วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

MEKO Frigate for RTN

 

เดือนกันยายน 1997 สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ขึ้นโครงการจัดหาอาวุธ The Strategic Defence Package มูลค่ารวม 4.8 พันล้านเหรียญ เพื่อซื้ออาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยให้กับทุกเหล่าทัพมีรายละเอียดดังนี้

กองทัพเรือ

-เรือคอร์เวตจำนวน 4 ลำ

-เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ

-เรือดำน้ำโจมตีจำนวน 3 ลำ

กองทัพอากาศ

-เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ 28 ลำ

-เครื่องบินฝึกขั้นสูงจำนวน 24 ลำ

-เฮลิคอปเตอร์ชนิดต่างๆ จำนวน 48 ลำ

กองทัพบก

-รถถังหลักจำนวน 108 คัน

Project Sitron

ก่อนหน้านี้ในปี 1994 กองทัพเรือแอฟริกาใต้ได้ขึ้นโครงการ Project Sitron เพื่อจัดหาเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีรุ่นใหม่เข้าประจำการจำนวน 4 ลำ แต่เนื่องมาจากปัญหาบางประการทำให้โครงการต้องหยุดพักชั่วคราว เมื่อรัฐบาลขึ้นโครงการรวมแบบเรือคอร์เวตได้ถูกปรับปรุงความต้องการใหม่ กำหนดให้เรือมีระวางขับน้ำมากกว่า 3,000 ตัน ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Exocet MM40 Block 2 อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Umkhonto IR จากท่อยิงแนวดิ่ง และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Denel ขนาด 35มม.ลำกล้องแฝด เรือต้องติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลและแก๊สเทอร์ไบน์ ทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 27 นอตขึ้นไป

โครงการนี้บริษัท German Frigate Consortium หรือ GFC ส่งแบบเรือฟริเกต MEKO 200 SAN เข้าร่วมชิงชัย เรือมีระวางขับน้ำ 3,580 ตัน ยาว 118 เมตร กว้าง 15.2 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG เครื่องยนต์ดีเซล MTU 12 V1163 TB 93 จำนวน 2 ตัวกับเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ Rolls Royce SM1C Spey หรือ GE LM 2500 จำนวน 1 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 6,700 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต

บริษัท GFC พัฒนาแบบเรือ MEKO 200 SAN จากเรือลำไหน?

คำตอบก็คือใช้แบบเรือฟริเกต MEKO 200 ที่ขายดิบขายดีทั่วโลกมาปรับปรุงทั้งลำ

ผู้เขียนมีภาพเรือฟริเกต MEKO 200 กองทัพเรือทูร์เคียให้เปรียบเทียบ (ภาพประกอบที่สอง) รูปทรงเรือมาจากยุค 70-80 ซึ่งนิยมใช้งานปล่องระบายความร้อนคู่แบบเฉียงเล็กน้อย กว้านสมอเรือและจุดผูกเชือกหัวเรืออยู่บนดาดฟ้าเรือตามปรกติ แต่ย้ายแท่นยิงแนวดิ่งมาติดตั้งหลังปล่องระบายความร้อนจำนวน 16 ท่อยิง มีจุดติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลางกับระยะไกล ติดระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดได้มากสุดถึง 3 ระบบ

ระวางขับน้ำและขนาดเรือทั้งสองลำใกล้เคียงกันมาก สะพานเดินเรือ เสากระโดง และปล่องระบายความร้อนอยู่ตำแหน่งเดิมด้วยซ้ำ ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ทรงเฉียงใช้หางเสือเรือขนาดใหญ่อันเดียวเหมือนเดิม ทว่าแบบเรือ MEKO 200 SAN ลดการตรวจจับด้วยคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ได้ดีกว่า มีการย้ายแท่นยิงแนวดิ่งมาไว้หน้าสะพานเดินเรือและเพิ่มมากถึง 32 ท่อยิง จึงมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมใกล้เคียงแบบเรือฟริเกตรุ่นใหม่ ที่ตัวเองขโมยดีไซน์การออกแบบหัวเรือมาใส่ในแบบเรือเก่าได้อย่างเนียนกริบ

Project Sitron เป็นโครงการที่สนุกมากผู้เขียนอ้างอิงถึงบ่อยครั้ง เคยวาดภาพเรือฟริเกตทุกลำที่เข้าร่วมโครงการมาแล้วด้วยซ้ำ เหตุผลก็คือแต่ละบริษัทสามารถส่งแบบเรือเข้าร่วมมากกว่า 1 แบบเรือ บริษัท GFC จึงนำแบบเรือ MEKO A200 SAN ซึ่งมีความทันสมัยมากที่สุดเข้าร่วมชิงชัยอีกหนึ่งแบบเรือ (ภาพประกอบที่สาม)

เรือมีระวางขับน้ำ 3,590 ตัน ยาว 121 เมตร กว้าง 16.5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG WARP เครื่องยนต์ดีเซล MTU 12 V1163 TB 93 จำนวน 2 ตัวกับเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ Rolls Royce SM1C Spey หรือ GE LM 2500 จำนวน 1 ตัวทำงานร่วมกับระบบวอเตอร์เจ็ต ความเร็วสูงสุด 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 7,700 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต

MEKO A200 SAN กับ MEKO A200 SAN ระวางขับน้ำต่างกันเพียง 10 ตัน ทว่า MEKO A200 SAN ซึ่งเป็นแบบเรือรุ่นใหม่ล่าสุดยาวกว่า 3 เมตร กว้างกว่า 1.3 เมตร เพิ่มระบบวอเตอร์เจ็ตเข้ามาก็จริงกลับทำความเร็วสูงสุดเท่าเดิม สิ่งที่ลูกค้าได้รับเพิ่มเติมคือระยะปฏิบัติการมากขึ้น 1,000 ไมล์ทะเล

ฉะนั้นอยู่ดีๆ เราถอดระบบวอเตอร์เจ็ตออกจาก MEKO A200 ไม่ได้ ต้องปรับปรุงแบบเรือให้รองรับระบบขับเคลื่อน CODAG ซึ่งมันจะวุ่นวายมาก ส่งผลให้แบบเรือ MEKO A200 ต้องใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG WARP เท่านั้น ข้อดีก็คือระยะปฏิบัติการไกลกว่าเดิม ส่วนข้อเสียไม่มีพื้นที่ท้ายเรือสำหรับโซนาร์ลากท้ายขนาดใหญ่ เป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำแท้ๆ ไม่ได้เพราะไม่มีออปชันเสริม

การพิจารณารอบสุดท้ายของ Project Sitron มีแบบเรือเข้ารอบจำนวน 5 ลำ คู่แข่งสำคัญของ MEKO ทั้งสองลำคือแบบเรือ 590B จากบริษัท Bazan ประเทศสเปน ภาพประกอบที่สี่คือผลการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ (นี่คือภาพที่ผู้อ่านทุกคนไม่มีวันได้เห็นจากกองทัพเรือไทย)

กองทัพเรือแอฟริกาใต้คัดเลือกผู้ชนะโครงการด้วย คะแนนประสิทธิภาพเรือบวกราคาเรือ

ภาพบนซ้ายคือผลคะแนนประสิทธิภาพเรือที่เข้าร่วมชิงชัยทั้ง 5 ลำ MEKO A200 SAN ครองอันดับหนึ่งได้คะแนน 810.5 อันดับสองคือ MEKO 200 SAN ได้คะแนน 790.0 ส่วน 590B ที่สามได้คะแนน 766.6 สังเกตนะครับว่าแบบเรือจากเยอรมันนำขาดแบบเหนือๆ แบบเรืออังกฤษกับฝรั่งเศสถูกกลุ่มผู้นำทิ้งห่างชนิดสู้กันไม่ได้

