วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

RTN Air Defence Systems What If

 

ปัจจุบันภัยคุกคามจากฟากฟ้ามีความน่ากลัวมากกว่าเดิม นอกจากกองเรือจะต้องเผชิญหน้าเครื่องบินขับไล่/โจมตีและอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบเหมือนในอดีต ยังมีอากาศยานไร้คนขับติดอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ-สู่-พื้นระยะใกล้ อากาศยานไร้คนขับพลีชีพทั้งขนาดเล็กและใหญ่ จรวดนำวิถีหลายลำกล้องระยะกลางและระยะไกล รวมทั้งระเบิดนำวิถีรุ่นใหม่ทันสมัยขนาดต่างๆ ที่มีความแม่นยำมากกว่าเดิม นอกจากนี้ในอนาคตจะมีอากาศยานไร้คนขับเครื่องยนต์ไอพ่นเข้าประจำการ มาพร้อมอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ-สู่-พื้นระยะกลางและระเบิดนำวิถี

          ภัยคุกคามต่างๆ ที่ผู้เขียนแนะนำให้รู้จักแค่พอคร่าวๆ ต้องใช้ระบบป้องกันภัยทางอากาศบนเรือในการรับมือ อาวุธที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันคืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องใช้งานระบบตรวจจับทันสมัยประสิทธิภาพสูงควบคู่กันไป ถ้าเรดาร์ตรวจจับเป้าหมายไม่เจออาวุธราคาแพงย่อมไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

          ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก กองทัพเรือสิงคโปร์มีระบบป้องกันภัยทางอากาศยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งแบบไร้คู่แข่ง เรามาชมรายละเอียดกันสักเล็กน้อย

          1.เรือฟริเกตชั้น Formidable จำนวน 6 ลำ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานตระกูล Aster ระยะยิง 30-100 กิโลเมตรจำนวน 32 นัด ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Herakles

          2.เรือคอร์เวตชั้น Victory จำนวน 6 ลำ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Barak 1 ระยะยิง 12 กิโลเมตร จำนวน 16 นัด ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB

          3.เรือตรวจการณ์ LMV ชั้น Independence จำนวน 8 ลำ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA ระยะยิง 20 กิโลเมตร จำนวน 12 นัด ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS 100

          4.เรือยกพลขึ้นบกชั้น Endurance จำนวน 8 ลำ ติดตั้งติดตั้งแท่นยิง Simbad จำนวน 2 แท่นยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral ระยะยิง 7 กิโลเมตร โดยมีเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ EL/M-2238 STAR ช่วยค้นหาและติดตามเป้าหมาย

          เท่ากับว่าเรือรบสำคัญๆ ของสิงคโปร์มีระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบตรวจจับเป้าหมายผู้เขียนขอใช้คำว่า ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง สมกับเป็นอันดับหนึ่งอาเซียนไม่มีใครตามทันภายใน 20 ปีอย่างแน่นอน

          อันดับสองของอาเซียนประเทศไทยทิ้งห่างอันดับสามสองเสาไฟ รวมทั้งถูกอันดับหนึ่งทิ้งห่างอย่างเหนือชั้นสองไฟแดง ระบบป้องกันภัยทางอากาศบนเรือรบลูกประดู่ไทยประกอบไปด้วย

          1.เรือหลวงนเรศวร 421 เรือหลวงตากสิน 422 และเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช 471 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตร

2.เรือหลวงรัตนโกสินทร์ 441 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aspide 2000 ระยะยิง 25 กิโลเมตร

3.เรือหลวงจักรีนฤเบศร 911 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral ระยะยิง 7 กิโลเมตร

กองทัพเรือไทยมีเรือรบติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 5 ลำ เท่าจำนวนสมาชิกขบวนการมนุษย์ไฟฟ้าพอดิบพอดี แต่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กองเรือต้องรับผิดชอบ บทความนี้คือการปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศราชนาวีไทย แต่เป็นการปรับปรุงทิพย์หรือ What If สนองความต้องการตัวเองเท่านั้น

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome

 ตามแผนเดิมการปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศจะเริ่มต้นหลังได้รัฐบาลใหม่ บังเอิญการเมืองยังไม่นิ่งเลือกตั้งเสร็จหลายเดือนแล้วยังหานายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่ได้ นายโจนาธารในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัดสินใจเสริมจุดอ่อนให้กับกองทัพเรือด้วยวิธีการง่ายๆ ราคาไม่แพง สามารถเคลื่อนย้ายได้ โดยการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule จากอิสราเอลจำนวน 2 ระบบ

C-Dome รุ่น Mission Mudule ประกอบไปด้วย

1.ห้องควบคุมในตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 1 ตู้ ติดตั้งเรดาร์ตรวจจับและติดตามเป้าหมาย AESA จำนวน 4 ตัวกับกล้องออปโทรนิกส์อีก 1 ตัว ใช้เป็นห้องควบคุมการยิงระบบต่อสู้อากาศยาน ทำงานแยกต่างหากจากระบบอำนวยการรบเรือที่ติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ

2.แท่นยิงแนวดิ่งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Iron Dome ระยะยิง 70 กิโลเมตรจำนวน 20 ท่อยิง

Iron Dome หนึ่งนัดราคา 100,000-150,000 เหรียญ เทียบกับ ESSM ราคานัดละ 1 ล้านเหรียญถูกกว่ากันชนิดหน้ามือหลังมือ ยิงเป้าหมายบนอากาศได้ทุกชนิดยกเว้นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบบินเรี่ยน้ำ เนื่องจาก Iron Dome ถูกออกแบบให้มีความเร็วต่ำเพียง 2.2 มัค เน้นจัดการเป้าหมายราคาถูกแต่มีปริมาณค่อนข้างมาก

ถ้าใช้งานอย่างถูกต้อง C-Dome จะช่วยคุ้มครองกองเรือจากภัยคุกคามทางอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม

เรือที่นายโจนาธารกำหนดให้ติดตั้ง C-Dome ประกอบไปด้วย

1.เรือฟริเกตชั้น Type 053HTH จำนวน 2 ลำ ได้แก่เรือหลวงกระบุรี 457 และเรือหลวงสายบุรี 458

2.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 2 จำนวน 2 ลำ ได้แก่เรือหลวงกระบี่ 551 และเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ 552

C-Dome จำนวน 2 ระบบเข้ามาปิดจุดอ่อนกองเรือไทยได้ในระดับหนึ่ง

แท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56

          การปิดจุดอ่อนให้กับกองทัพเรือของนายโจนาธารจากพรรคเพื่อนไทย ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยังไม่สิ้นสุด หลังการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule จากอิสราเอลมาใช้งาน เรือหลวงกระบี่ 551 เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 2 ลำแรกเดินทางเข้าอู่ลอย เพื่อปรับปรุงเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งป้องกันภัยทางอากาศลำแรกของราชนาวีไทย โดยที่เรือยังคงทำภารกิจหลักคือลาดตระเวนตรวจการณ์ ตรวจสอบเรือพาณิชย์และเรือประมง ในน่านน้ำ 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งได้ตามปรกติ

การปรับปรุงเรือประกอบไปด้วย

1.ปรับปรุงระบบอำนวยการรบ TACTICOS เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด Baseline 2

2.ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS50 AESA ตรวจจับเป้าหมายบนอากาศได้ไกลสุด 180 กิโลเมตร ตรวจจับเป้าหมายพื้นน้ำได้ไกลสุด 80 กิโลเมตร

3.ติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานและอาวุธปืน

4.ติดตั้งออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Miradar สำหรับปืนใหญ่ 76 มม.กับปืนกล 30 มม.

