วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

The Ultimate Harrier

ทายาทแฮริเออร์

           ความเดิม  2 ตอนแรกครับ  ---->  The Original Harrier 
                                                              The American Harrier
ทายาทแฮริเออร์
ราชนาวีอังกฤษสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ Sea Harrier FRS.1 จำนวน 34 ลำ บินตกเรือขณะฝึกซ้อมไป 1 ลำเหลือแค่ 33 ลำ เมื่อเกิดสงครามเพิ่งได้รับมอบแค่ 26 ลำ ต้องเร่งประจำการส่วนที่เหลือด่วนที่สุด เรื่องนี้โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง  ถ้าเกิดสงครามก่อนหน้าประมาณ 6 เดือน พวกเขาจะมี Sea Harrier มากสุดแค่ 18 ลำ
วันที่ 5 เมษายน 1982 หลังอาเจนติน่าบุกยึดฟอล์กแลนด์เพียง 3 วัน กองเรือเฉพาะกิจออกเดินทางจากท่าเรือเมือง Portsmouth ก่อนไปหยุดพักเพื่อเตรียมความพร้อมที่เกาะ Ascension สถานที่นี้ถูกกำหนดให้เป็นฐานทัพส่วนหน้า เป็นกองบัญชาการกองกำลังเฉพาะกิจ หลังเติมน้ำมัน รับเสบียง ทาสีเครื่องบินและเรือบางลำแล้วเสร็จ กองเรือจึงได้เดินทางเข้าสู่เขตประกาศสงคราม
เรามาดูการจัดกำลังกันก่อนนะครับ ฝูงบิน 801 ประจำเรือ HMS Invincible ได้เครื่องเพิ่มจาก 5 ลำเป็น 8 ลำ ส่วนฝูงบิน 800 ประจำเรือ HMS Hermes ได้เครื่องเพิ่มจาก 5 ลำเป็น 12 ลำ (เพราะมีขนาดใหญ่กว่าและทำหน้าที่เป็นเรือธง) พร้อมกับจัดตั้งฝูงบิน 809 เพิ่มเติมขึ้นมา Sea Harrier สีเทาอ่อนจำนวน 8 ลำจะเดินทางตามไปสมทบ จำนวนเครื่องบินที่ไปราชการจึงเท่ากับ 28 ลำ จากยอดรวม 31 ลำที่ส่งมอบทันเวลา เทหน้าตักรักหมดใจกันเลยทีเดียว

วันออกเดินทางจากอังกฤษนั้น เครื่องบินทาสีเทาเข้มครึ่งลำ จมูกสีดำ ท้องสีขาว ติดเครื่องหมายดั้งเดิมราชนาวีอังกฤษ มีลวดลายประจำฝูงที่แพนหางดิ่ง ครั้นถึงฟอล์กแลนด์เปลี่ยนมาเป็นสีเทาเข้มทั้งลำ จมูกสีดำ ท้องไม่ขาวแล้ว ติดเครื่องหมายเหมือนกับกองทัพอากาศ ทั้งนี้ก็เพื่อความเหมาะสมในการสงคราม
ส่วนปัญหาเรื่องเครื่องบินโจมตีนั้น กองทัพอากาศอังกฤษจะเป็นผู้รับหน้าเสื่อ เครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกล Avro Vulcan B Mk.2 ได้มาประจำการที่เกาะ Ascension เพื่อโจมตีเป้าหมายโดยใช้ระยะทาง 8,000 ไมล์ทะเลเดินทางไปกลับ Vulcan จึงถูกใช้งานไม่มากเท่าไหร่ เพราะไกลเกินเหตุน้ำมันหมดตกทะเลจบกัน และมีการจัดส่ง Harrier GR.3 มารับหน้าที่นี้
แต่ช้าก่อน...!! ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะไปสนามรบได้เลย ต้องปรับปรุงเครื่องบินให้ทนทะเลกว่าเดิม นักบินก็ต้องฝึกอบรมเพิ่มเติม ทั้งการบินขึ้นลงบนดาดฟ้าเรือที่แคบและลื่น โดยเฉพาะการบินขึ้นจากสกีจัมป์พร้อมลูกระเบิด ฝึกการใช้งานจรวดต่อสู้อากาศยานรุ่นใหม่ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมีเวลา 4 อาทิตย์ที่เร่งรีบ ยุ่งยาก วุ่นวาย อึดอัด และกดดันอย่างถึงที่สุด
วันที่ 3 พฤษภาคม 1982 Harrier GR.3 จำนวน 10 ลำทยอยเดินทางไกลไปยังเกาะ Ascension เครื่องบินจำนวน 6 ลำพร้อมนักบิน เดินทางต่อด้วยเรือขนส่ง Atlantic Conveyor เพื่อตามไปร่วมขบวน ที่เหลืออีก 4 ลำถูกจัดให้เป็นกองหนุน

ภาพซ้ายมือถ่ายบนเรือ Atlantic Conveyor ประกอบไปด้วย Sea Harrier ฝูงบิน 809 จำนวน 8 ลำ Harrier GR.3 กองทัพอากาศจำนวน 6 ลำ และเฮลิคอปเตอร์หลายรุ่นจำนวนหนึ่ง ภาพขวาบนคือนักบินกองทัพอากาศอังกฤษ ภาพขวากลางคือการเดินทางไกลพร้อมเครื่องบินเติมน้ำมัน Victor ภาพขวาล่างคือการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะกิจ นักบินและเจ้าหน้าที่เพิ่งกลับจากฝึกประจำปีของนาโตที่แคนาดา ไม่ทันพักผ่อนต้องไปราชการสงครามต่อเลย
เรือ Atlantic Conveyor เดินทางมาถึงกองเรือเฉพาะกิจในวันที่ 18 พฤษภาคม 1982 Harrier GR.3 ทั้งหมดถูกย้ายไปลงเรือ HMS Hermes ส่วน Sea Harrier ฝูงบิน 809 จำนวน 8 ลำ แบ่งครึ่งให้กับเรือบรรทุกเครื่องบินทั้ง 2 ลำ ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 1982 เรือ Atlantic Conveyor ถูกโจมตีเสียหายอย่างหนักก่อนที่จะจม เฮลิคอปเตอร์ Westland Wessex จำนวน 6 ลำ Boeing Chinooks จำนวน 3 ลำ และ Westland Lynx อีก 1 ลำ ตอนนั้นจอดอยู่บนเรือเลยก็ซวยไปด้วย
            การรบทางอากาศในฟอล์กแลนด์สรุปได้ดังนี้ Sea Harrier ยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตก 20 ลำ โดยที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย เป็นผลงานจรวดต่อสู้อากาศยาน AIM-9L Sidewinders ถึง 16 ลำ นี่คือจรวดนำวิถีอินฟาเรดใหม่ล่าสุดของอเมริกา ล๊อคเป้าหมายและยิงจากด้านหน้าได้เลย บวกกับความคล่องตัวในการบินระดับต่ำ เครื่องบินอาเจนติน่าที่แม้จะเร็วกว่าแต่ก็ล้าสมัยกว่า อาวุธที่ใช้ก็ด้อยประสิทธิภาพกว่า การซ่อมบำรุงทำได้ไม่ดีพอ นักบินมือใหม่หัดรบจึงทำผลงานได้อย่างเกินตัว
                เครื่องบิน Sea Harrier บินชนกันเองเพราะหมอกหนาจำนวน 2 ลำ โดนลมพัดตกจากเรือจำนวน 1 ลำ บินตกทะเลไปเองอีก 1 ลำ โดนยิงตกจากภาคพื้นดินจำนวน 2 ลำ ยอดรวมความสูญเสียจึงเท่ากับ 6 ลำ ส่วน Harrier GR.3 ถูกยิงตกจากภาคพื้นดินจำนวน 3 ลำ ลงจอดฉุกเฉินเสียหายอย่างหนัก 1 ลำ โดยลำสุดท้ายนำไปซ่อมเข้าประจำการได้ใหม่
เรือพิฆาตป้องกันภัยอากาศยานปะทะจรวดต่อสู้เรือรบ
                ถ้าเรือพิฆาต HMS Sheffield (D80) คือสัญลักษณ์การโดนโจมตีจากจรวดยุคใหม่ เรือพิฆาต HMS Glamorgan (D19) ก็คือสัญลักษณ์การเอาตัวรอดจากจรวดยุคใหม่ เรือลำนี้เข้าประจำการในปี 1966 ระวางขับน้ำเต็มที่ 6,200 ตัน ยาว 160 เมตร กว้าง 16 เมตร มีจรวดต่อสู้อากาศยาน Seaslug จำนวน 24 นัดเป็นลูกยาว ใช้แท่นยิงและแมกกาซีนขนาดมหึมาที่ท้ายเรือ และมีจรวดต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ Seacat จำนวน 2 แท่นยิงเป็นตัวแถม
HMS Glamorgan แล่นประกบเรือธงตั้งแต่เริ่มเดินทาง กระทั่งมาถึงฟอล์กแลนด์จึงได้แยกตัวไปทำภารกิจ เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน 1982 ท้องฟ้ายังคงมืดมิดมองไม่เห็นแสงตะวัน ระหว่างสนับสนุนภารกิจบนฝั่งที่ร้อนระอุ เรือถูกโจมตีด้วยจรวดต่อสู้เรือรบ Exocet จำนวน 1 นัด อาเจนตินาถอดแท่นจรวดออกจากเรือรบตัวเอง ยัดใส่เครื่องบิน C-130 แอบลำเลียงมาโมดิฟายติดรถบรรทุก โดยใช้เรดาร์กองทัพบกเฝ้าติดตามเป้าหมาย สบจังหวะจึงลั่นไกใส่เรือหมายเลข D19