ภาพบนขวาคือราคาเรือที่ใส่เข้ามาในซองประกวด แบบเรือ 590B ราคาต่ำสุดจำนวน 4 ลำเพียง 851.9 ล้านเหรียญ MEKO 200 SAN อยู่อันดับสาม 969.2 ล้านเหรียญ ส่วน MEKO A200 SAN อยู่อันดับสี่ 979.9 ล้านเหรียญ แบบเรือจากอังกฤษอยู่อันดับสอง ส่วนแบบเรือฝรั่งเศสราคาแพงสุดทั้งที่ประสิทธิภาพย่ำแย่มากที่สุด

ภาพล่างซ้ายคือผลคะแนนรวมอย่างเป็นทางการ เมื่อนำประสิทธิภาพกับราคารวมกันแบบเรือ 590B ได้อันดับหนึ่ง MEKO A200 SAN ได้อันดับสอง และ MEKO 200 SAN ครองอันดับสาม กองทัพเรือแอฟริกาใต้ตัดสินให้บริษัท Bazan ประเทศสเปนคือผู้ชนะโครงการ บังเอิญระหว่างเจรจาประสบปัญหาเรื่องระยะเวลาส่งมอบเรือกับวิธีการชำระเงิน จึงหันมาเจรจากับอันดับสองและตัดสินใจเซ็นสัญญาซื้อเรือ MEKO A200 SAN จากบริษัท GFC จำนวน 3 ลำ

แบบเรือฟริเกต MEKO A200 แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการจากโครงการนี้ ปัจจุบันมียอดขายรวมกันจำนวน 10 ลำ และอาจมีการสั่งซื้อเพิ่มอีก 2 ลำในภายหลังจากกองทัพเรืออียิปต์ ข้อมูลจากโครงการ Project Sitron  แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรือฟริเกตจากเยอรมันประสิทธิภาพสูงกว่าทุกชาติ และมีราคาสูงกว่าทุกชาติยกเว้นฝรั่งเศสซึ่งไม่สันทัดเรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000 ตันที่ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG

ส่วนแบบเรือ MEKO 200 รุ่นใหม่ถูกส่งเข้าร่วมชิงชัยโครงการ Project Tridente ของกองทัพเรือชิลีในปี 2000 สามารถเอาชนะคู่แข่งได้รับการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ โดยใช้แบบเรือเยอรมัน ระบบอาวุธจากอเมริกาไม่ว่าจะเป็นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะกลาง SM-2 รวมทั้งโซนาร์ลากท้าย AN/SQR-18A

โครงการนี้ชิลีตั้งใจสร้างเรือฟริเกตด้วยตัวเองทุกลำ บังเอิญโชคร้ายรัฐบาลถังแตกในช่วงเวลาไม่เหมาะสม จำเป็นต้องยกเลิกโครงการหันมาซื้อเรือฟริเกตมือสอง Type 23 จากอังกฤษใช้งานทดแทนเรือใหม่

แบบเรือ MEKO A200 กับ MEKO 200 ขนาดใกล้เคียงกัน ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับว่าถ้าลูกค้าอยากได้เรือฟริเกตอเนกประสงค์รูปทรง Stealth ตัวเอ็กส์ให้เลือก MEKO A200 ถ้าลูกค้าอยากได้เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดโซนาร์ลากท้ายตัวใหญ่ให้เลือก MEKO 200

โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง

ระหว่างปี 2013 กองทัพเรือไทยเดินหน้าโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 2 ลำมูลค่า 30,000 ล้านบาท เพราะเป็นการจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธค่ายตะวันตกล้วนครั้งแรกในรอบหลายสิบปี จึงมีบริษัทเอกชนจำนวนพอสมควรส่งแบบเรือเข้าร่วมชัย หนึ่งในนั้นก็คือบริษัท ThyssenKrupp Marine Systems หรือ TKMS จากประเทศเยอรมัน ซึ่งส่งแบบเรือฟริเกต MEKO 200 RTN ติดระบบอาวุธและเรดาร์ตามความต้องการลูกค้า

ภาพประกอบที่ห้าคือแบบเรือที่คาดว่าบริษัท TKMS นำเสนอต่อกองทัพเรือไทย ใช้แบบเรือ MEKO 200 SAN กองทัพเรือแอฟริกาใต้มาปรับปรุงให้เหมาะสมกับราชนาวีไทย เรือมีระวางขับน้ำ 3,580 ตัน ยาว 118 เมตร กว้าง 15.2 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG เครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัวกับเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์อีก 1 ตัว หัวเรือยกสูงกว่าแบบเรือ MEKO 200 ต้นฉบับค่อนข้างมาก กว้านสมอเรือและจุดผูกเชือกหัวเรือย้ายลงอยู่ใต้ดาดฟ้าเรือ เป็นการหยิบยืมดีไซน์แบบเรือ MEKO A200 ซึ่งทันสมัยกว่ามาใช้งานได้อย่างเหมาะสม

ท้ายเรือใช้รูปทรงเดิมและสูงกว่าเดิมเล็กน้อย ปิดช่องว่างทั้งหมดมีจุดจุดผูกเชือกท้ายเรือใต้ดาดฟ้า เพราะใช้บั้นท้ายเรือทรงแหลมฉะนั้นจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้าย ACTAS (Active Towed Array Sonar) ถ้าไม่อยู่กราบซ้ายก็กราบขวา Superstructure ทั้งลำพยายามปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น การตรวจจับด้วยคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ทำได้ยากขึ้น ทว่าสู้แบบเรือ Stealth ที่แท้จริงรุ่นใหม่อาทิเช่น MEKO A200 ไม่ได้อยู่ดี

หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ถัดมาคือแท่นยิงแนวดิ่ง Mk46 จำนวน 8 ท่อยิง สำหรับ อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ขนาบข้างด้วยแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโด ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีข้างเสากระโดงหลัก กลางเรือติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง หลังปล่องระบายความร้อนคือปืนกลอัตโนมัติ DS-3OMR จำนวน 2 กระบอก ต่อด้วยระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx เหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน ช่องว่างสองกราบเรือติดตั้งสะพานขึ้นเรือกับแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk54 (นี่คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเรือฟริเกต MEKO 200 ทุกลำ)

เรือใช้ระบบอำนวยการรบ 9LV Mk4 เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะกลาง Sea Giraffe AMB เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะกลาง Sea Giraffe 4A เรดาร์ควบคุมการยิง CEROS200 จำนวน 2 ตัว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง EOS500 อีก 1 ตัว ที่ผู้เขียนเขียนถึงทั้งหมดยกแผงมาจากบริษัท SAAB ใช้ระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ ES-3601 ติดตั้งโซนาร์หัวเรือ DSDQ-24 กับโซนาร์ลากท้าย ACTAS จากบริษัท Atlas Electronics ประเทศเยอรมัน

ความสวยงามแล้วแต่สายตาผู้เขียนยัดเยียดไม่ได้ ทว่าประสิทธิภาพแบบเรือ MEKO 200 RTN ไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน ปัญหาสำคัญก็คือบริษัท TKMS กดราคาต่ำกว่าลำละ 15,000 ล้านบาทไม่ไหว การแข่งขันในรอบชิงจึงเป็นการดวลกันระหว่างแบบเรือสเปนกับแบบเรือเกาหลีใต้ จนกระทั่งได้ผู้ชนะเลิศจากแดนกิมจิกลายเป็นเรือหลวงภูมิพลดุลยเดช FFG-471 ในปัจจุบัน