5.ติดตั้งระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ใช้ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ VIGILE Mk2 R-ESM

6.ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวง SKWS DL-12T ขนาด 12 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง

6.ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56 สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM จำนวนมากสุด 12 นัด

แท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56 สามารถฝังใต้ดาดฟ้าเรือได้ทั้งครึ่งหนึ่งและทั้งหมด การใช้งานบนเรือหลวงกระบี่เราจะตั้งแท่นยิงหลังปล่องระบายความร้อนโดยไม่ฝังเพราะฝังไม่ได้ รวมทั้งต้องมีการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับจุดติดตั้งอาวุธก่อน ติดกันง่ายๆ เหมือนเรือหลวงประจบคีรีขันธ์ติด Harpoon นั่นแหละครับ

เรือหลวงกระบี่กลับเข้าประจำการอีกครั้งปลายปี 2024 กลายเป็นเรือลำที่ 4 ที่สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตร วิธีใช้งาน ESSM ร่วมกับแท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56 ค่อนข้างง่ายไม่ยุ่งยาก เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อกล่อง Mk 25 บรรจุ ESSM เหมือนตอนใช้งานแท่นยิง Mk 41

เรือหลวงกระบี่ยังสามารถติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule เพิ่มเติมบนลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งจะทำให้เรือมี ESSM จำนวน 8 นัดกับ Iron Dome จำนวน 20 นัดใช้งาน กลายร่างเป็นอภิมหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งป้องกันภัยทางอากาศ ทันทีที่เรือกลับเข้ามาประจำการและทดสอบติดตั้ง C-Dome  กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน รวมทั้งสิงคโปร์รีบส่งคนมาดูงานที่สัตหีบทันที

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Mistral 1X

          วันที่ 28 พฤษภาคม 2024 นายพีต้าจากพรรคกว้างไกล ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการ งานแรกที่ท่านผู้นำคนที่ 30 ทำคือการปรับปรุงเรือฟริเกตชั้น Type 053HT กาลครั้งหนึ่งคุณพ่อนายพีต้าเคยเป็นจุ่มโพ่เรือหลวงเจ้าพระยาถึง 5 ปี ท่านนยกมีความคุ้นเคยเรือลำนี้และอยากให้เรือใช้งานได้อย่างยาวนาน โดยมีระบบอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ เพียงพอในการป้องกันตัวเอง

          แผนแรกนายพีต้าต้องการปรับปรุงเรือด้วยระบบอาวุธและเรดาร์จากตะวันตก ให้เหมือนเรือที่นักวาดภาพชาวไทยคนหนึ่งเคยปรับปรุงเรือแบบคนเมากาวหลายครั้ง บังเอิญนายโจนาธารรองนายกกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเขามาเคลียร์ใจและขอขมา บอกว่าช่วงที่ตัวเองเป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขานำงบประมาณกองทัพเรือส่วนใหญ่มาปรับปรุงเรือหลวงกระบี่เหลือไว้ให้รัฐมนตรีตัวจริงเพียงน้อยนิด

          นายพีต้ารู้สึกกลุ้มใจมากอยากปรับพรรคเพื่อนไทยออกจาก 8 พรรคร่วม ติดอยู่แค่เพียงตัวเองเซ็น MOU ไปแล้วว่าเราสองคนจะรักกันชั่วฟ้าดินสลาย นายกหนุ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับจนคุณพ่อต้องเดินมาสอบถาม เมื่อได้รับทราบความจริงอดีตจุ่มโพ่เรือหลวงเจ้าพระยาให้คำแนะนำว่า นักวาดภาพชาวไทยที่เคยปรับปรุงเรือแบบคนเมากาวมีแนวคิดใหม่ล่าสุด หมอนี่ติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ Mission Mudule กาวมากๆ เลยลูก

          คำแนะนำจากผู้ให้กำเนิดนายพีต้าทำตามทันที เขารีบติดต่อกับฝรั่งเศสผ่านกุนซือตัวเองซึ่งสนิทกับคนในกองทัพ มีการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ Mistral 1X (Mistral 3 + Sea Giraffe 1X ) แบบ Mission Mudule จำนวน 2 ระบบ มาใช้งานบนเรือหลวงเจ้าพระยา 455 กับเรือหลวงบางปะกง 456

อุปกรณ์ Mistral 1X แบบ Mission Mudule ประกอบไปด้วย

          1.ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตใบที่หนึ่งวางหลังเสากระโดง บนหลังคาติดตั้งแท่นยิงแฝดหก Sadral ที่นายพีต้ารีดไถจากกองทัพเรือฝรั่งเศส นำมาปรับปรุงใหม่ใช้ระบบตรวจจับรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูง ทำงานร่วมกับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 รุ่นใหม่ล่าสุดระยะยิง 7 กิโลเมตร ในตู้คอนเทนเนอร์คือคลังแสงจัดเก็บ Mistral 3 มากสุด 15 นัด การบรรจุใส่ท่อยิงสามารถใช้งานเครนยกเรือยางท้องแข็งเป็นเครื่องมือทุ่นแรง

          2.ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตใบที่สองวางหลังปล่องระบายความร้อน บนหลังคาติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะใกล้ Sea Giraffe 1X ระยะตรวจจับ 100 กิโลเมตร ในตู้คอนเทนเนอร์คือห้องเรดาร์กับห้องควบคุมการยิง ทำงานแยกเป็นอิสระจากระบบอำนวยการรบของเรือ ต้องการแค่เพียงพลังงานไฟฟ้าผ่านเครื่องแปลงแรงดัน แต่ถึงกระนั้นก็ตามข้อมูลจาก Sea Giraffe 1X จะถูกส่งต่อให้กับห้องยุทธการ เรือหลวงเจ้าพระยา 455 ซึ่งถอดเรดาร์ตรวจการณ์ประเทศจีนออกแล้วจึงมีหูตาแพรวพราวกว่าเดิมไปด้วย

           ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Mistral 1X ถอดไปใช้งานบนเรือลำอื่นได้ก็จริง ทว่ากองทัพเรือกำหนดให้ติดตั้งบนเรือฟริเกตชั้น Type 053HT จำนวน 2 ลำเท่านั้น ในกรณีมีปัญหาเร่งด่วนสามารถถอดออกมาใช้งานบนฝั่งได้ ประสิทธิภาพอาจไม่เทียบเท่า C-Dome บนเรือฟริเกตชั้น Type 053HTH แต่มีจุดเด่นเรื่องราคาไม่แพง ขนาดเล็กน้ำหนักเบา เข้ากันได้ดีกับเรือฟริเกตตัวท็อปที่ใช้ระบบ SAAB รวมทั้งเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ซึ่งใช้งานแท่นยิงแฝดหก Sadral กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral รุ่นเก่า

          เรือหลวงเจ้าพระยา 455 ปรับปรุงใหม่เข้าประจำการปี 2024 ส่วนเรือหลวงบางปะกง 456 ปรับปรุงใหม่เข้าประจำการปี 2025 อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจากจีนถูกถอดออกทั้งสองลำ ได้อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 6 นัดกับเรดาร์ 3 มิติระยะตรวจจับ 100 กิโลเมตรเข้ามาแทน อาจไม่ดีที่สุดแต่อดีตจุ่มโพ่เรือหลวงเจ้าพระยาค่อนข้างพอใจ นายพีต้าจึงพอใจตามบิดาและปิดงานของตัวเองแค่เพียงเท่านี้

เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อาวุธนำวิถี

บ่ายวันที่ 2 ธันวาคม 2024 เกิดสภาวะแปรปรวนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายร้อยปี สึนามิขนาดมหึมาในมหาสมุทรแปซิฟิกบุกโจมตีแผ่นดินอย่างรุนแรง ส่งผลให้เมืองตามชายฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก โคลัมเบีย เปรู และชิลี ถูกกวาดลงสู่ท้องทะเลเกิดความเสียหายระดับร้ายแรง หมู่เกาะเล็กหมู่เกาะน้อยแถวนั้นสูญหายไป มีผู้ประสบภัยจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านชีวิตต้องการความช่วยเหลือ

หลังเกิดเหตุมีการระดมความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทั่วโลก แต่เนื่องมาจากจุดเกิดเหตุกินพื้นที่ตั้งแต่อเมริกาเหนือถึงอเมริกาใต้ สหประชาชาติจึงได้ร้องขอความช่วยเหลือมายังรัฐบาลไทย ให้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางมายังอเมริกาใต้เป็นเวลาสองเดือน เนื่องจากที่นั่นมีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์บราซิลเพียงลำเดียวที่สามารถบรรทุกอากาศยานปีกหมุนจำนวนมาก เรือประเทศอื่นบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ได้มากสุดเพียง 2 ลำ เรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกอเมริกาที่เคยสัญญาว่าจะเดินทางมาช่วยเหลือ ถูกประธานาธิบดีโจ ไบเดนสั่งให้หันหัวเรือกลับมาดูแลแคลิฟอร์เนียซึ่งเจอของแข็งเข้าไปเต็มเหนี่ยว เรือจากยุโรปก็ดันติดขัดปัญหาเรื่องภัยสงครามเดินทางมาไม่ได้

นายกพีต้ากับรองนายกโจนาธารตัดสินใจทำตามคำร้องขอ เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้รับคำสั่งพร้อมเดินทางอย่างเร่งด่วนภายใน 48 ชั่วโมง เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชได้รับคำสั่งทำหน้าที่เรือคุ้มกัน เรือหลวงสิมิลันได้รับคำสั่งพร้อมเดินทางเช่นกัน บังเอิญรัฐบาลอเมริกาติดต่อรัฐบาลไทยแจ้งว่าใช้เรือส่งบำรุงกำลังของตัวเองได้ ลูกเรือเรือหลวงสิมิลันจึงถูกยกเลิกคำสั่งแยกย้ายกลับไปนอนบ้านใครบ้านมัน

ก่อนเดินทางพบปัญหาชวนหนักใจเล็กน้อย เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานเ ESSM เพียง 8 นัด ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral บนเรือหลวงจักรีนฤเบศรเป็นรุ่นเก่าประสิทธิภาพต่ำ บังเอิญเย็นวันนั้นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 จำนวน 20 นัดที่กองทัพเรือจัดหามาใช้งานบนเรือฟริเกตชั้น Type 053HT เดินทางมาถึงอ่าวไทยพอดิบพอดี นายกพีต้าจึงมีคำสั่งให้นำ Mistral 3 ทั้ง 20 นัดมาใช้งานบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือหลวงเจ้าพระยากับเรือหลวงบางประกงใช้งาน Mistral รุ่นเก่าไปก่อนแล้วจะซื้อมาเพิ่มให้ในปีถัดไป

ได้อาวุธใหม่เอี่ยมจากฝรั่งเศสมาแล้วนายกพีต้ายังไม่มั่นใจ เวลาสองเดือนอาจเกิดภัยคุกคามกับเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ตอนไหนก็ได้ ESSM จำนวน 8 นัดกับ Mistral 3 จำนวน 20 นัดไม่เพียงพอแน่นอน

รองนายกโจนาธารให้คำแนะนำสนใจสินค้าอิสราเอลหรือไม่ แล้วนำเสนอระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule ที่ตัวเองจัดหามาใช้งานดตอนเป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกพีต้าเห็นผลงานจากคลิปวิดีโอส่งตรงจากอิสราเอลแล้วชอบใจทันที บอกว่าข้าพเจ้าเคยเห็นคลิปนานแล้วแต่ไม่รู้ว่าเรามีใช้งาน ว่าแล้วจึงเซ็นคำสั่งถอด C-Dome จากเรือหลวงสายบุรีมาใส่บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร

ห้องควบคุมในตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตพร้อมเรดาร์ตรวจจับและติดตามเป้าหมาย AESA กับแท่นยิงแนวดิ่งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Iron Dome จำนวน 20 ท่อยิง ถูกติดตั้งบริเวณจุดรับส่งอากาศยานปีกหมุนจุดที่ห้ากราบขวาเรือ อันเป็นจุดที่ตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าไม่รบกวนการทำงานส่วนอื่น จุดรับส่งอากาศยานปีกหมุนสี่จุดบริเวณกราบซ้ายทำงานได้ตามปรกติ ลิฟต์ขนส่งอากาศยานทั้งสองตัวทำงานได้ตามปรกติ ลิฟต์ขนของทำงานได้ตามปรกติ เครนยกของทำงานได้ตามปรกติ โรงเก็บอากาศยานทำงานได้ตามปรกติ ทุกอย่างบนเรือทำงานได้ตามปรกติโดยมีออปชันพิเศษเพิ่มเติมเข้ามา

ข้อมูลจากเรดาร์ตรวจจับและติดตามเป้าหมาย AESA ทั้ง 4 ตัวของระบบ C-Dome จะถูกต่อมาที่ห้องยุทธการเรือซึ่งใช้ระบบอำนวยการรบของ SAAB การตรวจจับเป้าหมายของเรือย่อมดีกว่าเดิมไม่มากก็น้อย แต่การตรวจจับและติดตามเป้าหมายให้กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 บนแท่นยิง Sadral ขนาด 6 ท่อยิงทั้ง 3 แท่นยิง ต้องพึ่งพาเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB บนเสากระโดงตามปรกติ

วันที่ 6 ธันวาคม 2024 กองเรือช่วยเหลือจากประเทศไทยออกเดินทาง ในโรงเก็บเรือหลวงจักรีนฤเบศรมีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B เพียง 2 ลำ ถึงที่หมาย S-70B ลำที่ติดตั้งโซนาร์ชักหย่อนจะย้ายมาประจำการบนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ส่วน S-70B อีกลำถูกกำหนดเป็นเครื่องสำรองไม่มีการใช้งาน การค้นหาผู้ประสบภัยจะใช้งานเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพเรือโคลัมเบีย เปรู และชิลี สมทบด้วยหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกา

ตามแผนการกองเรือไทยจะหยุดพักเกาะกวมเป็นเวลาหนึ่งวัน ก่อนออกเดินทางกองทัพเรือใส่อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Iron Dome ในท่อยิงเพียง 2 นัดกันผีหลอก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาต้องการสนับสนุนการปฏิบัติการกู้ภัยของกองทัพเรือไทย ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจึงอนุมัติให้แบ่ง Iron Dome ของนาวิกโยธินซึ่งมีอยู่ที่เกาะกวมจำนวน 1 กองร้อย มาใส่เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์หมายเลข 911 กองทัพเรือไทยจำนวน 10 นัด

เท่ากับว่าการเดินทางไปยังอเมริกาใต้ของเรือหลวงจักรีนฤเบศรและเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช มี C-Dome ระยะยิง 70 กิโลเมตรจำนวน 12 นัด ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตรจำนวน 8 นัด และ Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 20 นัดไว้ป้องกันตัว ส่วน Phalanx ซึ่งใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้างทดไว้ในใจไม่ต้องพูดถึง

โครงการปรับปรุงเรือชั้นเรือหลวงปัตตานี

การติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศรายการสุดท้ายของนายกพีต้ากับรองนายกโจนาธาร คือการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้นเรือหลวงปัตตานี เริ่มจากเรือหลวงปัตตานี 511 เข้ารับการปรับปรุงกลางปี 2024 กลับเข้าประจำการกลางปี 2025 ต่อด้วยเรือหลวงนราธิวาส 512 เข้ารับการปรับปรุงกลางปี 2025 กลับเข้าประจำการกลางปี 2026

รายละเอียดการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานเรือประกอบไปด้วย

1.ระบบอำนวยการรบและระบบเรดาร์ยังคงใช้รุ่นเดิมเพื่อความประหยัด

2.ติดตั้งปกรณ์ตรวจจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์หรือ ESM รุ่น ES-3601 ของบริษัท L3HARRIS บนเสากระโดง