ขณะนั้นเอง HMS Glamorgan แล่นห่างจากฝั่ง 18 ไมล์ทะเลด้วยความเร็ว 20 น๊อต อาจเป็นเพราะความมืดหรืออะไรก็ตาม มีรายงานว่าพบวัตถุลึกลับวิ่งตรงเข้ามาหา กัปปิตันสั่งเพิ่มความเร็วแล่นซิกแซกไปมา และให้ยิงจรวดต่อสู้อากาศยานออกไปสกัด เมื่อล๊อคเป้าได้นายทหารการอาวุธนำวิถีจึงไม่รอช้า ทว่าแท่นยิงเงียบสนิทราวกับป่าช้าวัดดอน มีคำสั่งให้ยิงจรวดออกไปอีกครั้ง คราวนี้ลูกจรวดจุดชนวนพุ่งออกไปจากแท่น ท่ามกลางเสียงตะโกนดังลั่นทุ่งของผู้ลั่นไก
จรวด Seaslug GWS.2 มีความยาว 6.1 เมตร หนัก 2.3 ตัน ความเร็วสุงสุด 1.8 มัค ระยะยิงไกลสุด 32 กิโลเมตร ออกแบบให้ยิงเครื่องบินที่อยู่สุงลิบ มีแผนติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ให้ด้วย (แต่ไม่ได้ทำเพราะมันแพง) ส่วนจรวด MM38 Exocet มีความยาว 4.7 เมตร หนัก 670 กิโลกรัม ความเร็วสุงสุด 0.92 มัค ระยะยิงไกลสุด 42 กิโลเมตร ใช้วิธีบินสุงกว่าน้ำทะเลเพียง 2 เมตร ล๊อคเป้าหมายด้วยตัวเองก่อนพุ่งเข้าโจมตี ไม่ต้องทายผลผู้อ่านคงเดากันได้ Seaslug พลาดในการยิงครั้งสำคัญที่สุด
มีคำสั่งให้ยิงสกัดครั้งที่สาม ทว่าไม่ทันเพราะเป้าหมายใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว จรวดจะพุ่งเข้าใส่สะพานเดินเรือหรือไม่ก็กลางลำ กัปปิตันตะโกนลั่นให้รีบหักหลบไปทางโน้น Exocet เข้าปะทะกราบซ้ายค่อนไปทางท้ายเรือ หัวรบจุดระเบิดกลางอากาศแต่ส่วนอื่นยังวิ่งไม่หยุด โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์โดนเข้าไปอย่างจัง เฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ด้านในพังยับเยิน แท่นยิงจรวด Seacat กระเด็นหายทั้งยวง มีผู้เสียชีวิตจำนวน 13 ราย ทว่า HMS Glamorgan ก็ยังไม่จมตามความต้องการ ถ้าจรวดเยื้องฝั่งซ้ายจะโดนห้องเครื่องยนต์ ถ้าเยื้องฝั่งขวาและกดลงต่ำจะโดนคลังแสงจรวด Seaslug บังเอิญจรวดเข้าตรงกลางจึงรอดตัวไป
HMS Glamorgan ปลดประจำการในปี 1986 ถูกขายต่อให้ชิลีและใช้ชื่อ Almirante Latorre DLG-14 เรือยังคงแล่นฉิวต่อไปอีก 12 ปีเต็ม กระทั่งจรวด Seaslug หมดอายุไขทุกนัด เรือที่ Exocet ทำได้เพียงรอยแมวข่วนจึงต้องปิดตำนานลง
วันที่ 14 มิถุนายน 1982 มีการเซ็นสัญญายุติสงครามบนเรือชื่อ HMS Plymouth (F126) ซึ่งเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Type 12M ประจำการมาแล้ว 21 ปีมากเป็นอันดับ 3 ของกองเรือ ทำไมใช้ห้องรับแขกเรือที่ค่อนข้างชราภาพ อาจเป็นเพราะเธอเข้าสงครามขบวนแรกสุด ร่วมรบสมรภูมิแรกคือปฎิบัติการแย่งชิงหมู่เกาะ South Georgia โดยแล่นเรือเข้าใกล้ใช้ปืนใหญ่ 4.5 นิ้วลำกล้องแฝดยิงถล่มชายฝั่ง ส่งเฮลิคอปเตอร์ Westland Wasp ร่วมโจมตีเรือดำน้ำชื่อ ARA Santa Fe กระทั่งเรือดำน้ำถูกทำลายในเวลาต่อมา ทั้งหมดทั้งปวงเกิดขึ้นก่อนทัพใหญ่เดินทางมาถึง เกิดในช่วงทัพเรืออาเจนตินายังอยู่แถวนั้น

ย้อนกลับไปวันที่ 8 มิถุนายน 1982 HMS Plymouth ถูกโจมตีจากเครื่องบิน Dagger จำนวนหลายลำ (IAI Nesher ของอิสราเอล) โดนระเบิดเข้าไปเนื้อ ๆ ถึง 4 ลูก กระสุนปืนกล 30 มม.อีกหลายร้อยนัด อาเจนตินายิงจนกระสุนหมดก็เลยถอดใจ เกิดไฟไหม้อย่างหนักโดยเฉพาะส่วนท้าย ลูกเรือช่วยกันดับและป้องกันไม่ให้น้ำเข้า นี่คือตำนานเรือที่ยิงไม่จมอย่างแท้จริง
HMS Plymouth เดินทางกลับบ้านในสภาพยับเยิน ถูกใช้งานต่ออีกเพียง 6 ปีก็ถึงเวลาพักผ่อน หลังปลดประจำการได้ย้ายไปอยู่สก๊อตแลนด์ มีการเปลี่ยนมือเจ้าของสองสามครั้ง ครั้นถึงปี 2014 จึงถูกแปรสภาพเพราะไม่มีเงินดูแล เรื่องของเธอยังไม่จบนะครับ...ในปี 2020 เรือฟริเกตรุ่นใหม่ Type 26 ลำแรกสุดจะเข้าประจำการ มีการรณรงค์ให้ใช้ชื่อ HMS Plymouth ซึ่งจะเป็นชื่อชั้นของเรือทุกลำไปด้วย ผู้เขียนคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่เกี่ยวกับทีมฟุตบอลนะครับ ฮ่า ฮ่า

(ภาพซ้ายมือ) การเดินทางกลับบ้านของเรือธงลำสุดท้ายแห่งราชนาวีอังกฤษ (เพราะหลังจากนี้ไม่มีการรบเดี่ยวแล้ว) HMS Hermes (R12) เข้าประจำการในปี 1959 จอดบ้างออกทะเลบ้างให้เพรียงเกาะเล่นไปวัน ๆ (เจ๊แตงมาเอง) วันดีคืนดีกองทัพเรืออยากได้เครื่องบิน F-4K Phantom II ของอเมริกา เรือถูกเลือกให้ได้ไปต่อเปรียบได้กับสามล้อถูกหวย มีการนำเครื่องบินมาทดสอบใช้งานจริง แต่แล้วสุดท้ายก็ไม่เอาเพราะมีขนาดเล็กเกินไป อังกฤษจึงเสนอขายต่อให้ออสเตรเลียมันเสียเลย แต่ทางโน้นก็ไม่เอาบอกว่าขนาดใหญ่เกินไปอีก ก็เลยถูกย้ายไปช่วยราชการโซนตะวันออกกลาง
เข้าสู่ปี 1971 อังกฤษถอนทหารทั้งหมดออกจากตะวันออกกลาง HMS Hermes จึงกลับมาแบกเฮลิคอปเตอร์ให้กับนาวิกโยธิน อีก 10 ปีต่อมาจึงได้ติดสกีจัมป์และเครื่องบินขับไล่ ครั้นอาเจนตินาบุกยืดฟอร์กแลนด์ที่ฝั่งกระโน้น ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งจึงได้รับบทบาทเรือธงลำสำคัญ HMS Hermes กลับสู่บ้านเกิดในฐานะวีระสตรี ทั้งที่ก่อนหน้าเอ่ยชื่อแทบไม่มีคนรู้จัก เรือปลดประจำการในปี 1985 ขายต่อให้กับอินเดียหลังจากนั้น 2 ปี ปิดตำนานเรือธงที่โลกลืมไปโดยปริยาย
กระทั่งปีในปีนี้เอง อินเดียเพิ่งปลดประจำการเรือ INS Viraat (ชื่อใหม่) มีการรณรงค์ให้ซื้อกลับมาทำเป็นพิพิทธภัณฑ์สันติภาพ แต่ดูแล้วงานนี้คงยากพอสมควร เพราะเรือลำใหญ่ค่าใช้จ่ายก็ใหญ่ตามกัน แล้วใครกันที่จะเป็นคนควักกระเป๋า
(ภาพขวามือ) HMS Invincible (R05) ในสงครามฟอล์กแลนด์มีคุณสมบัติดังนี้ เสากระโดงทุกต้นทาสีอ่อนทั้งเสา (ปรกติจะทาสีดำครึ่งบน) ไม่มี Phalanx CIWS ทั้งหน้าและหลัง ไม่มี Harrier GR.3 แม้แต่ลำเดียว มี Sea Harrier FRS.1 ทั้งสีอ่อนและสีเข้ม และมีเรือโท Prince Andrew เป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ ผิดไปจากนี้ของปลอมเสิ่นเจิ้นทั้งสิ้น
ASTOVL มาอีกแล้ว
            หลังสงครามฟอร์กแลนด์สิ้นสุดลง อังกฤษเหลือเครื่องบิน Sea Harrier เพียง 26 ลำ ที่ส่งมารบนั้นรอดกลับไป 22 ลำ ที่ไม่ได้มาบินตกไปเอง 1 ลำเหลือแค่ 4 ลำ เหตุการณ์ที่ว่านั้นก็คือ เครื่องบินหมายเลข XZ438 ซึ่งปรกติใช้ทดสอบและโชว์ตัว วันที่ 19 พฤษภาคม 1982 ได้ถูกนำเข้าประจำการเพราะประเทศเกิดสงคราม ครั้นถึงวันที่ 17 มิถุนายน 1982 นักบินทำเครื่องตกขณะฝึกบินขึ้นสกีจัมป์ จึงมีอายุราชการแค่เพียง 29 วัน
                แม้จะเหลือเครื่องบินน้อยลงกว่าเดิม ที่เหลือกลับไปก็ต้องซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ไม่มีคำสั่งซื้อเพิ่มเติมแม้แต่ลำเดียว ทั้งที่เครื่องบินบางส่วนยังต้องอยู่ณ.จุดเกิดเหตุ เวลาผ่านไปเกือบ 3 ปีเต็มโน่นแหละครับ เครื่องบินลำที่ 27 จึงจะได้เข้าประจำการ ทำไมถึงได้ใจเย็นขนาดนี้ บทเรียนก็มียังไม่จำกันอีกหรือ เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน
                ก่อนเกิดสงครามฟอร์กแลนด์ได้ไม่นาน กองทัพเรือจับมือกับกองทัพอากาศ (อีกแล้ว) เพื่อพัฒนาเครื่องบิน V/STOL ความเร็วเหนือเสียง (อีกแล้ว)  แบ่งเป็นรุ่นโจมตีของกองทัพอากาศและรุ่นขับไล่ของกองทัพเรือ ออกแบบให้มีลำตัวแฝดหรือสองหาง (อีกแล้ว) ใช้งานบนเรือชั้น Invincible ได้ เพื่อทดแทน Sea Harrier ที่ไม่ถูกใจพระเดชพระคุณในอนาคต
                โครงการ P.1216 จึงได้ถือกำเนิดขึ้น สืบสานทายาทจากรุ่น P.1127 ที่เคยทำค้างไว้ ขนาดใหญ่กว่า Harrier ประมาณ 20 เปอร์เซนต์ เร่งความเร็วจาก 0.9 มัคถึง 1.38 มัคได้ใน 90 วินาที ใช้เครื่องยนต์ 1 ตัวพร้อมท่อปรับทิศทางจำนวน 3 ท่อ ระบบลอยตัวและขับเคลื่อนที่ดีที่สุดตามตำราเขาว่างั้น แม้เครื่องยนต์จะให้กำลังไม่มากเท่าไหร่ แต่ด้วยรูปทรงที่ปาดเปรียวออกแบบมาอย่างดี จึงสามารถบินทะลุกำแพงเสียงสมใจสมหวัง มีจุดติดตั้งอาวุธมากกว่าเดิม แบกระเบิดและจรวดได้มากกว่าเดิม ติดเรดาร์ขนาดใหญ่กว่าเดิม ถังน้ำมันจุเยอะกว่าเดิม สรุปความได้ว่าดีกว่าเดิมทุกประการ

              มีความเป็นผู้ดีอังกฤษชัดเจนมาก กำลังเครื่องยนต์มากกว่าแฮริเออร์ประมาณ 20 เปอร์เซนต์ สามารถลากตัวถังที่หนักกว่าฝ่ากำแพงความเร็วเสียงไปได้ ทว่าอัตราการบินไต่ระดับช้ากว่าประมาณ 20 เปอร์เซนต์ ได้อย่างเสียอย่างพี่ป้อมและพี่โต๊ะได้กล่าวไว้