บังเอิญกองทัพเรือปรับขนาดโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงเหลือเพียงลำเดียว แล้วหันมาขึ้นโครงการเรือดำน้ำกับเรือพี่เลี้ยงมูลค่ารวมมากกว่า 45,000 ล้านบาท ส่งผลให้กองเรือฟริเกตที่ 1 พิกลพิการรับมือภัยคุกคามทางอากาศ ผิวน้ำ และโดยเฉพาะใต้น้ำได้อย่างยากลำบาก

ความเห็นส่วนตัวผู้เขียนไม่ชอบเรือที่มีสะพานเดินเรือสูงๆ ฉะนั้น MEKO 200 RTN จึงเข้าทางปืนโดยไม่ต้องคิดมาก แท่นยิงแนวดิ่ง 32 ท่อยิงเป็นจุดแข็งเสริมสร้างประสิทธิภาพเรือให้สูงกว่าเดิม รวมทั้งแบบเรือ MEKO 200 รุ่นดั้งเดิมซึ่งขายได้รวมกันมากถึง 25 ลำคือสิ่งรับประกันคุณภาพเรือลำนี้

โอกาสแรกของแบบเรือ MEKO กับราชนาวีไทยผ่านพ้นไปเสียแล้ว

โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่สาม

          ต้นปี 2017 หรือ 2560 มีการเผยแพร่ข้อมูลได้รับอนุญาตจากบริษัท มาร์ซัน จำกัดดังนี้

ในวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 0900-1200 บริษัทมาร์ซันจำกัด และ บริษัท Thyssen Krupp Marine System ได้เข้ามาบรรยายเทคโนโลยีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง (Offshore Patrol Vessel : OPV) ให้กับนายทหารสัญญาบัตร ในกองเรือตรวจอ่าวรับฟัง โดยได้นำเสนอแบบเรือ MEKO A100 OPV ด้วยการนำแนวความคิด Mission Module Concept แบบ FLEX มาอยู่ในกรอบแนวความคิดในการออกแบบด้วย

สำหรับ Mission Module Concept แบบ FLEX สำหรับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง แบบ MEKO A100 นั้น ออกแบบให้รองรับการปฏิบัติการในสาขา ASUW (Anti Surface Warfare), AAW (Anti Air Warfare), ASW (Anti Submarine Warfare), Special Operation และ Mine Countermeasure โดยสามารถเลือกนำ Module ต่างๆ มาเปลี่ยนเพื่อรองรับการปฏิบัติการทางเรือตามสาขาได้ นอกจากนั้น MEKO A100 OPV ยังออกแบบให้รองรับการ Upgrade เป็นเรือ Corvette ได้อีกด้วย หากมีความต้องการเพิ่มขีดความสามารถในปฏิบัติการทางเรือให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามปัจจุบันกองทัพเรืออยู่ระหว่างการต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ตามแบบ ร.ล.กระบี่ (ลำที่ 2) โดยได้จ้าง บริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด ในการจัดส่งแบบเรือและพัสดุให้กับ ทร.โดยในส่วนของการต่อเรือนั้น ทร. โดย กรมอู่ทหารเรือ (อู่ทหารเรือมหิดลอดุลยเดช อรม.) เป็นผู้ดำเนินการต่อเอง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ปัจจุบัน เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง (OPV) ของกองทัพเรือ มีประจำการแล้วทั้งสิ้น 3 ลำ ได้แก่ ร.ล.ปัตตานี ร.ล.นราธิวาส และ ร.ล.กระบี่ และอยู่ระหว่างการต่ออีก 1 ลำ คือ ร.ล.ตรัง โดย ทร.มีความต้องการ เรือ OPV เป็นจำนวน 6 ลำ

          ระหว่างการบรรยายบริษัทมาร์ซันได้นำเสนอแบบเรือ MEKO A100 OPV จากภาพประกอบที่หกเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งตระกูล MEKO สร้างเรือจำลองทดสอบแล่นในถังเรียบร้อยแล้ว ออกแบบด้านพื้นฐานทางวิศวกรรมเบื้องต้นแล้ว ออกแบบรายละเอียดต่างๆ ภายในตัวเรือแล้ว อีกไม่นานแบบเรือที่เสร็จสมบูรณ์จะพร้อมใช้งาน

          ช่วงนั้นอย่างที่ทราบกันดีราชนาวีไทยอยากสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มเติม และเนื่องมาจากแบบเรือ River Batch 2 ซึ่งถูกปรับปรุงเป็นเรือหลวงกระบี่กับเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ ไม่อาจเติมเต็มความต้องการทั้งหมดโดยเฉพาะเรื่องโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ส่งผลให้กองทัพเรือไม่สร้างเรือลำที่ 3 แต่หันมามองแบบเรือรุ่นอื่น บริษัทมาร์ซันกับ TKMS จึงเสนอแบบเรือ MEKO A100 OPV ให้กองทัพเรือพิจารณา

          ผู้เขียนพยายามค้นหาข้อมูลแบบเรือ MEKO A100 OPV โชคร้ายไม่ได้ความ ข้อมูลในปัจจุบันมีเพียงเรือคอร์เวตกับเรือฟริเกตเบาซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าติดอาวุธมากกว่า เจอแค่เพียงข้อมูลเรือตรวจการณ์ MEKO OPV ในปี 2012 มีรายละเอียดตามนี้

เรือมีระวางขับน้ำ 1,820 ตัน ยาว 87.3 เมตร กว้าง 13.9 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU 12V 1163 TB93 จำนวน 2 ตัว ใช้ลูกเรือ 78 นาย แบบเรือลำนี้อิสราเอลซื้อไปปรับปรุงใช้งานเป็นเรือคอร์เวตชั้น Saar 6 จำนวน 4 ลำ พิจารณาอย่างถี่ถ้วนผู้เขียนมั่นใจว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นแบบเรือ MEKO 80 OPV ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ากัน

จนถึงปัจจุบันปริศนาแบบเรือ MEKO A100 OPV ยังไม่ผู้ใดเฉลยคำตอบ

จนถึงปัจจุบันโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่สามยังถูกดองเค็ม

โอกาสที่สองของแบบเรือ MEKO กับราชนาวีไทยผ่านพ้นไปเช่นเดียวกัน

โครงการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 4 ลำ

          ระหว่างเดือนตุลาคม 2023 กองทัพเรือไทยเผยแพร่สมุดปกขาวหรือ ‘Royal Thai Navy White Paper 2023’ ข้อมูลส่วนหนึ่งระบุความต้องการจัดหาเรือเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 4 ลำมูลค่า 80,400 ล้านบาท มุ่งเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศมากยิ่งขึ้น ข้อมูลตรงนี้เองทำให้คนจำนวนมากตีความว่าเรือฟริเกตทั้ง 4 ลำต้องสร้างเองในประเทศ ทั้งที่กองทัพเรือระบุแค่เพียงอาจมีการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งและเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ภายในประเทศในอนาคตเท่านั้น

          ผู้เขียนอ่านหลายรอบแล้ว ไม่มีบรรทัดไหนเขียนว่า ต้องการจัดหาเรือฟริเกตภายในประเทศ มีแค่คำว่า มุ่งเน้น เพียงประโยคเดียว รบกวนผู้อ่านโหลดสมุดปกขาวกองทัพเรือปี 2023 มาตรวจสอบด้วยตัวเอง

ฉะนั้นถ้ากองเรือได้งบประมาณและสั่งซื้อเรือฟริเกตจากต่างประเทศ 4 ลำรวด กองทัพเรือไม่ผิดนะครับ

