วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563

European Patrol Corvette


เรือคอร์เวตตรวจการณ์แห่งยุโรป

สหภาพยุโรปหรือ European Union หรือ EU เป็นสหภาพทางเศรษฐกิจและทางการเมือง  ประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวน 27 ชาติซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรป มีประชากรรวมกันมากถึง 447 ล้านคน พวกเขาพยายามใช้กฎหมายและนโยบายการค้าร่วมกันมากที่สุด ใช้เงินสกุลยูโรเหมือนกันเพื่อความคล่องตัว พวกนี้คือข้อมูลทั่วไปที่ผู้อ่านทุกคนคงทราบกันดี
สหภาพยุโรปยังครอบคลุมมาถึงเรื่องการทหารและความมั่นคงระดับประเทศ มีการจัดตั้ง Permanent Structure Cooperation หรือ PESCO ขึ้นมาในปี 2018 โดยมีสมาชิกรวมกัน 25 ประเทศ อันมีจุดเริ่มต้นมาจากสนธิสัญญาลิสบอนในปี 2009 จัดทำขึ้นเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาให้กระบวนการตัดสินใจ มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งให้สหภาพยุโรปเข้ามามีบทบาทในเรื่องใหม่ๆ หนึ่งในสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ PESCO นั่นเอง
แล้ว PESCO มีหน้าที่อะไร? หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาระบบอาวุธ อุปกรณ์สื่อสาร และการฝึกอบรมทางทหารร่วมกัน เริ่มจากตั้งโครงการใดโครงการหนึ่งขึ้นมา มีประเทศเจ้าภาพเสนอสิ่งที่ต้องการพัฒนา ก่อนเชื้อเชิญสมาชิกรายอื่นๆ มาเข้าร่วม ทำแบบนี้จะมีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายทั้งโครงการโดยเฉลี่ยลดลง ค่าอาวุธหรืออุปกรณ์ที่ถูกพัฒนาลดลง ความเสี่ยงในทุกๆ เรื่องต่ำลงเช่นกัน โครงการเองก็พลอยมั่นคงไปด้วย สามารถสร้างแผนพัฒนากองทัพ 20 ปีได้ตามใจนึก
นับถึงปลายปี 2019 PESCO มีอยู่ด้วยกัน 47 โครงการ ที่เข้าสู่กระบวนการเริ่มต้นเดินหน้าพัฒนา อาทิเช่นโครงการเฮลิคอปเตอร์โจมตี Tiger Mark III ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ มีเยอรมันกับสเปนเป็นผู้เข้าร่วม โครงการยานใต้น้ำต่อต้านทุ่นระเบิดเบลเยี่ยมเป็นเจ้าภาพ มีกรีซ ลัตเวีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส และโรมาเนียเข้าร่วม รวมทั้งโครงการ European Patrol Corvette หรือเรือคอร์เวตตรวจการณ์แห่งยุโรปซึ่งอิตาลีเป็นเจ้าภาพ โครงการนี้เองคือที่ไปที่มาบทความนี้ ผู้เขียนกล่าวถึงโดยคร่าวๆ ก่อนเพราะยังมีข้อมูลไม่มาก เน้นมาที่กองทัพเรืออิตาลีหลังปี 2020 เป็นหลักนะครับ

กองทัพเรืออิตาลีอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายครั้งใหญ่ มีการทยอยปลดประจำการเรือฟริเกตกับเรือคอร์เวต ซึ่งถือเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพออกไปทั้งหมด แล้วนำเรือรบรุ่นใหม่ทันสมัยกว่าเดิมเข้าประจำการแทน ลำแรกก็คือเรือฟริเกตอเนกประสงค์ชั้น FREMM ซึ่งผู้อ่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 6,500 ตัน ยาว 144 เมตร กว้าง 19.7 เมตร กินน้ำลึกสุด 5.1 เมตร จัดว่าเป็นเรือฟริเกตขนาดค่อนข้างใหญ่ลำหนึ่ง
ราชนาวีอิตาลีจัดหาเรือจำนวน 10 ลำ แบ่งเป็นรุ่นทั่วไป 6 ลำกับรุ่นปราบเรือดำน้ำ 4 ลำ ที่แตกต่างกันก็คือรุ่นปราบเรือดำน้ำมีโซนาร์ลากท้าย CAPTAS 4 ใช้ปืนใหญ่ 76/62 มม.จำนวน 2 กระบอก ติดตั้งระบบเป้าลวงตอร์ปิโด และมีจรวดปราบเรือดำน้ำ MILAS ด้วย (แต่จรวดต่อสู้เรือรบลดลงเพราะใช้แท่นยิงเดียววัน) ส่วนรุ่นทั่วไปมีแค่โซนาร์หัวเรือกับโซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิด ใช้ปืนใหญ่ 127/64 มม.กับ 76/62 มม.อย่างละ 1 กระบอก มีแค่ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำไว้ป้องกันตัว เหตุผลที่แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยเกี่ยวข้องกับภารกิจและหลักนิยม รวมถึงราคาเรือซึ่งรุ่นปราบเรือดำน้ำแพงกว่าพอสมควร

ในภาพคือเรือลำแรกสุดของโครงการชื่อ Carlo Bergamini และเป็นชื่อชั้นเรืออย่างเป็นทางการ ใช้หมายเลข F590 หมายถึงเป็นเรือฟริเกต สร้างครบ 10 ลำแล้วแต่ยังเข้าประจำการไม่ครบ นำมาทดแทนเรือฟริเกตชั้น Maestrale จำนวน 8 ลำ (ปลดประจำการแล้ว 3 ลำ ที่เหลือจอดเทียบท่าเป็นงานหลัก) กับเรือฟริเกตชั้น Lupo อีกจำนวน 4 ลำ (ปลดประจำการและขายต่อให้เปรูหมดแล้ว) ว่ากันตามภารกิจกับตำแหน่งในกองเรือตรงๆ นะครับ
เรือฟริเกตชั้น FREMM เป็นกระดูกสันหลังราชนาวียุคใหม่ มีจำนวนมากเพียงพอในการร่วมรบยามเกิดสงคราม แต่ไม่เพียงพอในการทำภารกิจยามปรกติ รวมทั้งอิตาลีมีเรือรบขนาดกลางอีกจำนวนหนึ่ง บางลำปลดประจำการแล้วบางลำถูกขายต่อไปแล้ว จำเป็นต้องหาเรือรบรุ่นใหม่นำมาทดแทนของเดิม โดยที่การจัดหาออกจะแปลกๆ ไปสักเล็กน้อย
โครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ หรือ Multipurpose Offshore Patrol Vessel หรือเรียกสั้นๆ ว่า PPA กำเนิดขึ้นมาเพื่อทดแทนเรือฟริเกตตรวจการณ์ชั้น Soldari จำนวน 4 ลำ (เรือฟริเกตชั้น Lupo ของอิรักที่ถูกแบนห้ามจัดส่ง อิตาลีจึงนำมาใช้งานเอง) กับเรือคอร์เวตชั้น Minerva อีก 8 ลำ เรือลำแรกชื่อ Paolo Thaon di Revel ปล่อยลงน้ำเรียบร้อยแล้วทดลองเดินเรือแล้ว และจะใช้ชื่อนี้เป็นชื่อชั้นเรืออย่างเป็นทางการ ชมภาพเรือตรวจการณ์ลำใหม่เอี่ยมกันก่อนดีกว่า

เรือใช้หมายเลข P430 หมายความว่าสังกัดกองเรือตรวจการณ์ มีความยาว 143 เมตร กว้าง 16.5 เมตร กินน้ำลึกสุด 5 เมตร ระวางขับน้ำบริษัทผู้ผลิตไม่ได้ระบุ ที่พอหาได้คือปรกติประมาณ 4,500 ตัน ติดปืนใหญ่ 127/64 มม.กับ 76/62 มม.อย่างละ 1 กระบอก โดยที่ปืนใหญ่ 76/62 มม.จะเป็นรุ่นใหม่ชื่อ Soveraponte และในภาพคือปืนกระบอกแรกของโลก กระสุนจำนวนหนึ่งได้ถูกบรรจุไว้ในป้อมปืน ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือเหมือนรุ่นเก่า
ปืนใหญ่ 76/62 ของอิตาลีขายดิบขายดีก็จริง ทว่าเจ้าของสินค้าเองไม่เคยนิ่งนอนใจ คู่แข่งสำคัญของพวกเขาคือปืนใหญ่ 57 มม.ของ Bofors นอกจากยิงได้เร็วกว่าเกือบสองเท่าแล้ว ยังใช้งานแบบไม่ต้องเจาะดาดฟ้าเรือได้ด้วย เพราะมีกระสุนอยู่ในป้อมปืนถึง 120 นัด แบ่งเป็น 3 แมกกาซีน แมกกาซีน ละ 40 นัด ถ้ายิงหมดแมกอาจเสียเวลาเปลี่ยนแมกใหม่ไปบ้าง แลกกับการไม่ต้องเจาะใต้ดาดฟ้าเรือให้เสียพื้นที่ Soveraponte กำเนิดขึ้นมาเพื่อต่อกรปืนใหญ่ 57 มม.ได้ดีกว่าเดิม
ต้องรอดูต่อไปว่ากระสุนนำวิถี DART ราคาแพงลิบแต่เขาว่าแม่นโคตร ถึงขนาดเทียบเท่าระบบป้องกันตนเองระยะประชิดแท้ๆ (หรือเปล่าผู้เขียนไม่แน่ใจ?) จะแย่งตลาดกระสุน 3P ซึ่งเลือกวิธีจุดชนวนได้ 6 รูปแบบได้มากน้อยแค่ไหน
เรือตรวจการณ์ PPA ยังมีปืนกลอัตโนมัติ 25 มม.อีก 2 กระบอก เท่ากับว่าเรือมีปืนขนาดต่างๆ ถึง 3 แบบ ไม่นับรวมปืนกล M2 ขนาด 12.7 มม. หรือปืนกลเบา MG42/59 ขนาด 7.62 มม.ซึ่งนำมาติดได้ทุกเมื่อ แค่อาวุธปืนอย่างเดียวผู้เขียนร้องกรี๊ดแล้วครับ สามารถโจมตีชายฝั่งระยะ 100 กิโลเมตรด้วยกระสุนต่อระยะขนาด 127/64 มม. จัดการกับจรวดต่อสู้เรือรบด้วยกระสุนนำวิถี DART ขนาด76/62 มม. หรือไล่สอยเรือยางท้องแข็งพลีชีพด้วยกระสุนธรรมดาขนาด 25 มม.
อิตาลีสั่งซื้อเรือรุ่นนี้จำนวน 7 ลำและอาจซื้อเพิ่มอีก 3 ลำ แบ่งเป็นรุ่น Full จำนวน 2 ลำ ติดเรดาร์ 3 มิติ KRONOS  รุ่น AESA ฝังเสากระโดง โดยใช้เรดาร์ C-Band กับ S-Band อย่างละ 4 ตัว มีแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 16 ท่อยิง สำหรับจรวดต่อสู้อากาศยาน Aster หรือจรวดโจมตีชายฝั่งระยะไกล Scalp Naval มีจรวดต่อสู้เรือรบ Otomat Mk2 อีก 8 ท่อยิง มีโซนาร์ลากท้าย CAPTAS 4 กับแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ มีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์  มีระบบเป้าลวงรุ่นมาตรฐาน มีเฮลิคอปเตอร์ EH101 พร้อมโรงเก็บถึง 2 ลำ ฉะนั้นแล้ว PPA รุ่น Full คือเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำดีๆ นี่เอง
ถัดมาคือรุ่น Light+ จำนวน 3 ลำ อาวุธบนเรือลดลงมาบ้าง ระบบปราบเรือดำน้ำกับจรวดต่อสู้เรือรบหายไป เรดาร์ AESA ฝังเสากระโดงเหลือแค่ C-Band สำหรับตรวจจับระยะไกล (360 กิโลเมตร) แต่ยังมีจรวดต่อสู้อากาศยาน Aster หรือจรวดโจมตีชายฝั่งระยะไกล Scalp Naval เหมือนเดิม และรุ่นสุดท้ายคือรุ่น Light อีกจำนวน 2 ลำ มีแค่ปืน 3 ขนาดไว้ป้องกันตัวเอง อนาคตอาจติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 16 ท่อยิง สำหรับจรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้รุ่นใหม่เอี่ยม เรดาร์ AESA ฝังเสากระโดงเหลือแค่ S-Band สำหรับตรวจจับระยะใกล้ ลำนี้แหละครับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งตัวจริงเสียงจริง
เรือ PPA ไม่ได้ออกแบบลดการสะท้อนเรดาร์ เน้นมาทางความอเนกประสงค์เสียมากกว่า กลางเรือใส่เรือเล็กขนาด 15 เมตรได้ หรือถอดเครนเดวิดออกเพื่อใส่ตู้คอนเทนเนอร์เอนกประสงค์ 8 ตู้ (มีเครนขนาดใหญ่กลางเรือ) ท้ายเรือมี Mission Bay ขนาดใหญ่โตทันสมัย มี Stern Ramp สำหรับเรือยางท้องแข็งขนาด 11 เมตร วางตู้คอนเทนเนอร์เอนกประสงค์ได้อีก 5 ตู้ บางภารกิจอาจใส่ยานใต้น้ำไร้คนขับหรืออุปกรณ์ในการปราบทุ่นระเบิด กราบซ้ายมีพื้นที่สำหรับติดตอร์ปิโดขนาด 533 มม.รุ่น Black Shark สามารถยิงได้ทั้งเรือดำน้ำหรือเรือผิวน้ำที่ระยะไกลสุด 50 กิโลเมตร
โครงการ PPA ซึ่งมีสโกแกนสั้นๆ ว่า ‘One Size Fits All’ และแปลยาวๆ ว่า สามารถทำหน้าที่ทดแทนเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศ ไล่ลงมาถึงเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นเก่าทั้งหมด โครงการนี้จะสำเร็จเรียบร้อยในปี 2035 ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนไม่มีอะไรขัดขวาง (อาทิเช่นไวรัสถล่มโลกจนต้องสั่งปิดประเทศ) ราชนาวีอิตาลีในปี 2035 จะเป็นไปตามนี้