เครื่องบิน P.1216 รุ่นขับไล่ภาพบนซ้าย และรุ่นโจมตีภาพล่างซ้าย ภาพกลางคือโมเดลเครื่องบิน P.1216 ที่ใช้ในการทดสอบ เห็นหางประหลาดแบบนี้ยิงไม่ผิดตัวแน่ ส่วนภาพขวามือมาอีกแล้วครับท่าน The SkyHook Submarine สุดยอดความฝันของมวลมนุษยชาติ คราวนี้เป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์อเมริกา ผู้เขียนไม่มีหนังสือเล่มนี้ก็เลยไม่มีข้อมูลเพิ่ม
นอกจากเครื่องบินที่แสดงอัตลักษณ์อังกฤษอย่างชัดเจน พวกเขายังได้พัฒนารุ่นอื่นไปพร้อมกัน โครงการ P.1214 Harrier II หรือ The X-Wing Harrier หรือ เครื่องบินปีกรูปตัวเอ็กซ์ขึ้นลงแนวดิ่งทางวิ่งสั้นแนวคิดก้าวหน้าความเร็วเหนือเสียงใช้งานบนเรือบรรทุกเครื่องบินติดสกีจัมป์ซึ่งถูกออกแบบได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ประหนึ่งยานรบจากภาพยนตร์เรื่อง Star Trek + Star Wars + Starship Troopers + Macross + Gundam + Galaxy Express 999 นี่คือเครื่องบินขวัญใจมหาชนอีกลำหนึ่ง โดยใช้ส่วนหัวของ P.1216 มาใส่ปีกและท้ายเป็นรูปตัวเอ็กซ์ ติดตั้งอาวุธ เรดาร์ และระบบอื่น ๆ ใกล้เคียงกัน

มีการกำหนดชนิดเครื่องบินขึ้นมาใหม่ ทั้ง P.1214 และ P.1216 ถูกเรียกว่า Advanced Short Take Off/Vertical Landing หรือ ASTOVL มีการสร้างแบบจำลองขึ้นมาทดสอบ มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเดิม (ตั้งแต่สมัย P.1154 The Original Harrier) นั่นก็คือเรื่องความร้อนและอาการสั่นของเครื่องยนต์ ความเร็วที่ลดลงจาก 2.0 มัคเหลือแค่ไม่เกิน 1.38 มัค บวกเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่าในอดีต โครงการ P.1216 จึงถูกตั้งเป้าหมายว่าจะสำเร็จเข้าประจำการได้ ส่วนโครงการ P.1214 จะเป็นเครื่องบินรุ่นถัดไป คือให้มีของจริงขึ้นมาก่อนแล้วค่อยต่อยอดความล้ำสมัย
นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้แวะมาเยี่ยมปลายปี 1982 ตอนนั้นโครงการยังเป็นความหวังเรืองรองผ่องนภา ผ่านไป 2 ปีก็เหมือนเคยคือไปไม่ถึงไหน อยากให้เร็วขึ้นต้องอัดเม็ดเงินก้อนโตเข้าช่วย กองทัพเรือฟังแล้วก็ใจหาย สงครามฟอร์กแลนด์ไม่ใช่เสียแค่เครื่องบินกับเฮลิคอปเตอร์ แต่ยังรวมถึงเรือพิฆาต 2 ลำ เรือฟริเกต 2 ลำ เรือช่วยรบขนาดใหญ่ 3 ลำ ที่เสียหายหนักเบาก็อีก 10 กว่าลำ (ยังไม่รวมเรือลำเล็กลำน้อย) ไหนจะลูกจรวดที่เบิกอเมริกามาก่อน หันไปทางไหนล้วนมีแต่เบี้ยหัวแตก
ส่วนกองทัพอากาศคู่หูดูโอเพื่อนสนิท กำลังสนใจเครื่องบินขับไล่โจมตีอเนกประสงค์ Panavia Tornado ที่พัฒนาร่วมกับเยอรมันและอิตาลี เครื่องต้นแบบเริ่มบินทดสอบในปี 1974 ก่อนเริ่มเข้าประจำการในอีก 5 ปีถัดมา เครื่องบินลำใหม่บินได้ไกลแบกระเบิดได้มาก ใช้ขับไล่สกัดกั้นก็ทำได้ไม่น่าเกลียด มีปีกพับได้ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น จึงได้เร่งสายการผลิตเพื่อนำมาปิดช่องโหว่ โครงการ P.1216 ปิดตัวเองในปี 1988 เทคโนโลยีที่ได้มาไม่ถึงกับสูญเปล่า เก็บไว้ใช้กับโครงการร่วมในอนาคตได้
แฮริเออร์รุ่นที่สอง
            ผู้เขียนขอย้อนเวลาเพื่อปูเรื่องนิดเดียว กลับไปยังปี 1973 ในโครงการ Sea Control Ship ที่ผู้อ่านรู้จักกันดี นอกจากมีการประกวดประชันแบบเรือแล้ว ยังได้คัดเลือกเครื่องบินประจำเรือไปพร้อมกัน บริษัท McDonnell Douglas ผู้ผลิตเครื่องบิน Harrier ให้กับนาวิกโยธินภายใต้ชื่อ AV-8A ได้ส่งแบบเครื่องบิน AV-16A Advance Harrier เข้าร่วมชิงชัย ออกแบบให้มีจุดติดอาวุธมากถึง 7 ตำแหน่ง ใช้งานจรวดนำวิถีพื้นสู่พื้นรุ่นใหม่ได้เกือบหมด รวมทั้งจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon รุ่นใหม่เอี่ยม เครื่องบินราคาไม่แพง ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง โครงการไม่ล่มแน่เพราะปรับปรุงมาจากของจริง

AV-16A Advance Harrier ไม่ผ่านการตัดตัวรอบแรก ความเร็วเหนือเสียงคือสิ่งสำคัญที่ขาดหายไป (เพราะต้องใช้สกัดกั้นเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม) ต่อมาโครงการ Sea Control Ship ถูกยกเลิก โครงการ VSTOL Support Ship ถูกยกเลิก นาวิกโยธินได้เรือ LHD ชั้น WASP ขนาด 40,000 ตัน เพื่อใช้ในภารกิจสนับสนุนการยกพลขึ้นบก เครื่องบินลำเดิมจึงได้กลับมาเป็นพระเอก ภายใต้ชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า AV-8B Harrier II ปรับปรุงโครงสร้างเครื่องให้แข็งแรงกว่าเดิม อายุใช้งานยาวนานกว่าเดิม ออกแบบปีกให้เป็นชิ้นเดียวและใหญ่กว่าเดิม ล้อประคองย้ายมาอยู่กลางปีกเพิ่มจุดติดอาวุธ
เครื่องบินถูกแบ่งออกเป็น  2 รุ่นตามภารกิจ รุ่นโจมตีใช้ชื่อ AV-8B Harrier II Night Attack มาพร้อมระบบช่วยบินตอนกลางคืน รวมทั้งระบบตรวจจับเป้าหมายด้วยอินฟาเรด ส่วนรุ่นขับไล่ใช้ชื่อ AV-8B Harrier II Plus มาพร้อมเรดาร์ APG-65 และกระเปาะชี้เป้าหรือ Targeting Pod สำหรับโจมตีภาคพื้นดิน รองรับจรวดต่อสู้อากาศยาน AIM-120 AMRAAM จึงยิงได้ไกลกว่าเดิมและแม่นกว่าเดิม แต่จะยิงเขาโดนหรือโดนเขายิงแล้วแต่พิจารณา
โครงการนี้ใช้เวลายาวนานพอสมควร ทำนองช้าแต่ชัวร์เพราะคนซื้อมีอยู่แล้ว เริ่มจากปี 1978 สร้างเครื่องต้นแบบ YAV-8B ที่แปลงเครื่องเก่าให้คล้าย AV-16A กระทั่งปลายปี 1981 เครื่องต้นแบบของจริงเริ่มทดสอบบิน ถึงต้นปี 1985 เครื่องบินลำแรกเข้าประจำการ อิตาลีและสเปนเป็น 2 ประเทศที่ขอซื้อไปใช้งานบ้าง มียอดผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 340 ลำ
ผู้เขียนมีเรื่องแปลกมาเล่าให้ฟัง การพัฒนาเครื่องบิน V/STOL ของอังกฤษและอเมริกา ช่วงเวลาและแนวคิดมักสลับขั้วกันอยู่เสมอ เริ่มจากปี 1960-1969 อังกฤษพัฒนาแฮริเออร์ความเร็วเหนือเสียงจนได้แฮริเออร์ความเร็วต่ำกว่าเสียง อเมริกามีแค่ X-13 เครื่องบินแบทแมนสำหรับโชว์งานกาชาด ต่อมาในปี 1970-1979 อเมริกาพัฒนา XFV-12A จนกระทั่งคว้าน้ำเหลว อังกฤษโดยเฉพาะกองทัพเรือมัวแต่บ้าเห่อ F-4K Phantom II ครั้นถึงปี 1980-1985 อังกฤษพยายามสร้างเครื่องบินลำใหม่ อเมริกาเอาแต่ปรับปรุงเครื่องบินลำเก่า และไม่ว่าใครทำอะไร ที่ไหน หรืออย่างไหร่ก็ตาม สุดท้ายทั้งคู่ได้ใช้เครื่องบินรุ่นเดียวกัน
กลับมาที่เกาะอังกฤษกันอีกครั้ง กองทัพอากาศเห็น AV-8B Harrier II แล้วน้ำลายไหลย้อย ทำไมใต้ปีกจึงมีลูกดกถึงเพียงนี้ สวยเซี๊ยะเปี๊ยะระเบิดอีกต่างหาก ผลงานเครื่องบินตัวเองก็ไม่ค่อยดี บินไปทิ้งระเบิดที่ฟอล์กแลนด์ได้เที่ยวล่ะ 2-4 ลูก เปลืองค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเบี้ยเสี่ยงภัย ค่าโน่นค่านี่ต่างหาก ว่าแล้วก็ซื้อเครื่องบินอเมริกามาใช้เสียเลย
เป็นประเพณีดั้งเดิมแต่โบราณ ทุกครั้งที่อังกฤษซื้อเครื่องบินรบจากใครก็ตาม จะนำมาเปลี่ยนไอ้โน่นถอดไอ้นี่เสริมไอ้นั่น แล้วบอกว่าเครื่องบินฉันเมดอินยูเคนะจ๊ะเธอ คราวนี้เป็นการซื้อเครื่องบินตัวเองที่มีการปรับปรุงใหม่แล้วนำมาปรับปรุงใหม่ บริษัท British Aerospace รับบทคุณหมอลงมีดแปลงโฉม เครื่องต้นแบบ Harrier GR.5 เริ่มทดสอบบินกลางปี 1985 ก่อนเข้าประจำการปลายปี 1989 เครื่องบินทั้งสองรุ่นเหมือนกันแทบแยกไม่ออก ที่แตกต่างก็เห็นจะเป็นส่วนโคนจมูก รวมทั้งเครื่องบินอังกฤษมีจุดติดอาวุธ 8 จุดส่วนเครื่องบินอเมริกามีแค่ 6 จุด แต่ลำหลังแบกระเบิดได้มากกว่าช่างแปลกดีแท้
ส่วนทางด้านกองทัพเรืออังกฤษพ่อคนหลายใจ หลังเห็นว่าโครงการ P.1216 ยังไปไม่ถึงไหนเลย ก็เลยกลับใจสั่งซื้อ Sea Harrier FRS.1 จำนวน 24 ลำ แล้วผุดโครงการปรับปรุงใหญ่ตามมาอีกที Sea Harrier FA.2 เผยโฉมในปี 1988 ติดตั้งเรดาร์ Blue Vixen ที่ดีกว่าเดิม มาพร้อมจรวดต่อสู้อากาศยาน AIM-120 AMRAAM มีการปรับปรุงเครื่องเดิมจำนวน 29 ลำ สั่งซื้อเครื่องใหม่อีกจำนวน 18 ลำ อาจติดอาวุธไม่มากเท่า อาจทันสมัยไม่มากเท่า แต่คุณสมบัติโดยรวมใกล้เคียงกับ Harrier II