3.ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวง SKWS DL-12T ขนาด 12 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิงใกล้จุดติดตั้งปืนรอง

4.เปลี่ยนปืนรองเป็นปืนกล DS-3OM Mark2 ขนาด 30 มม.พร้อมออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง (เหมือนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ) เสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดติดตั้งและสร้างระเบียงรูปทรงทันสมัยเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับแท่นยิงรวมทั้งให้ลูกเรือสามารถเดินผ่านได้

5.ติดตั้งแท่นยิง Simbad-RC ขนาด 2 ท่อยิงจากฝรั่งเศสจำนวน 1 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 มีการเสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดติดตั้งแม้ Simbad-RC น้ำหนักเบามากก็ตาม Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรเพียง 2 นัดอาจไม่ถูกใจมิตรรักแฟนเพลง แต่มากที่สุดเท่าเรือตรวจการณ์สร้างโดยประเทศจีนสามารถติดตั้งได้ และดีเพียงพอในการป้องกันภัยทางอากาศระดับไม่ร้ายแรง

เท่ากับว่ากองทัพเรือมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ใช้งานบนเรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงบางปะกง เรือหลวงปัตตานี เรือหลวงนราธิวาส รวมทั้งเรือหลวงจักรีนฤเบศรที่จะต้องปรับปรุงแท่นยิง Sadral หลังเดินทางกลับจากอเมริกาใต้

6.ติดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM ระยะยิง 185 กิโลเมตรจำนวน 8 ท่อยิงกลางเรือ เหตุผลที่นายกพีต้ากับรองนายกโจนาธารเลือกเรือชั้นนี้เพราะใช้ระบบตะวันตกทั้งลำ ส่วนเรือหลวงเจ้าพระยาใช้ระบบจีนทั้งลำต้องปรับปรุงเยอะเกินไปไม่คุ้มค่าเพราะเรือเก่าแล้ว

หลังการปรับปรุงเรือหลวงปัตตานีกับเรือหลวงนราธิวาส จะกลายร่างเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงลำหนึ่งของอาเซียน

บทสรุปหลังสิ้นสุดโครงการ

          หลังปิดโครงการปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศในช่วงกลางปี 2026 ราชนาวีไทยมีเรือรบติดระบบป้องกันภัยทางอากาศทันสมัยเทียบเท่าสิงคโปร์ประกอบไปด้วย

          1.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตรประกอบไปด้วย เรือหลวงนเรศวร 421 เรือหลวงตากสิน 422 เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช 471 และเรือหลวงกระบี่ 551 ตามภาพประกอบแถวบนสุด

          2.เรือที่สามารถติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome ระยะยิง 70 กิโลเมตรประกอบไปด้วย เรือหลวงกระบุรี 457 เรือหลวงสายบุรี 458 เรือหลวงกระบี่ 551 และเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ 552 ตามภาพประกอบแถวที่สอง

          3.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตร ไปด้วย เรือหลวงเจ้าพระยา 455 เรือหลวงบางปะกง 456 เรือหลวงปัตตานี 511 และเรือหลวงนราธิวาส 512 ตามภาพประกอบแถวที่สาม

          4.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome ได้แก่ เรือหลวงจักรีนฤเบศร 911 ตามภาพประกอบแถวที่สี่

5.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM และระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome ได้แก่ เรือหลวงกระบี่ 551 ตามภาพประกอบแถวที่สี่

6.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aspide 2000 ระยะยิง 25 กิโลเมตรได้เรือ เรือหลวงรัตนโกสินทร์ 441 ตามภาพประกอบแถวที่สี่

กองทัพเรือมีเรือติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะยิง 7 ถึง 70 กิโลเมตรจำนวน 13 ลำ แต่ติดตั้งติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศได้มากสุด 12 ลำ เพราะมีระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome เพียง 2 ระบบ

ผู้โชคร้ายที่ถูกคัดออกได้แก่...เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากผู้เขียนรู้สึกหมั่นไส้เล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่ใช่เพราะเรือแบก Harpoon  block 2 จนหลังแอ่น ลานจอดเฮลิคอปเตอร์รองรับ S-70B ได้เหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ควรทำลานจอดเฮลิคอปเตอร์ให้ว่างเข้าไว้จะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ยังมีภารกิจตามเก็บทุ่นเตือนภัยสึนามิ สรุปความได้ว่าให้เรือลำอื่นใช้งาน C-Dome ดีกว่าเนอะ

อ้างอิงจาก

https://thaimilitary.blogspot.com/2023/06/river-class-batch-3.html

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_ships_of_the_Republic_of_Singapore_Navy

https://youtu.be/BtbK5xoAYsw

https://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Mk-56-missile-launcher.htm

https://www.asiatraveltips.com/news19/119-SaabGiraffe1X.shtml

https://www.mbda-systems.com/press-releases/mbda-successfully-demonstrates-the-anti-surface-capabilities-of-the-mistral-missile/

https://twitter.com/xaviervav/status/1631688854624247808

https://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/KDS-Naval-Strike-Missile.htm

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=738767854920975&set=pb.100063633005696.-2207520000.&type=3

https://www.turbosquid.com/

 

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

RTN Missile Corvette Programme

 

โครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีราชนาวืไทย

คณะกรรมการพิจารณาจัดหาเรือคอร์เวต ตามคำสั่งกองทัพเรือ (เฉพาะ) ที่ 15/2525 ลงวันที่ 20 มกราคม 2525 ได้ดำเนินการตามหน้าที่ที่กองทัพเรือมอบหมายให้มาตามลำดับ โดยได้เริ่มส่งหนังสือเชิญชวน พร้อมทั้ง Staff-Requirement ให้สถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย 7 แห่ง และตัวแทนในประเทศไทยของบริษัทผู้สร้างเรือในต่างประเทศ 15 รายในวันที่ 24 ธันวาคม 2524 ในการนี้ได้มีบริษัทต่างๆ ยื่นเอกสารรายละเอียดและซองราคา 11 ราย

จากการพิจารณาข้อเสนอบริษัทต่างๆ โดยยังมิได้เปิดซองราคา ปรากฏว่ามีบริษัทที่เสนอแบบเรือที่ผ่านการพิจารณาขั้นแรก 3 บริษัทได้แก่

1.บริษัทซี.เอ็น.อาร์จากอิตาลี

2. บริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัดจากสหรัฐอเมริกา

3.บริษัทวอสเปอร์แห่งอังกฤษ 

แต่เนื่องมาจากแบบเรือของทั้งสามบริษัทดังกล่าวมีข้อบกพร่องในเรื่องต่างๆ อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น กองทัพเรือจึงให้คณะกรรมการรวบรวมข้อบกพร่องทั้งหมดของแต่ละบริษัท แล้วส่งให้ทราบและแก้ไขและให้ทั้งสามบริษัทยื่นข้อเสนอมาใหม่ โดยให้ยื่นราคาถึงวันที่ 30 กันยายน 2525

เมื่อบริษัททั้งสามยื่นข้อเสนอมาใหม่ กองทัพเรือพิจารณาเห็นว่าราคาเรือของบริษัทวอสเปอร์สูงกว่าอีก 2 บริษัทมาก จึงได้ตกลงใจให้ตัดบริษัทวอสเปอร์ออกจากการพิจารณา คงเหลือไว้พิจารณาในขั้นสุดท้าย 2 บริษัท อย่างไรก็ตามจากการพิจารณาทบทวนแบบแปลนและรายละเอียดของเรือทั้งสองบริษัทแล้ว กองทัพเรือเห็นว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมความต้องการ ระบบอาวุธและลักษณะของเรือบางประการให้เหมาะสม ซึ่งได้ให้คณะกรรมการแจ้งให้บริษัทแก้ไขเพิ่มเติมตามความต้องการกองทัพเรือต่อไป