เข้าใจชัดเจนแล้วมาต่อกันที่งานจัดแสดงอาวุธ Defense and Security 2023

บริษัทมาร์ซันจำกัดร่วมมือกับบริษัท ThyssenKrupp Marine Systems หรือ TKMS ประเทศเยอรมันเสนอแบบเรือ MEKO A100 ให้กับกองทัพเรือไทย (ตามภาพประกอบที่เจ็ด) เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 3,500 ตัน ยาว 107.2 เมตร กว้าง 16 เมตร กินน้ำลึกสุด 5.2 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25.5 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเล นี่เป็นข้อมูลจากเรือฟริเกต MEKO A100 กองทัพเรือบราซิลซึ่งมีการสร้างจริงแล้วจำนวน 2 ลำจาก 4 ลำ

ผู้เขียนไม่มีโอกาสไปงาน Defense and Security 2023 ไม่มีโอกาสเห็นโบร์ชัวร์ที่บริษัทมาร์ซันนำมาแจกให้กับผู้ร่วมงาน ใครมีของจริงส่งให้ผู้ด้อยโอกาสเอ๊ยผู้เขียนหลังไมค์ได้นะครับ

แบบเรือป้อมๆ กลมๆ ค่อนข้างสั้นและกว้างตามสมัยนิยม กว้านสมอเรือและจุดผูกเชือกหัวเรืออยู่บนดาดฟ้าเรือตามปรกติ รูปทรง Stealth ตัวเอ็กส์จากแบบเรือ MEKO A100 โปแลนด์ถูกเททิ้งเสียแล้ว การลดการตรวจจับด้วยคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ย่อมน้อยกว่าเรือคอร์เวตโปแลนด์ตามเทคโนโลยี ทว่ารูปทรงธรรมดาๆ ทำให้การสร้างเรือง่ายกว่าเดิม น้ำหนักเบากว่าเดิมนิดหน่อย และพลอยทำให้ราคาถูกลงกว่าเดิมไม่มากก็น้อย

โมเดลเรือ MEKO A100 ที่นำมาจัดแสดงติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง Mk41 จำนวน 16 ท่อยิง ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AESA Hensoldt TRS-4D ระยะตรวจจับ 250 กิโลเมตร ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 ท่อยิง และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM ขนาด 21 ท่อยิง มีความแตกต่างจากเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชเรือฟริเกตสมรรถนะสูงลำแรกจำนวนหลายจุด ผู้เขียนจึงทำภาพประกอบที่แปดขึ้นมาเพื่อให้มองเห็นภาพรวมหลังการปรับปรุงอย่างชัดเจน

นี่คือแบบเรือฟริเกต MEKO A100 RTN ซึ่งมีความใกล้เคียงเรือจริงมากที่สุด เรือลำบนติดตั้งระบบอาวุธและเรดาร์เหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชทั้งหมด ส่วนเรือลำล่างเปลี่ยนมาใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM ทดแทน Harpoon กับระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Milliennium Gun ทดแทน Phalanx

เลือกลำที่รัก-เลือกบั๊กที่ใช่กันได้อย่างเต็มที่

ส่วนตัวผู้เขียนชอบลำล่างมากกว่าแต่ถ้าได้ลำบนก็ไม่เดือดร้อนอะไร

ปัญหาของ MEKO A100 RTN

          ก่อนบริษัทมาร์ซันกับ TKMS จะได้รับสัญญาสร้างเรือฟริเกตมูลค่า 80,000 ล้าน (ถ้ามีการขึ้นโครงการจริงนะครับ ซึ่งผู้เขียนไม่รู้เหมือนกันกองทัพเรือจะหางบประมาณได้จากที่ไหน) มีปัญหาใหญ่จำนวน 2 เรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน

1.ระบบขับเคลื่อน

          MEKO A100 ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 ตัว แต่เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG เครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัวกับเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์อีก 1 ตัว ถ้าเป็นจริงตามนี้เท่ากับว่า MEKO A100 ใช้ระบบขับเคลื่อนไม่ตรงตามความต้องการ

          ไม่ตรงก็ไม่ตรงสิข้าพเจ้าจะเอาสักอย่างใครจะทำไม?

          ปัญหาเรื่องนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเรือคอร์เวตกองทัพแอฟริกาใต้อีกครั้ง

โครงการ Project Sitron กำหนดให้เรือคอร์เวตต้องติดตั้งเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ด้วย ฉะนั้นแบบเรือส่วนใหญ่ในรอบแรกจึงใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG บังเอิญแบบเรือ La Fayette จากฝรั่งเศสซึ่งเสนอระบบขับเคลื่อนถึง 3 แบบได้คะแนนย่ำแย่อันดับสุดท้าย ในรอบชิงพวกเขาจึงเปลี่ยนมานำเสนอแบบเรือ Patrol Corvette ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG และมีขนาดใหญ่โตกว่าเดิม โดยพ่วงแบบเรือ La Fayette ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOD เข้ามาอีกลำเป็นทางเลือกเพิ่มเติมของคนรุ่นใหม่

ในรอบชิงบริษัทอิตาลีลักไก่เสนอแบบเรือ F3000 ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOD อีกหนึ่งลำ

ก่อนการพิจารณาจริงแบบเรือ La Fayette CODOD กับ F3000 CODOD ถูกตัดสิทธิ์เพราะใช้ระบบขับเคลื่อนไม่ตรงตามความต้องการ ทำความเร็วสูงสุดตามความต้องการไม่ได้ รวมทั้งฝรั่งเศสเสนอขายเรือ La Fayette แค่เพียง 3 ลำ ทั้งสองลำถูกคัดออกตั้งแต่เปิดซองเพราะกรรมการคัดเลือกแบบเรือทำหน้าที่อย่างแข็งขัน

เท่ากับว่าถ้า MEKO A100 ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD แต่กองทัพเรือไทยต้องการระบบขับเคลื่อน CODAG โอกาสที่สามของแบบเรือ MEKO กับราชนาวีไทยจะหายไปทันที

2.การติดตั้งโซนาร์ลากท้าย ACTAS (Active Towed Array Sonar)

ท้ายเรือ MEKO A100 มีพื้นที่อเนกประสงค์ขนาดค่อนข้างใหญ่ รองรับตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 4 ตู้ กับเรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับขนาด 11 เมตรอีก 1 ลำ ไม่มีที่ว่างสำหรับติดตั้งโซนาร์ขนาดใหญ่เหมือนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ วิธีแก้ไขแบบง่ายๆ มีด้วยกันสองวิธีประกอบไปด้วย

2.1 ใช้งานโซนาร์ลากท้าย ACTAS รุ่น Mission Module เหมือนเรือฟริเกต F126 กองทัพเรือเยอรมัน

เวลาใช้งานให้นำตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ตู้มาติดตั้งกราบเรือฝั่งไหนก็ได้ เลิกใช้งานก็ถอดตู้ออกมาจัดเก็บในคลังแสงกองเรือยุทธการ ปัญหาก็คือเจ้าหน้าที่บนเรือต้องเรียนรู้การใช้งาน Mission Module ให้เข้มข้นมากๆ หน่อย รวมทั้งการจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ต้องไม่เกิดปัญหาแม้เพียงน้อยนิด ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาใช้งานแล้วบังเอิญแขนกลไม่ทำงาน ส่งตัวโซนาร์ออกไปไม่ได้งานนี้แหละได้ตายทั้งกองเรือ