สี่ยอดกุมารกองหน้าตัวจิ๊ดจากทีมลิเวอร์พูล ใครเป็นใครถ้าเดาไม่ออกเดี๋ยวบอกให้ ภาพบนซ้ายคือ Harrier GR.5 ทัพฟ้าอังกฤษ ภาพล่างซ้ายคือ Sea Harrier FA.2 ทัพเรืออังกฤษ ภาพบนขวาคือ AV-8B Harrier II Night Attack ภาพล่างขวาคือ AV-8B Harrier II Plus ของนาวิกโยธินอเมริกา มาร่วมซ้อมรบในเมืองไทยอยู่เป็นประจำ
Joint Strike Fighter Program
            ปี 1993 หลังโครงการ P.1216 ปิดตัวไปแล้ว 5 ปีเต็ม อเมริกาได้เริ่มโครงการจัดหาเครื่องบินรบเอนกประสงค์รุ่นใหม่ ทำงานได้ทั้งขับไล่สกัดกั้น โจมตีทิ้งระเบิดทางยุทธวิธี และสนับสนุนภาคพื้นดินอย่างใกล้ชิด โดยจะต้องเป็นเครื่องบินรบยุคที่ 5 ใช้เทคโนโลยีลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์ หรือที่เรียกกันบ้าน ๆ ว่าเครื่องบินล่องหน ใช้ทดแทนเครื่องบินหลายรุ่นที่เริ่มล้าสมัย ลดมาเหลือรุ่นเดียวเพื่อลดต้นทุนและค่าซ่อมบำรุง โดยจะแบ่งออกเป็นรุ่นย่อยตามความต้องการ
                เนื่องจากว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่โต พลาดพลั้งขึ้นมาถึงกับล้มละลายได้เลย พี่กันจึงได้เชื้อเชิญมิตรสหายร่วมน้ำสาบาน เข้ามาจอยกันสำเร็จด้วยกันล้มเหลวด้วยกัน ตั้งเป้าหมายผลิตเครื่องบินประมาณ 6,000 ลำ ราคารวมทั้งโครงการอยู่ที่ 2 แสนล้านเหรียญ มีบริษัทส่งเครื่องบินเข้าประกวดจำนวน 4 ราย ผู้ที่ผ่านการคัดตัวจะได้สร้างเครื่องต้นแบบ ผลการตัดสินมีขึ้นในเดือนธันวาคม 1996 ผู้เข้ารอบชิงชนะเลิศได้แก่….!!!

                เครื่องบินลำนี้ก็คือ Boeing X-32 ใช้ปีกสามเหลี่ยมเรียวยาวมาด้านหน้า แพนหางดิ่งแบะออกด้านข้างเล็กน้อย ท่อไอพ่นหดเข้ามาจากแพนหางระดับ ความเร็วสุงสุดประมาณ 1.5 มัค เครื่องต้นแบบสร้างเสร็จในปี 1999 เริ่มทดสอบบินในปีถัดไป เครื่องต้นแบบลำที่สองสร้างเสร็จตามกันมา และเป็นรุ่น X-32B V/STOL ที่จะมาทดแทน AV-8B Harrier II
            Boeing X-32B ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney F119 จำนวน 1 ตัว เมื่อต้องการลอยตัวจะปิดท่อไอพ่นท้ายลำ แล้วใช้ท่อไอพ่นสำหรับยกตัวที่อยู่กลางลำ เป่าลมร้อนจากเครื่องยนต์เพื่อทำการยกตัว โดยมีท่อไอพ่นขนาดเล็กช่วยในการทรงตัว ติดอยู่ใต้ห้องนักบิน บริเวณเกือบปลายปีก และแพนหางระดับรวมทั้งสิ้น 6 จุด X-32B เริ่มทดลองบินในปี 2001 จำนวนรวมอยู่ที่ 68 เที่ยวบิน ส่วน X-32A รุ่นปรกติทดลองบินจำนวน 66 เที่ยวบิน ไม่มีอุบัติเหตุทำได้อย่างที่โม้ทุกประการ
                 เครื่องบินลำถัดไปก็คือ Lockheed Martin X-35 มีรูปทรงคล้ายคลึง F-22 ค่อนข้างมาก ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney F119 จำนวน 1 ตัว ปีกค่อนข้างหนาและเยื้องไปด้านหลัง แพนหางดิ่งแบะออกนิดเดียว ท่อไอพ่นหดเข้ามาจากแพนหางระดับ ละม้ายคล้ายคลึง X-32 อยู่พอสมควร แต่ดูหล่อกว่าเพราะผอมเพรียวรูปร่างสมส่วน ขนาดเครื่องบินใกล้เคียงกัน น้ำหนักบินขึ้นสุงสุดใกล้เคียงกัน แต่ X-35 ใส่อาวุธในลำตัวได้เยอะกว่า (เพื่อลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ จึงไม่ติดอาวุธใต้ปีกและใต้ท้อง) เครื่องต้นแบบมาช้ากว่าคู่แข่งหลายเดือน ความเร็วสุงสุดประมาณ 1.22 มัค ต่ำกว่าความต้องการอยู่บ้าง

                เครื่องต้นแบบ X-35B ซึ่งเป็นรุ่น V/STOL ใช้เครื่องยนต์ตัวเดิมพร้อมท่อปรับแต่งทิศทาง ติดตั้งพัดลมแนวนอนขนาดใหญ่หลังที่นั่งนักบิน (เรียกว่า Lift Fan) เป่าลมเย็นใส่พื้นเพื่อยกตัวในแนวดิ่ง ท่อไอพ่นท้ายลำจะเป่าลมร้อนเพื่อช่วยยกก้น โดยมีท่อไอพ่นขนาดเล็กใต้ปีกช่วยประคอง พัดลมให้แรงยกตัวมากกว่าเครื่องยนต์หลายเท่า กินแรงจากเครื่องยนต์แค่เพียงน้อยนิด
                เมื่อการทดสอบภาคสนามได้สิ้นสุดลง มีการนำผลมาเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด วันที่ 26 ตุลาคม 2001 เครื่องบิน Lockheed Martin X-35 ได้ถูกคัดเลือกในโครงการ Joint Strike Fighter หรือ JSF และถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า F-35 Lightning II แบ่งออกเป็นรุ่น F-35A ใช้งานบนบกสำหรับกองทัพอากาศและนาวิกโยธิน รุ่น F-35B ใช้งานบนเรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกสำหรับนาวิกโยธิน และรุ่น F-35C ใช้งานบนเรือบรรทุกเครื่องบินสำหรับกองทัพเรือ
F-35A ประจำการกองทัพอากาศหลายชาติแล้ว ส่วน F-35B ประจำการนาวิกโยธินอเมริกาแล้ว และ F-35C อยู่ระหว่างทดสอบใช้งานจริง เครื่องบินทุกรุ่นมีหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิม อ้วนขึ้น กว้างขึ้น และหนักขึ้น (น้ำหนักบินขึ้นสุงสุด F-35A เพิ่มขึ้นจาก 50,000 ปอนด์ในรุ่นต้นแบบ มาเป็น 70,000 ปอนด์ในรุ่นประจำการ) ความเร็วสุงสุดเพิ่มขึ้นคือ 1.6 มัค เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney F135 ผลพวงจากการพัฒนาปรับปรุงข้อบกพร่อง แม้จะประสบกับความล่าช้าและงบบานปลาย สุดท้ายได้เครื่องบินที่ดีตรงความต้องการ