เมื่อบริษัทซี.เอ็น.อาร์และบริษัททาโคม่ายื่นข้อเสนอเข้ามาใหม่ คณะกรรมการได้พิจารณาเปรียบบเทียบลักษณะของเรือ รวมทั้งเงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ ของทั้งสองบริษัทแล้วสรุปพิจารณา และเสนอแนะต่อกองทัพเรือเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2525 ที่ประชุมคณะกรรมการนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการ ประกอบกับข้อพิจารณาผู้บัญชาการทหารเรือเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2525 แล้วกองทัพเรือได้ตกลงใจให้คณะกรรมการเจรจากับผู้แทนบริษัททาโคม่าเป็นอันดับแรก รวมทั้งแจ้งให้บริษัททาโคม่าแก้ไขข้อบกพร่องอีกบางประการ แล้วเสนอแบบและราคาเรือมาใหม่

+++++++++++++++++

นี่คือข้อมูลการพิจารณาแบบเรือคอร์เวตราชนาวีไทยระหว่างปี 2525 โครงการนี้มีบริษัทต่างชาติเข้าร่วมโครงการจำนวน 3 ราย ผู้เขียนจะเล่าเรื่องราวเจาะลึกแบบเรือคอร์เวตทั้ง 3 บริษัท ด้วยข้อมูลน้อยนิดอ้างอิงจากข้อเท็จจริงที่ผู้เขียนพยายามรวบรวมสุดกำลัง หวังให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมการชิงชัยโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีลำแรกของลูกประดู่ไทย

คำเตือน : แบบเรือของจริงอาจแตกต่างจากแบบเรือที่ผู้เขียนวาดประกอบบทความ

บริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัด

          บริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัดจากสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ของราชนาวีไทย ทั้งนี้เนื่องมาจากในช่วงเวลาเดียวบริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัด อู่ต่อเรือในประเทศขนาดใหญ่ นำแบบเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ชั้น เรือ PSMM Mk5 ของบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัด มาสร้างเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 6 ลำให้กับกองทัพเรือ ถ้าผู้เขียนบอกว่าแบบเรือจากสหรัฐอเมริกาคือเต็งหนึ่งโครงการก็คงไม่ผิด และบทสรุปก็เป็นไปตามคาดหมายทาโคม่าได้รับการคัดเลือกให้สร้างเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีจำนวน 2 ลำ

          เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการกองทัพเรือที่ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ ทาโคม่านำแบบเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถีขนาดใหญ่ (larger patrol chaser missile craft หรือ PCG) หรือเรือคอร์เวตชั้น Badr กองทัพเรือซาอุดีอาระเบียตามภาพประกอบที่หนึ่งภาพบน มาปรับปรุงแก้ไขถึง 3 รอบจนได้แบบเรือที่กองทัพเรือยอมรับตามภาพประกอบที่หนึ่งภาพบน ซึ่งมีความแตกต่างจากแบบเรือดั้งเดิมตั้งแต่หน้าสะพานเดินเรือจนถึงท้ายเรือ

          เรือคอร์เวตชั้น Badr มีระวางขับน้ำเต็มที่ 1,038 ตัน ยาว 74.7 เมตรหรือ 245 ฟุต กว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึก 2.6 เมตร ติดปืนใหญ่ Oto 76/62 Compact ที่หัวเรือ 1 กระบอก ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ท้ายเรือ 1 ระบบ อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 นัด และตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำMk 46 อีก 2 แท่นยิง หัวเรือมีพื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือค่อนข้างมาก ท้ายเรือเป็นดาดฟ้าโล่งและยาวติดอาวุธไล่เรียงกันไปคล้ายเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี

          ทาโคม่านำแบบเรือมาขยายความยาวเพิ่ม 7 ฟุต สร้างเก๋งเรือหรือ Superstructure ความยาวประมาณ สามในสี่ของตัวเรือ ติดระบบอาวุธและเรดาร์ตรงตามความต้องการกองทัพเรือไทย ซึ่งกำหนดให้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ตรงตามมาตรฐานในตอนนั้น ผสมผสานกันระหว่างระบบเรดาร์บนเรือฟริเกตเรือหลวงมกุฎราชกุมาร กับระบบอาวุธบนเรือเร็วโจมตีปืนชั้นเรือหลวงชลบุรีซึ่งกำลังสร้างอยู่ที่อิตาลี

ภาพประกอบที่สองภาพบนคือแบบเรือ PFMM Mk.16 เวอร์ชันแรกของบริษัททาโคม่า ระวางขับน้ำปรกติ 840 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 960 ตัน ยาว 76.8 เมตร กว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.5 เมตร ติดปืนใหญ่ OTO 76/62 IROF อัตรายิง 100 นัดต่อนาที จำนวน 1 กระบอก ปืนกล Breda Bofors 40/70 มม.ลำกล้องแฝด จำนวน 1 กระบอก ปืนกล 20 มม.Oerlikon GAM-BO1 จำนวน 2 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Stingray จำนวน 6 ท่อยิง อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE จำนวน 8 ท่อยิง และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx อีก 1 ระบบ

ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ ZW-06 บนเสากระโดงรอง เรดาร์เดินเรือ Decca 1226 ข้างเสากระโดงหลัก เรดาร์ควบคุมการยิง Signaal WM-25 รูปร่างเหมือนไข่บนเสากระโดงหลัก สำหรับควบคุมปืนใหญ่กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน และเรดาร์ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง LIROD-8 สำหรับควบคุมปืนกล 40 มม.หน้าเสากระโดงหลัก ส่งผลให้เรือสามารถยิงปืนใหญ่และปืนกลพร้อมกันแต่แยกทิศทางได้ เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ  DA-05 อยู่บนเสากระโดงรองทาสีดำหลังปล่องระบายความร้อน

ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ประกอบไปด้วย ระบบตรวจการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ESM รุ่น Elettronica ELT 211 ระบบส่งสัญญาณรบกวนการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ECM รุ่น Elettronica ELT 318 ติดจานส่งสัญญาณรบกวน ELT 828 จำนวน 4 ใบ และแท่นยิงเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี Dagaie หมุนได้รอบตัวจำนวน 1 แท่นยิง

ภาพประกอบที่สองภาพบนคือแบบเรือ PFMM Mk.16 เวอร์ชันสอง ความแตกต่างจากเวอร์ชันแรกเรื่องใหญ่ ๆ มีเพียง 2 เรื่อง หนึ่งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx หายไปจากท้ายเรือ สองระบบส่งสัญญาณรบกวนการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ECM รุ่น Elettronica ELT 318 กับจานส่งสัญญาณรบกวน ELT 828 จำนวน 4 ใบหายไปจากเสากระโดง แบบเรือเวอร์ชันสองราคาถูกกว่าแบบเรือเวอร์ชันแรกเพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือก

หมายเหตุ : เรือคอร์เวตลำจริงใช้แบบเรือ PFMM Mk.16 เวอร์ชันสอง และเปลี่ยนปืนกล 20 มม.มาใช้รุ่น Mk.20 DM6 ของบริษัท Rheinmetall จากเยอรมัน

บริษัทวอสเปอร์

          ในการยื่นแบบเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีรอบสอง กองทัพเรือเห็นว่าราคาเรือของบริษัทวอสเปอร์สูงกว่าอีก 2 บริษัท ส่งผลให้ยักษ์ใหญ่เรือส่งออกจากอังกฤษถูกลูกถีบขาคู่ตกรอบแรก นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจค่อนมาก เพราะบริษัทวอสเปอร์คือผู้เชี่ยวชาญเรือขนาดเล็กมาช้านาน ขายเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง เรือตรวจการณ์ปืน เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี เรือคอร์เวตปราบเรือดำน้ำ และเรือฟริเกตตรวจการณ์ (ปัจจุบันน่าจะเรียกว่าเรือฟริเกตเบา) มากกว่าคู่แข่งค่อนข้างมาก ต่อให้ซี.เอ็น.อาร์กับทาโคม่านำสินค้ามารวมกันยังแพ้วอสเปอร์แบบสู้ไม่ได้

