี้ไม่แคล้วเละเป็นโจ๊กกองปราบเหมือนเดิมอีกครั้ง
กองทัพเรือประเทศกาแฟอร่อยคือตัวอย่างที่ดี พวกเขาล้มลุกคลุกคลานมาตลอด 38 ปีเต็ม เพื่อได้พบว่าตัวเองนั้นไม่มีศักยภาพเพียงพอ ที่จะสร้างเรือรบด้วยตัวเองแต่เพียงผู้เดียว จำเป็นต้องใช้วิธีใช้เงินซื้อความสำเร็จ ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมมากที่สุด ผู้เขียนหวังว่าบราซิลจะประสบความสำเร็จ ทำทุกอย่างได้ตามต้องการและมีความสุขกับผลที่ได้ลัพธ์ เหมือนสาวน้อยมิคาสะที่ต่อมาไม่นานเธอได้รู้ว่า เอเรนยังไม่ตายและเขาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม
บทความดองเค็มบทความนี้ต้องขออำลาแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีรอบวงอย่าลืมอยู่แต่ในบ้านเพื่อชาตินะครับ J
                                     -------------------------------------
อ้างอิงจาก