ภาพบนซ้ายเปรียบเทียบเครื่องบินทั้ง 3 รุ่น จะเห็นได้ว่า F-35C ปีกกว้างที่สุด เติมน้ำมันได้มากที่สุด ราคาแพงที่สุด และพัฒนาเชื่องช้าที่สุด ภาพล่างซ้ายแสดงจำนวนเครื่องบินที่คาดว่าจะผลิต รวมทั้งแบบเครื่องบินที่จะนำมาทดแทน ภาพบนขวาแสดงระบบเครื่องยนต์ F-35B ซึ่งเป็นรุ่นขึ้นลงแนวดิ่ง ภาพล่างขวาแสดงข้อมูลการบินลอยตัวของ F-35B ซึ่งจะใช้แรงยกจากพัดลมกลางลำมากที่สุดคือ 48 เปอร์เซนต์ ท่อไอพ่นที่บั้นท้าย 43 เปอร์เซนต์ และท่อไอพ่นใต้ปีกอีก 9 เปอร์เซนต์
เรื่องลมร้อนลมเย็นนี่ก็เป็นประเด็น เครื่องบิน X-32 ใช้ท่อไอพ่นกลางลำเพื่อลอยตัว ลมร้อนอาจโดนพื้นดินแล้วตีกลับเข้าช่องดูดอากาศ นานวันเข้าก็อาจเสียหายจนเกิดอุบัติเหตุ ขณะที่ X-35 พ่นลมเย็นจากพัดลมกลางลำ ส่วนลมร้อนอยู่ด้านท้ายและกลางปีก โอกาสเจอแจ๊คพอตจึงมีน้อยกว่าอีกฝ่าย จึงได้คะแนนส่วนนี้เพิ่มเติมเข้าไป
F-35B ของอังกฤษ
อังกฤษเข้าร่วมโครงการ JSF มาตั้งแต่ต้น ลำดับความสำคัญรองจากอเมริกาเพียงชาติเดียว มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลายสิ่งหลายอย่าง นำประสบการณ์ที่เจ็บมาเยอะปรับปรุงระบบลอยตัวในแนวดิ่ง โดยเฉพาะพัดลมยกตัวซึ่งเป็นจุดเด่นราคาแพง นาทีนี้แก้ไขปัญหาได้(น่าจะ)หมดแล้ว และ(น่าจะ)เป็นเทคโนโลยีที่ยกระดับเครื่องบินให้สุงกว่าเดิม เหมือนตอนพวกเขาพัฒนา Harrier GR.1 สำเร็จในครั้งกระโน้น จนกระทั่งมาเป็น F-35B ในครั้งกระนี้
อังกฤษมีแผนจัดหา F-35B จำนวน 138 ลำ (ไม่รวมเครื่องทดสอบประมาณ 10 ลำ) กองทัพเรือใช้งานบนเรือบรรทุกเครื่องบินติดสกีจัมป์ ส่วนกองทัพอากาศใช้งานบนบกเนี่ยแหละ ที่สั่งแบบนี้คงใช้แผนเดิมตอนสงครามฟอล์กแลนค์ ถึงคราวจำเป็นเครื่องบินกองทัพอากาศจะบินไปจอดบนเรือ ส่วนจะมี F-35A ตามมาหรือเปล่าไว้ดูกัน
หันไปดูเรือบรรทุกเครื่องบินกันบ้าง ได้เครื่องบินใหม่แล้วก็ต้องได้เรือลำใหม่ด้วย เพื่อทดแทนเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Invincible ที่เกิด-แก่-เจ็บ-ตายและโด่งดังพร้อมกันกับ Sea Harrier ภาพเรือลำบนโผล่ขึ้นในปี 1997 มีเครื่องบินจากโครงการ JSF มีเฮลิคอปเตอร์ EH-101 มีสกีจัมป์ที่หัวเรือ มีเรดาร์ตรวจการณ์ระยะไกล Type 1046 หรือ Thales S1850M มีระวางขับน้ำประมาณ 30,000 ถึง 40,000 ตัน รองรับอากาศยานตั้งแต่ 20 ถึง 40 ลำ และมีแบบเรือให้เลือกว่าจะเอาเล็ก-กลาง-ใหญ่
เรื่องราวของเมืองผู้ดีนั้นสุดแสนดราม่า เพียง 2 เดือนหลังปรากฎภาพเรือลำใหม่ อังกฤษได้มีการเลือกตั้งตามวาระ พรรคแรงงานกลับมาครองเสียงข้างมากอีกครั้ง หลายโครงการจึงถูกดองเค็มไว้ทำส้มตำ หลายโครงการถูกยกเลิกเพราะนายกไม่ปลื้ม และหลายโครงการได้เกิดใหม่จากกองเถ้าถ่าน
โครงการ Super Carriers เป็นผู้โชดดีอยู่ในกลุ่มท้ายสุด เรือบรรทุกเครื่องบินหอคอยคู่ยาว 284 เมตร ระวางขับน้ำสุงสุด 70,600 ตัน ได้กลับคืนสู่ราชนาวีอังกฤษอีกครั้ง หลังฝ่ามรสุมกระทั่งเอาชนะครบทุกด่าน รวมทั้งโครงการ JSF เป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน ปี 2008 จึงได้มีคำสั่งซื้อเรือจากรัฐบาล HMS Queen Elizabeth R08 วางกระดูกงูปี 2009 เข้าประจำการวันที่ 9 ธันวาคม 2017 ส่วน HMS Prince of Wales R09 วางกระดูกงูปี 2011 คาดว่าจะเข้าประจำการในปี 2020
เรื่องดราม่าของอังกฤษยังไม่จบ เมื่อได้ Super Carriers เป็นที่แน่นอนแล้ว หลายคนเห็นลานบินยาว ๆ ก็เลยอยู่ไม่สุข จึงได้เสนอให้เปลี่ยนเครื่องบินมาเป็นรุ่น F-35C แล้วติดตั้งเครื่องส่งเครื่องบินทดแทนสกีจัมป์ จะได้เครื่องที่บินได้ไกลขึ้น ติดอาวุธได้มากขึ้น ซ่อมบำรุงง่ายขึ้น เป็นมาตราฐานเดียวกับกองทัพเรืออเมริกา ต่อมาไม่นานก็กลับมาเลือก F-35B เหมือนเดิม เพราะ F-35C พัฒนาล่าช้าจนเกินงาม เรือลำใหม่จะมีแต่ลานบินโล่ง ๆ ไปอีกหลายปี รวมทั้งมีราคาแพงกว่ากันนิดนึง

HMS Queen Elizabeth เข้าประจำการราชนาวีอังกฤษแล้ว ส่วนฝูงบิน 809 ก็กำลังฝึกบินกันอย่างเข้มข้น และในปีหน้า F-35B จะเข้าประจำการบ้าง สิ้นสุดการรอคอยอันแสนยาวนานในปีที่ 58 แม้จะไม่ใช่เครื่องบินสองหางก็ตามที
-----------------------------------------------------------
ภาคผนวก : กองทัพเรือไทยเคยมีเครื่องบิน AV-8S Matador จำนวน 7 ลำ และเครื่องบินฝึก TAV-8S Matador จำนวน 2 ลำ ปลดประจำการหมดแล้วเพราะไม่มีอะไหล่ซ่อมบำรุง แต่เรือหลวงจักรีนฤเบศรยังปรกติสุขทุกประการ ถ้าผู้อ่านต้องการฟื้นฟูฝูงบิน 301 ขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการจัดหา AV-8B Harrier II มือสองจากอเมริกา กรุณาตรวจสอบรุ่นให้ตรงกับความต้องการด้วย ไปคว้าเครื่องบินโจมตีมาใส่จรวดอัมรามแล้วยิงไม่ออก จะหาว่าหล่อไม่เตือนไม่ได้นะครับ ;)
อ้างอิงจาก
เอกสารดาวน์โหลด : Joint Strike Fighter Presentation.pdf
เอกสารดาวน์โหลด : The Road to JSF: Forty years of UK ASTOVL work and its impact today.pdf
เอกสารดาวน์โหลด : AMERICAN X-VEHICLES An Inventory—X-1 to X-50.pdf
เอกสารดาวน์โหลด : The Fighter of the 21st Century.pdf

วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

The American Harrier

  
             ความเดิมตอนที่แล้ว ------> The Original Harrier
แฮริเออร์ของลุงแซม
            เมื่อ Harrier GR.1 เข้าประจำการในปี 1969 อังกฤษนำเครื่องบินบางส่วนไปยังเยอรมันตะวันตก จัดวางกำลังบริเวณป่าสนตะเข็บชายแดน เป็นฐานทัพที่ไม่ปรากฎอยู่บนแผนที่ พร้อมเคลื่อนย้ายไปไหนก็ได้ตามคำสั่ง ใช้ถนนทุกสายเป็นทางวิ่งขึ้นลง ทั้งนี้ก็เพื่อหวังผลทางการทหารและการเมือง
                ด้านการทหารเหมือนเขียนเสือให้วัวกลัว เครื่องบินไม่กี่สิบลำเปลี่ยนแปลงการรบไม่ได้ก็จริง แต่ฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไรก็ต้องระแวงกันบ้าง ทหารฝ่ายเรามีกำลังใจมากกว่าเดิม เครื่องบินสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิดลำใหม่ ทำภารกิจได้เป็นอย่างดีทุกครั้งที่ร่วมฝึกซ้อม ปืนกล 30 มม.ก็ดี จรวดอากาศสู่พื้นไม่นำวิถีก็ดี รวมทั้งลูกระเบิดธรรมดาน้อยใหญ่ก็ดี เป็นอาวุธที่ดูไม่น่ากลัวซักนิดเดียว แต่พร้อมจะหล่นใส่หัวเมื่อคุณเข้าใกล้แนวป่า
                ส่วนด้านการเมืองก็อย่างที่ทราบ อังกฤษเป็นชาติเดียวของนาโต้ที่คุยโม้ได้ว่า พัฒนาเครื่องบินรบขึ้นลงแนวดิ่งทางวิ่งสั้นสำเร็จ ทั้งยังเป็นการต่อลมหายใจอุตสาหกรรมการบิน ที่นับวันจะแห้งเหี่ยวลงตามกาลเวลา เครื่องบินลำนี้เป็นทั้งอาวุธและมาสคอต ผลงานการออกแบบที่ดีเยี่ยมของ Kignston Aviation ถูกยอมรับภายหลังว่าดีที่สุดในรอบ 100 ปีของบริษัท

"เมาคลีหนึ่งเรียกเมาคลีสองเปลี่ยน....คืนนี้ไปซดเบียร์ที่มิวนิคกัน" นี่คือเครื่องบินแฮริเออร์อังกฤษในเยอรมันตะวันตก มุมบนซ้ายและมุมล่างขวาคือรุ่น GR.1 ส่วนมุมบนขวาและมุมล่างซ้ายคือรุ่น GR.3 เพิ่มระบบนำทางและโจมตีรุ่นใหม่ ระบบเลเซอร์ติดตามเป้าหมาย ระบบสงครามอิเลคทรอนิกส์ รวมทั้งปรับปรุงเครื่องยนต์ให้แรงกว่าเดิม
Harrier Carrier Projects
            เครื่องบินขับไล่ใช้งานบนเรือ Sea Harrier FRS.1 เข้าประจำการในปี 1979 ช้ากว่ารุ่นใช้งานบนบกถึง 10 ปีเต็ม แต่ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจชิ้นสำคัญ ทำให้เกิดโครงการใหม่ ๆ ตามมาไม่หยุดหย่อน มีเรือหลากหลายรูปแบบถูกพัฒนาขึ้น ทั้งจากอังกฤษเองและชาติพันธมิตรใกล้ตัว ผู้เขียนขอนำเสนอเฉพาะโครงการที่น่าสนใจ
                เริ่มต้นจากสิ่งที่ผู้อ่านรู้จักกันดี Harrier Carrier หรือเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็กติดตั้งลานสกีจัมป์ เป็นแบบเรือใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเกิด รองรับแฮริเออร์และเครื่องบิน V/STOL ขนาดใกล้เคียง ลำแรกเป็นแบบเรือ Vosper Thornycroft Harrier Carrier ปรากฎโฉมในปี 1980 และถูกนำชื่อมาตั้งเป็นชนิดของเรือ ระวางขับน้ำเต็มที่ 8,000 ตัน ยาว 130 เมตร กว้าง 28 เมตร ความเร็วสุงสุด 25 น๊อต ระยะทำการ 4,500 ไมล์ทะเล บรรทุกแฮริเออร์จำนวน 8 ลำกับเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ลำ ลานสกีจัมป์หัวเรือทำมุม 6 องศา ติดตั้งปืนกล 40 มมลำกล้องแผด DARDO จำนวน 3 ระบบ
                ลำที่สองโผล่ขึ้นมาในปี 1983 ใช้ชื่อว่า Vickers Versatile Aircraft Carrier หรือ VVAC ระวางขับน้ำ 13,000 ตัน บรรทุกอากาศยานได้ 16 ลำ ลานสกีจัมป์หัวเรือทำมุม 15 องศา ติดตั้ง Phalanx CIWS จำนวน 3 ระบบ ส่วนลำที่สามเผยโฉมในปีเดียว ใช้ชื่อว่า Vickers Light Fleet Carrier ระวางขับน้ำ 24,000 ตัน ยาว 202 เมตร กว้าง 32 เมตร บรรทุกแฮริเออร์จำนวน 15 ลำและเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ลำ ติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Wolf จำนวน 2 ระบบ และ Goal Keeper CIWS อีกจำนวน 2 ระบบ ลานสกีจัมป์หัวเรือไม่ได้บอกองศา เท่ากับอังกฤษมีเรือถึง 3 ขนาดให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ

                ผู้เขียนชื่นชอบแบบเรือลำแรกเป็นพิเศษ คิดว่าเหมาะสมกับกองทัพเรือไทยที่สุด เพราะมีขนาดกระทัดรัดไม่เทอะทะ ราคาไม่น่าแพง ค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงก็เช่นกัน จำนวนเครื่องบินเหมาะเจาะกับเราดีแท้ ทั้งยุคที่มีแฮริเออร์และยุคไม่มีแฮริเออร์ ติดจรวดต่อสู้อากาศยาน Sadral ได้ 3 ระบบ แค่เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนให้ตรงกับใจ แก้โน่นใส่นี่เข้าไปเดี๋ยวก็ลงตัวเอง แต่เรื่องนี้ว่ากันไม่ได้ ตอนนั้นเราต้องการเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ แต่จับพลัดจับพลูมาเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินในภายหลัง

จำนวนเครื่องบินที่บรรทุกได้ตามข้อมูล หมายถึงพื้นที่โรงเก็บเครื่องบินใต้ดาดฟ้า ซึ่งจะต้องดูแปลนเรือประกอบอีกที เรือขนาด 8,000 ตันของ Vosper Thornycroft ยัดแฮริเออร์ 8 ลำกับเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ ไม่เหลือพื้นที่ให้ทำอย่างอื่นเลย
                Harrier Carrier ได้รับความนิยมพอสมควร ประเทศที่อยากมีเรือบรรทุกเครื่องบิน เหลียวมองจนคอเอียงน้ำลายไหลย้อย ประเทศที่ไม่มีแฮริเออร์ก็เอาด้วย อู่ต่อเรือฝรั่งเศสนำเสนอแบบเรือในปี 1995 ใช้ชื่อว่า DCN Multi-Purpose Intervention Ship (BIP) ระวางขับน้ำ 19,000 ตัน ยาว 198 เมตร กว้าง 33 เมตร ความเร็วสุงสุด 22.5 น๊อต ระยะทำการ 10,000 ไมล์ทะเล มีลานสกีจัมป์ที่หัวเรือ มีอู่ลอยที่ท้ายเรือ รองรับทั้งเรือ LCAC และ LCM มีโรงเก็บขนาดใหญ่จำนวนสองชั้น เป็นทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบก เรียกชนิดเรือว่า Landing Helicopter Deck หรือ LHD ทว่าลำนี้เป็นรุ่นพิเศษใส่ไข่เป้ดสองฟอง เพราะรองรับเครื่องบินแฮริเออร์ได้ด้วย ปัจจุบันเรือ LHD ได้รับความนิยมทดแทน Harrier Carrier ไปแล้ว

                โครงการ BIP มีแบบเรือจำนวน 4 ขนาด ตั้งแต่เรือ LPD ดาดฟ้าเรียบขนาด 8,000 ตัน ไปจนถึงเรือ LHD ติดลานสกีจัมป์ขนาด 19,000 ตัน สุดท้ายเรือลำนี้ก็ไม่ได้แจ้งเกิด เพราะใครก็ตามที่อยากได้ต้องมีแฮริเออร์ และใครก็ตามที่มีแฮรริเออร์ดันต่อเรือได้เอง ส่วนไทยกับอินเดียก็ดันซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปแล้ว ไม่อย่างนั้นงานนี้มีเสียวฮ่า ฮ่า
                BIP ซึ่งเป็นร่างทรงโครงการ PH 75 เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์พลังงานนิวเคลียร์ ถูกพัฒนาต่อจนเป็น Protection and Command Ship หรือ BPC ในอีก 2 ปีต่อมา ตัดสกีจัมป์แล้วใส่ลานจอดเต็มพื้นที่ ปรับโน่นปรับให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น แบบเรือ BPC 250 ขนาด 24,542 ตัน ได้รับคำสั่งซื้อจำนวน 5 ลำ เป็นของฝรั่งเศส 3 ลำซึ่งก็คือเรือชั้น Mistral ส่วนอีก 2 ลำรัสเซียซื้อไปเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ บังเอิญเกิดเรื่องวุ่นวายจนต้องยกเลิกการขาย สุดท้ายอียิปต์กู้เงินซื้อทั้งสองลำไปใช้เสียเอง
SkyHook Projects
            โครงการต่อไปค่อนข้างฮือฮาพอสมควร ในเวลาฝนตกหนักคลื่นลมแรงทัศนวิสัยไม่ดี เครื่องบินอาจลื่นไถลขณะลงจอดได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะกับแฮริเออร์ซึ่งมีขนาดเล็กน้ำหนักเบา อังกฤษจึงพัฒนาเครนจับเครื่องบินชื่อ SkyHook ขึ้นมา วิธีใช้ให้เครื่องบินลอยต่ำในระดับที่เหมาะสม แล้วใช้ SkyHook เลื่อนลงมาดูดบริเวณกลางหลังเครื่อง แล้วยกมันทั้งลำลงไปเก็บบนดาดฟ้าเรือ หมดปัญหาเครื่องบินลื่นไถลตกน้ำเหมือนในอดีต หลักการง่าย ๆ แค่นี้แหละครับ

                เมื่อ SkyHook พัฒนาและทดสอบแล้วเสร็จ การใช้งานแฮริเออร์มีความหลากหลายยิ่งขึ้น จึงมีแบบเรือใหม่เอี่ยมตามมามากมาย เริ่มต้นกันด้วย SkyHook Frigate ซึ่งนำเรือฟริเกต Type 22 มาปรับปรุงเสียใหม่ ขยายลานจอดด้านท้ายเรือ ทำโรงเก็บอากาศยานสุงสองชั้น มี SkyHook จำนวนสองจุดดักจับเครื่องบิน อาวุธชนิดอื่นสามารถติดตั้งได้ตามปรกติ
                แต่ SkyHook Frigate ก็ยังมีจุดอ่อนสำคัญ แฮริเออร์จะต้องบินขึ้นในแนวดิ่งสถานเดียว ถ้าบรรทุกอาวุธและน้ำมันจนเต็มอัตรา การเทคตัวค่อนข้างยากการไต่ระดับก็เช่นกัน (ปรกติจะใส่น้ำมันและอาวุธเพียงครึ่งเดียว) ใครซักคนจึงทำสะพานเดินเรือให้เตี้ยลง ตัดปล่องควันและเสากระโดงออกเป็นสองฝั่ง แล้วใส่ลานบินพร้อมสกีจัมป์เข้าไปกลางลำ โรงเก็บใส่เครื่องบินได้จำนวน 6 ลำ ลานจอดท้ายเรือยกให้เฮลิคอปเตอร์ไปเลย Skijump Skyhook Escort Carrier คือชื่อแบบเรือลำที่สอง ทันทีที่เปิดตัวมีคนพูดถึงกันทั่วยุโรป คิดถึงเรือบรรทุกเครื่องบินยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นมาทันที

                มนุษยชาติมีความฝันร่วมกันอีกอย่างหนึ่ง คือการพัฒนาเรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบินให้สำเร็จ flights from the deep จะเป็นสุดยอดอาวุธลับที่น่าเกรงขาม หลายชาติได้เพียรพยายามสร้างเรือชนิดนี้ แต่เท่าที่เห็นยังไม่ได้เรื่องกันเลยซักราย กระทั่งอังกฤษมีแฮริเออร์และอุปกรณ์ชิ้นสำคัญ โครงการ SkyHook Submarine จึงได้ถือกำเนิดขึ้น โดยใช้เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เป็นยานแม่ แล้วใช้ SkyHook ดักจับเครื่องบินลงมาเก็บในเรือ ความเห็นส่วนตัวลำนี้ใกล้เคียงความจริงที่สุด เพราะเครื่องบินไม่มีปัญหาอะไรเลย ส่วนเรือดำน้ำก็แค่เพิ่มโรงเก็บเข้ามา ปัญหาอยู่ที่งบประมาณและความจำเป็นมากกว่า

                ชมของดีจากผู้ดีอังกฤษกันอีกซักนิด ภาพซ้ายมือคือโครงการ Light Carrier Cruiser เรือลาดตระเวนขนาดใหญ่ใส่ลานบินพร้อมสกีจัมป์ รองรับภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ มีทั้งแฮริเออร์และจรวดต่อสู้อากาศยานระยะไกล เป็นแนวความคิดที่ออกจะล้าสมัยไปนิด ราคาแพงเกินเหตุรัฐบาลไม่ยอมจ่ายแน่ ทว่านี่คือ Crossover Ship ที่แท้จริงในยุคสงครามเย็น
                มาที่ลำสุดท้ายภาพซ้ายมือกันนะครับ Air-capable Destroyer ซึ่งก็คือเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศ Type 43 ใส่ลานบินพร้อมสกีจัมป์เข้าไปด้วย มีโรงเก็บแฮริเออร์จำนวน  2 ลำ ทำหน้าที่สกัดกั้นเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งต่อต้านเรือผิวน้ำจากระยะไกล ยุคนั้นจรวดต่อสู้เรือรบกำลังแพร่หลาย ส่วนใหญ่ระยะยิงไม่ถึง 100 กิโลเมตร และยังไม่มีอาวุธใช้สกัดกั้นได้อย่างเด็ดขาด (ปัจจุบันก็ยังไม่มี) ถ้าเรือสองฝ่ายดวลจรวดกันชนิดหมัดต่อหมัด บางทีอาจสูญเสียกำลังพลจนหมดหน้าตัก แฮริเออร์พร้อมจรวดต่อสู้เรือรบคือสูตรโกงความตาย แต่ก็ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นเอง

                ต่อมาไม่นาน Type 43 ได้ถูกแปลงโฉม ถอดแฮริเออร์และลานบินออกไป โรงเก็บกลางเรือกลายเป็นพื้นที่ว่าง รองรับเฮลิคอปเตอร์ใหม่เอี่ยมที่เพิ่งแล้วเสร็จ Westland Lynx รุ่นใช้งานบนเรือ มาพร้อมจรวดต่อสู้เรือรบ Sea Skua จำนวน 4 นัด รวมทั้งตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำและระเบิดลึก เหมาะสมกับเรือขนาดเล็กมากกว่าแฮริเออร์ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง ทำงานได้ทั้งพรากชีวิตและช่วยชีวิต เรือลูกผสมทุกลำจึงหายตัวไปตลอดกาล ส่วนเรือพิฆาต Type 43 ที่ปรับปรุงใหม่นั้น สุดท้ายก็ยังถูกดองพราะมีราคาแพงเกินไป รวมทั้งลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่ดันมาอยู่กลางลำ น่าจะมีปัญหาพอสมควรในการใช้งาน
USS Harrier Carrier
                ผู้เขียนขอพาไปยังทวีปอเมริกากันบ้าง ฝั่งนี้ก็มีโครงการเกี่ยวข้องกับแฮริเออร์ เริ่มต้นกันที่ Air-capable Destroyer ซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกับเรือชั้น Type 43 ของอังกฤษ อเมริกามีเรือแบบนี้อยู่ประมาณ 7-8 โครงการ ส่วนใหญ่ปรับปรุงมาจากเรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำชั้น Spruance ผู้เขียนขอยกตัวอย่างแค่เพียงลำเดียว เป็นลำที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
                Commander Ghiradella Air-Capable Spruance หรือ DDV-2 เปิดตัวในปี 1978 ระวางขับน้ำประมาณ 9,000 ตัน  ยาว 184.7 เมตร กว้าง 26.51 เมตร มีลานบินยาว 143.3 เมตรอยู่ที่กาบซ้าย รองรับแฮริเออร์จำนวน 4 ลำ และเฮลิคอปเตอร์จำนวน 8 ลำ ติดตั้งปืนใหญ่ 5 นิ้วจำนวน 1 กระบอก ปืนกล 30 มม.จำนวน 4 กระบอก จรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 นัด จรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Sparrow จำนวน 8 นัด รวมทั้งมีจุดติดตั้ง Phalanx CIWS อีก 2 ระบบ สามารถเปลี่ยนแท่นยิง Harpoon ให้เป็นจรวดปราบเรือดำน้ำ ASROC ได้ ส่วนแมกกาซีนสำรองถ้าต้องการก็เสียเงินเพิ่ม