ผู้เขียนขอนับเฉพาะแค่เรือรบ กองเรือบรรทุกเครื่องบินมีเรือ 1 ลำ กองเรือยกพลขึ้นบกมีเรือ 4 ลำ กองเรือพิฆาตมีเรือ 4 ลำ กองเรือฟริเกตมีเรือ 10 ลำ และกองเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งมีเรือ 7+8=15 ลำ โดยเป็นเรือจากโครงการ PPA 7 ลำ กับเรือจากโครงการใหม่ของ PESCO อีก 8 ลำ ใช้ชื่อว่าโครงการเรือคอร์เวตตรวจการณ์แห่งยุโรป หรือ European Patrol Corvette Program หรือ EPC อันเป็นที่มาบทความที่ต้องเกริ่นนำยาวที่สุดในอาเซียน
ภาพถัดไปเป็นช่วงเวลาปลดประจำการเรือ ของกองทัพเรืออิตาลีซึ่งผู้เขียนได้มานานมากแล้ว ออกตัวเล็กน้อยว่าอาจไม่ตรงข้อเท็จจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เรือฟริเกตชั้น Maestrale บางลำปลดก่อนและบางลำปลดหลัง ผู้เขียนตรวจสอบพบว่าส่วนใหญ่คลาดเคลื่อนไม่เกิน 2 ปี เพราะฉะนั้นอยากให้ดูเป็นข้อมูลประกอบเนื้อหาบทความ

ขีดเส้นใต้สีเหลืองคือเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชั้น Cassiopea เรือทั้ง 4 ลำปลดประจำการในปี 2022-2023 ส่วนขีดเส้นใต้สีแดงคือเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชั้น Comandati เรือทั้ง 4 ลำปลดประจำการในปี 2023-2025 และขีดเส้นใต้สีน้ำเงินคือเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชั้น Sirio เรือ 2 ลำปลดประจำการในปี 2024-2025 เท่ากับว่าอิตาลีใช้เวลาเพียง 4 ปีเท่านั้น ในการล้างบางกองเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 10 ลำ ให้หายไปจากโลกเบี้ยวๆ ใบนี้หน้าตาเฉย
ตรงนี้แหละครับที่ผู้เขียนไม่มั่นใจ ระยะเวลาสั้นเกินไปในการหาเรือใหม่ทดแทน คาดว่าเรือหลายจะประจำการต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเรือ PPA เข้าประจำการในจำนวนเพียงพอ จากนั้นเรือที่ยังเหลือจะถูกแทนที่ด้วยเรือคอร์เวต EPC
กองทัพเรืออิตาลีเป็นชาติแรกๆ ที่ใช้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง เรือลำแรกของพวกเขาคือเรือตรวจการณ์ชั้น Cassiopea ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,500 ตัน เข้าประจำการในปี 1989 ใช้ปืนใหญ่ 76/62 รุ่น Allargato จากเรือคอร์เวตรุ่นเก่า กับปืนกลขนาด 25 มม.ไว้ป้องกันตัว มีลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ทำหน้าที่ดูแลเรือประมงของตัวเองไม่ให้ถูกคุกคาม นี่คือต้นแบบที่เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเกือบทั้งหมดในปัจจุบัน และเป็นเรือลำแรกที่ต้องปลดประจำการตามแผน
ลำถัดไปคือเรือชั้น Comandati ซึ่งค่อนข้างทันสมัย มีระวางขับน้ำ 1,520 ตัน ยาว 88.4 เมตร กว้าง 12.2 เมตร กินน้ำลึก 3.4 เมตร ถูกออกแบบให้ลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์ โดยการสร้าง Superstructure ปิดกราบเรือทั้งสองข้างอย่างมิดชิด ช่องนำเรือเล็กออกมีแผ่นเหล็กปิดกั้นอย่างดี ติดตั้งปืนใหญ่ 76/62 STRALES ซึ่งเป็นรุ่นทันสมัยที่สุด โดยมีปืนกล 25 มม.เป็นปืนรอง มาพร้อมเรดาร์กับระบบสื่อสารทันสมัย มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์แบบพับเก็บได้ กับลานจอดรองรับเฮลิคอปเตอร์ NH90

และลำสุดท้ายคือเรือชั้น Sirio ซึ่งใช้แบบเรือเดียวกับเรือชั้น Comandati  แต่ไม่ติดปืนใหญ่ 76/62 มม.กับเรดาร์ควบคุมการยิง แต่นำปืนฉีดน้ำแรงดันสูงมาใช้งานแทน ไม่มี Superstructure ปิดกราบเรือทั้งสองข้าง เปิดโล่งเหมือนเรือหลวงปัตตานีพูดง่ายๆ ให้เห็นภาพ ใช้เครื่องยนต์กำลังน้อยกว่าความเร็วน้อยกว่า ทำให้มีราคาถูกกว่าเรือน้องสาวพอสมควร
เรือทั้ง 10 ลำจะถูกแทนที่ด้วยเรือคอร์เวต EPC จำนวน 8 ลำ ไม่แน่ใจว่าอิตาลีใช้หมายเลขเรือว่า F หรือ P กันแน่ ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือปลดจริงตามแผนหรือไม่ และชาติไหนจะซื้อเรือซึ่งมีอายุเพียง 20 ปีไปใช้ต่อ เดาเล่นๆ ว่าเรือชั้น Cassiopea ถูกปลดตามแผน เรือชั้น Sirio ถูกขายต่อให้ลูกค้าประจำ (เปรู เวเนซูเอลา บังคลาเทศ ) ส่วนเรือชั้น Comandati ใช้งานต่อไปอีกหลายปี จนกว่าเรือ PPA จะเข้าประจำการในจำนวนมากเพียงพอ
ถึงตรงนี้พอมองเห็นภาพรวมแล้วนะครับ กลับมาที่นางเอกของบทความกันบ้าง บริษัท Fincantieri มีแบบเรือในมือรองรับความต้องการ เป็นเรือคอร์เวตรุ่นใหม่ระวางขับน้ำ 2,800 ตัน ยาว 107 เมตร กว้าง 14.4 เมตร ออกแบบลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์แบบ Full Stealth ติดอาวุธแบบเรือคอร์เวตรุ่นใหม่คือไม่มีระบบปราบเรือดำน้ำ มีแค่โซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิดซึ่งปัจจุบันค่อนข้างสำคัญมาก แต่มิตรรักแฟนเพลงส่วนใหญ่มองข้ามอยากได้อาวุธล้นลำมากกว่า

Fincantieri เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มีอู่ต่อเรือทั่วประเทศ นอกจากกองทัพเรืออิตาลียังมีลูกค้าอื่นจำนวนมาก โดยเฉพาะตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ พวกเขามีสินค้าดีๆ อยู่ในมือค่อนข้างเยอะ รวมทั้งเรือคอร์เวตอเนกประสงค์ซึ่งเสนอให้กับกองทัพเรือ แต่ทว่าบังเอิญหาผู้โชคดีรายแรกได้เสียก่อน เดือนกันยายน 2017 กองทัพเรือกาตาร์ขอซื้อเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบ 1 ลำ เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง 2 ลำ และเรือคอร์เวตป้องกันภัยทางอากาศอีก 4 ลำ ในวงเงิน 5.9 พันล้านเหรียญซึ่งไม่ทราบว่ารวมอะไรบ้าง ผู้อ่านไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นมุ่งมาที่เรือคอร์เวตอย่างเดียว
นี่คือโมเดลเรือคอร์เวตป้องกันภัยทางอากาศ Fincantieri ใช้แบบเรือที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุงให้ทันสมัย ระวางขับน้ำ 3,2500 ตัน ยาว 107 เมตร กว้าง 14.7 เมตร ติดปืนใหญ่ 76/62 Super Rapid 1 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติ Merlin 30 มม. 2 กระบอก จรวดต่อสู้เรือรบ Exocet MM40 8 นัด จรวดต่อสู้อากาศยานระยะไกล Aster-30 16 นัด จรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ RAM อีก 21 นัด ใช้เรดาร์ 3 มิติ KRONOS Grand-N ทำงานร่วมกับจรวดทั้ง 2 แบบอย่างเต็มประสิทธิภาพ

เรือใช้ปล่องระบายความร้อน 2 ปล่องเรียงกัน แต่ติดที่กราบซ้ายกราบขวาไม่ตรงกันตามสไตล์ยุโรป ข้อดีก็คือมีที่ว่างติดปืนกล 30 มม.ได้ ข้อเสียก็คือการออกแบบภายในวุ่นวายกว่าเดิม เรือลำนี้ไม่มีโซนาร์ตรวจจับเรือดำน้ำกับตอร์ปิโดเบา ตามสมัยนิยมซึ่งเดี๋ยวนี้เริ่มลามมาถึงเรือฟริเกตบางลำ กาตาร์เน้นป้องกันภัยทางอากาศจึงตัดระบบปราบเรือดำน้ำทิ้ง
สัญญาสั่งซื้อเสร็จสมบรูณ์ในกันยายน 2017 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2020 มีพิธีปล่อยเรือคอร์เวตลำแรกลงน้ำที่อิตาลี และนี่คือภาพเรือคอร์เวตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Doha ของกาตาร์ อย่าว่าผู้เขียนบ้าเห่ออะไรเลยนะครับ เวลาเขียนชื่อเต็มๆ แล้วมันรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ป้องกันภัยทางอากาศต้องใช้จรวด Aster-30 หรือ SM-2 ไม่ใช่มีแค่ ESSM แล้วมาทำเนียน

งานออกมาดีมากสมเป็นอิตาลี ใช้เวลาสร้างเรือค่อนข้างเร็วจนน่าตกใจ เรือคอร์เวตของกาตาร์เล็กกว่าเรือฟริเกตของเรา 400 ตัน หัวเรือแบนราบมีการหักมุมลงเล็กน้อย เวลาผูกเรือต้องเปิดช่องใต้ดาดฟ้าเพื่อโยนเชือก ใช้เรดาร์กับระบบสงครามอีเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ล่าสุด ราคาแพงแต่ทว่างานดีมีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งเหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
หลังขายเรือให้กาตาร์ได้ไม่กี่เดือน อิตาลีตั้งโครงการ European Patrol Corvette ขึ้นมา พร้อมกับเชื้อเชิญประเทศในกลุ่ม PESCO ให้มาเข้าร่วม แค่เพียงไม่นานพวกเขาได้เหยื่อคนคุ้นเคยหน้าเดิม กองทัพเรือฝรั่งเศสซึ่งเคยร่วมงานกับอิตาลีมาแล้วหลายครั้ง ทั้งโครงการเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศหรือเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ ฝรั่งเศสต้องการเรือรบรุ่นใหม่มาแทนที่เรือฟริเกตชั้น Floreal จำนวน 6 ลำ ซึ่งเริ่มเข้าประจำการตั้งแต่ปี 1992 อายุเข้าสู่วัยชราเสียแล้ว
บริษัท Fincantieri ของอิตาลี กับบริษัท Naval Group ได้รวมตัวกันเฉพาะกิจในชื่อ Naviris เพื่อจัดการโครงการ European Patrol Corvette อย่างจริงๆ จังๆ นี่คือภาพแบบเรือในโครงการซึ่งมีการเปิดเผยผ่านเว็บบอร์ดอิตาลี
เป็นแบบเรือเวอร์ชันอิตาลีเท่านั้น ระวางขับน้ำ 3,000 ตัน ยาว 110 เมตร กว้าง 15.2 เมตร กินน้ำลึกสุด 5.2 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการณ์ 4,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ติดตั้งปืนใหญ่ 76/62 STRALES กับปืนกลอัตโนมัติ 25 มม. ใช้เรดาร์ 3 มิติ KRONOS Grand-N ทำงานคู่กับจรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้รุ่นใหม่ โดยมีแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อ มีโซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิด มีช่องปล่อยเรือเล็กสองกราบเรือจำนวน 4 จุดด้วยกัน ลานจอดและโรงเก็บสำหรับเฮลิคอปเตอร์ NH90 ท้ายเรือน่าจะมี Stern Ramp สำหรับเรือยางท้องแข็งอีก 1 ลำ

อิตาลีแบ่งเรือออกเป็น 2 รุ่นย่อย รุ่นสูงจะติดจรวดต่อสู้เรือรบอีก 4 นัด และอาจมีโซนาร์ลากท้าย Towed Array System ทำงานโหมด Passive เพิ่มเข้ามา แต่ไม่มีตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำบนเรือ (ใช้เฮลิคอปเตอร์บินไปจัดการหย่อน) ส่วนรุ่นต่ำกว่ายังติดจรวดต่อสู้อากาศยานอยู่ดี มีระบบเรดาร์ ระบบเป้าลวง ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ครบครัน
แบบเรือถูกปรับปรุงจนดูแตกต่างจากต้นฉบับ อย่างแรกใช้ปล่องระบายความร้อนแบบท่อคู่ ตั้งอยู่กลางเรือเพียงจุดเดียวเท่านั้น มีเสากระโดงเรืออันที่สองใหญ่กว่าเดิม เพราะเสากระโดงหลักใส่ลูกโลกกลมๆ ป้องกันเรดาร์ 3 มิติไว้ ติดอุปกรณ์สื่อสารกับระบบตรวจจับสัญญาณเรดาร์ไม่สะดวก ต้องแยกมาติดต่างหากพร้อมเรดาร์เดินเรือช่วยนำร่องอากาศยาน
ความต้องการแรกของอิตาลีคือ 8 ลำประจำการลำแรกในปี 2027 ส่วนฝรั่งเศสต้องการ 3 ลำประจำการลำแรกในปี 2030 ต่อมาไม่นานกองทัพเรือกรีซขอร่วมโครงการด้วย พวกเขาต้องการ 2 ลำทำให้มียอดรวมอยู่ที่ 13 ลำ แต่เหตุการณ์ยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ ต้นปี 2020 สเปนให้ความสนใจเข้าร่วมอีกหนึ่งชาติ รวมทั้งฝรั่งเศสกับกรีซต้องการสร้างเรือมากกว่าเดิม มีการประมาณการณ์กันอย่างคร่าวๆ ว่า ถ้าสเปนเซ็นสัญญาร่วมโครงการจริงจะมียอดรวมถึง 20 ลำ
มีเรื่องหนึ่งซึ่งผู้เขียนแปลกใจเล็กน้อย ทั้งฝรั่งเศสและสเปนมีแบบเรือคอร์เวตในมืออยู่แล้ว มีความทันสมัยไม่แพ้กันขายดิบขายดีเช่นกัน มีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนมากมายหลายชาติ ครั้นพอตัวเองสร้างเรือกลับมารวมกับอิตาลีเฉยเลย อาจเป็นเพราะจำนวน 20 ลำทำให้เรือมีราคาถูกกว่าเดิม ในสภาวะที่ทุกประเทศเศรษฐกิจไม่ดีเท่าที่ควร อิตาลีเองใช้คำว่าย่ำแย่ก็คงไม่น่าเกลียด ยิ่งมาเจอไวรัสถล่มโลกเข้าไปยิ่งหนักหนาสาหัส และอาจเป็นเพราะเรือมีช่องปล่อยเรือเล็กถึง 4 ช่อง
ก่อนพูดถึงประเด็นนั้นอยากให้ดูของเล่นใหม่ จรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้รุ่นล่าสุดของอิตาลีชื่อว่า CAMM-ER กองทัพบกกับกองทัพอากาศนำมาทดแทนจรวด Aspide 2000 ส่วนกองทัพเรือนำมาทดแทนจรวด Aster-15 หมายความว่าจรวด Aspide 2000 ต้องกลับบ้านเก่าแน่นอน ส่วนจรวด Aster-15 อาจไม่สั่งซื้อเพิ่มอีกต่อไปแล้ว

จรวดต่อสู้อากาศยาน CAMM-ER มีระยะยิงไกลสุด 45 กิโลเมตร โดยการนำจรวด CAMM หรือ Sea Ceptor มาปรับปรุงเพิ่มเติม ใส่ครีบกันโคลงแบบพับไม่ได้เพิ่มเข้ามา (ครีบบังคับทิศทางยังคงพับได้เหมือนเดิม) ติดบูตเตอร์ท้ายจรวดเพิ่มระยะทางให้ไกลกว่าเดิม ใส่แท่นยิงแนวดิ่ง Sylver ได้ 2 นัดต่อหนึ่งท่อ ขณะที่ Aster-15 ใส่ได้แค่หนึ่งนัดต่อหนึ่งท่อ ราคาจรวดอาจไม่ต่างกันสักเท่าไรก็จริงอยู่ แต่สามารถเพิ่มจำนวนจรวดได้มากขึ้นถึงสองเท่าตัว
เรือตรวจการณ์ PPA รุ่น Light กับเรือคอร์เวต EPC จะได้ใช้จรวด CAMM-ER เป็นชุดแรก ส่วนจะเลยไปถึงเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ เรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศ เรือบรรทุกเครื่องบินติดสกีจัมป์ และเรือยกพลขึ้นดาดฟ้าเรียบลำใหม่หรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไปในอนาคต แปลกดีเหมือนกันที่อิตาลีใช้จรวดอังกฤษ แต่ก็อย่างว่าเขาต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
จรวดต่อสู้อากาศยาน CAMM-ER ยังขอท้าเบียดจรวด ESSM ได้ด้วย เพราะมีระยะยิงใกล้เคียงกันมาก ไม่ต้องใช้เรดาร์ควบคุมการยิงก็จริง เพียงแต่ราคาจะสูงกว่ากันอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานล่ะครับว่าชอบแบบไหน ปริมาณที่ใส่ต้องน้อยกว่ากันอยู่แล้ว แต่อย่างที่รู้ว่าชาติเล็กๆ ไม่ค่อยมีเงินซื้อจรวด ใช้แท่นยิง Mk-41 8 ท่อโอกาสใส่ ESSM ครบทั้ง 32 นัดแทบเป็นไปไม่ได้ ใช้แท่นยิงแนวดิ่ง Sylver 8 ท่อและใส่ CAMM-ER 16 นัดยังน่ารักน่าลุ้นกว่าเยอะ
มาถึงประเด็นปิดท้ายก่อนจบบทความ ประมาณ 10 ปีที่แล้วทั่วโลกต่างฮิตคำว่า Mission Bay ขึ้นมา แล้ว Mission Bay คืออะไร? พูดง่ายๆ ก็คือพื้นที่ใช้งานอเนกประสงค์ เพิ่มเติมขึ้นมาจากพื้นที่บนดาดฟ้าเรือตามปรกติ ซึ่งเรือรบส่วนใหญ่ใช้ติดอาวุธจนแทบไม่เหลือ จึงหันมามองพื้นที่ท้ายเรือใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ในอดีตไว้ชมพระอาทิตย์ตกดินกับโยงเชือกผูกเรือ (นึกถึงเรือหลวงตากสินเข้าไว้) ถ้าทันสมัยหน่อยอาจใส่โซนาร์ลากท้ายเข้าไป จุดนี้แหละครับที่ได้ถูกพัฒนาเพิ่มเติม
Mission Bay รุ่นแรกจะเป็นประมาณนี้ ภาพซ้ายมือเป็นท้ายแบบเรือ Spartan Project ของบริษัท Steller Systems มี Stern Ramp สำหรับเรือยางท้องแข็ง 1 ลำ มีเครนบนหลังคาขนาดใหญ่ สำหรับยกเรือยางเข้ามาเก็บด้านใน หรือยกตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์มาไว้ด้านลึกสุด ส่วนภาพขวามือมาจากเรือ LCS ชั้น Freedom ของอเมริกา ไม่มี Stern Ramp แต่มีเครนบนหลังคาขนาดใหญ่มาก ยึดออกมานอกตัวเรือค่อนข้างเยอะ ในภาพกำลังหิ้วยานผิวน้ำไร้คนขับต่อต้านทุ่นระเบิด

ผู้อ่านเห็นเหมือนที่ผู้เขียนเห็นไหมครับ เรือทั้งสองลำมีท้ายเรือค่อนข้างสูงมาก เนื่องจากต้องยัด Mission Bay ขนาดใหญ่ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ สำหรับเรือชั้น Freedom ไม่มีปัญหามากนัก เพราะถูกออกแบบให้สูงกว่าเรือทั่วไปอยู่แล้ว แต่ Spartan Project กลายเป็นเรือท้ายโด่งไปเลย Mission Bay มีข้อดีคือเรื่องความสวยงาม แยกเป็นเอกเทศและไม่กินพื้นที่ส่วนอื่น แต่แอบมีข้อเสียนับรวมกันได้หลายข้อ
1 ราคาสร้างเรือแพงขึ้นแน่นอน ยิ่งออปชันเยอะยิ่งราคาแพงกระหน่ำ
2 ต้องแก้ไขหลักอากาศพลศาสตร์กันอีกพอสมควร
3 การนำตู้คอนเทนเนอร์เข้าและออกยากมาก มีโอกาสที่จะผิดพลาดสูง และต้องหันท้ายเรือเข้าหาท่าเรือ
4 ถ้าเครนใช้งานไม่ได้คือจบทันที เรือยางอาจแบกลงมาที่ Stern Ramp ได้ แต่ตู้คอนเทนเนอร์จะค้าคางอยู่แบบนั้น
5 เนื่องจากอยู่ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ อาจได้รับผลกระทบจากแรงกระแทกระหว่างลงจอด หรืออุบัติเหตุต่างๆ เพราะด้านบนเป็นจุดใช้งานบ่อยครั้ง ส่งผลมายังจุดอ่อนสำคัญก็คือเครนหลังคาสำหรับยกของ
 ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ ที่อ้างถึง ทำให้ Mission Bay ท้ายเรือไม่ค่อยได้รับความนิยม ที่เห็นว่ามาแน่นอนคือเรือตรวจการณ์ PPA ของอิตาลี กับเรือคอร์เวตขนาด 3,900 ตันของฟินแลนด์ ซึ่งใช้ Mission Bay วางทุ่นระเบิดเป็นภารกิจสำคัญ ส่วนที่เหลือยังเป็นเรือกระดาษไม่มีคนกล้าซื้อ โดยเฉพาะเรือประเภท Crossover รุ่นใหม่หลายลำ ต้องนำเฮลิคอปเตอร์ลงลิฟต์มาเก็บใน Mission Bay เนื่องจากไม่มีโรงเก็บเพื่อให้มีลานจอดกว้างๆ ดูจากทรงแล้วน่าจะหาผู้โชคร้ายลำบากมาก
การใส่ Mission Bay ท้ายเรือมีความยุ่งยากและมีราคาแพง อังกฤษจึงออกแบบ Mission Bay รุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้งานบนเรือฟริเกตชั้น Type 26 ของตัวเอง ตอนเรือลำนี้เปิดตัวในปี 2011 ยังใช้ Mission Bay ท้ายเรืออยู่เลย ครั้นพอเป็นลำจริงถูกโยกย้ายมาอยู่กลางเรือ เลือกพื้นที่โล่งๆ ไม่มีอะไรบังประมาณ 20 เมตร วางเรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับขนาดไม่เกิน 15 เมตรได้ 4 ลำ หรือจะเป็นตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ 4 ตู้กับเรือยางท้องแข็ง 11 เมตรอีก 2 ลำก็ได้ มีเครนขนาดใหญ่ซึ่งถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ช่วยเหลือในการยกเรือและหรือตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นลงจากเรือ

Mission Bay ยังเชื่อมต่อกับโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ นำอากาศยานไร้คนขับขนาดใหญ่มาจอดได้ จะรุ่นปีกแข็งหรือรุ่นปีกใบพัดกรุณายัดมาเลยครับ ในภาพมาจากแบบเรือฟริเกตลำใหม่ของแคนาดา (ใช้แบบเรือ Type 26 ของอังกฤษ) บริเวณกราบซ้าย (ขวามือของภาพ) มีช่องปล่อยเรือเล็กอีก 1 ลำ ฉะนั้นถ้าบ้าพลังใส่เรือยางได้มากถึง 5 ลำ Mission Bay กลางเรือราคาถูกกว่าและใช้งานสะดวกกว่าท้ายเรือ โดยมีข้อแม้ว่าเรือต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร รวมทั้งถูกออกแบบให้มี Mission Bay ตั้งแต่เริ่มทำพิมพ์เขียว นำมาปรับปรุงเพิ่มเติมทีหลังผู้เขียนคิดว่าไม่เหมาะสม
มาถึงตัวอย่างสุดท้ายคือ Mission Bay รุ่นประหยัด โดยการออกแบบให้มีช่องปล่อยเรือเล็กฝั่งละ 2 จุด ใส่เครนบนหลังคาเข้าไปทั้ง 2 จุดหรือจุดเดียวก็ได้ เวลาปรกติใส่เรือยางท้องแบนไปตามท้องเรื่อง แต่ถ้าต้องการทำภารกิจต่อต้านทุ่นระเบิด ให้ถอดเรือยางฝั่งซ้ายมือออกไปทั้งหมด ช่องแรกใส่ยานใต้น้ำไร้คนขับหรือยานใต้น้ำกวาดทุ่นระเบิด ช่องที่สองใส่คอนเทนเนอร์สำหรับเจ้าหน้าที่ควบคุม หรือจะใช้ติดตั้งปืนกล 20 มม.เพิ่มในภารกิจปราบโจรสลัดก็ได้

แค่มีช่องปล่อยเรือพร้อมเหล็กปิดซึ่งใช้เงินไม่มาก เท่านี้คุณก็สามารถทำภารกิจได้ทุกสภาวะอากาศ ไม่จำเป็นต้องตากแดดตากฝนหรือตากหิมะ ตัวอย่างในภาพก็คือเรือฟริเกตชั้น Leander ของบริษัท Bae System ประเทศอังกฤษ ส่งเข้าร่วมชิงชัยโครงการเรือฟริเกต Type 31e แต่พ่ายแพ้ต่อคู่แข่งซึ่งมีช่องปล่อยเรือเล็กฝั่งละ 2 จุดเช่นกัน
เรือคอร์เวตในโครง EPC ก็มี Mission Bay รุ่นประหยัด นี่คือแนวคิดใหม่เอี่ยมที่สมควรจับตามอง ไม่อย่างนั้นอาจตกขบวนรถไฟไปอีกหลายปี ผู้เขียนขอนำเสนอเล็กน้อยพอเป็นน้ำจิ้ม วันนี้ต้องกล่าวอำลากันตรงนี้สวัสดีรอบวงครับ J
                    -------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก
รายงานเรื่อง : Permanent Structured Cooperation (PESCO)'s projects
รายงานเรื่อง : Piano di dismissioni delle Unità Navali entro il 2025
รายงานเรื่อง : Stato Maggiore Marina VII Reparto Navi





วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563

Type 31e General Purpose Frigate


โครงการเรือฟริเกต Type 31e แห่งราชนาวีอังกฤษ

ปี 2010 ราชนาวีอังกฤษเริ่มต้นโครงการสำคัญอีกโครงการหนึ่ง คือการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่แทนที่เรือฟริเกตชั้น Type 23 เรือลำใหม่ถูกตั้งชื่อว่า ‘Type 26 Global Combat Ship’ โดยเปลี่ยนชื่อมาจาก The Future Surface Combatant (FSC) ซึ่งเริ่มศึกษาข้อมูลตั้งแต่ปี 1998 กำหนดราคาไว้ที่ 500 ล้านปอนต่อเรือหนึ่งลำ ต่อมามีการลดขนาดเรือและลดราคาลงมาอยู่ที่ 350 ล้านปอนด์ต่อลำ เห็นถูกๆ ขนาดนี้ยังได้เรือขนาด 5,400 ตันเชียวนะครับ
เอาเข้าจริงเมื่อโครงการเป็นรูปเป็นร่างในปี 2016 เรือฟริเกต Type 26 Global Combat Ship มีระวางขับน้ำปรกติ 6,900 ตัน ระวางขับน้ำสูงสุดถึง 8,000  ตัน กองทัพเรืออังกฤษต้องการจัดหา 13 ลำในวงเงิน 11.5 พันล้านปอนด์ แพงกว่าราคาประมาณการณ์ไปไกลลิบลับ จำเป็นต้องลดจำนวนเรือเหลือเพียง 8 ลำในวงเงิน 8 พันล้านปอนด์ ตามสภาวะเงินเฟ้อ ปริมาณเรือที่ลดน้อยลง และการบานปลายของงบประมาณ (ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของทุกโครงการ)
หมายความว่าอังกฤษจะมีเรือฟริเกตน้อยกว่าแผนการ แน่นอนว่าพวกเขาจะมีปัญหาหลายอย่างตามมา จำเป็นต้องงัดแผนสองคือจัดหาเรือฟริเกตรุ่นอื่นเพิ่มเติม กำหนดให้มีขนาดเล็กลงติดอาวุธน้อยกว่าเดิม รัฐบาลได้ตั้งวงเงินไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋วว่า เรือฟริเกตจำนวน 5 ในราคา 1.25 พันล้านปอนด์หรือลำละ 250 ล้านปอนด์นั่นเอง



นี่คือที่มาเรือฟริเกตชั้น Type 31 อันเป็นโครงการที่เต็มไปด้วยปัญหาแปลกๆ ต่างจากเรือฟริเกต Type 26 ซึ่งวางแผนทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม เรือลำใหม่คนใช้งานไม่อยากได้สักเท่าไร ฝายคนขายก็ไม่ทันตั้งหลักไม่มีสินค้าในมือ แต่ในเมื่อมีส้มหล่นตรงหน้าทุกคนต้องรีบไขว่คว้า ผู้เขียนได้รวบรวมแบบเรือทั้งหมดในโครงการมาให้ชมกันอย่างจุใจ
            โครงการ ‘Type 31e General Purpose Frigate’ เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2017 รัฐบาลอังกฤษได้ส่ง Request For Information (RFI) ไปยังบริษัทสร้างเรือในประเทศ เนื้อหาใน RFI ไม่ชัดเจนแจ่มแจ๋วสักเท่าไร หลักๆ ก็คือต้องการเรือ 5 ลำในวงเงิน 1.25 พันล้านปอนด์ เรือลำแรกพร้อมเข้าประจำการปี 2023 รายละเอียดทั้งหมดจัดแสดงตามภาพนี้เลยครับ



อย่างที่รู้ว่าราคาเรือค่อนข้างถูก ฉะนั้นแล้วดาดฟ้าเรือจะค่อนข้างโล่งตามราคา ระบบอาวุธบนเรือฟริเกต Type 31e คร่าวๆ ก็คือ ปืนหลักกับปืนรองซึ่งไม่ได้ระบุรุ่น โดยที่ปืนรองใช้เป็นระบบอาวุธป้องกันระยะประชิดหรือ CIWS ได้ (ตามที่ราชนาวีอังกฤษต้องการนะครับ) มีจรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้หรือ Point Defence Missile System ติดตั้งโซนาร์หัวเรือได้ (แต่ไม่ชัดเจนว่าติดมาเลยไหม) และมีพื้นที่รองรับโซนาร์ลากท้าย Towed Array Sonar ในอนาคต
นอกจากนี้ก็เป็นระบบเรดาร์ ระบบอำนวยการรบ ระบบสื่อสาร และระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ต้องมีบนเรือทว่ายังไม่ได้จำเพราะเจาะจงชัดเจน ไม่มีจรวดต่อสู้เรือรบติดตั้งเหมือนเรือรบทั่วไป แต่มีพื้นที่รองรับแท่นยิงแนวดิ่งสำหรับจรวดโจมตีชายฝั่งระยะไกล มีเรื่องน่าแปลกใจเกี่ยวข้องกับอากาศยาน คือต้องมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์รุ่น Merlin ขนาด 15 ตัน แต่โรงเก็บกลับกลายเป็นรุ่น Wildcat หรือขนาดไม่เกิน 10 ตัน เรามาเมากาวไปพร้อมกับคนอังกฤษสักสองวัน
ลานจอดกับโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ผู้เขียนรับได้ เพราะไม่ใช่เรือฟริเกตหลักมีเท่าไรก็ใช้เท่านั้น บังเอิญคนอื่นเขาไม่คิดแบบนี้สิครับ จึงโดนคนทั้งยุโรปล้อเลียนเป็นที่สนุกสนาน แต่ก็แค่พอขำๆ ไม่ได้ขนาดเอาเป็นเอาตาย ข้อมูลที่เหลือก็ทั่วๆ ไปไม่มีอะไรสำคัญ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพบแบบเรือทั้งหมดกันเลยดีกว่าครับ
VENATOR-110
เรือลำแรกมาจากบริษัท BMT Defence Services ประเทศอังกฤษ ถือกำเนิดตั้งแต่ปี 2012 ประมาณ 5 ปีก่อนเริ่มโครงการ ระวางขับน้ำ 4,000 ตัน ยาว 117 เมตร กว้าง 18 เมตร กินน้ำลึก 4.3 เมตร ทั้งปืนหลัก จรวดต่อสู้อากาศยาน และจรวดต่อสู้เรือรบกองรวมกันหน้าสะพานเดินเรือ คือใช้หลักการเดียวกันกับเรือฟริเกตชั้น Type 23 และเรือพิฆาตชั้น Type 45 กลางเรือกับท้ายเรือมีจุดติดอาวุธฝั่งละ 2 จุด มีลานจอดกับโรงเก็บสำหรับเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลาง



            คอนเซ็ปต์ของเรือลำนี้ก็คือ Flexible and Affordable ท้ายเรือมี Mission Bay รองรับเรือยางท้องแข็ง RHIB ได้อีก 2 ลำ (รวมเป็น 4 ลำ) ภายในเรือมีความทันสมัยต่างจากเรือรุ่นเก่า เพียงแต่หัวเรือไม่สูงเท่าไรเมื่อเทียบกับเรือลำอื่น ตีแผ่นเหล็กแทนเสากันตกเพื่อกันคลื่นลมด้านหน้าเรือ ลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่
นอกจากติดตั้งเรดาร์และระบบอำนวยการรบอังกฤษแล้ว ยังมีรุ่นใช้เรดาร์กับระบบอำนวยการรบจากสวีเดนได้ด้วย โดยใช้อาวุธจากสวีเดนกับปืนใหญ่ 76/62 ของอิตาลี ใส่ปืนกล 40 มม.ท้ายเรือ 2 กระบอก ใส่จรวดต่อสู้อากาศยาน SIMBAD-RC กลางเรืออีก 2 แท่นยิง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรือสามารถดัดแปลงปรับปรุงได้ง่ายดาย
เห็นหน้าคร่าตาครั้งแรกหลายคนบอกว่า นี่แหละเรือฟริเกตลำใหม่ของอังกฤษ ต้องเป็นลำนี้แน่นอนต่อร้อยบาทเอาขี้หมากองเดียว แต่ผู้เขียนค้านแบบหัวชนฝาว่าไม่น่าใช่นะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นสงสัยไหมครับ เพราะเรือลำนี้เหมือนเรือรบน้อยที่สุด เป็นเรือที่สานต่อจากโครงการเรือสลูปอเนกประสงค์ ซึ่งอังกฤษเคยอยากมีอยากได้เมื่อนานมานี้ รูปร่างหน้าตาคล้ายเรือตรวจการณ์มากกว่าเรือฟริเกต ควรอยู่เฝ้าบ้านมากกว่าออกไปล่อมือล่อเท้าที่อ่าวเปอร์เซีย
ถึงมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือฟริเกตลำใหม่ของเราก็ตาม แต่ BMT ระบุเองว่า VENATOR-110 เป็น Light Frigate มีรุ่น Patrol Frigate กับ Patrol Ship ซึ่งติดอาวุธน้อยลงให้เลือกใช้งาน รวมทั้งผู้เขียนพยายามส่องแบบเรือจนปวดตา ก็ยังไม่พบระบบปราบเรือดำน้ำบนเรือเสียที จริงอยู่ว่าติดตั้งเพิ่มเติมภายหลังได้เพราะเรือลำใหญ่ แต่ต้องปรับปรุงแบบเรือเสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ เรือซึ่งมีปล่องระบายความร้อนขนาดใหญ่สไตล์อังกฤษ ยังดูไม่เหมาะสมกับความต้องการเท่าที่ควร



ภาพนี้คือการปรับปรุงเรือให้เหมาะสมกับความต้องการ ฝั่งซ้ายเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง ExLS จำนวน 6 ท่อยิง ใส่จรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Captor ได้ 24 นัด (ท่อยิงละ 4 นัด) ฝั่งขวาเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง Mk-41 ใส่จรวดโจมตีชายฝั่งระยะไกลได้ 8 นัด โดยใช้ปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วเป็นปืนหลัก แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้เขียนคิดว่าต้องมีปัญหาแน่นอน
กองทัพเรืออังกฤษใช้ท่อยิงเฉพาะรุ่นของจรวด Sea Captor โดยที่ 1 ระบบจะมีจำนวน 6 ท่อยิง (ท่อยิงละ 1 นัด) เพราะฉะนั้น VENATOR-110 จะใส่จรวด Sea Captor ได้มากสุดแค่ 12 นัด หรือ จรวด Sea Captor 6 นัดกับจรวดโจมตีชายฝั่งระยะไกล 8 นัด ซึ่งเท่านี้มันไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน ต้องปรับปรุงให้ติดแท่นยิงแนวดิ่งได้มากกว่าเดิม
The Avenger
            เรือลำที่สองมาจากบริษัท BAE System โดยนำเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 2 มาเพิ่มความยาวจาก 90 เมตรเป็น 111 เมตร หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว ใส่เรือยางท้องแข็ง RHIB ที่กราบเรือจำนวน 4 ลำ สร้าง Superstructure สำหรับแท่นยิงแนวดิ่งไว้กลางลำ ท้ายเรือสร้างโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลาง โดยใช้เจ้าหน้าที่ประจำเรือแค่เพียง 70 นาย เรือมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานค่อนข้างต่ำ เนื่องจากแปลงร่างมาจากเรือตรวจการณ์ดีๆ นี่เอง



                ผู้อ่านคงเคยจินตนาการบ่อยครั้งว่า ทำไมเราไม่เอาเรือหลวงกระบี่มาขยายความยาว แล้วสร้างโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์เพิ่มเติมเข้าไปล่ะ? เราจะได้สุดยอดเรือตรวจการณ์ที่เหนือชั้นกว่าเรือฟริเกต F-14 ของพม่า (เรื่องความทนทะเลอย่างเดียวนะครับ) ความคิดนี้เองได้ลอยเข้าหัวบริษัทเจ้าของแบบเรือ เขาจึงสร้างเรือตามความต้องการของเราขึ้นมาให้ยลโฉม ผลตอบรับค่อนข้างดีมากเลยครับ คนอังกฤษร้อยละหนึ่งร้อยช่วยกันโหวตไม่ได้ไปต่อ ลองเดากันดูเล่นๆ สิครับว่าเพราะอะไร
                หัวข้อความสวยงามผู้เขียนขอตัวทิ้ง บางคนอาจมองว่าเรือสวยมากก็เป็นไปได้ แต่เรื่องหลักๆ มาจากประสิทธิภาพของเรือ The Avenger ไม่ใช่เรือฟริเกตและไม่มีวันเป็นเรือฟริเกต ฉะนั้นจะไปไล่ล่าเรือดำน้ำให้ดีเหมือนเรือฟริเกต ต้องปรับปรุงใหม่หมดทั้งลำถึงจะดีแค่พอใช้ แต่ไม่มีทางเทียบเท่าเรือที่ออกแบบมาสำหรับภารกิจนี้ การลดการตรวจจับจากคลื่นเรดาร์ขอใช้คำว่าสุดเลวร้าย ส่งเข้าร่วมชิงชัยโดนตัดออกรายแรกทุกๆ โครงการ ถ้าเจ้าของแบบเรือไม่อัดฉีดโปรโมชั่นซื้อ 2 แถม 1
ผู้อ่านอาจค้านว่าเรือมันราคาถูกนะคุณ อาจจะไม่ดีเท่าเรือฟริเกตแท้ๆ แต่ราคาถูกมาก นี่คือการพูดโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมรองรับ อย่าลืมนะครับว่าเรือต้องมีราคา 250 ล้านปอนด์ ตามความต้องการรัฐบาลอังกฤษซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจน (มากที่สุด) คนไหนละเมอขึ้นมาว่าลำละ 150-200 ล้านปอนด์ คุณเมากัญชาแล้วเพื่อนเกลอรีบไปถอนเดี๋ยวนี้ และในบรรดาเรือฟริเกตราคา 250 ล้านปอนด์เท่าๆ กัน เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ The Avenger รั้งท้ายขบวนโดยไม่มีข้อแม้
ผู้เขียนพยายามเข้าข้างเต็มที่แล้วนะ แต่พอเห็นคู่แข่งขันเข้าก็หงายหลังตึง เรามาชมเรือลำอื่นกันต่อเถอะครับ
Cutlass
            เรือลำที่สามมาจาก บริษัท BAE System เช่นกัน โดยการนำเรือคอร์เวตชั้น Al Khareef  ของกองทัพเรือโอมานมาปรับปรุง เพิ่มความยาวจาก 99 เมตรเป็น 117 เมตร บริเวณกลางเรือความยาวเพิ่มขึ้น 15 เมตร ใส่เรือยางท้องแข็ง RHIB พร้อมแผ่นเหล็กปิดไว้เรียบร้อย มีปล่องระบายความร้อนสไตล์อังกฤษถึง 2 ปล่อง ปรับปรุงตรงโน้นตรงนี้ให้ตรงตามความต้องการ ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามีการออกแบบแบบเรือ เพื่อลดการตรวจจับด้วยเรดาร์แบบ Full Stealth ให้มากที่สุด



ใส่ปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วเป็นปืนหลักตามมาตรฐาน หัวเรือแบนราบไม่มีจุดผูกเรือหรือกว้านสมอเรือ (ลงไปอยู่ใต้ดาดฟ้าเรือทั้งหมด) ช่วยลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์ได้ดีในระดับหนึ่ง (ว่ากันตามหลักการออกแบบเรือ Full Stealth ของแท้ต้องแบบนี้เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ใช่ให้ถือว่าเป็น Full Stealth เซินเจิ้น แต่ถ้าว่ากันตามหลักการอื่นๆ ผู้เขียนไม่ทราบ ฉะนั้นแล้วเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ของเราไม่ใช่ Full Stealth แท้ๆ นะครับ) มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้าย Towed Array Sonar แต่ดูเหมือนจะมีเรือยางท้องแบนแค่ 2 ลำเท่านั้น รายละเอียดเรือลำนี้มีค่อนข้างน้อยมาก
ส่วนตัวผู้เขียนชอบเรือชั้น Cutlass ค่อนข้างมาก แม้ตัวเองยังไม่มีข้อมูลครบถ้วนและชัดเจนก็ตาม เรือที่มีปล่องควันขนาดใหญ่ 2 ปล่องดูดุดันกว่าลำอื่น (เหมือนเรือสเปนที่มาพ่ายแพ้ในโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง ลำนั้นผู้เขียนก็ชอบมากเสียดายไม่ได้แจ้งเกิด) การจัดวางอาวุธ เรดาร์ และระบบอื่นๆ ก็พอถูๆ ไถๆ ดีกว่า The Avenger ซึ่งต้องมีราคา 250 ล้านปอนด์เท่ากันชนิดฟ้ากับเหว แต่อาจยังไม่ดีเพียงพอเมื่อเทียบกับเรือลำอื่น BAE จึงไม่ได้โหมโปรโมทเรือลำนี้สักเท่าไร



นี่คือภาพโมเดลเรือชั้น Cutlass แบบชัดๆ ใช้ลายพรางสมัยสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งเชยมาก กลางเรือเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง Mk-41 จำนวน 8 ท่อยิง ท้ายเรือมีปืนกลอัตโนมัติ DS-30MR 2 กระบอก กับระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ถ้าเรือได้รับการคัดเลือก Phalanx คงไม่มาเพราะแพงเกินไป แบบเรือเขาติดโชว์ว่าสามารถติดได้เท่านั้นเอง พูดโดยไม่อวยแบบเรือสวยใช้ได้เลย แต่ถ้านำมาต่อกรกับเรือฟริเกต Avante ของสเปน หรือ Gowind ของฝรั่งเศส หรือ Sigma ของเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า คงลำบากไม่ใช่น้อยๆ และโอกาสชนะค่อนข้างรางเลือน
ผู้อ่านอาจสงสัยว่าทำไมจู่ๆ BAE ถึงมีแบบเรือ Cutlass พร้อมลงชิงชัย ได้รับการออกแบบมาอย่างดีต่างจาก The Avenger แบบหน้ามือหลังมือ ผู้เขียนแอบกระซิบตรงนี้อย่าไปบอกใครล่ะ แบบเรือลำนี้มาจากโครงการ Al Khareef 2 Frigate Programme ที่ BAE เคยเสนอให้กับกองทัพเรือโอมานนั่นเอง พอดีทางนั้นยังไม่ซื้อจึงนำมาขายประเทศตัวเองเสียเลย
ผ่านไป 3 ลำแล้วนะครับ จะเห็นได้ว่าเป็นแบบเรือเก่านำมาโมใหม่ ยกเว้น VENATOR-110 ซึ่งเป็นแบบเรือใหม่แต่ขายไม่ออกเสียที และยังไม่มีลำไหนโดดเด่นเข้าตาเท่าที่ควร นี่คือโอกาสทองของบริษัทขนาดเล็กในเกาะอังกฤษ
Project Spartan
            เรือลำที่สี่มาจากบริษัท Steller Systems พวกเขาเสนอแบบเรือใหม่เอี่ยมภายใตสโลแกน ‘A flexible, adaptable multi-role platform’ แบบเรือ Project Spartan พัฒนาขึ้นมาในปี 2015 ภายใต้ชื่อ An Innovative Light Frigate Design ถ้าเรือ VENATOR-110 ไม่เหมือนเรือฟริเกตมากที่สุด เรือ The Avenger คือฟริเกตรุ่นย้อมแมวขาย Project Spartan จะเทียบได้กับเรือฟริเกตในฝันของทุกคน แต่เป็นฝันที่ไกลเกินตัวจนกลายเป็น Personal Design มากกว่า Real Design



                เรือลำนี้ไม่มีข้อมูลระวางน้ำหรือสัดส่วนต่างๆ ในเมื่อเจ้าของแบบเรือจงใจปกปิดผู้เขียนก็จนใจ เรามาชมภาพเรือกันอย่างชัดเจนกันดีกว่า หัวเรือโค้งขึ้นสูงและไม่ลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ เห็นจุดผูกเรือกับกว้านสมอเรืออย่างชัดเจน มีปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วกับแท่นยิงแนวดิ่ง Mk-41 รวมกันถึง 16 ท่อยิง ถัดจากสะพานเดินเรือมีช่องปล่อยเรือเล็กพร้อมกับแผ่นเหล็ก กลางเรือใส่จรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon ได้ 8 นัด กับปืนกลอัตโนมัติ DS-30MR ขนาด 30 มม.อีก 2 กระบอก



ลานจอดเฮลิคอปเตอร์รองรับ Merlin ส่วนโรงเก็บรองรับ NH90 ฝั่งซ้ายเป็นโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับ ส่วนฝั่งขวามีแท่นยิงจรวด Sea Captor อีก 12 ท่อยิง ท้ายเรือมี Mission Bay ขนาดใหญ่รองรับเรือยางท้องแข็ง RHIB ได้อีก 3 ลำ กับตู้คอนเทนเนอร์ Mission Module อีก 3 ตู้ ทำการรบได้ 3 มิติแต่ในภาพหาแท่นยิงตอร์ปิโดไม่เจอ? เป็นเรือ Light Frigate ที่ติดอาวุธได้ดุดันเหลือเกิน ใช้ระบบเครื่องยนต์ CODLAD ซึ่งจัดว่าทันสมัยมาก ที่เขียนมาทั้งหมดอยู่ในราคา 250 ล้านปอนด์
มาถึงบทวิเคราะห์กันบ้างดีกว่า แบบเรือ Project Spartan เป็นแค่เรือกระดาษที่แท้จริง ยังไม่มีการทดสอบด้วยเรือจำลองในพื้นที่ทดสอบรูปแบบต่างๆ ข้อมูลจากโบรชัวร์จึงได้สวยหรูงดงามแบบนี้ ผู้เขียนติดใจ Mission Bay ท้ายเรือที่โชว์ในภาพ เพราะมีราคาค่อนข้างแพงมากฉุดให้ราคาเรือสูงขึ้นตามกัน ส่วนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ก็แสนอลเวงดีแท้ โดยมีทั้งที่จอดเฮลิคอปเตอร์ อากาศยานไร้คนขับ และแท่นยิงจรวด Se Captor รวมอยู่ด้วยกัน โปรดสังเกตปล่องระบายความร้อนดีๆ นะครับ โดนเฮลิคอปเตอร์ NH90 กินพื้นที่เข้าไปตั้งเยอะ แล้วความร้อนมันจะระบายออกมาทางไหนกันล่ะหนอ?
ทีนี้นำภาพเรือมาให้คนอังกฤษดูบ้าง คำพูดแรกก็คือ Steller Systems คือบริษัทอะไร? คำพูดที่สองก็คือนี่ไม่ใช่เรืออังกฤษ ตั้งแต่หัวจรวดท้ายไม่มีความเป็นอังกฤษแม้สักนิด มีการติดปล่องระบายความร้อนเล็กๆ หลังเสากระโดงหลักก็จริง (เรืออังกฤษยุคก่อนฮิตแบบนี้มาก) แต่ปล่องระบายความร้อนหลักมันเล็กมากไม่ใช่แล้ว เป็นเรือขายฝันที่น่าสนใจแต่ไม่สมควรเสียเงินซื้อ กลับไปหา The Avenger สุดที่รักของผู้เขียนยังน่าสนใจกว่า ในกรณีที่ต้องการเรือซึ่งสามารถสร้างได้จริงๆ
Arrowhead 120
                แบบเรือลำถัดไปมาจากบริษัท Babcock International ซึ่งมีส่วนร่วมพัฒนาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นใหม่ของอเมริกา กับสร้างชิ้นส่วนเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Queen Elizabeth ของอังกฤษทั้งสองลำ แบบเรือพวกเขาใช้ชื่อว่า Arrowhead 120 มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Capable Adaptable and Flexible พร้อมกับข้อมูลเรือรุ่นใหม่แบบเจาะลึกครบทุกส่วน



เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 4,000 ตัน ยาว 120 เมตร กว้าง 19 เมตร มาพร้อมความเอนกประสงค์ใกล้เคียง Project Spartan หัวเรือแบนราบไม่มีจุดผูกเรือหรือกว้านสมอเรือ มีปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วกับแท่นยิงแนวดิ่ง Mk-41 ได้มากสุด 16 ท่อยิง (ในภาพมีแค่ 8 ท่อยิง) กลางเรือใส่จรวดต่อสู้เรือรบ 8 นัด กับปืนกลอัตโนมัติ DS-30MR ขนาด 30 มม.อีก 2 กระบอก รวมทั้งท้ายเรือก็ยังมี DS-30MR อีก 2 กระบอก ลานจอดเฮลิคอปเตอร์รองรับ Merlin ส่วนโรงเก็บรองรับ NH90 ตามแผน
ความอเนกประสงค์เริ่มตั้งแต่กลางลำเรือฝั่งซ้าย มี Mission Bay ขนาดใหญ่สำหรับยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 3 ลำ สามารถทำภารกิจไล่ล่าทุ่นระเบิดได้อย่างสบาย ท้ายเรือมี Stern Ramp รองรับเรือยางท้องแข็ง RHIB ความยาว 11 เมตร มีช่องขึ้นเรือเล็กอยู่ใกล้เคียงกับระดับน้ำ เครื่องบิน V22 Osprey ลงจอดท้ายเรือลำนี้ได้ด้วยนะเออ ที่น่าแปลกใจก็คือออกแบบปล่องระบายความร้อนชนิดท่อคู่ เหมือนกับเรือฟริเกต Sigma ของเนเธอร์แลนด์ค่อนข้างมาก



ส่วนภาพนี้เป็น Arrowhead 120 อีกหนึ่งเวอร์ชัน จะเห็นได้ว่าฝั่งขวากลางเรือไม่มีช่อง Mission Bay ปืนกลอัตโนมัติ DS-30MR กลางลำต้องตีโป่งออกมาจากกราบเรือ และสิ่งที่แตกต่างก็คือมีระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx จำนวน 2 ระบบที่ท้ายเรือ ตีโป่งออกมาเช่นกันพร้อมเสริมความแข็งแรง จากมองมุมนี้เหมือนเรือฟริเกต Sigma จริงๆ ด้วย
เรือในภาพไม่ตรงความต้องการราชนาวีอังกฤษ เพราะมีการติดอาวุธผิดไปจากข้อกำหนด และมีราคารวมสูงกว่า 250 ล้านปอนด์อย่างแน่นอน พวกเขาจะเลิกใช้งานจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon หลังหมดอายุไข โดยเปลี่ยนมาใช้จรวดรุ่นใหม่ยิงจากแท่นยิงแนวดิ่ง ภาพโมเดลแค่แสดงให้เห็นว่า Arrowhead 120 สามารถทำอะไรได้บ้าง
Leander
            หลังให้โอกาสบริษัทเล็กบริษัทน้อยปล่อยของไปก่อน  บริษัท BAE System จึงกลับมาตลบหลังในช่วงเวลาเหมาะสม ด้วยการปล่อยแบบเรือชั้น Leander ออกสู่สาธารณะชน โดยการนำแบบเรือ Cutlass มาทำศัลยกรรมเสียจนหล่อกว่าเดิม วิศวกรตัดปล่องระบายความร้อนหน้าออกไป ใส่เรือยางท้องแข็ง RHIB กลางเรือจำนวน 4 ลำ สร้าง Superstructure ยาวมาชนปล่องระบายความร้อนหลัง รวมทั้งใส่เครนไว้กลางลำสำหรับติดตั้งจรวดในท่อยิงแนวดิ่ง



เรือมีระวางขับน้ำ 3,677 ตัน ยาว 117 เมตรเท่าเดิม กว้าง 14.6 เมตร กินน้ำลึก 4.5 เมตร มีปืนใหญ่ 76/62 เป็นปืนหลัก แท่นยิงจรวด Sea Captor จำนวน 12 ท่อยิง กลางเรือมีแท่นยิงแนวดิ่ง MK-41 อีก 8 ท่อยิง จรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon 8 นัด ท้ายเรือมีปืนกลอัตโนมัติ DS-30MR กับระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx และด้วยวิธีนี้จึงไม่ต้องมี Mission Bay ขนาดใหญ่ท้ายเรือ สามารถกดราคาลงมาให้อยู่พอดีกับงบประมาณ ต้องถือว่า BAE ทำการบ้านมาค่อนข้างดีมาก
มิตรรักแฟนเพลงอังกฤษและคนทั่วโลกกล่าวขึ้นมาพร้อมกันว่า นี่คือเรือฟริเกต Type31e อย่างจริงแท้และแน่นอน รวมทั้งอังกฤษมีเรือฟริเกตขนาดไม่เกิน 4,000 ตันมาตีตลาดโลกแล้ว โดยส่วนตัวแม้ผู้เขียนจะชอบ Cutlass ที่ดูดุดันกว่าเยอะ แต่ยอมรับว่า Leander อเนกประสงค์กว่าและน่าสนใจกว่า ติดอยู่แค่เพียงกลางเรือออกจะยาวมากเกินไป ถ้าตัดทิ้งสัก10 เมตรแล้วลดเรือยางเหลือแค่ 2 ลำ น่าจะดูเหมาะสมและลงตัวกว่านี้หรือเปล่า?
แบบเรือ Leander จากสายตะวันตกเข้ามานั่งรอแล้ว เหลือแค่เพียงผู้ท้าชิงจากสายตะวันออกจะเป็นใคร?
Arrowhead 140
                แบบเรือลำถัดไปมาจากบริษัท Babcock International เมื่อเห็น BAE ใช้วิธีตลบหลังจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ พวกเขาโยนแบบเรือ Arrowhead 120 ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แล้วหันมาจูบปากกับบริษัท Thales จากเนเธอร์แลนด์ อู่ต่อเรือ Odense Steel Shipyard จากเดนมาร์ก นำเสนอแบบเรือ Arrowhead 140 เข้าแข่งขันกับแบบเรือ Leander ชนิดใครดีใครอยู่



            Arrowhead 140 มีระวางขับน้ำ 5,800 ตัน (แม่เจ้า!) ยาว 138.7 เมตร กว้าง 19.8 เมตร กินน้ำลึก 4.8 เมตร มีปืนใหญ่ 76/62 เป็นปืนหลัก กลางเรือรองรับแท่นยิงแนวดิ่งได้มากสุด 32 ท่อยิง ท้ายเรือมีกลอัตโนมัติ DS-30MR อีกจำนวน 2 กระบอก ใส่เรือยางท้องแข็ง RHIB กลางเรือจำนวน 4 ลำ ลานจอดเฮลิคอปเตอร์รองรับ Merlin โรงเก็บก็รองรับ Merlin (สุดยอด) เป็นเรือลำใหญ่ที่สุดในบรรดาเรือทุกลำที่ร่วมโครงการ และติดอาวุธได้มากที่สุดในบรรดาเรือทุกลำที่ร่วมโครงการ
                ที่ผู้เขียนกล้ายืนยันเพราะมีเหตุผลรับรอง Arrowhead 140 ก็คือเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Iver Huitfeldt ของเดนมาร์กนี่แหละ แต่นำมาใส่เรดาร์กับระบบอำนวยการรบของ Thales ต่างจากเรือทุกลำซึ่งใช้ระบบของอังกฤษเป็นหลัก แต่ไม่มีปัญหาเพราะใน RFI เปิดช่องทิ้งไว้ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าจึงสามารถกดราคาให้อยู่ในวงเงิน?



                เรามาชมทีเด็ดทีขาดของเรือกันดีกว่า นี่คือภาพถ่ายจากเรือชั้น Iver Huitfeldt ของเดนมาร์ก จะเห็นได้ว่ากลางเรือมีแท่นยิง Mk-41 จำนวน 32 ท่อยิงสำหรับจรวดต่อสู้อากาศยาน SM-2 ขนาบข้างด้วยแท่นยิง Mk-56 จำนวน 24 ท่อยิง ซึ่งในภาพใส่จรวด ESSM ไว้เพียงสองนัด (ที่มีฝาปิดสีแดง) และใส่จรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon ได้อีก 8 นัด เท่ากับว่าเรือสามารถติดจรวดได้มากสุดถึง 64 นัด โดยมีเครนขนาดใหญ่ของ Heila Crane สำหรับติดตั้งจรวดในท่อยิงแนวดิ่ง
                เดนมาร์กเคยทำแบบนี้กับเรือรบหลายลำ พวกเขาเรียกว่า STANFLEX หรือ Standard Flex นี่คือการตบหน้าแบบเรืออังกฤษกลางตลาด เพราะเดนมาร์กทำได้ดีกว่า ง่ายกว่า ประหยัดกว่า และทำงานจริงได้ดีกว่าเพราะมีประสบการณ์มากกว่า
                แท่นยิง Mk-56 จะฝังลึกใต้ดาดฟ้า 1.9 เมตร มีท่อระบายความร้อนตรงกลาง ขนาบด้วยท่อจรวด ESSM จำนวน 12 นัด เทียบกับแท่นยิง Mk-41 จะใหญ่กว่ากันเกือบเท่าตัว แต่ใส่จรวดได้น้อยกว่าเพราะแท่นยิง Mk-41 ใส่จรวด ESSM แบบ 4 นัดต่อ 1 ท่อ โดยมีข้อดีก็คือราคาถูกกว่า ใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือน้อยกว่า และในกรณีเกิดปัญหาท่อยิงเสียหาย 2 ท่อ ยังคงเหลือจรวดให้ใช้งานอีก 10 นัดแบบสบายๆ ส่วนแท่นยิง Mk-41 ถ้าเกิดเสียหาย 2 ท่อยิง จรวด ESSM จะหายไปทันทีถึง 8 นัด
                แรกสุดเมื่อผู้เขียนเห็นแบบเรือ Arrowhead 140 พลันอุทานออกมาเสียงดังว่าบิงโก เพราะมองไม่ออกเลยว่าเรือลำไหนจะเอาชนะได้ ไม่ว่าขนาดตัวเรือหรือการติดตั้งอาวุธบนเรือ วงเล็บต่อท้ายว่าถ้าสามารถทำได้จริงๆ นะ 
Meko A200
                หลังจากได้เห็นแบบเรือครบทุกลำ เริ่มเข้าสู่การแข่งขันอย่างจริงๆ จังเสียที ต้นปี 2018 รัฐบาลอังกฤษเชื้อเชิญให้ทุกๆ บริษัท ส่งแบบเรือเข้าร่วมชิงชัยโครงการ Type31e Frigete อย่างเป็นทางการ ปรากฏว่า BMT Defence Services กับ Steller Systems ไม่มาตามนัด ปล่อยให้ BAE System เสนอแบบเรือ Leander และ Babcock International (มี BMT เข้าร่วมด้วย) เสนอแบบเรือ Arrowhead 140 เพียงสองบริษัท รัฐบาลอังกฤษเห็นท่าไม่ดีประกาศยุติการแข่งขันชั่วคราว
                เรื่องของเรื่องก็คือมีแบบเรือน้อยเกินไป พวกเขาอยากได้อย่างน้อย 3 แต่ดันมาแค่ 2  เกรงว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูต้องรีบถอยฉาก หลังจากดองเค็มได้ไม่กี่เดือนจึงเริ่มสตาร์ทโครงการใหม่ พร้อมกับเชิญชวนไปยังบริษัทอื่นๆ ให้เข้าร่วมชิงชัย แล้วในที่สุดพวกเขาก็ได้เหยื่อรายใหม่ บริษัท Thyssenkrupp Marine Systems จากเยอรมันจับมือกับ Atlas Elektronik UK จากอังกฤษ เสนอแบบเรือ Meko A200 เข้าร่วมชิงชัยโครงการนี้ด้วย ครั้นถึงต้นปี 2019 รัฐบาลอังกฤษประกาศ 3 บริษัทเข้ารอบสุดท้าย พร้อมกับเริ่มให้คะแนนแบบเรือทั้ง 3 ลำไปตามขั้นตอนของตัวเอง



                Meko A200 เป็นแบบเรือที่ดีมากในยุคปัจจุบัน มีใช้งานในกองทัพเรือแอฟริกาใต้กับอัลจีเรีย เรือมีระวางขับน้ำ 3,700 ตัน ยาว 121 เมตร กว้าง 16.34 เมตร กินน้ำลึก 4.9 เมตร นี่คือเรือรบรุ่น Full Stealth ตัวจริงเสียงจริง วิศวกรออกแบบกราบเรือให้เป็นรูปตัว X ทำให้คลื่นเรดาร์ที่วิ่งเข้ามาปะทะตกลงสู่ทะเล เพียงแต่ผู้เขียนหาแบบเรือในโครงการนี้ไม่ได้เลย
                ในเมื่อหาไม่ได้คงต้องคาดเดากันไป เนื่องจากเรือสามารถใส่แท่นยิงแนวดิ่งได้ถึง 32 ท่อยิง ฉะนั้นกลางเรือซึ่งเป็นจุดติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบ อาจใช้ติดตั้งเรือยางท้องแข็ง RHIB อีก 2 ลำรวมเป็น 4 ลำ ท้ายเรือมีระบบ Water Jet ช่วยเพิ่มความเร็ว เวอร์ชันอังกฤษน่าจะตัดออกไปเพราะไม่จำเป็น แต่ถึงไม่ตัดก็ยังมีพื้นที่ใส่โซนาร์ลากท้าย Towed Array Sonar ได้อยู่ดี อาจใช้เรดาร์กับระบบอำนวยการรบจากสวีเดนเหมือนเรืออัลจีเรีย บอกอีกครั้งนะครับว่าเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น
The Winner
                ปลายปี 2019 รัฐบาลอังกฤษออกมาประกาศว่า แบบเรือ Arrowhead 140 ได้รับการคัดเลือกในโครงการ Type 31e General Purpose Frigate ทำให้ BAE System ต้องแพ้คาบ้านยับเยินเป็นครั้งแรก ทำให้ Babcock International ได้โครงการใหญ่ครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และทำให้ลูกประดู่อังกฤษได้ใช้ระบบ Thales ครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน แต่การเข้าประจำการต้องล่าช้าออกไปถึง 4 ปี เรือฟริเกต Type 31e ลำแรกเข้าประจำการปี 2027 เลือนออกมาจากปี 2023
            ต่อไปเรามาชมภาพนางเอกตัวจริงของบทความ ซึ่งจะติดตั้งระบบเรดาร์และอาวุธประมาณนี้เลยครับ



                ไล่จากหัวเรือไปท้ายเรือ ปืนใหญ่ Bofors Mk3 ขนาด 57 มม.อัตรายิง 220 นัดต่อนาที ต่อด้วยปืนกล Bofors Mk4 ขนาด 40 มม.อัตรายิง 300 นัดต่อนาที กลางเรือมีแท่นยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Captor จำนวน 12 ท่อยิง มีปืนกล 7.62 มม. 6 ลำกล้องรวบอีก 4 กระบอก และปืนกล Bofors Mk4 ขนาด 40 มม.บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ระบบอำนวยการรบ Thales Tacticos เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Thales NS-100 ใช้ออปทรอนิกส์ควบคุมการยิง Thales Mirador จำนวน 2 ตัว
นอกจากนี้ยังมีเรดาร์เดินเรือ 3 ตัว มี datalink กับจรวด Sea Captor อีก 2 จุด มีระบบสื่อสารกับระบบสงครามอิเลคทรอนิกส์มาตรฐานอังกฤษ ส่วนโซนาร์หัวเรือไม่แน่ใจว่าติดตั้งหรือเปล่า เรือฟริเกต Type 31e ไม่มีตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำก็จริง (ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปจัดการบนฟากฟ้า) แต่การติดโซนาร์หัวเรือมีจุดประสงค์สำคัญก็คือ สามารถใช้ระบบเป้าลวงตอร์ปิโดได้อย่างสมบรูณ์แบบ อาจใช้โซนาร์รุ่นอื่นซึ่งไม่ใช่ของ Thales ก็ได้ (เรือพิฆาต Type 45 เคยทำมาแล้ว)



ชมภาพโมเดลเรือที่นำมาจัดแสดงกันบ้าง หัวเรือนอกจากปืนใหญ่ 57 มม.กับปืนกล 40 มม.แล้ว ยังมีระบบเป้าลวงจรวดแบบปล่อยลงน้ำ (ล่าง) กับระบบเป้าลวงจรวดแบบปล่อยขึ้นอากาศ (บน) ท้ายเรือก็มีระบบเป้าลวงตอร์ปิโด ติดอยู่ใกล้ๆ ปืนกล 40 มม.นั่นแหละครับ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเรือมีที่ว่างค่อนข้างมาก สามารถปรับปรุงเพิ่มเติมในอนาคตได้อย่างสบาย
มีอีกหนึ่งจุดที่อังกฤษก็คืออังกฤษ ทั้งที่แบบเรือมาจากเดนมาร์กทั้งลำก็ตาม พี่แกยังอุตส่าห์ดัดแปลงจุดผูกเชือกฝั่งท้ายเรือ ให้เป็นช่องว่างลึกลงไปจากลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เรือเดนมาร์กตีปิดทั้งหมดแล้วใช้วิธีโยนเชือกลอดช่องเล็กๆ ออกมา แต่อังกฤษไม่ชอบบอกว่ามันยากเกินไป ฉันชอบเผชิญแดดฝนมากกว่านะคุณเธอ เรือฟริเกต Type 26 รวมทั้งเรือหลวงกระบี่ใช้จุดผูกเรือแบบนี้เช่นกัน คาดว่าเรือจริงน่าจะมีราวกันตกกั้นด้านในด้วย ไม่อย่างนั้นได้มีหัวร้างข้างแตกกันบ้างล่ะ
มาถึงอีกหนึ่งประเด็นที่ผู้เขียนอยากเน้นเล็กน้อย ปรกติเรือรบอังกฤษจะติดปืนใหญ่ขนาด 4.5 นิ้วของตัวเอง โชคร้ายที่ปืนถูกจำหน่ายออกจากสาระบบ เรือฟริเกต Type 26 จึงหันมาใช้งานปืนใหญ่ 5 นิ้วที่ตัวเองเป็นเป็นเจ้าของ ส่วนเรือฟริเกต Type 31e หันมาใช้งานปืนใหญ่ 57 มม.ที่ตัวเองเป็นเจ้าของเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นเรือลำแรกที่ติดปืนกล 40 มม. ที่ตัวเองเป็นเจ้าของ เป็นการทดแทนปืนกล DS-30MR ขนาด 30 มม.ที่ตัวเองเป็นเจ้าของเช่นกัน
ผู้เขียนเคยบอกเมื่อต้นปีที่แล้วว่า ปืนกล 40 มม.กำลังจะกลับมา ตอนนี้มีหลายชาติหันกลับมาสนใจอย่างจริงจัง เพราะมีระยะยิงหวังผลไกลกว่าปืนกล 25 มม.สองเท่าตัว และมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างดีกว่าปืนกล 30 มม.พอสมควร นอกจากนี้ทั้งปืนใหญ่ 57 มม.กับปืนกล 40 มม.ยังมีระบบ Programmable 3P ammunition ให้เลือกใช้งาน



3P ammunition คืออะไร? คือการตั้งวิธีจุดชนวนกระสุนปืนแต่ละนัด ให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่ต้องการทำลายอย่างสะดวกรวดเร็ว สามารถเลือกวิธีตั้งชนวนได้ถึง 6 แบบด้วยกัน ตั้งแต่ใช้ยิงจรวดต่อสู้เรือรบ ยิงเครื่องบิน ยิงเฮลิคอปเตอร์ ยิงเรือลำใหญ่ ยิงเรือยางลำเล็ก รวมทั้งยิงยานหุ้มเกราะบนชายฝั่งโน่น กระสุนปืน 40 มม.หนัก 2.5 กิโลกรัม ส่วนกระสุนปืน 57 มม.หนัก 6.1 กิโลกรัม อยู่ในความดูแลของ BAE System เป็นเรื่องง่ายในการจัดหามาใช้งานหรือพัฒนาเพิ่มเติม
วิธีการตั้งชวนกระสุนปืนทำได้อย่างง่ายดาย เริ่มจากตรวจจับเป้าหมายด้วยเรดาร์ควบคุมการยิง วัดระยะให้ชัดเจนด้วยระบบเลเซอร์ จากนั้นพลยิงตั้งชนวนกระสุน 3P ด้วยการกดปุ่ม แล้ว Fire Control Computer จะสั่งให้อุปกรณ์จัดการโดยอัตโนมัติ (มีอุปกรณ์ยื่นมาจัดการตั้งชนวนที่หัวกระสุน โดยต้องเป็นกระสุน 3P เท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้) เมื่อยิงเฮลิคอปเตอร์ร่วงแล้วผู้อ่านอยากยิงเรือหางยาวต่อ ผู้อ่านก็แค่กดปุ่มเลือกให้ระบบช่วยทำการเปลี่ยนให้




          ด้วยกระสุน 3P ทำให้ปืนกล Bofors 40 mm. Mk4 ทันสมัยกว่า DS-30MR ซึ่งมีแค่กระสุนเจาะเกราะกับแตกอากาศ 2 กล่อง ด้วยกระสุน 3P ทำให้ปืนกล Bofors 40 mm. Mk4 กลายเป็นระบบป้องกันตนเองระยะประชิดหรือ CIWS ตามคำนิยามราชนาวีอังกฤษ เพราะฉะนั้นถ้าราชนาวีไทยอยากซื้อ Bofors 40 mm. Mk4 มาใช้งานบนเรือหลวงปัตตานี ต้องเอาProgrammable 3P ammunition และกระสุน 3P มาด้วยนะครับ ถ้ามาแค่ปืนเปล่าๆ ใช้ DS-30MR เหมือนเดิมต่อเถอะ
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลอังกฤษระบุไว้ก็คือ เรือฟริเกต Type 31e ต้องส่งออกไปขายตลาดโลกได้ด้วยนะ Babcock International จึงมีเวอร์ชันส่งออกตามรายการคุณขอมา เรือถูกทาสีลายพรางดูสวยงามและทันสมัย เปลี่ยนมาติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วของอิตาลี แล้วใส่จรวด RAM รุ่น 21 ท่อยิงหน้าสะพานเดินเรือ ใช้เรดาร์ควบคุมการยิงThales STIR 1.2 EO Mk2 กลางเรือมีแท่นยิงแนวดิ่ง MK-41 จำนวน 32 ท่อยิง กับจรวดต่อสู้เรือรบ Naval Strike อีก 8 นัด ท้ายเรือมีปืนกล Bofors 40 mm. Mk4 กับ STIR 1.2 EO Mk2 ตัวที่สอง นอกจากนี้ยังเหลือที่ว่างบนเรืออีกพะเรอเกวียน



แบบเรือน่าสนใจมากอยู่ที่ว่าราคาเท่าไร ถ้าใส่อาวุธเหมือนเรือฟริเกตเกาหลีใต้แล้วราคาไม่ต่างกันเกินไป ผู้เขียนอยากได้ลำนี้แทนโดยตั้งโครงการไปเลย 3 ลำรวด แต่คงต้องรอให้โครงการเรือดำน้ำจีนเสร็จเสียก่อน ไหนจะต้องสร้างท่าจอดพร้อมสนามฟุตบอล ต้องสร้างอู่ลอยไอ้โน่นไอ้นี่อีกมากมาย อาจต้องรอคอยอีกประมาณ 7-8 ปีซึ่งผู้เขียนรอได้
แล้วในที่สุดบทความดองเค็มก็จบสิ้นลง เรือฟริเกตสร้างในอังกฤษขนาด 5,800 ตันราคา 250 ล้านปอนด์ ติดตั้งอาวุธเท่านี้เหมาะสมกับราคาแล้ว รัฐบาลเขาโหดมากที่กำหนดราคาไว้แบบนี้ แต่ยังเปิดช่องเรื่องระบบและอุปกรณ์ต่างๆ บนเรือ ทำให้เจอทางออกที่วินวินด้วยกันทุกฝ่าย Thales เองก็เป็นของดีมีประสิทธิภาพไม่แพ้ใคร วัดกันตัวต่อตัวดีกว่าของอังกฤษเองด้วยซ้ำไป บทความยาวๆ เรื่องนี้จึงได้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ผู้เขียนขอกล่าวอำลากันตรงนี้สวัสดีรอบวงครับ J
                    -------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก
            รายงานเรื่อง : BOFORS 3P and System Concept