2.2 ติดตั้งโซนาร์ลากท้าย ACTAS เป็นการถาวรบริเวณกราบซ้ายหรือกราบขวาของเรือ

ปัญหาก็คือความอเนกประสงค์หายไปทันทีครึ่งหนึ่ง สามารถติดตั้งคอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20 ฟุตเพิ่มได้เพียง 2 ตู้ ภารกิจเสริมกวาดทุ่นระเบิดอาจไม่มีปัญหาอะไร แต่ภารกิจเสริมวางทุ่นระเบิดจะลดจำนวนลงมากถึงครึ่งหนึ่ง ถ้าเลือกติดตั้งโซนาร์ลากท้าย ACTAS บริเวณกลางเรือแทนที่เรือยางท้องแข็งขนาด 11 เมตร ก็ทำให้เรือเหลือเรือยางท้องแข็งขนาด 6.5 เมตรเพียงลำเดียวที่กราบขวา ภารกิจเสริมต่างๆ จะทำได้อย่างลำบากลำบน เท่ากับว่าไม่สมควรวางโซนาร์ลากท้าย ACTAS ไว้ที่กลางเรือ

ไม่ว่า MEKO A100 RTN จะมาจริงและได้รับคัดเลือกจริงหรือไม่ก็ตาม ผู้เขียนต้องขอชื่นชมบริษัทมาร์ซันกับ TKMS ที่นำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับราชนาวีไทยเป็นรายแรก หวังใจว่าจะมีบริษัทอื่นส่งแบบเรือเข้าร่วมชิงชัยจำนวนมากที่สุด เราจะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นและสามารถคัดเลือกแบบเรือที่เหมาะสมกับความต้องการ

++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก :

https://web.facebook.com/photo/?fbid=652069043747623&set=pcb.652069173747610

https://thaimilitary.blogspot.com/2015/05/south-african-corvette-program.html

http://www.navy.mil.za/

http://www.shipbucket.com/forums/viewtopic.php?f=13&t=5899&sid=b24c0f394d98103a8999f057a34b2e9a

https://web.facebook.com/NavyForLifePage/photos/a.535101473194418/1262131107158114/?type=3&_rdc=1&_rdr

         

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ASROC Frigate

 

อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ RUR-5 ASROC คือหมัดเด็ดใช้ในการเผด็จศึกเรือดำน้ำจากระยะไกล สามารถโจมตีเป้าหมายตั้งแต่ระยะทาง 10 กิโลเมตรขึ้นไป มีลักษณะผสมระหว่างอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบกับอาวุธปราบเรือดำน้ำ โดยมีอุปกรณ์สำคัญๆ ที่จำเป็นต้องใช้งานประกอบไปด้วย

    - อาวุธปล่อยนำวิถี

    - แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถี

    - ระบบโซนาร์สำหรับตรวจจับและพิสูจน์ทราบเป้าหมาย เพื่อส่งข้อมูลไปยังเครื่องควบคุม

    - ระบบควบคุมการยิง มีหน้าที่ควบคุมการโคจรของอาวุธนำวิถี ให้เดินทางไปถึงยังจุดหมายที่กำหนด ก่อนปลดอาวุธปราบเรือดำน้ำให้ตกสู่พื้นน้ำ

อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ RUR-5 ASROC ประกอบไปด้วย โครงลูกจรวดใช้บรรจุอาวุธปราบเรือดำน้ำ มอเตอร์ขับเคลื่อนตัวจรวด และชุดกลไกปลดอาวุธปราบเรือดำน้ำให้ตกสู่พื้นน้ำ ASROC จะเดินทางสู่เป้าหมายด้วยระบบขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็ง ก่อนที่อาวุธปราบเรือดำน้ำจะลงสู่พื้นน้ำเหนือตำแหน่งที่ตั้งข้อมูลไว้ล่วงหน้า

ถ้าอาวุธปราบเรือดำน้ำเป็นตอร์ปิโด ทันทีที่ตอร์ปิโดแยกตัวจากโครงจรวด ร่มหน่วงความเร็วท้ายตอร์ปิโดจะกางออก เพื่อลดอัตราความเร็วในการตกสู่พื้นน้ำ และควบคุมการตกสู่พื้นน้ำให้มีความปลอดภัย ร่มจะปลดออกโดยอัตโนมัติเมื่อตอร์ปิโดตกถึงพื้นน้ำ และแบตเตอรี่ตอร์ปิโดจะเริ่มทำงานเมื่อสัมผัสน้ำทะเล

ถ้าอาวุธปราบเรือดำน้ำเป็นระเบิดลึกนิวเคลียร์ ทันทีที่แยกตัวจากโครงจรวด ลูกระเบิดลึกจะยังคงโคจรต่อไปด้วยแรงเฉื่อย โดยใช้ครีบหางรักษาเสถียรภาพการทรงตัว ซึ่งครีบหางจะกางออกโดยอัตโนมัติ และหลุดออกเมื่อกระทบกับพื้นน้ำโดยแรง ลูกระเบิดลึกจะจมลงและระเบิดตามความลึกที่กำหนดไว้

อเมริกาเริ่มต้นพัฒนา RUR-5 ASROC ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 ตั้งใจนำมาประจำการทดแทน RUR-4 Weapon Alpha ซึ่งล้าสมัยและมีระยะยิงค่อนข้างสั้น Weapon Alpha รูปร่างหน้าตาคล้ายปืนใหญ่ขนาด 5.25 นิ้ว ใช้ยิงระเบิดลึกขนาด 238 กิโลกรัมได้ไกลสุดเพียง 730 เมตร เมื่ออเมริกาพัฒนาตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ Mark 44 เข้าประจำการเป็นที่เรียบร้อย จึงได้ต่อยอดกลายเป็น RUR-5 ASROC ระยะยิงไกลสุด 10 กิโลเมตร

ราชนาวีไทยเคยมี RUR-5 ASROC ใช้งานบนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 2 ลำ

เรือฟริเกตชุดเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

การจัดหาเรือฟริเกตที่มีขนาดใหญ่และสมรรถนะสูง รวมทั้งติดตั้งอาวุธที่ทันสมัยนั้น จะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการที่สูงมาก ดังนั้นแนวคิดที่จะหาเรื่องที่สร้างใหม่ให้ได้ครบตามความต้องการกองทัพเรือ จึงมีความเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มพิจารณาการสะสมอาวุธลงเพื่อลดค่าใช้จ่ายในด้านการป้องกันประเทศ โดยได้กำหนดแผนที่จะปลดเรือ เครื่องบิน และอาวุธหลายประเภทออกจากการประจำการด้วยวิธีการขายหรือให้เช่าแก่ประเทศพันธมิตร

ในการนี้กองทัพเรือจึงมีความสนใจที่จะจัดหาเรือฟริเกตที่กองทัพเรือสหรัฐจะปลดระวางประจำการดังกล่าว เนื่องจากมีราคาถูก และยังคงมีอายุใช้งานได้อีกนาน อีกทั้งสมรรถนะและระบบอาวุธก็มีความสามารถสูงตามมาตรฐานกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการทางยุทธการและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางเรือของกองทัพเรือได้เป็นอย่างดี

เพื่อเป็นการจัดหาขีดความสามารถด้านการป้องกันภัยทางอากาศเป็นพื้นที่ (Area Air Defence) ให้แก่กองเรือในทะเล รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการรบพื้นน้ำ และปราบเรือดำน้ำ กองทัพเรือจึงได้แสดงความจำนงที่จะจัดหาเรือพิฆาตชั้น Charles F. Adam (DDG-2) ซึ่งมีขนาด สมรรถนะ และขีดความสามารถ รวมทั้งระบบอาวุธเช่นเดียวกับเรือฟริเกตแบบที่กองทัพเรือต้องการ โดยมีอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะปานกลางแบบ Standard Missile SM-1 ระยะยิง 25 ไมล์ทะเลเป็นอาวุธหลัก แต่กองทัพเรือสหรัฐได้ชี้แจงว่า เรือพิฆาตชั้น Charles F. Adam มีอายุมากถึง 30 ปีแล้ว จะต้องใช้งบประมาณในการบำรุงรักษาสูงมาก อีกทั้งระบบต่างๆ ก็มีความสลับซับซ้อนและยุ่งยากต่อการบำรุงรักษา จึงได้เสนอแนะเรือฟริเกตชั้น Knox ซึ่งมีอายุน้อยกว่าถึง 10 ปี มีระบบอุปกรณ์ต่างๆ ทันสมัยและยุ่งยากน้อยกว่า โดยที่ขีดความสามารถและสมรรถนะรวมทั้งระบบอาวุธอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และเนื่องจาก เรือฟริเกตชั้น Knox นี้ กองทัพเรือสหรัฐได้ทยอยส่งมอบให้กับกองทัพเรือของประเทศพันธมิตร ทั้งในลักษณะการขายและให้เช่าในราคาถูกแล้วหลายประเทศ ได้แก่ กรีซ ไต้หวัน อียิปต์ และตุรกี เป็นต้น จึงมีประสบการณ์ในการปรับปรุงเรือและฝึกอบรมกำลังพลให้สามารถใช้เรือได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากกองทัพเรือจัดหาเรือฟริเกตชั้น Knox ดังกล่าว ก็เชื่อถือได้ว่าจะสามารถรับมอบเรือมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า

เมื่อพิจารณาว่าเรือฟริเกตชั้น Knox ยังมีอายุไม่มากนัก การซ่อมบำรุงและจัดหาอะไหล่ยังดำเนินการได้โดยสะดวก เพราะยังคงมีเรือดังกล่าวประจำการอยู่ในกองทัพเรือสหรัฐ และกองทัพเรือของประเทศพันธมิตรหลายประเทศ มีเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือพร้อมโรงเก็บ อีกทั้งระบบอาวุธก็คล้ายคลึงกับแบบที่กองทัพเรือจัดหามาติดตั้งบนเรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร ซึ่งจะช่วยทำให้การส่งกำลังบำรุงให้กับเรือดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด เพราะสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์บางอย่างร่วมกันได้ กองทัพเรือจึงตกลงใจที่จะพิจารณาดำเนินการจัดหาเรือดังกล่าวมาใช้ราชการจำนวน 4 ลำ

ในขั้นแรกกองทัพเรือสหรัฐ สามารถจัดหาเรือฟริเกตชุดนี้ให้กองทัพเรือไทยได้เพียง 2 ลำ แต่เมื่อพลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ เดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาตามคำเชิญของผู้บัญ๙การทหารเรือสหรัฐ ท่านได้ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นของกองทัพเรือในการจัดหาเรือฟริเกตชั้น Knox จำนวน 4 ลำ จนสหรัฐเข้าใจและยอมเลื่อนความต้องการของไทยไว้เป็นลำดับแรก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่กองทัพเรือสามารถจัดหาเรือชุดนี้ได้เพียง 2 ลำเท่านั้น โดยกองทัพเรือได้รับมอบเรือลำแรก คือ เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 461 แล้ว เมื่อ 30 กรกฎาคม 2537 ส่วนเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย 462 ได้รับมอบจากสหรัฐเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2541

โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง

เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกับเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย คือเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำทันสมัยที่สุดในย่านอาเซียน แต่เนื่องมาจากเป็นเรือเก่าเหลืออายุการใช้งานเพียง 20 กว่าปี ฉะนั้นในปี 2556 รัฐบาลจึงได้อนุมัติให้กองทัพเรือจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่จากประเทศเกาหลีใต้จำนวน 1 ลำในวงเงิน 14,600 ล้านบาท ลดจากแผนเดิมจำนวน 2 ลำในวงเงิน 30,000 ล้านบาทตามความต้องการกองทัพเรือ ใช้งบผูกพันระหว่างปี 2556-2561 ระยะเวลาสร้าง 1,800 วัน ระหว่างสร้างเรือกองทัพเรือได้จัดส่งกำลังพลไปเรียนรู้ระบบเรือ (Platform System) และระบบการรบ (Combat System) ที่ประเทศเกาหลีใต้เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต

เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช (FFG-471) เข้าประจำการวันที่ 7 มกราคม 2562 เป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยจัดเต็มเรื่องระบบปราบเรือดำน้ำจากเยอรมัน หัวเรือติดตั้งโซนาร์ Atlas Elektronik DSQS-24C ทำงานในย่านความถี่ปานกลาง ค้นหาเป้าหมายได้ทั้งโหมด Active ที่ความถี่ 6 ถึง 9 KHz และโหมด Passive ที่ความถี่ 1 ถึง 11 KHz ตรวจจับได้ทั้งเรือผิวน้ำ เรือดำน้ำ หรือวัตถุขนาดเล็กอาทิเช่นยานใต้น้ำไร้คนขับหรือทุ่นระเบิด สามารถแจ้งเตือนภัยเมื่อตรวจพบตอร์ปิโด รวมทั้งใช้สื่อสารกับเรือดำน้ำฝ่ายเดียวกัน สามารถเลือกส่งความถี่ได้ไกลสุด 40 กิโลเมตร และมีระยะตรวจจับหวังผลอยู่ที่ประมาณ 15 กิโลเมตร

ท้ายเรือติดตั้งโซนาร์ลากท้าย Atlas Electronics ACTAS (Active Towed Array Sonar) รุ่นใหม่ทันสมัยดีที่สุดจากเยอรมัน ค้นหาเป้าหมายได้ทั้งโหมด Active ด้วยระบบ Active Variable-Depth Towed Body ติดตั้ง Transducer จำนวน 2 ชุดพร้อมสายเคเบิลยาว 400 เมตร และค้นหาเป้าหมายในโหมด Passive ด้วยระบบ Dependent Passive Towed Array จำนวน 2 ชุด พร้อมสายเคเบิลยาว 500 เมตร ซึ่งต่อพว่งจาก Active Variable-Depth Towed Body ระยะตรวจจับตั้งแต่ 2 ถึง 60 กิโลเมตร ใช้ระบบอำนวยการรบปราบเรือดำน้ำ ATLAS Modular ASW Combat System (AMACS) ควบคุมโซนาร์ DSQS-24C และ ACTAS ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เทียบกับเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกถือว่าดีขึ้นตามระดับเทคโนโลยี

เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชประสิทธิภาพสูงกว่าเรือฟริเกตรุ่นเก่าก็จริง โชคร้ายไม่สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ RUM-139 VL-ASROC จากท่อยิงแนวดิ่ง Mk.41 Vertical Launching System ได้ เหตุผลก็คือระบบอำนวยการรบจากสวีเดน กับระบบอำนวยการรบปราบเรือดำน้ำจากเยอรมัน ไม่เคยทำงานร่วมกับ VL-ASROC จากสหรัฐอเมริกา เรือฟริเกตสมรรถนะสูงจึงมีสมรรถนะสูงแค่เพียงนามปากกา จนถึงปัจจุบันกองทัพเรือยังไม่มีวิธีอุดช่องว่างจากการขาดหายไปของ RUR-5 ASROC เรือหลวงพุทธทั้งสองลำ

โชคดีในโชคร้ายสินค้าจากประเทศจีนสามารถแก้ปัญหาใหญ่ให้กับกองทัพเรือ

อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ Yu-8E/ET-80

          จีนพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำมานานพอสมควร รุ่นใหม่ล่าสุดคือ YU-8 ใช้งานร่วมกับแท่นยิงแนวดิ่งพัฒนาขึ้นมาเอง ระยะยิงไกลสุดไม่รวมระยะยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเท่ากับ 50 กิโลเมตร มีใช้งานบนเรือฟริเกต Type 054A เรือฟริเกต Type 054B (เมื่อเรือเข้าประจำการ) เรือพิฆาต Type 052D และเรือพิฆาต Type 055 ขนาดหนึ่งหมื่นตัน

          นอกจากพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำเพื่อใช้งานเองแล้ว จีนยังได้ต่อยอดพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำรุ่นส่งออกใช้ชื่อว่า YU-8E (E ย่อมาจากคำว่า Export) ใช้งานร่วมกับแท่นยิงแนวดิ่งพัฒนาขึ้นมาเอง ระยะยิงไกลสุดไม่รวมระยะยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเท่ากับ 30 กิโลเมตร สามารถใช้งานบนเรือฟริเกต Type 054AE และเรือพิฆาต Type 052DE ซึ่งเป็นเรือรบรุ่นส่งออกทั้งสองรุ่น

          ต่อมาไม่นานบริษัทผู้ผลิตได้กำหนดชื่อใหม่จาก YU-8E เป็น ET-80 แต่ถึงกระนั้นจะเรียกชื่อไหนก็คือสินค้าชนิดเดียวกัน แม้ ET-80 จะถูกลดประสิทธิภาพยิงได้ไกลสุดแค่ 30 กิโลเมตร แต่ถึงกระนั้นเมื่อเทียบกับ RUM-139 VL-ASROC ซึ่งยิงได้ไกลสุด 22 กิโลเมตร ยังถือว่าสินค้าจากประเทศจีนนำหน้าอยู่สองเสาไฟ

          ติ๊งต่างว่ากองทัพเรือขอเปลี่ยนเรือดำน้ำ S26T เป็นเรือฟริเกต ผู้เขียนแนะนำว่ารัฐบาลสมควรต่อรองให้จีนยอมขายเรือฟริเกตชั้น Type 054A Flight 3 แทนที่จะเอารุ่นส่งออกเหมือนกองทัพเรือปากีสถาน เรือต้องมาพร้อมโซนาร์ลากท้ายรุ่นส่งออก TLAS-1 (Towed Line Array Sonar) ซึ่งจีนนำโซนาร์ลากท้าย H/SJG-206 ของตัวเองมาตัดออปชันออกเล็กน้อย ทำงานร่วมกับโซนาร์ลากจูงรุ่นส่งออก TVDS-1 (Towed Variable-Depth Sonar) ซึ่งถูกปรับปรุงจากโซนาร์ลากจูง H/SJG-311 ของจีนให้มีประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย

          ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจีนพัฒนาโซนาร์ลากจูงรุ่นส่งออก TVDS-1 เสร็จหรือยัง แต่ถึงกระนั้นถ้ากองทัพเรือสั่งซื้อเรือฟริเกต Type 054A/T ปลายปี 2023 กว่าเรือจะสร้างเสร็จพร้อมประจำการก็อีก 3 ปีเต็ม ถึงตอนนั้น TVDS-1 ต้องพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าเงินหนา เผลอๆ ไทยแลนด์นี่แหละคือลูกค้ารายแรกตัดหน้าปากีสถาน

          ภาพประกอบที่ห้าคือเรือหลวงแม่กลองลำที่สอง 481 เรือฟริเกต Type 054A/T ลำแรกของราชนาวีไทย แท่นยิงแนวดิ่งหัวเรือบรรจุอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน LY-80N (หรือ HQ-16 รุ่นส่งออก) ระยะยิงไกลสุด 40 กิโลเมตรจำนวน 24 นัด กับอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำ ET-80 ระยะยิง 30+ กิโลเมตรจำนวน 8 นัด หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ H/PJ-26 ขนาด 76 มม. กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A จำนวน 8 ท่อยิง ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 ใช้ปืนกล 30 มม.สิบเอ็ดลำกล้องจำนวน 2 ระบบ แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ YU-7 รุ่นแฝดสามจำนวน 6 ท่อยิง แท่นยิงเป้าลวง Type 726-4 ขนาด 24 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง ทำงานร่วมกับระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ HZ-100 ESM

          เห็นเสากระโดงรองเหนือปล่องระบายความร้อนหรือเปล่าครับ ในโดมทรงกลมติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Type 362 หรือชื่อรุ่นส่งออก MR-36A ระยะตรวจจับไกลสุด 100 กิโลเมตร รบกวนผู้อ่านทุกคนกรุณาทด MR-36A ไว้ในใจสักครู่หนึ่ง

อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ Yu-11E/ET-81

          เรือหลวงแม่กลอง 481 เข้ามาปิดจุดอ่อน ASROC Frigate ได้อย่างดีเยี่ยมก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่า เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 461 กับเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย 462 แบก RUR-5 ASROC รวมกันมากสุดถึง 48 นัด (ถ้าจำเป็นต้องทำ) เท่ากับว่าลูกประดู่ไทยยังเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไม่ครบถ้วนทุกระบวนท่า

ผู้เขียนขอริอ่านปรับปรุงเรือหลวงเจ้าพระยา 455 กับเรือหลวงบางปะกง 456 ให้กลายเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวหรือ ASROC Frigate กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี 2025 สามารถประจำการต่อได้อีก 20 ปีหรือถึงปี 2045 เท่ากับว่าเรือทั้งสองลำมีอายุราชการมากกว่า 50 ปีไปโดยปริยาย

          หมัดเด็ดของเรือหลวงเจ้าพระยาคืออาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำรุ่นส่งออก YU-11E ซึ่งมีชื่อใหม่ว่า ET-81 ใช้งานร่วมกับแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A โดยมีการปรับปรุงเล็กน้อย ET-81 ใช้ระบบขับเคลื่อนเทอร์โบเจ๊ตมีบูตเตอร์ช่วยเร่งความเร็วที่ด้านท้าย ระยะยิงไกลสุดไม่รวมระยะยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำมากถึง 60 กิโลเมตร ยิงจากแท่นยิงบนฝั่งได้ด้วยเป็นอีกหนึ่งออปชันที่น่าสนใจมาก

          บริษัทผู้ผลิตระบุว่า ET-81 สามารถใช้งานบนเรือคอร์เวต Type 056 เรือคอร์เวต C28A เรือฟริเกต F-22P และเรือฟริเกต Type 054AE สังเกตนะครับว่าเรือบางรุ่นไม่มีโซนาร์ลากท้ายก็ยังสามารถใช้งานได้ โดยใช้เป็นฐานยิงเคลื่อนที่เดินทางไปพร้อมกองเรือ หน้าที่ตรวจจับและกำหนดเป้าหมายมอบให้กับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ เมื่อได้พิกัดจากเฮลิคอปเตอร์ผู้การเรือจะสั่งยิง ET-81 มายังตำแหน่งต้องสงสัย ปล่อยให้ระบบตรวจจับในตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำทำหน้าที่ค้นหาและตีต่อเป้าหมายด้วยตัวเอง

          การปรับปรุงเรือหลวงเจ้าพระยา 455 กับเรือหลวงบางปะกง 456 ให้มีอายุใช้งานถึงปี 2045 ผู้เขียนขอเปลี่ยนมาใช้อาวุธ เรดาร์ และอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนเรือฟริเกต Type 054A/T ประกอบไปด้วย

-ระบบอำนวยการรบ ZKJ-5

-ปืนใหญ่ H/PJ-26 ขนาด 76 มม.แทนที่ปืนใหญ่ขนาด 100 มม.หัวเรือ

-เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Type 362

-เรดาร์ควบคุมการยิงรุ่นส่งออก TR47C

-ระบบดาต้าลิงก์

-ระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ HZ-100 ESM

-อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ ET-81 จำนวน 7 นัด

-อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A จำนวน 1 นัด (กันผีหลอก)

-แท่นยิงเป้าลวง Type 726-4 ขนาด 24 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง แทนที่ปืนกล 37 มม.ลำกล้องแฝดท้ายเรือ

-ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 จำนวน 1 ระบบ

-สร้าง Superstructure สำหรับคลังแสงกระสุนปืนกลขนาด 30 มม.ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 และจัดเก็บเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีกับเป้าลวงตอร์ปิโด

-สร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์แทนที่ปืนใหญ่ขนาด 100 มม.ท้ายเรือ

-ท้ายเรือติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นส่งออก TLAS-1 (Towed Line Array Sonar)

-เรดาร์เดินเรือ โซนาร์หัวเรือ และอาวุธเก่าบางชนิดยังคงติดตั้งและใช้งานตามเดิม

โซนาร์ลากท้าย TLAS-1 ใช้ตรวจจับเรือดำน้ำจากระยะไกล ก่อนส่งพิกัดอย่างคร่าวๆ ให้เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำช่วยค้นหาเป้าหมายใต้น้ำต่อไป รวมทั้งใช้เป็นโซนาร์เตือนภัยตอร์ปิโดทำงานร่วมกับระบบเป้าลวงตอร์ปิโดจากจีน ส่วนโซนาร์ลากจูงรุ่นส่งออก TVDS-1 ไม่จำเป็นต้องซื้อมาติดให้เสียเงิน ไม่ว่าอย่างไรเราคงไม่นำเรือฟริเกตทั้งสองลำเข้าใกล้เรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามแน่นอน

ภาพประกอบที่เจ็ดคือเรือหลวงเจ้าพระยา 455 หลังการปรับปรุงใหญ่ในปี 2025 เนื่องจากบนเรือมีแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีจำนวน 8 ท่อยิง ในภารกิจปราบเรือดำน้ำผู้เขียนกำหนดให้ติดตั้ง ET-81 จำนวน 7 นัดกับ C-802A จำนวน 1 นัด ถ้าเป็นภารกิจปราบเรือผิวน้ำอาจเปลี่ยนเป็น ET-81 จำนวน 1 นัดกับ C-802A จำนวน 7 นัดอะไรทำนองนี้ การป้องกันภัยทางอากาศดีขึ้นกว่าเดิมเพราะได้ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 มาช่วยคุมท้าย ส่วนเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำตามภาพประกอบอาจมาหรือไม่มาก็ได้โปรดจงทำใจ

หลังการปรับปรุงเรือหลวงเจ้าพระยา 455 จะอยู่รับใช้ชาติได้อีก 20 ปีเต็ม

ของฝากนักกอล์ฟ

          เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวหรือ ASROC Frigate จำนวน 3 ลำอาจมากเพียงพอในการป้องกันกองเรือ ทว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเรายังมีเรือฟริเกตติด C-802A อีก 2 ลำนี่นา ผู้เขียนจึงอยากปรับปรุงเรือหลวงกระบุรี 457 กับเรือหลวงสายบุรี 458 ให้สามารถแบกอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ ET-81 ไปกับเรือได้ ใช้เป็นฐานยิงเคลื่อนที่โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโซนาร์ลากท้าย TLAS-1 ให้เปลืองเงิน

โครงการนี้แค่ปรับปรุงแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีให้รองรับ ET-81 เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ทำก็ดีไม่ทำก็ได้ไม่ส่งผลกระทบต่อกองเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวแต่อย่างใด

เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวหรือมีความสำคัญอย่างไร?

อันที่จริงถ้ากองทัพเรือมีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำจำนวนมากเพียงพอ ลูกยาวจากจีนหรือสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นส่วนเกินไม่มีใครต้องการ บังเอิญเรามีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำเพียง 6 ลำ มีโซนาร์ชักหย่อนแค่เพียง 3 ระบบ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำทุกลำอายุมากกว่า 25 ปี และเรามีเรือฟริเกตรองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด 10 ตันแค่เพียง 1 ลำ

เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวจะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B ตรวจจับเป้าหมายใต้น้ำได้อย่างชัดเจน ทว่าตัวเองไม่มีตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำเฮลิคอปเตอร์ลำอื่นก็ดันอยู่อีกฟากของขอบฟ้า เรือหลวงสายบุรี 458 ซึ่งอยู่ห่างออกไป 50 กิโลเมตรจะส่ง ET-81 ลอยละล่องขึ้นสู่เวหาเข้ามาช่วยเหลือได้ทันท่วงที ET-81 อาจยิงไม่ถูกในนัดเดียว (ส่วนใหญ่ก็ยิงกันไม่ค่อยถูก) แต่ยังสามารถผลักดันเรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามให้ยอมล่าถอยออกจากน่านน้ำเขตหวงห้าม

ติ๊งต่างว่าเรามีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำใหม่เอี่ยมจำนวน 12 ลำกับโซนาร์ชักหย่อนจำนวน 6 ชุด เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวคงไม่จำเป็นแม้แต่ลำเดียว ใช้เฮลิคอปเตอร์นี่แหละครับแทนอาวุธปล่อยนำวิถี

เวลาเดียวกันเรือหลวงช้างลำที่สาม 792 จะได้รับการปรับปรุงไม่ให้เป็นเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าโล่ง ใช้วิธีเดียวกับเรือหลวงเจ้าพระยาคือยกอาวุธและเรดาร์จากเรือฟริเกต Type 054A/T มาใช้งานประกอบไปด้วย

-ระบบอำนวยการรบ ZKJ-5 (อาจยังไม่ติดก็ได้ถ้างบประมาณไม่เพียงพอ)

-เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Type 362

-ระบบดาต้าลิงก์

-ระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ HZ-100 ESM

-แท่นยิงเป้าลวง Type 726-4 ขนาด 24 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง

-ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 จำนวน 1 ระบบที่หัวเรือ แทนที่ปืนใหญ่ H/PJ-26 ขนาด 76 มม.เพราะไม่รู้จะติดไปเพื่ออะไร

-นำปืนกลขนาด 20 มม. GAM-BO1 จากคลังแสงกองทัพเรือจำนวน 4 กระบอกมาติดตั้งรอบลำเรือ

          ได้ของเพียงเท่านี้ผู้เขียนคิดว่ามากเพียงพอแล้ว โดยเฉพาะระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 สำคัญมากที่สุด อนาคตถ้างบประมาณประเทศเกินดุลมากๆ ค่อยหา RAM เมืองจีนมาใช้งาน

บทสรุป

          ขณะที่ทุกคนรุมประณามหยามเหยียดเรือฟริเกตจีนอย่างน่าเกลียดมากจนถึงมากที่สุด ผู้เขียนกลับมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มองเห็นวิธีแก้ไขปัญหาขนาดใหญ่ที่ถูกละเลย มองเห็นวิธีอุดช่องโหว่อันเกิดจากเรือฟริเกตสมถรรนะสูงไม่สูงจริงเหมือนชื่อ รวมทั้งมองเห็นวิธีปรับปรุงเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งให้กลับมาเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาว เหตุผลที่ผู้เขียนมองเห็นโอกาสมากมายเพราะราชนาวีไทยมีเรือจีนถึง 10 ลำ!

          ผู้อ่านละครับมองเห็นอะไรบ้าง??

++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก :

หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์

https://thaimilitary.blogspot.com/2016/11/royal-thai-navy-anti-submarine-weapon.html

https://thaimilitary.blogspot.com/2023/07/the-off-shore-navy.html

https://picryl.com/media/a-port-view-of-the-frigate-uss-barbey-ff-1088-firing-two-harpoon-missiles-from-f28099

https://twitter.com/andavamas/status/1595768085847629825

https://web.facebook.com/groups/586945348127017/posts/2305473479607520/

https://www.sohu.com/a/721579764_100185604