                ค่อนข้างเหมือนเรือโซเวียตในยุคนั้นมาก เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ที่ป้องกันตนเองได้สบาย อเมริกาคิดแล้วคิดอีกสุดท้ายไม่เอา ประสิทธิภาพของเรือก้ำกึ่งจนไม่น่าสนใจ จะเป็นเรือรบก็ติดอาวุธได้น้อยเกินควร จะเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ก็ดันเล็กเกินไป ค่าใช้จ่ายสุงมากเมื่อเทียบกับเรือรบธรรมดา รวมทั้งพวกเขามีโครงการที่น่าจะดีกว่าอยู่ในมือ
                โครงการที่น่าจะดีกว่านั้นก็คือ Sea Control Ship หรือ SCS ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี รวมทั้ง VSTOL Support Ship หรือ VSS ที่ทุกคนน่าจะไม่รู้จักกันเลย โครงการแรกเกิดในยุคปลายปี 1960 ส่วนอีกโครงการเกิดขึ้นเพื่อทดแทนโครงการแรก ทั้งสองลำเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็ก หน้าตาคล้ายกันตั้งแต่หัวเรือจรดท้ายเรือ ทว่ามีขนาดแตกต่างค่อนข้างมาก
                โครงการ Sea Control Ship มีแบบเรือส่งเข้าประกวดเพียงไม่กี่ลำ แต่มีแบบเครื่องบินเข้าร่วมชิงชัยมากถึง 12 ลำ ผู้เขียนขอยกยอดเครื่องบินไปก่อน แล้วพาไปพบแบบเรือที่ชนะเลิศในปี 1971 (คุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยเห็นแถวสัตหีบ) ระวางขับน้ำเต็มที่ 13,736 ตัน ยาว 190 เมตร กว้าง 24 เมตร บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ SH-3 Sea King จำนวน 12 ลำ เฮลิคอปเตอร์ SH-2 Seasprite จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินโจมตี AV-8A Harrier จำนวน 3 ลำ โดยมีภารกิจปราบเรือดำน้ำเป็นงานหลัก รองรับ AV-8A Harrier ได้มากสุดถึง 12 ลำ ในกรณีมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนภารกิจ

                โครงการ Sea Control Ship ถูกยกเลิกในปี 1974 ถัดมาปีเดียวโครงการ VSTOL Support Ship พลันได้เข้ามาแทนที่ ระวางขับน้ำเต็มที่ 22,940 ตัน ยาว 228.6 เมตร กว้าง 26.5 เมตร บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงขนาดใหญ่ SH-53 Sikorsky Sea Stallion จำนวน 16 ลำ เฮลิคอปเตอร์ SH-2 Seasprite จำนวน 6 ลำ และเครื่องบินโจมตี AV-8A Harrier จำนวน 4 ลำ มีภารกิจสนับสนุนการยกพลขึ้นบกเป็นงานหลัก ซึ่งทางฝั่งอังกฤษจะเรียกว่า Commando Carrier
                VSTOL Support Ship ก็เหมือนกับโครงการทั่วไป ตราบใดที่ยังไม่นิ่งแบบเรือก็เปลี่ยนไปเรื่อย กระทั่งถูกยกเลิกในปี 1979 อเมริกาหันไปปรับปรุงเรือ LHA ชั้น Tarawa กับเรือ LPH ชั้น Iwo Jima ให้รองรับแฮริเออร์ได้มากสุดถึง 20 ลำ พร้อมกับพัฒนาเรือ LHD ชั้น WASP ขนาด 40,000 ตันขึ้นมาทดแทน ไม่มีสกีจัมป์เพราะลานบินยาวเกินพอ แบบเรือรุ่นใหม่เหมาะสมกับภารกิจหลัก มีอู่ลอยท้ายเรือรองรับทั้งเรือ LCAC และ LCM การลำเลียงทหารและยุทธปัจจัยจึงสะดวกกว่าเดิม

                เขียนมาค่อนข้างยาวมาก สรุปความตามท้องเรื่องได้ว่า Harrier Carrier ถูกสร้างจริงจำนวน 7 ลำ ได้แก่เรือชั้น Invinceble ของอังกฤษจำนวน  3 ลำ เรือ Sea Control Ship จำนวน 2 ลำ โดยสเปนสร้างเอง  1 ลำและขายให้ไทยอีก 1 ลำ ส่วนเรือ 2 ลำสุดท้ายเมดอินอิตาลี พวกเขาเคยมีโครงการนำเรือ Sea Control Ship มาติดเรดาร์ EMPAR พร้อมจรวดต่อสู้อากาศยาน Aster แต่ต้องยกเลิกไปเพราะเรือมีขนาดเล็กเกิน
                ส่วนฝ่ามือเทพบุปผาร่วงโรยหรือ SkyHook ซึ่งมีโครงการเยอะมากจนผู้เขียนจำไม่ไหว (รวมทั้งรุ่นติดบนรถบรรทุกหรือ SkyHook Mobile) เมื่ออังกฤษไม่ได้นำมาใช้งานจริง ลูกค้ารายอื่นเลยพลอยไม่กล้าสั่งซื้อ (ญี่ปุ่นเหล่แล้วเหล่อีกจนตาเข) แต่ได้ถูกพัฒนาต่อมาจนมีขนาดเล็กลง ใช้งานกับอากาศยานไร้คนขับในปัจจุบัน
Submersible Aircraft Carrier
                โครงการเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งทางวิ่งสั้นของอเมริกา เริ่มต้นก่อนฝั่งอังกฤษและยุโรปเสียด้วยซ้ำ ทว่ามุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี เป็นแค่เพียงเครื่องต้นแบบในการทดลอง จนกระทั่งถึงปี 1958 จึงได้มีของแปลกเกิดขึ้นมา
                .นี่คือ Boeing AN-1 Submersible Aircraft Carrier หรือเรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบินที่หลายชาติถวิลหา ใช้เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เป็นยานแม่ ระวางขับน้ำ 9,260 ตันที่ผิวน้ำ และ 14,700 ตันขณะดำน้ำ ยาว 152.4 เมตร บรรทุกเครื่องบินขับไล่ F11F Tiger จำนวน 8 ลำ วิธีปล่อยเครื่องบินเหมือนกับปล่อยบั้งไฟ คือโหลดขึ้นมาวางบนดาดฟ้าเรือ ตั้งหัวเครื่องตรงแหนวเล็งไปที่ดวงดาว แล้วจุดระเบิดจรวดช่วยส่งหรือ Rocket Booster ส่งขึ้นไป พอถึงจุดเครื่องบินจะแยกตัวออกมาเอง

                แล้ว F11F Tiger จะกลับยานแม่ได้อย่างไร ตามคำอธิบายจากเจ้าของแบบเรือ ด้วยสายเคเบิ้ลพิเศษและเครนจับเครื่องบินที่คล้าย SkyHook ฉุกเฉินยังไงร่อนลงทะเลไปก่อนก็ได้ แล้วใช้เครนที่ว่าเกี่ยวขึ้นเรือดำน้ำภายหลัง นอกจากนี้ยังมีโครงการ AN-2 ตามมาด้วย โดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ความเร็ว 3 เท่าเสียง
                AN-1 Submersible Aircraft Carrier มีราคาประมาณ 1.5 เท่าของเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ แทนที่จรวดร่อนด้วยเครื่องบินขับไล่ความเร็วเหนือเสียง โครงการนี้คงไม่ต้องเดาบทสรุป แบบเรือมีความละเอียดซับซ้อนเกินเหตุ การซ่อมบำรุงทำใด้ยากจนถึงยากที่สุด การแบกเครื่องบินและจรวดนำส่งเพื่อดำน้ำลึก ไม่ต่างไปจากการแบกระเบิดที่ดึงสลักออกแล้ว วิธีรับส่งเครื่องบินจะดูซักกี่ทีก็ไม่ผ่าน การเกิดอุบัติเหตุมีสุงมากและมีสุงแน่ ประสิทธิภาพที่ได้รับเป็นอีกหนึ่งเหตุผล มีประโยชน์ในการรบยุคใหม่เพียงน้อยนิด เครื่องบินขับไล่ความเร็ว 3 มัคคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้
                ส่วนสิ่งที่จับต้องได้อย่าง F11F Tiger ก็สุดแสนจะอาภัพอับวาสนา เครื่องบินรุ่นนี้เข้าประจำการในปี 1956 แค่เพียงปีเดียวดันมี F-8 Crusader ตามมาจอดเคียงคู่กัน พอครบ 5 ปีถูกปรับไปเป็นเครื่องบินฝึกนักบิน ทัพเรือนำ F-4 Phantom II ที่บินได้ 2.2 มัคเข้ามาทดแทน ส่วน F-8 Crusader ซึ่งบินได้เร็ว 1.8 มัคและมียอดผลิต 1,219 ลำยังคงประจำการต่อไป ทิ้งพี่เสือซึ่งบินได้เร็ว 1.1 มัคและมีเพียง 200 ลำให้นั่งตบยุงแต่เพียงผู้เดียว (F-4 Phantom II ผลิตออกมา 5,195 ลำ) ความล้มเหลวครั้งนี้โทษเจ้าตัวไม่ได้ การแปลงร่างจาก F-9F Cougar ที่เก่ามากมายได้แค่นี้แหละ
เครื่องบิน V/STOL ของอเมริกา     
                เครื่องบินลำต่อไปสร้างเครื่องต้นแบบในปี 1955  เข้าร่วมโครงการ NATO Basic Military Requirement 3 กับเขาด้วย นั่นก็คือ Ryan X-13 Vertijet เครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งตัวจริงของลุงแซม เป็นเครื่องบินประจำตัวแบทแมนอีกหนึ่งตำแหน่ง สามารถบินขึ้นแล้วไต่ระดับได้อย่างเร็วมาก ลอยนิ่ง ๆ กลางอากาศราวกับเป็นนักมายากล จะลอยเอียงทำมุม 60 องศาก็ได้ หรือลอยตั้งตรง 90 องศาก็ดี วิธีบินขึ้นในแนวดิ่งต้องใช้อุปกรณ์ช่วย นั่นคือส่วนพ่วงรถบรรทุกที่สามารถยกตั้งฉาก (ขอเรียกว่าจุดปล่อยยาน) ส่วนหัวเครื่องบินจะถูกเกี่ยวไว้ด้วยลวดสลิง กลางลำมีแผ่นตั้งวางท้องเครื่องกับจุดปล่อยยาน


                นักบินก็แค่บังคับเครื่องลอยพ้นลวดสลิง แล้วปรับหัวลงมาให้เหมือนเครื่องบินทั่วไป วิธีลงจอดในแนวดิ่งให้ทำตรงข้ามกัน คือลอยเข้าใกล้จุดปล่อยยานให้มากที่สุด บังคับส่วนหัวเข้าใกล้ลวดสลิงเยอะ ๆ หน่อย (อย่าชนล่ะ) แล้วแขนจับจะบังคับลวดสลิงเกี่ยวหัวเครื่องบินให้เอง จุดปล่อยยานจะทำการเอนลงในแนวนอน กระทั่งถึงพื้นนักบินก็เดินลงมาจากเครื่อง ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าอธิบายดีพอหรือเปล่า ชมภาพการทดสอบกันเลยดีกว่า