          แต่ก็เอาเถอะในเมื่อตกรอบก็คือตกรอบช่วยไม่ได้ ผู้เขียนขอตั้งสมมุติฐานเพื่อสรรหาแบบเรือเข้าร่วมโครงการจำนวน 2 สมมุติฐาน อ้างอิงจากเหตุผลในการตกรอบคือราคาเรือแพงเกินไป

สมมุติฐานข้อที่หนึ่ง : วอสเปอร์ส่งเรือใหญ่เข้าร่วมโครงการ ส่งผลให้ตัวเองไม่สามารถกดราคาสู้กับคู่แข่ง

          จากสมมุติฐานข้อนี้มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว วอสเปอร์ส่งแบบเรือฟริเกตตรวจการณ์รุ่น Vosper MK7 เข้าร่วมชิงชัย ประมาณว่าใช้ความใหญ่เข้ามาข่มแต่ตัวเองดันพลาดท่าเสียที

          ภาพประกอบที่สามคือเรือฟริเกต DAT Assawari กองทัพเรือลิเบีย ใช้แบบเรือ Vosper MK7 ซึ่งถูกปรับปรุงจากแบบเรือ Vosper MK5 หรือเรือฟริเกตชั้น Alvand กองทัพเรืออิหร่านให้ทันสมัยมากกว่าเดิม เรือเข้าประจำการระหว่างปี 1973 หรือ 2516 ก่อนโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีถึง 9 ปี ภาพประกอบที่สามล่างขวาคือเรือ DAT Assawari เพิ่งสร้างเสร็จสดๆ ร้อนๆ หน้าสะพานเดือนเรือยังไม่ได้ติดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seacat ขนาด 4 ท่อยิง ภาพประกอบที่สามภาพใหญ่เรือ DAT Assawari หลังการปรับปรุงใหญ่ หน้าสะพานเดือนเรือเปลี่ยนมาติดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE ขนาด 4 ท่อยิง ปล่องระบายความร้อนปรับเปลี่ยนรูปทรงคล้ายเรือหลวงเจ้าพระยา รวมทั้งเปลี่ยนมาใช้หมายเลข 211 อย่างเป็นทางการ

          กลับมาที่การชิงชัยโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีอีกครั้ง ภาพประกอบที่สี่ภาพบนคือแบบเรือ Vosper MK7 เวอร์ชันแรกของบริษัทวอสเปอร์ เพราะเป็นเรือใหญ่ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงให้วุ่นวายจนกลายเป็นเรืออีกลำ หัวเรือติดปืนใหญ่ OTO 76/62 IROF หน้าสะพานเดินเรือติดปืนกล Breda Bofors 40/70 ระเบียงสะพานเดินคือจุดเดียวที่ถูกปรับปรุงให้ยาวกว่าเดิม รองรับการติดตั้งปืนกล 20 มม. Oerlikon GAM-BO1 ท้ายเรือติดอาวุธเรียงกันประกอบไปด้วย อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE จำนวน 8 ท่อยิง อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Stingray จำนวน 6 ท่อยิง และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx อีก 1 ระบบ

          ภาพประกอบที่สี่ภาพล่างคือแบบเรือ Vosper MK7 เวอร์ชันสองของบริษัทวอสเปอร์ ใช้ระบบเรดาร์เหมือนแบบเรือ PFMM Mk.16 บริษัททาโคม่าทั้งหมด ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx กับระบบส่งสัญญาณรบกวนการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ECM รุ่น Elettronica ELT 318 หายไปจากเรือเช่นเดียวกันกัน

ความเป็นไปได้ที่วอสเปอร์จะใช้แบบเรือ Vosper MK7 ค่อนข้างน้อยมาก ผู้เขียนให้ราคาที่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยมีข้อแม้ว่าวอสเปอร์พัฒนาแบบเรือคอร์เวตขนาดเล็กกว่า 1,000 ตันไม่ทันเวลา

สมมุติฐานข้อที่สอง : วอสเปอร์ส่งเรือเล็กเข้าร่วมโครงการ แต่ตั้งราคาแพงเกินไปเพราะไม่เคยบุกตลาดไทยมาก่อน

          อย่างที่ทราบกันดีบริษัทวอสเปอร์ขายเรือให้กับลูกค้าทั่วโลกมาช้านาน เรือคอร์เวตขนาดไม่เกิน 1,000 ตันขายได้เรื่อยๆ ตลอดเวลา เริ่มต้นตั้งแต่ขายเรือคอร์เวตตรวจการณ์ชั้น Kromantse ให้กับกองทัพเรือกานาในปี 1964 จำนวน 2 ลำ ใช้แบบเรือ Vosper MK1 ระวางขับน้ำ 500 ตัน ยาว 54 เมตร กว้าง 8.7 เมตร กินน้ำลึก 3.1 เมตร โดยใช้อาวุธอังกฤษจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง  ต่อมาในปี 1966 กองทัพเรือลิเบียประจำการเรือคอร์เวต RLNS Tobruk ใช้แบบเรือ Vosper MK1 เหมือนกองทัพเรือกานา และติดระบบอาวุธและเรดาร์เหมือนกันทั้งลำ

ปี 1972 วอสเปอร์ขายเรือคอร์เวตชั้น Dorina ให้กับกองทัพเรือไนจีเรียจำนวน 2 ลำ ใช้แบบเรือ Vosper MK3 ระวางขับน้ำ 650 ตัน ยาว 61.2 เมตร กว้าง 9.5 เมตร กินน้ำลึก 3.3 เมตร และยังคงใช้อาวุธอังกฤษจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ได้ระบบเรดาร์ควบคุมการยิงรุ่นใหม่จากเนเธอร์แลนด์เพิ่มเติมเข้ามา

          ถัดมาเพียง 6 ปีในปี 1979 หรือพ.. 2522 วอสเปอร์ขายเรือคอร์เวตปราบเรือดำน้ำชั้น Erinomi ให้กองทัพเรือไนจีเรียอีกครั้งจำนวน  2  ลำตามภาพประกอบที่ห้า คราวนี้ใช้แบบเรือ Vosper MK9 ซึ่งถูกปรับปรุงจากแบบเรือ Vosper MK3 ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 850 ตัน ยาว 69 เมตร กว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.2 เมตรรวมโดมโซนาร์ เท่ากับว่าไนจีเรียสั่งซื้อเรือคอร์เวตจากวอสเปอร์รวมกันถึง 4 ลำ

หัวเรือติดปืนใหญ่ OTO 76/62 มม. จำนวน 1 กระบอก หน้าสะพานเดินเรือคือแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Bofors ขนาด 375 มม.ขนาด 2 ท่อยิง ใช้เรดาร์ตรวจการณ์รุ่นส่งออกจากอังกฤษ ทำงานร่วมกับเรดาร์ควบคุมการยิง WM-25 จากเนเธอร์แลนด์ ที่ว่างกลางเรือติดปืนกล 20 มม.Oerlikon GAM-BO1 จำนวน 2 กระบอก ท้ายเรือติดปืนกล Bofors 40L70 จำนวน 1 กระบอก กับแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seacat ขนาด 4 ท่อยิง มีออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Sea Archer สำหรับปืนกล 40 มม. ส่วน Seacat ใช้เรดาร์ควบคุมการยิง WM-25 บนเสากระโดงร่วมกับปืนใหญ่ 76 มม.

นี่คือการออกแบบที่ย้อนแย้งกับหลักนิยมกองทัพเรืออังกฤษ พวกเขาพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seacat ขึ้นมาเพื่อใช้งานทดแทนปืนกล 40 มม. แต่แล้วตัวเองกลับขายเรือติดทั้ง Seacat และปืนกล 40 มม.ให้กับลูกค้า โดยมีปืนกล 20 มม.Oerlikon GAM-BO1 อีก 2 กระบอกไว้ป้องกันตัว

ข้อเท็จจริงก็คือไนจีเรียต้องการใช้ปืนกล 40 มม.เป็นปืนรอง วอสเปอร์จึงทำตามความต้องการลูกค้า แบบเรือ Vosper MK9 ดูน่ารักปุ๊กปิ๊กไม่เหมือนใคร มีความสวยงามครึ่งลำหน้าบวกความขี้เหร่ครึ่งลำหลัง

          สมมุติฐานข้อที่สองของผู้เขียนก็คือ วอสเปอร์ส่งแบบเรือคอร์เวต Vosper MK9 เข้าร่วมชิงชัยโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถี เรือชั้นนี้เพิ่งเข้าประจำการเพียง 3 ปีถือว่าใหม่มาก ติด Seacat ขนาด 4 ท่อยิงกลายเป็นเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีรุ่นประหยัดสำหรับชาติเล็ก วอสเปอร์จะนำเรือลำนี้มาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการราชนาวีไทย เพิ่มเติมความทันสมัยเข้ามาและตัดสิ่งไม่จำเป็นออกไป อาทิเช่นในภาพประกอบมีเรือเล็กจอดติดกันจำนวน 2 ลำ วอสเปอร์ต้องการตัดออกหนึ่งลำเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัย

          ภาพประกอบที่หกภาพบนคือแบบเรือ Vosper MK9 เวอร์ชันแรกของบริษัทวอสเปอร์ ยาว 69 เมตรเท่าเดิม ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 870 ตัน หัวเรือติดปืนใหญ่ OTO 76/62 IROF หน้าสะพานเดินเรือติดปืนกล Breda Bofors 40/70 มม.ลำกล้องแฝดแทนที่แท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Bofors ขนาด 375 มม. จุดติดไฟฉายกลางเรือเปลี่ยนเป็นจุดติดปืนกล 20 มม.Oerlikon GAM-BO1 เรือเล็กย้ายมาวางข้างปล่องระบายความร้อนซึ่งออกแบบใหม่ร่วมสมัยมากขึ้น ถัดไปเป็นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง ต่อด้วยจุดติดเรดาร์เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ DA-05 และแท่นยิงเป้าลวง Dagaie

          ปืนกล Bofors 40L70 ถูกแทนที่ด้วยระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx สองกราบเรือติดตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Stingray จำนวน 6 ท่อยิง อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seacat ขนาด 4 ท่อยิงถูกแทนที่ด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE จำนวน 8 ท่อยิง ความน่ารักปุ๊กปิ๊กถูกเปลี่ยนเป็นความดุดันน่าเกรงขาม มาพร้อมราคาเรือที่ขยับตัวสูงขึ้นตามราคาระบบอาวุธและเรดาร์

          ภาพประกอบที่หกภาพล่างคือแบบเรือ Vosper MK9 เวอร์ชันสองของบริษัทวอสเปอร์ ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx กับระบบ ECM รุ่น Elettronica ELT 318 หายไป การปรับปรุงทำให้เรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีจากอังกฤษประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บังเอิญแบบเรือค่อนข้างเล็กมาก ระวางขับน้ำกับความยาวน้อยกว่าแบบเรือคู่แข่ง เมื่อนำมาติดระบบอาวุธและเรดาร์ตามความต้องการราชนาวีไทย ติดได้ทั้งหมดก็จริงแต่แทบไม่เหลือที่ว่างให้ลูกเรือเดินผ่าน ต่อให้บริษัทวอสเปอรเสนอราคาใกล้เคียงคู่แข่งแต่คงไม่ได้รับการคัดเลือกอยู่ดี

          วอสเปอร์ไม่เคยขายเรือให้กับราชนาวีไทยมาก่อน โครงการนี้จึงเกิดความผิดพลาดทั้งเรื่องแบบเรือและการเสนอราคา แต่ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อกองทัพเรือตั้งโครงการเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขึ้นมา วอสเปอร์จับมือกับบริษัทอิตัลไทย มารีนจำกัด ใช้แบบเรือชั้น Province รุ่นปรับปรุงเข้าร่วมชิงชัย สามารถเอาชนะคู่แข่งได้รับการคัดเลือกให้สร้างเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขนาด 62 เมตรจำนวน 3 ลำ แบบเรือเดียวกันยังถูกปรับปรุงและสร้างเรือตรวจการณ์ปืนให้กองทัพเรือไทยจำนวน 3 ลำ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีก 1 ลำ จำนวนรวมเท่ากับ 7 ลำแซงหน้าแบบเรือตรวจการณ์ปืน PSMM Mk5 บริษัททาโคม่า 1 ลำ ได้ครอบครองอันดับหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

บริษัทซี.เอ็น.อาร์

          เรือคอร์เวตจากอิตาลีเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งของโครงการ ก่อนหน้านี้ในปี 2519 กองทัพเรือสั่งซื้อเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้นเรือหลวงราชฤทธิ์จำนวน 3 ลำ จากบริษัทแคนติแอร์ นาวาล เบรด้า ประเทศอิตาลี มูลค่ารวมประมาณ 1,736 ล้านบาทเศษ ถัดมาในปี 2523 ตามโครงการเสริมกำลังทางเรือ รัฐบาลอนุมัติให้กองทัพเรือจัดหาเรือเร็วโจมตี ปืนจำนวน 3 ลำจากบริษัทแคนติแอร์ นาวาล เบรด้า ประเทศอิตาลีเช่นเดียวกัน เท่ากับว่ากองทัพเรือคุ้นเคยเรือรบขนาดปานกลางจากดินแดนมักกะโรนีมากเป็นพิเศษ

          สำหรับโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีราชนาวีไทยในปี 2525 อิตาลีมีการเปลี่ยนมือจากบริษัทแคนติแอร์ นาวาล เบรด้าเจ้าประจำ เป็นบริษัทซี.เอ็น.อาร์ หรือ Cantieri Navali Riuniti เพราะมีแบบเรือคอร์เวตทันสมัยประสิทธิภาพสูงหลายแบบอาทิเช่น แบบเรือ Mini Lupo ซึ่งเปรียบได้กับน้องสาวคนสุดท้องของเรือฟริเกตชั้น Lupo เรือมีระวางขับน้ำ 1,504 ตัน ยาว 94.6 เมตร กว้าง 10.7 เมตร แบ่งเป็นรุ่นปราบเรือผิวน้ำติดปืนใหญ่ 5 นิ้ว กับรุ่นป้องกันภัยทางอากาศติดปืนใหญ่ 3 นิ้วกับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน โดยมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รบเรือ ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ และลานจอดพร้อมโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตันมาอย่างพร้อมสรรพ

หมายเหตุ : เรือฟริเกตตระกูล Lopu มีด้วยกัน 3 รุ่นประกอบไปด้วย

1.Lupo  CODOG รุ่นมาตรฐานกองทัพเรืออิตาลี

2.Lupo CODOD รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับส่งออกลูกค้าชาติใหญ่

3.Mini Lupo ขนาดย่อส่วนสำหรับส่งออกลูกค้าชาติเล็ก

ทว่าในความเป็นจริงซี.เอ็น.อาร์ขายเรือ Lupo รุ่นมาตรฐานให้กับลูกค้าต่างชาติมากถึง 14 ลำ ส่วน Lupo CODOD และ Mini Lupo ที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับส่งออกกลับขายไม่ออกแม้แต่ลำเดียว

นอกจาก Mini Lupo ซี.เอ็น.อาร์ยังมีแบบเรือคอร์เวต Feluca ติดอาวุธครบ 3 มิติ บังเอิญขนาดค่อนข้างเล็กยาวเพียง 57.8 เมตรสั้นกว่าแบบเรือ Vosper MK9 ด้วยซ้ำ ฉะนั้นแบบเรือที่เหมาะสมกับกองทัพเรือไทยมากที่สุดสมควรเป็น แบบเรือคอร์เวตป้องกันภัยทางอากาศ C-1000 ตามภาพประกอบที่เจ็ดมากที่สุด

แบบเรือ C-1000 มีระวางขับน้ำประมาณ 1,000 ตัน ยาว 75 เมตร กว้าง 10.25 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล GMT 230DVM  จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 6,000  ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต หัวเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE จำนวน 8 ท่อยิง วางเรดาร์ตรวจการณ์บนหลังคาสะพานเดินเรือหน้าเสากระโดง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเรือรบอิตาลีที่คนทั่วโลกคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่มีปล่องระบายความร้อนทำให้เรือค่อนข้างโล่ง กลางเรือติดปืนใหญ่ OTO  76/62 มม.กับแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 6 ท่อยิง ท้ายเรือมีพื้นที่ว่างรองรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4-8 ท่อยิง

C-1000 ทำการรบได้ครบ 3 มิติตรงตามความต้องการ บังเอิญกองทัพเรือมีความต้องการเรื่องอื่นด้วยอาทิเช่น เรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลางหรือระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด ซี.เอ็น.อาร์จำเป็นต้องปรับปรุงแบบเรือใหม่หมดทั้งลำ กรณีเดียวกับทาโคม่าปรับปรุงเรือคอร์เวตชั้น Badr ให้กลายเป็นแบบเรือ PFMM Mk.16

ผู้เขียนขออนุญาตปรับปรุงแบบเรือคอร์เวตจากอิตาลีให้เหมาะสมกับโครงการ

ภาพประกอบที่แปดภาพบนคือแบบเรือ C-1000 เวอร์ชันแรกของบริษัทซี.เอ็น.อาร์ หัวเรือติดปืนใหญ่ OTO 76/62 IROF ถัดไปเล็กน้อยสร้างจุดติดตั้งปืนกล Breda Bofors 40/70 มม.ลำกล้องแฝด ระเบียงสะพานเดินเรือยาวกว่าเดิมเพื่อติดปืนกล 20 มม.Oerlikon GAM-BO1 เสากระโดงคล้ายแบบเรือคู่แข่งเพราะบังคับติดเรดาร์ควบคุมการยิง WM-25 กับเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ ZW-06 แต่ย้ายเรดาร์เดินเรือ Decca 1226 มาอยู่หน้าเรดาร์ควบคุมการยิง WM-25 แท่นยิงเป้าลวง Dagaie อยู่หลังเสากระโดงคล้ายแบบเรือจากอเมริกา

กลางเรือสร้างจุดติดเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ  DA-05 เพิ่มปล่องระบายความร้อนรูปทรงสมัยนิยม เพิ่มเรือเล็กเป็น 2 ลำพร้อมเครนเดวิดค่อนข้างสูง การออกแบบจุดผู้เขียนหยิบยืมมาจากเรือคอร์เวตชั้น Minerva กองทัพเรืออิตาลี ใช้เป็นแบบเรือบริษัทซี.เอ็น.อาร์หรือ Fincantieri ในปัจจุบันเช่นกัน ทว่าเรือขนาดใหญ่ถึง 1,285 ตัน ยาว 87 เมตร กว้าง 10.5 ราคาย่อมแพงจนไม่อาจเอาชนะคู่แข่งจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ

เครื่องจักรใหญ่เปลี่ยนมาใช้งานเครื่องยนต์ MTU จากเยอรมัน ท้ายเรือติดอาวุธไล่เลียงกันไปตามความเหมาะสม ดาดฟ้าชั้นสองติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง กับระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ดาดฟ้าเรือชั้นล่างติดตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Stingray จำนวน 6 ท่อยิง กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE จำนวน 8 ท่อยิงเหมือนแบบเรือคู่แข่งทุกลำ

ภาพประกอบที่แปดภาพบนคือแบบเรือ C-1000 เวอร์ชันสองของบริษัทซี.เอ็น.อาร์ วอสเปอร์ ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx กับระบบ ECM รุ่น Elettronica ELT 318 หายไปราคาเรือจึงถูกลง แบบเรือจากอิตาลีเหมาะสมกับความต้องการราชนาวีไทยมาก อาจเป็นเพราะผู้เขียนซึ่งเป็นคนวาดภาพรู้เฉลยตอนจบแล้ว การปรับปรุงเรือสามารถยึดแบบเรือผู้ชนะจากอเมริกามาเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน

บทสรุปโครงการ

          แบบเรือเข้าชิงชัยรอบสุดท้ายทั้ง PFMM Mk.16 จากอเมริกาหรือ C-1000 จากอิตาลี มีความเหมาะสมกับราชนาวีไทยทั้งขนาดเรือ ความคุ้นเคย การใช้งาน คอนเนคชั่นคนในกองทัพเรือ รวมทั้งการตั้งราคาให้ตรงกับงบประมาณ เนื่องจากช่วงนั้นกองทัพเรือซื้อเรือจากอเมริกาและอิตาลีหลายรุ่น ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนก็คือลำไหนก็ได้ เพราะแบบเรือ PFMM Mk.16 กับ C-1000 ขนาดใกล้เคียงกันราวกับแฝดสยาม         

          บังเอิญกองทัพเรือเลือกเจรจากับบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัดก่อน เมื่อการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดีทำให้แบบเรือ PFMM Mk.16 จากสหรัฐอเมริกา ได้รับการคัดเลือกในโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีราชนาวีไทย


          มีเรื่องหนึ่งน่าสนใจผู้เขียนขอลงปิดท้ายบทความ นิตยสาร Conway's All the World's Fighting Ships 19471995 ลงข่าวว่า กองทัพเรือไทยต้องการสร้างเรือคอร์เวตจากแบบเรือ PFMM Mk.16 เพิ่มโดยใช้อู่ต่อเรือในประเทศ แต่ถูกยกเลิกแล้วหันมาสร้างเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขนาดเล็กกว่าจำนวนมากกว่า ส่งผลให้บริษัทวอสเปอร์ประเทศอังกฤษแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการจากแบบเรือชั้น Province รุ่นปรับปรุง

จากข้อมูลเบื้องต้นผู้เขียนขอตั้งสมมุติฐานว่า หนึ่งในเหตุผลที่กองทัพเรือเลือกแบบเรือ PFMM Mk.16 เป็นผู้ชนะโครงการ เนื่องจากบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัดให้ออปชันถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างเรือ บังเอิญโชคร้ายบริษัททาโคม่าล้มละลายเสียก่อน ไม่ก็แบบเรือบริษัทวอสเปอร์ราคาถูกกว่าน่าสนใจมากกว่า ส่งผลให้เรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีจากสหรัฐอเมริกามีเพียง 2 ลำเท่าเดิม

++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

https://www.naval.com.br/blog/2017/10/16/as-fragatas-type-21-classe-amazon/

http://www.mdc.idv.tw/mdc/navy/othernavy/mk5-7.htm

https://www.naval.com.br/blog/2017/10/17/as-corvetas-vosper-mk-9-da-nigeria/?fbclid=IwAR1Hln3-qX3CIGnFMEJDt8iFkASHKOVUta-srPenn9qpce9ylR_fl3T_OmM

https://www.secretprojects.co.uk/threads/italian-never-build-from-1975-to-today.5861/

https://thaimilitary.blogspot.com/2021/08/thai-navy-missile-corvette.html

http://www.shipbucket.com/