วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

Operation Naval Arrow

 

สงครามทุ่นระเบิด

        วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2017 สหรัฐอเมริกาออกคำเตือนมายังเรือสินค้าเอกชนทุกลำที่แล่นผ่านทะเลแดง ให้คอยระวังทุ่นระเบิดใต้น้ำกองกำลังกลุ่มกบฏฮูธี ซึ่งแอบลักลอบนำมาวางบริเวณช่องแคบบับเอลมันเดบ เลยมาจนท่าเรือโมกาประเทศเยเมน เพื่อโจมตีเรือทุกลำที่ดันทะเล่อทะล่าวิ่งเข้าใกล้ เป็นการเอาคืนเรื่องพ่ายแพ้สงครามอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบกับเรือพิฆาตสหรัฐอเมริกาแบบสู้กันไม่ได้

        วันที่ 8 มีนาคม 2017 เรือประมงลำหนึ่งแล่นชนทุ่นระเบิดในเขตน่านน้ำรอยต่อระหว่างเยเมนกับซาอุดีอาระเบีย ทุ่นระเบิดคาดว่ามาจากอิหร่านทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 8 ราย เรือประมงเสียหายอย่างหนักและจมลงสู่ก้นทะเลในเวลาต่อมา

        วันที่ 10 มีนาคม 2017 เรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งเยเมนลำหนึ่ง แล่นชนทุ่นระเบิดในเขตน่านน้ำประเทศตัวเอง มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 รายบาดเจ็บอีก 8 ราย เรือเกิดความเสียหายอย่างหนักต้องใช้เรือลำอื่นช่วยลากจูงเข้าฝั่ง

        กลุ่มกบฏฮูธีออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อทั้งสองเหตุการณ์ หรือพูดง่ายๆ ว่าเคลมเป็นผลงานตัวเองโดยไม่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ

        วันที่ 25 มีนาคม 2017 กองเรือกวาดทุ่นระเบิดกองทัพเรือซาอุดีอาระเบียประกอบไปด้วย เรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น Sandown จำนวน 3 ลำ สร้างจากประเทศอังกฤษติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัยเต็มลำ ออกปฏิบัติการกวาดทุ่นระเบิดในทะเลแถบน่านน้ำเมืองโมกา โดยมีเจ้าหน้าที่เยเมนร่วมทำภารกิจจำนวนหนึ่ง ท่ามกลางการคุ้มกันจากเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีและเรือคอร์เวตกองทัพเรือซาอุดีอาระเบียจำนวนหลายลำ

        กองเรือกวาดทุ่นระเบิดกองทัพเรือซาอุดีอาระเบียสามารถตรวจพบและเก็บกู้ทุ่นระเบิดจำนวนมาก ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่สภาพค่อนข้างเก่าแต่ยังคงใช้งานได้ ถูกออกแบบให้ปล่อยจากเรือดำน้ำหรือเครื่องบิน ก่อนถูกดัดแปลงให้สามารถปล่อยจากเรือผิวน้ำขนาดเล็ก เหตุผลก็คือกลุ่มกบฏฮูธีไม่มีเรือดำน้ำหรือเครื่องบินขนาดใหญ่

        สงครามทุ่นระเบิดเกิดขึ้นทั้งในน่านน้ำและบนแผ่นดินประเทศเยเมน กองทัพเรือซาอุดีอาระเบียทำภารกิจกวาดทุ่นระเบิดเป็นงานประจำ แม้เป็นทุ่นระเบิดรุ่นเก่าทว่าฤทธิ์เดชไม่เก่าตามอายุ ส่งผลให้พวกเขามีประสบการณ์สงครามทุ่นระเบิดมากที่สุดชาติหนึ่ง

        หลังจากวันนั้นกองทัพเรือซาอุดีอาระเบียยังกวาดทุ่นระเบิดต่อไปเรื่อยๆ เพราะมีค่อนข้างมากส่งผลให้เรือหลายลำโดนลูกหลง รัฐบาลเยเมนในตอนนั้นรู้สึกกระดากอายประเทศเพื่อนบ้าน พวกเขาหันมาปรึกษากับอเมริกาเพื่อนผู้แสนดีจากแดนไกล ต่อมาในวันที่ 16 เมษายน 20167 กองทัพเรือเยเมนเริ่มปฏิบัติการธนูทะเลหรือ Operation Naval Arrow เพื่อตรวจจับและเก็บกวาดทุ่นระเบิดกลุ่มกบฏฮูธีให้หมดสิ้นจากน่านน้ำ

        เยเมนมีเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น Yevgenia จำนวน 2 ลำ และชั้น Natya จำนวน 1 ลำ เรือจากโซเวียตทั้ง 3 ลำอายุรวมกันประมาณ 150 ปี พวกเขาจำเป็นต้องรีบจัดหาเรือชนิดอื่นเข้ามาเสริมทัพ โดยการติดตั้งอุปกรณ์กวาดทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ทันสมัยที่อเมริกาให้ยืม ตามแนวคิดสุดโต่ง เรือทุกลำเป็นเรือกวาดทุ่นระเบิดได้อย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้ง

Operation Naval Arrow ประสบความสำเร็จเท่าที้รัฐบาลเยเมนสามารถทำได้ ภายในสองสัปดาห์พวกเขาทำลายทุ่นระเบิดจำนวนมากถึง 86 นัด แต่ถึงกระนั้นภัยคุกคามจากอาวุธสมัยสงครามโลกยังไม่สิ้นสุดแค่เพียงเท่านี้

        วันที่ 1 พฤษภาคม 2017 เรือประมงลำหนึ่งแล่นชนทุ่นระเบิดลูกหนึ่ง เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงคร่าชีวิตลูกเรือจำนวน 1 ราย ทางการเยเมนแจ้งว่าเป็นทุ่นระเบิดดัดแปลงที่ยังเก็บกู้ไม่หมด ไม่ก็เรือขนาดเล็กของกลุ่มกบฏฮูธีลักลอบนำมาวางเพิ่มเติม

ตลอดปี 2017 มีการตรวจพบทุ่นระเบิดในทะเลแดง และค่อยๆ เลือนหายในปีถัดไปจนกระทั่งแทบไม่มีรายงานความเสียหาย ทั้งนี้เนื่องมาจากกลุ่มกบฏฮูธีครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมนสำเร็จ ปัจจุบันภัยคุกคามหลักถูกปรับเปลี่ยนเป็นอากาศยานไร้คนติดระเบิด อาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้นระยะไกล และขีปนาวุธพิสัยใกล้ที่กลุ่มกบฏฮูธีได้รับเทคโนโลยีบวกความช่วยเหลือจากประเทศอิหร่าน

หมายเหตุ

ภาพประกอบที่ 1 ถึง 3 คือกองเรือกวาดทุ่นระเบิดกองทัพเรือซาอุดีอาระเบียขณะฝึกซ้อม Gulf Shield 1 ประกอบไปด้วยเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น Sandown กับเรือคอร์เวตชั้น Badr บนท้องฟ้ามีเฮลิคอปเตอร์ Super Puma สำหรับรับส่งเจ้าหน้าที่หน่วย EOD

ขณะปฏิบัติการจริงมีหารจัดกำลังทางเรือแบบนี้เลย เหตุผลที่ต้องมีเรือคุ้มกันเพราะอยู่ในเขตพื้นที่อันตราย ภัยคุกคามในช่วงนั้นคืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Noor หรือ C-802 เวอร์ชันอิหร่าน ทว่าเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างต่ำเนื่องจากเรือพิฆาตอเมริกาเผด็จหมดแล้ว ภัยคุกคามอันดับสองคือเรือยางพลีชีพติดระเบิดขนาดเล็ก ซึ่งกองทัพเรือซาอุดีอาระเบียใช้ปืนกล 12.7 มม.ไล่ยิงเหมือนยิงเป็ดได้รับชัยชนะเด็ดขาดในเวลาต่อ

ทั้งเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Al Sadiq และเรือคอร์เวตชั้น Badr สร้างโดยสหรัฐอเมริกา มีปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ใช้งานบนเรือ โดยที่ลำหลังติดตั้งตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk.46 เพิ่มเติมเข้ามา จึงมีทั้งความคล่องตัวและความเหมาะสมมากกว่าเรือฟริเกตสร้างโดยฝรั่งเศสทั้งสองรุ่น ซาอุดีอาระเบียมีเรือชั้น Al Sadiq จำนวน 9 ลำบวกเรือชั้น Badr อีก 4 ลำ มากเพียงพอในการคุ้มกันเรือกวาดทุ่นระเบิดจำนวน 3 ลำ

ภาพประกอบสุดท้ายคือการกู้ทุ่นระเบิดของจริงในทะเลแดง ในภาพเข้าใจว่าทุ่นระเบิดหลุดจากจุดติดตั้งจึงลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ เห็นแบบนี้เรือลำไหนทะเล่อทะล่าเข้ามามีหวังซวยยกแผง จำเป็นต้องส่งเจ้าหน้าที่หน่วย EOD เข้าไปตรวจสอบและเก็บกู้ขึ้นสู่ฝั่ง

การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในทะเลแดงปี 2017 ใหญ่โตที่สุดในยุคปัจจุบัน เป็นสิ่งบ่งบอกชัดเจนถึงความสำคัญกองเรือกวาดทุ่นระเบิด อนาคตถ้าสงครามทุ่นระเบิดในทะเลแดงร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง ซาอุดีอาระเบียอาจหาตัวช่วยอาทิเช่นใช้ระบบ Mission Module บนเรือคอร์เวต Avante 2200 ซึ่งตัวเองมีประจำการจำนวน 5 ลำ

อ้างอิงจาก

https://thaimilitary.blogspot.com/2017/06/royal-saudi-navy-part-ii-yemen-civil-war.html

https://maritime-executive.com/article/saudi-forces-find-more-naval-mines-off-yemen

https://www.arabnews.com/node/995271/ajax/spa/page_action/aggregate

https://katehon.com/ar/news/hdth-khtyr-fy-bhr-lkhlyj-lyl-byn-yrn-wmryk


 

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2567

Project SAM-X0

 

จรวดธนูฟ้า

วันที่ 29 พฤษภาคม 2525 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการฝึกร่วม 25 บริเวณเขาอีด่าง จังหวัดปราจีนบุรี มีการจัดแสดงอาวุธและอำนาจการยิงจากสามเหล่าทัพ เพื่อโชว์แสนยานุภาพส่วนหนึ่งของกองทัพไทยให้ประชาชนชาวไทยเกิดความอุ่นใจว่า ทหารไทยสามารถปกป้องอธิปไตยจากการรุกรานของข้าศึกต่างชาติ

ในการแสดงอำนาจการยิงครั้งนี้ กองทัพอากาศโดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาอาวุธยุทธภัณท์ ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กองทัพอากาศ หรือ วพย.ศวท.ทอ.นำผลสำเร็จจากการพัฒนาจรวดมาแสดงและทดสอบยิงต่อหน้าผู้บัญชาการทหารสูงสุด รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายทหารระดับสูงจากกองบัญชาการทหารสูงสุด นายทหารระดับสูงจากสามเหล่าทัพ ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศ ตลอดจนประชาชนจำนวนรวมประมาณหนึ่งหมื่นคน

การแสดงอำนาจการยิงของจรวดที่ วพย.ศวท.ทอ.พัฒนาขึ้นนั้น นาวาอากาศเอก มรกต ชาญสำรวจ รองผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายงานต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดในฐานะประธานการแสดงอาวุธและอำนาจการยิงดังนี้

ภารกิจการยิงสกัดกั้นเครื่องบินข้าศึกด้วยอาวุธภาคพื้นดินเป็นสิ่งจำเป็น แม้กองทัพอากาศจะมีเครื่องบินขับไล่คอยสกัดกั้นข้าศึก และสามารถทำลายเครื่องบินข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เครื่องบินข้าศึกส่วนหนึ่งอาจบินฝ่าการสกัดกั้นเข้าสู่พื้นที่ซึ่งเป็นเป้าหมายทางทหาร จึงเป็นหน้าที่กองกำลังภาคพื้นดินกองทัพอากาศต้องต่อสู้กับเครื่องบินข้าศึก กองทัพอากาศจึงได้พัฒนาอาวุธจรวดพื้นสู่อากาศขึ้นมาใช้งาน เพื่อยิงสกัดกั้นเครื่องบินข้าศึกทั้งในระดับต่ำ ระดับปานกลาง และระดับสูง

การยิงจรวดพื้นสู่อากาศที่กองทัพอากาศพัฒนาเองทั้งหมดนั้น นอกจากเป็นการทำลายเครื่องบินข้าศึกโดยตรงแล้ว ยังสามารถยิงอย่างต่อเนื่องในพื้นที่กว้างเป็นฉากกั้น เพื่อลดขีดความสามารถการเข้าโจมตีของเครื่องบินข้าศึกได้อีกหนึ่งทาง วิธียิงจรวดพื้นสู่อากาศเป็นฉากกั้นนับเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่ง สามารถจำกัดการเข้าโจมตีของเครื่องบินข้าศึก และบังคับให้ข้าศึกโจมตีในทิศทางและระดับความสูงตามที่ฝ่ายเราต้องการ อาวุธจรวดพื้นสู่อากาศที่กองทัพอากาศทำการวิจัยและพัฒนาเป็นผลสำเร็จ เมื่อนำมาใช้งานทางยุทธวิธีที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้กองทัพไทยสามารถยับยั้งการโจมตีของเครื่องบินข้าศึกราคาแพง ด้วยอาวุธจรวดราคาถูกที่เราวิจัยและพัฒนาด้วยตัวเอง

การแสดงอานุภาพการยิงอาวุธจรวดพื้นสู่อากาศที่วพย.ศวท.ทอ.วิจัยและพัฒนาขึ้นมาใช้งาน กองทัพอากาศสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ชมด้วยการยิงจรวดเห่าฟ้า-1 ซึ่งเป็นจรวดชนิดหางเลื่อนจากฐานยิง 32 นัดจำนวน 3 ฐานรวมจำนวนรวม 44 นัด นั้น นาวาอากาศเอก มรกต ชาญสำรวจ เปิดเผยว่าอำนาจการยิงของจรวดเห่าฟ้า-1 ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 2,600 ตารางเมตร อำนาจทำลายรัศมีทรงกลมโดยรอบประมาณ 30 เมตรหรือเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 เมตร สามารถยิงเป็นฉากสกัดกั้นเครื่องบินข้าศึกที่ระดับความสูง 4,000 ถึง 6,000 ฟุต

รายการถัดไปคือการทดสอบยิงจรวดเห่าฟ้า-2 ซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงจรวดเห่าฟ้า-1 ต่างกันก็เพียงจรวดเห่าฟ้า-2 ถูกพัฒนาให้มีความทันสมัยมากกว่าเดิม โดยออกแบบให้ระหว่างเดินทางหางจรวดนิ่งกว่าเดิมส่วนตัวจรวดจะหมุนแทน  ลักษณะเช่นนี้จะทำให้จรวดเห่าฟ้า-2 มีความแม่นยำมากขึ้น ในการทดสอบจรวดเห่าฟ้า-2 ใช้ฐานยิงบรรจุ 20 นัดจำนวน 3 ฐาน จำนวนรวมจรวดเห่าฟ้า-2 ที่ใช้ยิงทดสอบเท่ากับ 60 นัด

การทดสอบรายการปิดท้ายคือจรวดธนูฟ้า ซึ่งถูกออกแบบให้ยิงสกัดกั้นเป้าหมายระดับความสูงตั้งแต่ 16,000 ฟุตจนถึง 20,000 ฟุต จรวดธนูฟ้าเป็นพัฒนาการที่ก้าวหน้าควรค่าแห่งความภูมิใจ เพราะเป็นจรวดขนาดมาตรฐานขนาด 2.75 นิ้วเหมือนประเทศอื่น กองทัพอากาศทำการวิจัย พัฒนา และสร้างเองทั้งหมด โดยมิได้อาศัยวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศนอกจากวัตถุดิบบางอย่างที่จำเป็นต้องนำเข้า นับเป็นจรวดแบบมาตรฐานโลกที่คนไทย (วพย.ศวท.ทอ.) พัฒนาและสร้างเองทั้งหมดทุกชิ้นส่วน

จรวดธนูฟ้าหนัก 18.3 ปอนด์ ยาว 4.8 นิ้ว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.75 นิ้ว ระยะยิงไกลสุด 5 ไมล์หรือ 8 กิโลเมตร น้ำหนักหัวรบ 6.5 ปอนด์ ใช้ชนวนแตกอากาศเริ่มทำงานเมื่อยิงออกไปได้ประมาณ 10-15 วินาที ใช้ฐานยิงบรรจุ  4 นัดขนาดเล็กกะทัดรัด

ก่อนหน้านี้โครงการพัฒนาจรวดธนูฟ้าถูกตั้งชื่อว่า แซม-เอ็กซ์โอ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนาประมาณ 10 เดือนกระทั่งประสบความสำเร็จเข้าสู่สายการผลิต จรวดธนูฟ้าเป็นจรวดชนวนแตกอากาศที่ระดับความสูง 16,000 ถึง 20,000 ฟุต ใช้หัวรบชนิดฟรักเมนเตชัน (Fragmentation) บรรจุเม็ดโลหะให้ความร้อนสูงถึง 3,300 องศาเซลเซียส เม็ดโลหะจำนวนมากในหัวรบจะแตกกระจายในวงกว้าง เมื่อสำผัสโดนลำตัวเครื่องบินเม็ดโลหะจะเกิดไฟลุกไหม้ทันที

จรวดธนูฟ้าแต่ละนัดสามารถครอบคลุมพื้นที่มากถึ ง 18,000 ตารางเมตร อำนาจทำลายรัศมีทรงกลมโดยรอบประมาณ 50 เมตรหรือเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 เมตร สามารถยิงเป็นฉากสกัดกั้นเครื่องบินข้าศึกที่ระดับความสูง 4,000 ถึง 6,000 ฟุต อำนาจการทำลายจึงเหนือกว่าทั้งจรวดเห่าฟ้า-1 และจรวดเห่าฟ้า-2

       หมายเหตุ : โครงการจรวดเห่าฟ้าถูกพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นจรวดเห่าฟ้า-5 MOD 1 ใช้ขนาด 2.75 นิ้วแบบมาตรฐานโลกเหมือนจรวดธนูฟ้า ส่วนจรวดธนูฟ้าเงียบหายไปเลยไม่มีผลการทดสอบครั้งใหม่ ผู้เขียนคาดเดาเอาเองว่าจรวดธนูฟ้ากลายร่างเป็น จรวดเห่าฟ้า-5 MOD 1 ในปี 2529 เพียงแต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนช่วยในการยืนยันข้อมูล

++++++++++++++++

 

อ้างอิงจาก : นิตยสารสงคราม ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม 2525


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567

SK 105 Kürassier

 

การทดสอบรถถัง SK 105 ในประเทศไทย

ผู้เขียนมีบทความจากนิตยสารสงครามปี 2527 มาฝาก เป็นข้อมูลการทดสอบรถถัง SK 105 ในประเทศไทย ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ตัวจริงผู้เขียนอยากนำมาเผยแพร่ต่อ โดยไม่มีการตัดเนื้อหานอกจากปรับปรุงเล็กน้อย  (ใช้ชื่อรุ่นถังเป็นภาษาอังกฤษล้วน) เพื่อให้ผู้อ่านซึ่งคนเป็นคนรุ่นใหม่ได้รับรู้เรื่องราวในอดีต กาลครั้งหนึ่งรถถังชนิดนี้เคยเข้ามาทดสอบในเมืองไทย

ไม่พูดพร่ำทำเพลงตัดเข้าสู่เนื้อหาบทความกันเลย

++++++++++++++++

นับตั้งแต่ปี 2525 ท่านผู้อ่านคงพอจำกันได้ว่า นิตยสารสงครามเล่มประจำวันที่ 20 เมษายน 2525 ได้แนะนำรถถังชนิดหนึ่งซึ่งมีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด ปรากฏว่าข่าวชิ้นนี้สร้างความฮือฮาต่อวงการทหารม้าและบรรดาพ่อค้ารถถัง คุณลักษณะเด่นของรถถังชนิดนี้ก็คือ มีน้ำหนักเบากว่ารถถังรุ่นอื่นที่ติดตั้งปืนใหญ่ 105 มม.เหมือนกัน ผลจากการทดสอบที่ชายแดนประเทศกัมพูชาและด้านลาว ยังสร้างความประหลาดใจต่อผู้ทดสอบเป็นอย่างยิ่ง เพราะพื้นที่ของการทดสอบลักษณะเป็นที่ลุ่ม เป็นบ่อและเป็นคลอง ขนาดรถถังของไทยคือ M-41 ยังเอาตัวแทบไม่รอด แต่รถถังชนิดที่ผมจะพูดถึงสามารถผ่านการทดสอบได้สบาย

พูดถึงตอนนี้พาลนึกไปถึงตอนที่เวียดนามเอา T.54 บุกเข้ามาทางช่องเขาพระพลัย ขนาดพี่ไทยเราเอา M-41 ไปวิ่งก็ย่ำแย่อยู่แล้วเพราะน้ำหนักตั้ง 23 ตันกว่า ส่วนที่เวียดนามเอา T.54 บุกเข้ามาถึง 1 กองร้อยรถถัง เข้ามาเลยรับรองเสร็จเราแน่ทั้งกองร้อย ไม่ใช่โดนกระสุนปืนใหญ่หรือจรวดต่อสู้รถถังอย่างเดียวหรอก แต่ติดหล่มจมโคลนพี่ไทยวิ่งไม่ออกแน่นอน T.54 ปาเข้าไปตั้ง 36.5 ตันจะมีปัญญาอะไรวิ่งเข้ามาได้…จมลูกเดียว

SK 105 คือรถถังเบาที่สุด เหมาะสมสำหรับประเทศไทยมากที่สุด นี่คือคำพูดของนิตยสารสงครามเมื่อปี 2525 นิตยสารสงครามเป็นเพียงฉบับเดียวที่ได้รับเอกสารจากบริษัท สไตเออร์-เดมเลอร์-ปุ๊ค อาเก้ พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นนิตยสารภาษาไทยฉบับแรกที่ตีพิมพ์เรื่องราวของรถถัง SK 105 นับจากนั้นเป็นต้นมาเรื่องราวก็เงียบมาโดยตลอด จนถึงปลายปี 2526 ชื่อรถถังชนิดนี้จึงเริ่มได้ยินอีกครั้ง เพราะออสเตรียนำเข้ามาทดสอบในประเทศไทย ให้รู้ดำรู้แดงเสียที ที่เขาบอกว่าเหมาะสมนั้นเหมาะสมจริงหรือไม่

มีเหตุผลบางอย่างที่ชัดเจนว่าจะทำให้พ่อค้าอาวุธ ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายขายมีอยู่มากมายหลายบริษัทในไทย ได้นำรถถังของตัวเองเข้ามาทดสอบ เหตุผลดังกล่าวนั้นคือมีข่าว (บรรดาข่าวลือ) ออกมาว่า กองทัพบกจะจัดหารถถังแบบใหม่เข้าประจำการ แต่ผมได้ยินมาจากคุณอัคฤทธิ์ซึ่งเป็นผู้ประสานงานฝ่ายขายรถถัง SK 105 พูดว่า ‘ยังไม่มีหน่วยไหน กรมไหน หรือกองทัพไหนประกาศออกมาว่าจะซื้อรถถัง อาจเป็นเพราะสถานการณ์ด้านชายแดนตูมตามอยู่ในขณะนี้ จึงมีข่าวลือออกมาว่ากองทัพบกมีความจำเป็นต้องการรถถังไว้ปฏิบัติการบริเวณชายแดน ในเมื่อคนอื่นเขานำเข้ามาทดสอบผมก็นำเข้ามาทดสอบบ้าง เผื่อเขาจะซื้อจริงๆ ผมจะได้สิทธิ์ขายของผมบ้าง’

นี่เป็นคำกล่าวที่ได้รับฟังในวันทดสอบรถถัง SK 105 เมื่อกลางเดือนที่แล้ว

เป็นที่ทราบกันดีในบรรดาพ่อค้าอาวุธทุกราย นโยบายหลักของกองทัพบกที่จะจัดซื้ออาวุธใดๆ ก็ตาม จะต้องอยู่ในนโยบาย 2 ประการใหญ่ๆ ก็คือ

1.ซื้อแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล จะไม่มีพ่อค้าคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง และจำนวนเงินในการจัดหาเป็นแบบเครดิต

2.อุปกรณ์หรือยุทโธปกรณ์ใดๆ ก็ตามที่จะจัดหา จะต้องมีความเหมาะสมกับภูมิประเทศของเราเป็นอย่างยิ่ง ใครจะว่าของดีมาจากไหนก็ไม่สนใจ หรือมีใช้งานทั่วโลกก็ไม่สนใจ แต่ที่แน่ๆ ต้องมาเจ๋งในเมืองไทย คือต้องเข้ามาทดสอบในภูมิประเทศเราให้ดูเสียก่อน อันไหนเหมาะสมและดีที่สุดถึงจะสนใจ

ในเมื่อมีข่าวลือออกมาอย่างนี้ บรรดาพ่อค้ารถถังทั้งหลายแหล่จึงเริ่มทยอยนำรถถังของตัวเองเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อทำการทดสอบให้เห็นสมรรถนะสินค้าของตัวเอง เขาเอามาให้ทดสอบฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไร แถมยังมีค่าเหนื่อยที่เป็นธรรมแต่ไม่เต็มอิ่มให้แก่ทหารผู้ทำการฝึกทดสอบ รายแรกทุกท่านคงทราบข่าวไปแล้ว Vickers Mark 3 รถถังที่สร้างในอังกฤษ แต่ไม่มีเข้าประจำการในกองทัพต่างๆ ของอังกฤษ ขณะนี้กำลังอยู่ในการพิจารณา

อันดับสองเป็นคิวของ SK 105 ยกขบวนมาทั้งตระกูล ประกอบไปด้วย ยานเกราะกู้ภัย ยานลำเลียงพล และรถถัง SK 105 ทั้งหมดจำนวน 3 คัน ก่อนรถทั้ง 3 คันจะเยื้องย่างเข้าสู่ประเทศไทย ได้ไปโชว์ลวดลายที่อินโดนีเซียจนคนเขารู้กันทั้งเมือง ใช้ระยะทางในการทดสอบมากกว่าสองพันกิโลเมตร ขณะนี้อินโดนีเซียกำลังเตรียมตัวจัดหารถถัง SK 105 เข้าประจำการ หรือกำลังรวบรวมเงินอยู่ก็ได้ว่าจะซื้อสักกี่กองร้อย เพราะรถถัง SK 105 ราคาเบ็ดเสร็จตกประมาณคันละ 21 ล้านบาทเท่านั้น ที่ผมเขียนว่าเท่านั้นคือเอามาเปรียบเทียบกับราคารถถัง M-48 A5 ที่ปู่เรแกนให้เป็นยาหอมถึง 40 ขวด ประมาณขวดละ 17 ล้านบาทยังไม่รวมค่าปรับปรุงใหม่ ถ้าคิดจะซื้อแบบมือสองผมว่าเพิ่มเงินอีกสักหน่อย ถอยมาจากอู่ซิงๆ ไม่ดีกว่าหรือ

ภายหลังจากสิ้นสุดภารกิจที่อินโดนีเซีย SK 105 ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศไทย ปลายเดือนพฤศจิกายน 2526 เริ่มการทดสอบที่สระบุรีเป็นครั้งแรก ต่อจากนั้นจึงยกให้ พล.ม.2 นำไปทดสอบในภูมิประเทศจริง ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อชายแดนประเทศกัมพูชา ผลการทดสอบออกมาว่า SK 105 สามารถผ่านได้ทุกพื้นที่ โดยใช้เวลาในการทดสอบที่อรัญประเทศ 1 เดือนเต็ม ต่อจากนั้นจึงให้ พล.ม.1 นำไปทดสอบอีก 1 เดือนในพื้นที่อำเภอนาแห้ว จังหวัดน่าน ติดชายแดนประเทศลาว และในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กระทั่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2527 ที่ผ่านมา

คำพูดจากผู้ทำการทดสอบ ‘น่าทึ่งมากครับสำหรับรถถังคันนี้ เหมาะสมสำหรับภูมิประเทศบ้านเรา เพราะที่ดินในประเทศเราส่วนมากเป็นที่ลุ่ม ดินมีความอ่อนตัวมาก รถถังที่มีน้ำหนักมากไปมักไม่ค่อยรอด ขนาดตอนที่ผบ.พล.ม.1 ผู้บัญชาการผม ให้ผมนำรถถัง SK 105 ลงไปในเลนหลังกองบัญชาการลึกเกือบหนึ่งเมตรครึ่ง ผมพูดกับพี่ตรงๆ เลยนะครับ มีการได้เสียกันเลยว่าจะรอดหรือไม่รอด ท้ายที่สุดเจ้ารถถังซึ่งมีน้ำหนัก 17.5 ตันขึ้นมาจากเลนได้โดยไม่มีปัญหา

การซ่อมบำรุงผมว่าสะดวกดีเพราะเป็นรถตระกูลเดียวกันทั้งหมด เครื่องของเขาก็อึดดีตั้งแต่นำเข้ามาทดสอบไม่มีอะไรขัดข้อง ไอ้หรั่งที่มากับรถบอกผมว่าที่อินโดนีเซียก็ไม่มีปัญหาอะไร สรุปแล้วใช้ระยะการทดสอบประมาณเกือบๆ ห้าพันกิโลเมตร ก็ยังไม่เห็นสิ่งบกพร่องของเครื่องยนต์รถถังคันนี้

ส่วนความแม่นยำปืนใหญ่รถถัง105 มม.ติดตั้งบน SK 105 ที่ระยะหวังผล 1.5 กิโลเมตรสูงถึง 97 เปอร์เซ็นต์ การทดสอบที่สระบุรีพูดได้ว่ากระสุนเข้าเป้าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม ผู้การกรมเป็นผู้ลงมือยิงนัดแรกด้วยตัวเอง เหตุผลที่พลาดอาจเป็นเพราะความตื่นเต้น แต่พอนัดที่สองเป็นต้นมากระสุนเข้าเป้าทุกนัด’

ครับ…ที่ผมเขียนมาทั้งหมดคือเรื่องราวรถถัง SK 105 ซึ่งมาพัวพันกับกองทัพบกไทย อนึ่งเมื่อปี 2522 รัฐบาลออสเตรียได้เชิญทหารม้าของไทยหลายท่านไปทดสอบรถถังชนิดนี้ ที่ประเทศตัวเองบริเวณพื้นที่ติดชายแดนยูโกสลาเวีย ผลการทดสอบยังเป็นที่ประทับใจของทหารหนุ่มไทยจวบจนถึงทุกวันนี้ รายละเอียดผมจะไม่พูดถึงเพราะเคยลงให้อ่านแล้วหนึ่งครั้ง ถ้ากองทัพบกเราคิดจะมีรถถังชนิดนี้เข้าประจำการ ค่อยอ่านกันอีกครั้งนะครับ…สวัสดี

++++++++++++++++

จากบทความผู้เขียนสามารถสรุปความได้ว่า

1.ระหว่างปี 2526 พ่อค้าอาวุธจะนำรถถังเข้ามาทดสอบในประเทศแบบฟรีๆ มีเบี้ยเลี้ยงให้กับทหารผู้เข้าร่วมการทดสอบในระดับเหมาะสม

2.มีการทดสอบรถถัง SK 105 ในประเทศไทยเป็นเวลา 2 เดือนกว่า ระยะทางประมาณ 5,000 กิโลเมตร

3.ก่อนมาประเทศไทยรถถัง SK 105 ไปทดสอบที่อินโดนีเซีย ระยะทางประมาณ 2,000 กิโลเมตร

4.รถถัง SK 105 หนัก 17.5 ตัน ส่วน M-41 หนัก 23 ตัน และ T-54 หนัก 36.5 ตัน

5.รถถัง SK 105 คันละ 21 ล้านบาท ส่วน รถถังมือสอง M-48 A5 ราคา17 ล้านบาทยังไม่รวมค่าปรับปรุง

6.โครงการนี้กองทัพบกจัดหารถถัง Commando Stingray จากสหรัฐอเมริกาจำนวน 106 คัน แบ่งเป็นรถถังบังคับการติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารพิเศษจำนวน 26 คัน กับรถถังลูกแถวจำนวน 80 คัน มูลค่ารวมทั้งโครงการเท่ากับ 4,136 ล้านบาทหรือคันละประมาณ 39 ล้านบาท เป็นชาติแรกและชาติเดียวที่ใช้งานรถถังเบาจากบริษัทคาดิแลคเกจ

7.รถถัง SK 105 มีใช้งานจำนวน 8 ประเทศ ยอดผลิตรวมเท่ากับ 784 คัน

เรื่องราวน่าสนใจจากในอดีตเป็นอันสิ้นสุดเพียงเท่านี้…สวัสดี

++++++++++++++++

อ้างอิงจาก : นิตยสารสงคราม ปีที่ 6 ฉบับที่ 210 วันที่ 10 พฤษภาคม 2527

 


วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2567

Rung Paisarn

 

ทดสอบอาวุธเมดอินไทยแลนด์บริษัทรุ่งไพศาล

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2528 บริษัทรุ่งไพศาลอุตสาหกรรม จำกัด จัดให้มีการสาธิตใช้อาวุธภายในค่ายทหารพราน อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา โดยเชิญเจ้าหน้าที่ส่วนราชการและสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เข้าชมการสาธิต โดยมีพันเอกพิเศษวันชัย อันพุนันท์ ผู้บัญชาการค่ายทหารปักธงชัย ซึ่งทำหน้าที่ประธานในพิธีคอยต้อนขับสู้เต็มกำลัง

ช่วงเช้าเป็นการบรรยายความเป็นมาและผลงานทหารพราน ต่อด้วยการสาธิตจากทหารพรานก่อนพักผ่อนรับประทานอาหารกลางวัน ช่วงบ่ายบริษัทรุ่งไพศาลอุตสาหกรรม นำอาวุธชนิดต่างๆ มาทำการสาธิต ผู้เขียนสามารถเรียบเรียงรายละเอียดได้ดังนี้

1.ปืนเล็กยาวอาร์พีเอส 001

เป็นปืนเล็กยาวทำงานด้วยระบบแก๊ส สามารถปรับการยิงได้ทั้งกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด 5.56x45 มม. ใช้แม็กกาซีนชนิดบรรจุ 30 นัด ถือเป็นสินค้าหลักที่รุ่งไพศาลต้องการขายให้กับกองทัพบก เพราะเป็นอาวุธปืนรุ่นที่มีความต้องการค่อนข้างสูง ถ้าอาร์พีเอส 001 ผ่านการทดสอบรุ่งไพศาลจะก้าวเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ในการทดสอบอาร์พีเอส 001 ทำงานได้ตามปรกติ

2.ปืนอาร์พีเอส 001 รุ่นลำกล้องสั้นหรือปืนเล็กสั้น

เป็นปืนที่มีขนาดกะทัดรัดให้ความคล่องตัวสูง ระหว่างการทดสอบปืนต้นแบบมีอาการขัดข้องเล็กน้อย เนื่องจากปลอกกระสุนบังเอิญแตกคาอยู่ในรังเพลิง สันนิษฐานว่าอาจเป็นข้อบกพร่องจากกระสุนปืนัดนั้น เนื่องจากกระสุนนัดอื่นไม่ประสบปัญหาปืนทำงานได้ตามปรกติ

3.ปืนเล็กยาวเอ็ม-16 ดัดแปลงและปืนเอ็ม-16 รุ่นลำกล้องสั้นหรือปืนเล็กสั้น

ปืนเล็กยาวเอ็ม-16 ดัดแปลงมีการติดปลอกลดอาการสะบัดของลำกล้องรุ่น ไกรราช มัสเซิลเบลคส่วนปืนเอ็ม-16 รุ่นลำกล้องสั้นมีการปรับปรุงให้ปืนมีขนาดกะทัดรัด มึความคล่องตัวกว่าเดิม ปืนทั้งสองรุ่นทำงานได้ตามปรกติไม่พบข้อบกพร่องแต่อย่างใด

4.เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40.มม

รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงเอ็ม-79 จากสหรัฐอเมริกา ทว่ากลไกการทำงานเป็นแบบปืนลูกซองเดี่ยวนกนอก ส่งผลให้อาวุธใช้งานง่าย มีความปลอดภัยสูง ตลอดการทดสอบเครื่องยิงลูกระเบิดทำงานได้เป็นอย่างดี ทว่าอาวุธต้นแบบมีจุดที่สมควรปรับปรุงประกอบไปด้วย

-ระบบกลอนยึดลำกล้องยังเปิดปิดได้ไม่ดี และไม่รวดเร็วมากเพียงพอ

-ขณะใช้งานหนักควงเกลียวยึดกระโจมมักคลายตัวหลุดออกมา

-ศูนย์หลังควรแต้มสีขาวตามชอบร่องบาก เพื่อช่วยให้การเล็งยิงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

-เพื่อความแข็งแรงทนทานสมควรทดสอบลำกล้องด้วยอุปกรณ์ทดสอบ

5.ปืนพกกึ่งอัตโนมัติซิก พี 220 ขนาด 9 มม.และ 11 มม.

เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติแบบดับเบิ้ลแอคชั่นที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ผลการทดสอบเป็นไปด้วยดีตรงตามมาตรฐานปืนพกจากยุโรป ความแม่นยำและกลไกการทำงานไม่พบปัญหาระหว่างการทดสอบ บริษัทตั้งใจเปิดรับจองจากข้าราชการทั่วประเทศ

6.เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังอาร์พีจี

ประกอบไปด้วยอาร์พีจี 2 และ อาร์พีจี 7 รุ่งไพศาลนำมาปรับปรุงด้ามจับและกลไกบางส่วนให้กลายเป็นอาวุธเมดอินไทยแลนด์ ท่อยิงและส่วนประกอบต่างๆ ของอาร์พีจี 2 ผลิตในประเทศทั้งหมด ส่วนท่อยิงและกับกล้องเล็งอาร์พีจี 7 ทำในประเทศจีน รุ่งไพศาลนำมาดัดแปลงด้ามจับกับเครื่องห้ามไกให้เหมาะสมมากกว่าเดิม

อาร์พีจีทั้งสองรุ่นคือเครื่องยิงจรวดชนิดไร้แรงสะท้อน บรรจุได้ครั้งละ 1 นัดทางปลายท่อยิง โดยที่อาร์พีจี 2 มีน้ำหนักเบา ขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย เล็งผ่านศูนย์รบ ส่วนอาร์พีจี 7 ใช้หัวรบขนาด 85 มิลลิเมตร เจาะเกราะหนาสุด 13 นิ้ว ระยะยิงไกลสุด 500 เมตร เล็งผ่านศูนย์รบหรือศูนย์กล้องเล็งรุ่นพีจีโอ 7 ใช้เครื่องยนต์แบบเชื้อเพลิงแข็ง 2 ระยะ ในการผลักดันหัวรบด้วยความเร็วประมาณ 300 เมตรต่อวินาที

บทสรุป

อาวุธที่ผลิตและดัดแปลงโดยบริษัทรุ่งไพศาลอุตสาหกรรม แม้มีข้อบกพร่องอยู่บ้างแต่ถือเป็นก้าวแรกที่สมควรยกย่องและให้การสนับสนุน บริษัทผลิตอาวุธสำหรับข้าราชการทหารและตำรวจ ภายใต้การควบคุมของกระทรวงกลาโหม มีความประสงค์ต้องการกระจายหุ้นบางส่วนให้แก่มหาชน เพื่อร่วมมือกันพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตอาวุธในประเทศให้ยืนยาว

โชคร้ายบริษัทรุ่งไพศาลอุตสาหกรรมปไม่ถึงฝั่งฝัน เนื่องจากปืนเล็กยาวอาร์พีเอส 001 ไม่ผ่านการทดสอบจากกองทัพบก ประกอบกับเจ้าของบริษัทถูกดำเนินคดีตามตัวบทกฎหมาย ส่งผลให้รุ่งไพศาลค่อยๆ เลือนหายจากความทรงจำทุกคน ทิ้งไว้เพียงตำนานบริษัทสร้างอาวุธรายแรกๆ ของประเทศในช่วงชายแดนกำลังร้อนระอุ

อ้างอิงจาก : นิตยสารสมรภูมิ ปีที่ 8 เล่มที่ 229 วันที่ 3 มีนาคม 2528

 

 

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2567

Mine Countermeasure Support Ship 2024

 

โครงการจัดหาเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์

ในรอบสองปีที่ผ่านมาเราพูดถึงกันแต่เรือดำน้ำ เรือฟริเกต และเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง แทบไม่มีใครนึกถึงเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดลำใหม่ บังเอิญผู้เขียนไม่ลืมอยากนำบทความมารีรันอีกสักครั้ง เป็นการกระตุ้นเตือนให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจกองเรือทุ่นระเบิดกันสักนิด

ปัจจุบันเรามีเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดหรือเรือ สตท.จำนวน 1 ลำ ชื่อเรือหลวงถลาง (MCS 621) สร้างโดยบริษัทอู่ต่อเรือกรุงเทพ ใช้แบบเรือบริษัท FERROSTAAL A-G MSSEN ประเทศเยอรมัน เรือหลวงถลางลำที่สองขึ้นระวางประจำการวันที่ 25 มิถุนายน 2523 มีระวางขับน้ำสูงสุด 1,102 ตัน ยาว 54.2 เมตร กว้าง 10 เมตร กินน้ำลึก 3.1 เมตร ทำหน้าที่เป็นเรือพี่เลี้ยงเรือกวาดทุ่นระเบิดน้ำตื้น รวมทั้งเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้นบางระจันและชั้นลาดหญ้าจำนวน 4 ลำ

อีกเพียง 2 เดือนเรือลำนี้จะมีอายุครบ 44 ปี อดีตเคยมีแผนปลดประจำการในปีงบประมาณ 2563 ทว่าจนถึงปัจจุบันปี 2567 เรือยังคงทำหน้าที่ตัวเองต่อไปอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว

เรามีเรือฟริเกต+เรือคอร์เวตจำนวน 4 ลำ ยังไม่จัดหาในอีก 5 ปีก็ยังมีเรือใช้งานจำนวนหนึ่ง

เรามีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 11 ลำ ยังไม่จัดหาในอีก 10 ปีก็ยังมีเรือใช้งานจำนวนหนึ่ง

เรามีเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอายุ 44 ปีเพียง 1 ลำ อายุมากกว่าเรือหลวงรัตนโกสินทร์หรือเดอะแบกมากถึง 6 ปี 3 เดือน สมควรจัดหาเรือใหม่มาใช้งานทดแทนเป็นการเร่งด่วน เพียงแต่กองเรือทุ่นระเบิดไม่เคยได้รับความสนใจจากทุกคน ไม่เคยได้รับแรงเชียร์จากสื่อมวลชนหรืออะไรก็ตามให้เร่งจัดหาเรือใหม่เข้าประจำการ

ผู้เขียนขอพาทุกคนเดินทางย้อนเวลาอีกครั้ง ระหว่างปี 2560 โครงการจัดหาเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์มีความชัดเจนมากกว่าเดิม อู่ต่อเรือในประเทศจำนวน 2 รายร่วมมือกับบริษัทต่างชาติ นำเสนอแบบเรือตัวเองให้กองทัพเรือพิจารณาตามความเหมาะสม

แบบเรือลำแรกอู่ต่อเรืออิตัลไทยมารีนจับมือกับบริษัท BMT Defense Services ประเทศอังกฤษ นำเสนอแบบเรือ VENARI-85 ซึ่งเป็นเรือต่อต้านทุ่นระเบิดขนาดใหญ่ เรือลำนี้เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานมีความยาว 85.9 เมตร กราบเรือค่อนข้างสูงตามหลักสมัยนิยม ติดตั้งปืนหลักและระบบเป้าลวงบริเวณหัวเรือ สะพานเดินเรือสูง-ยาว-ใหญ่-ตีโป่ง ติดกระจกบานโตให้มุมมองกว้างไกล กราบเรือสองฝั่งเจาะช่องเป็นจุดปล่อยเรือเล็กขนาด 7 เมตร ระหว่างปล่องควันคู่เป็นที่ตั้งห้องควบคุมการบิน ส่วนชั้นล่างเป็นโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับหรือห้องทำงานอเนกประสงค์

ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ค่อนข้างยาวเป็นพิเศษ ใต้ลานจอดสามารถบรรทุกทุ่นระเบิดจำนวน 150 ลูก มีจุดวางตู้ Mission Module จำนวน 1 ตู้หน้าห้องควบคุมการบิน ติดตั้งเครนขนาด 15 ตันบริเวณกราบขวาเรือ สามารถทำภารกิจต่อต้านทุ่นระเบิดร่วมกับยานผิวน้ำไร้คนขับหรือ USV ( Unmanned Surface Vehicle ) และยานใต้น้ำไร้คนขับหรือ UUV ( Unmanned Underwater Vehicle ) ได้อย่างสบาย

แบบเรือลำที่สองอู่ต่อเรือกรุงเทพจับมือกับบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์ (ผ่านบริษัทล๊อกเลย์) เสนอแบบเรือคล้ายคลึงเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น OPV2400 เรือมีระวางขับน้ำ 2,400 ตัน ยาว 90 เมตร กว้าง 14.4 เมตร ความเร็วสูงสุด 20 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเล ปฏิบัติงานได้ต่อเนื่อง 30 วัน ตัวเลขถือว่าดีมากตามสไตล์เรือตรวจการณ์เนเธอร์แลนด์

ด้านหลังปืนหลักติดตั้งเครนขนของจำนวน 1 ตัว สะพานเดินเรือแบบ 360 องศาสามารถมองเห็นทุกทิศทาง ถัดไปเล็กน้อยเป็นจุดติดตั้งเรือเล็กขนาด 8.5 เมตร ต่อด้วยปล่องระบายความร้อนกับโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ใต้ลานจอดใช้เป็นจุดบรรทุกทุ่นระเบิดประมาณ 100 ลูก หรือวางตู้คอนเทนเนอร์ Mission Modules จำนวน 2 ตู้ สามารถเลือกได้ว่าจะใช้เรือลำนี้ทำภารกิจวางทุ่นระเบิด หรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอย่างใดอย่างหนึ่ง

เพื่อความยุติธรรมผู้เขียนจะติดตั้งระบบเรดาร์และอาวุธเหมือนกันทั้งหมด

ภาพประกอบที่หนึ่งเป็นรุ่น Full Option ติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก ใช้ระบบอำนวยการรบของ TACTICOS ของThales ติดตั้งออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Mirador บนเสากระโดงคือเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS50 ทำงานร่วมกับเรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว ติดตั้งระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ VIGILE Mk2 R-ESM และแท่นยิงเป้าลวง SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง ใต้ท้องเรือติดตั้งโซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิดจำนวน 1 ตัว

 ภาพประกอบที่สองเป็นรุ่น Economic ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ DS30M Mark2 ขนาด 30 มม. จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก ไม่ติดตั้งระบบอำนวยการรบ ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ แท่นยิงเป้าลวง และโซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิด บนเสากระโดงคือเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติ Variant ทำงานร่วมกับเรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว ส่วนออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงใช้รุ่นไหนก็ได้แล้วแต่เลย

ราคาเรือทั้งสองลำไม่น่าเท่ากันนะครับ ช่วงนี้เงินบาทค่อนข้างอ่อนส่งผลให้ราคาเรือแพงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ บวกค่าเงินเฟ้อจากการสร้างเรือล่าช้าเพิ่มเป็นสองแรงบวก ฉะนั้นราคาเรือจะไม่น่ารักอย่างที่ทุกคนคาดคิด ราคาเรือรุ่น OPV2400 Full Option น่าจะใกล้เคียง 120 ล้านเหรียญหรือ 4,405 ล้านบาท ส่วน VENARI-85 Full Option น่าจะถูกกว่ากันสัก 10 ล้านเหรียญ เนื่องจากรูปทรงเรือเป็นรถกระบะตอนเดียวไม่ใช่สองตอนเหมือนคู่แข่ง ความอเนกประสงค์และพื้นที่ใช้งานภายในย่อมน้อยกว่ากัน ผู้เขียนเขียนไปตามหน้าเสื่อเรือสร้างจริงอาจแตกต่างไปจากนี้

ราคาเรือรุ่น OPV2400 Economic คาดว่าประมาณ 80 ล้านเหรียญหรือ 2,937 ล้านบาท ส่วน VENARI-85 Economic น่าจะถูกกว่ากันสัก 10 ล้านเหรียญ เป็นตัวเลขที่ผู้เขียนคาดเดาเอาเองโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน ฉะนั้นใช้ตัวเลขพวกนี้เป็นข้อเท็จจริงไม่ได้นะครับ  

สถานะปัจจุบันโครงการนี้บรรจุอยู่ในสมุดปกขาว ราคารวมโครงการสร้างเรือเองในประเทศจำนวน 1 ลำอยู่ที่ 2,550 ล้านบาท นำมาเทียบกับรุ่น OPV2400 Economic ราคา 2,937 ล้านบาทอาจต้องเพิ่มเงินนิดหน่อย แต่ถ้าเป็น VENARI-85 Economic เราสามารถจัดหาได้อย่างสบาย เพียงแต่จะได้รถกระบะตอนเดียวมาใช้งานไม่ใช่รถกระบะสองตอน

หวังว่าโครงการจัดหาเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์ ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมมีประชาชนรู้จักค่อนข้างน้อย ขนาดมิตรรักแฟนเพลงแวดวงการทหารยังแทบไม่มีใครพูดถึง จะได้รับความสนับสนุนอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวจากกองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรี รัฐบาล รวมทั้งฝ่ายค้าน ขอให้โครงการได้รับการบรรจุในปีงบประมาณ 2568 หรือไม่เกิน 2569 ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำใจไมตรีที่ทุกคนมอบให้แด่กองเรือทุ่นระเบิด


อ้างอิงจาก

https://thaimilitary.blogspot.com/2017/09/mine-countermeasure-support-ship.html

https://thaimilitary.blogspot.com/2019/10/htms-thalang.html