                Ryan X-13 Vertijet มีขนาดค่อนข้างเล็กมาก เป็นเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมรูปทรงล้ำสมัย ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวพร้อมท่อปรับแต่งทิศทาง ควบคุมการหมุนด้วย jet reaction control ติดตั้งอยู่ปลายปีกด้านใน นี่คืออากาศยานที่ลอยออกมาจากการ์ตูน ผ่านนิยายวิทยาศาสตร์เข้าสู่ชีวิตรันทด ต้นแบบทั้ง 2 ลำไม่มีการติดตั้งอาวุธ ไม่ได้ไปต่อเพราะมีอย่างอื่นที่ดีกว่า
                เครื่องบินลำต่อไปได้แก่พระเอกตลอดกาล Convair Model 200 จากผู้สร้างเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นปีกสามเหลี่ยม F-106 Delta Dart ซึ่งมีจรวดต่อสู้อากาศยานหัวรบนิวเคลียร์ AIR-2 Genie เป็นไพ่ตาย (คือตายกันหมดทั้งสองฝ่าย)
ย้อนกลับไปที่โครงการ Sea Control Ship กันอีกครั้ง เครื่องบิน Convair Model 200A (V/STOL) ได้ถือกำเนิดเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ใช้โครงสร้างเครื่องบิน F-106 Delta Dart แล้วใส่ปีกคานาร์ดขนาดใหญ่เหมือนกับกริเพน ส่วนหัวและท่อรับอากาศคล้ายกับ F-14 ใช้เครื่องยนต์หลักและเครื่องยนต์ยกตัวคล้ายกับ F-35 (F-35 ติดพัดลมยกตัว) ติดตั้งหน้าจอ HUD และหน้าจออเนกประสงค์สำหรับดูแผนที่ ทั้งเทคโนโลยีและหน้าตาอาจล้ำสมัยไปบ้าง แต่ก็แค่เล็กน้อยไม่น่าจะเกินสิบปี
ถัดมาในปี 1974 กองทัพเรือต้องการเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์น้ำหนักเบา ใช้งานบนเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดมาตราฐาน เพื่อทดแทน F-4 Phantom II และ A-7 Corsair II โดยต้องมีราคาที่ไม่แพงเกินไป ค่าซ่อมบำรุงไม่โหดเหมือนรุ่นพับปีกได้อย่าง F-14 หรือ F-111 เครื่องบิน Convair Model 201A (CTOL) จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ Model 200A มากถึง 74 เปอร์เซนต์ ความเร็วสุงสุด 2 มัค ติดตั้งจรวดนำวิถีอินฟาเรดและจรวดนำวิถีเรดาร์รุ่นใหม่ แฝดคู่นี้คนอเมริกาค่อนข้างนิยมชมชอบ นำมาใส่ในเกมส์กดบ้าง วาดภาพสวย ๆ อวดกันก็เยอะ ทำแบบจำลองออกมาขายเกลื่อนตลาด

                ช่วงเวลาอันแสนหอมหวานผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แค่เพียง 2 ปี Convair ก็ได้พบว่าตนเองไม่เหลือที่ให้ยืน โครงการ Sea Control Ship เลือกเครื่องบิน Rockwell XFV-12A ส่วนโครงการเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์เลือกเครื่องบิน McDonnell Douglas F/A-18 Hornet บริษัทที่เคยผลิตเครื่องบินขับไล่ ดาวเทียม กระสวยอวกาศ รวมทั้งจรวดต่อสู้อากาศยาน ต้องพบกับขาลงเมื่อสินค้าไม่มีคนซื้อ กระทั่งในปี 1996 จำต้องสูญหายไปจากวงการ เมื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่เทขายทุกอย่างให้คู่แข่ง
ความล้มเหลวและผลกระทบ
                ผู้อ่านน่าจะรู้จัก F/A-18 Hornet กันเป็นอย่างดี จึงขอข้ามไปยังเครื่องบิน V/STOL ผู้ชนะเลิศของกองทัพเรืออเมริกา Rockwell XFV-12A มีรูปร่างล้ำสมัยเหมือนมาจากปีคศ. 2099 มีปีกคานาร์ดขนาดใหญ่มากที่กลางลำ และปีกหลักขนาดกระทัดรัดที่ท้ายลำ ใส่แพนหางพร้อมชุดควบคุมการทรงตัวที่ปลายปีก ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวโดยไม่พึ่งเครื่องยนต์ยกตัว ความเร็วสุงสุดทำได้ถึง 2.4 มัค มีน้ำหนักเบากว่า Convair Model 200A อยู่ประมาณ 15 เปอร์เซนต์
                ตอนเป็นเครื่องบินคอนเซปนั้นได้คะแนนสุงสุด แต่พอเป็นเครื่องต้นแบบเหมือนหนังคนล่ะม้วน เพื่อลดค่าใช้จ่ายจึงต้องใช้อะไหล่เก่า จมูกเครื่องและห้องนักบินมาจาก  A-4 Skyhawk ท่อรับอากาศมาจาก F-4 Phantom II ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney F100 รุ่นเดียวกับ F-14 Tomcat ถ้าบินขึ้นในแนวดิ่งปลายท่อจะถูกปิด ช่องระบายอากาศใต้ลำตัวจะถูกเปิดออก เพื่อยกเครื่องบินให้ลอยสุงขึ้นท้องฟ้า ทดสอบในอุโมงค์ลมให้ผลลัพท์ค่อนข้างดี แต่ทดสอบกับของจริงให้ผลลัพท์ค่อนข้างเลว เครื่องบินทำการยกตัวรวมทั้งทรงตัวได้แย่มาก ทั้งที่ใช้เครื่องยนต์ประสิทธิภาพเกินน้ำหนักไปตั้งเยอะ

                หลังทดสอบบ้างหยุดบ้างอยู่พักใหญ่ ในปี 1981 จึงมีข้อสรุปให้ยกเลิกโครงการ ประเด็นนี้เสียงแตกออกเป็นสองฝั่ง  ฝ่ายหนึ่งบอกว่าระบบยกตัวมีปัญหา ถ้าใส่เครื่องยนต์ยกตัวเข้าไปก็น่าจะจบ ส่วนอีกฝ่ายบอกว่าเป็นเรื่องปรกติ เครื่องบินลำอื่นผลทดสอบแย่กว่านี้อีก ที่ถูกยกเลิกเพราะติดอาวุธได้น้อยต่างหาก คือใต้ท้องกับปลายปีกรวมกันเพียง 4 จุด ส่วนกองทัพเรือให้เหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายมหาศาล รวมทั้งโอกาสที่จะสำเร็จได้เข้าประจำการนั้น มีความเป็นไปได้คือเป็นไปไม่ได้เลย
                แม้โครงการเครื่องบิน V/STOL จะถูกยกเลิก ไม่ได้หมายความว่าอเมริกาไม่มีเครื่องบินชนิดนี้ เพราะเหล่านาวิกโยธินประจำการ AV-8A Harrier มาตั้งแต่ปี 1971 ซึ่งก็คือเครื่องบินโจมตี Harrier GR.1 ใส่เครื่องยนต์ตัวใหม่ของรุ่น GR.3 กับระบบต่าง ๆ ตามใจคนที่จ่ายเงิน อเมริกาเป็นชาติที่สองที่มีแฮริเออร์ และเป็นชาติแรกที่มีแฮริเออร์ใช้งานบนเรือ
หมายเหตุ : โครงการ Sea Control Ship ในปี 1971 ต้องการเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ แล้วใส่แฮริเออร์เข้าไปเพื่อช่วยคุ้มกัน ต่อมาอีก 3 ปีต้องการเครื่องบินขับไล่ความเร็ว 2 มัค เพื่อใช้คุ้มหัวกองเรือขนาดเล็กที่มาด้วยกัน เมื่อเครื่องบิน XFV-12A ได้รับการคัดเลือก โครงการก็ถูกยกเลิกช่วงเวลาใกล้เคียง ก่อนแปลงร่างมาเป็น VSTOL Support Ship สำหรับนาวิกโยธินหน้าตาเฉย ย่างเข้าสู่ปี 1978 ผู้ที่อยู่เบื้องหลังขยายแบบเรือจนมีขนาด 33,000 ตัน ติดตั้งเครื่องส่งเครื่องบินแบบรางดีดหรือ Catapult และระบบลงจอดโดยใช้สายเคเบิ้ลหรือ Arresting Gear Landing รองรับเครื่องบิน F/A-18 Hornet
การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายไม่สมหวัง กองทัพเรือบอกปัดเพราะไม่รองรับเครื่องบิน F-14 Tomcat ความล้มเหลวที่อังกฤษใช้เงินก้อนโตปรับปรุงเรือรองรับเครื่องบิน F-4K Phantom II คือสาเหตุที่อเมริกาไม่เอาเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็ก

                                                                ถึงเวลาที่จะต้องแปลงแกลลอนอังกฤษให้เป็นแกลลอนอเมริกาแล้ว
ประเด็นส่งท้าย
                วันที่ 2 เมษายน 1982 อาร์เจนตินาส่งทหารหน่วยรบพิเศษจำนวนหนึ่ง บุกเข้ายึดหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ชนิดสายฟ้าแลบ กองกำลังอังกฤษซึ่งมีแค่เพียง 130 นาย ต้านทานไม่ไหวถูกจับเป็นตัวประกัน 22 นาย สงครามระหว่างสองประเทศจึงได้เกิดขึ้น บนหมู่เกาะที่อยู่ห่างอาเจนติน่าประมาณ 400 ไมล์ทะเล และอยู่ห่างอังกฤษประมาณ 8,000 ไมล์ทะเล
                ตอนนั้นอังกฤษมีเรือบรรทุกเครื่องบินจำนวน 2 ลำ HMS Hermes (R12) ระวางขับน้ำ 28,000 ตัน ประจำการมาแล้ว 23 ปี กับ HMS Invincible (R05) ระวางขับน้ำ 22,000 ตัน ประจำการมาแล้ว 1 ปี 9 เดือน 9 วัน โดยมีเครื่องบินขับไล่ Sea Harrier FRS.1 ฝูงล่ะ 5 ลำอยู่จำนวน 2 ฝูง (ลำเก่าที่สุดอายุเพียง 2 ปี) เครื่องบินที่เหลือสังกัดฝูงบินฝึกหัด อยู่ระหว่างคัดเลือกกำลังพลไปลงเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สาม ซึ่งสร้างเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างติดโน่นนั่นนี่
                เครื่องบินก็ดี นักบินก็ดี เจ้าหน้าที่บนเรือก็ดี ล้วนอ่อนประสบการณ์ไม่พร้อมที่จะรบกับใคร ทว่าสงครามได้เกิดขึ้นจริงและพวกเขาก็เป็นทหาร จึงเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเตรียมออกเดินทาง ทั้งที่บนเรือไม่มีเครื่องบินโจมตีแม้แต่ลำเดียว..!!
-----------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก