วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

RTN Air Defence Systems What If

 

ปัจจุบันภัยคุกคามจากฟากฟ้ามีความน่ากลัวมากกว่าเดิม นอกจากกองเรือจะต้องเผชิญหน้าเครื่องบินขับไล่/โจมตีและอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบเหมือนในอดีต ยังมีอากาศยานไร้คนขับติดอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ-สู่-พื้นระยะใกล้ อากาศยานไร้คนขับพลีชีพทั้งขนาดเล็กและใหญ่ จรวดนำวิถีหลายลำกล้องระยะกลางและระยะไกล รวมทั้งระเบิดนำวิถีรุ่นใหม่ทันสมัยขนาดต่างๆ ที่มีความแม่นยำมากกว่าเดิม นอกจากนี้ในอนาคตจะมีอากาศยานไร้คนขับเครื่องยนต์ไอพ่นเข้าประจำการ มาพร้อมอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ-สู่-พื้นระยะกลางและระเบิดนำวิถี

          ภัยคุกคามต่างๆ ที่ผู้เขียนแนะนำให้รู้จักแค่พอคร่าวๆ ต้องใช้ระบบป้องกันภัยทางอากาศบนเรือในการรับมือ อาวุธที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันคืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องใช้งานระบบตรวจจับทันสมัยประสิทธิภาพสูงควบคู่กันไป ถ้าเรดาร์ตรวจจับเป้าหมายไม่เจออาวุธราคาแพงย่อมไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

          ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก กองทัพเรือสิงคโปร์มีระบบป้องกันภัยทางอากาศยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งแบบไร้คู่แข่ง เรามาชมรายละเอียดกันสักเล็กน้อย

          1.เรือฟริเกตชั้น Formidable จำนวน 6 ลำ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานตระกูล Aster ระยะยิง 30-100 กิโลเมตรจำนวน 32 นัด ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Herakles

          2.เรือคอร์เวตชั้น Victory จำนวน 6 ลำ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Barak 1 ระยะยิง 12 กิโลเมตร จำนวน 16 นัด ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB

          3.เรือตรวจการณ์ LMV ชั้น Independence จำนวน 8 ลำ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA ระยะยิง 20 กิโลเมตร จำนวน 12 นัด ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS 100

          4.เรือยกพลขึ้นบกชั้น Endurance จำนวน 8 ลำ ติดตั้งติดตั้งแท่นยิง Simbad จำนวน 2 แท่นยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral ระยะยิง 7 กิโลเมตร โดยมีเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ EL/M-2238 STAR ช่วยค้นหาและติดตามเป้าหมาย

          เท่ากับว่าเรือรบสำคัญๆ ของสิงคโปร์มีระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบตรวจจับเป้าหมายผู้เขียนขอใช้คำว่า ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง สมกับเป็นอันดับหนึ่งอาเซียนไม่มีใครตามทันภายใน 20 ปีอย่างแน่นอน

          อันดับสองของอาเซียนประเทศไทยทิ้งห่างอันดับสามสองเสาไฟ รวมทั้งถูกอันดับหนึ่งทิ้งห่างอย่างเหนือชั้นสองไฟแดง ระบบป้องกันภัยทางอากาศบนเรือรบลูกประดู่ไทยประกอบไปด้วย

          1.เรือหลวงนเรศวร 421 เรือหลวงตากสิน 422 และเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช 471 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตร

2.เรือหลวงรัตนโกสินทร์ 441 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aspide 2000 ระยะยิง 25 กิโลเมตร

3.เรือหลวงจักรีนฤเบศร 911 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral ระยะยิง 7 กิโลเมตร

กองทัพเรือไทยมีเรือรบติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 5 ลำ เท่าจำนวนสมาชิกขบวนการมนุษย์ไฟฟ้าพอดิบพอดี แต่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กองเรือต้องรับผิดชอบ บทความนี้คือการปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศราชนาวีไทย แต่เป็นการปรับปรุงทิพย์หรือ What If สนองความต้องการตัวเองเท่านั้น

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome

 ตามแผนเดิมการปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศจะเริ่มต้นหลังได้รัฐบาลใหม่ บังเอิญการเมืองยังไม่นิ่งเลือกตั้งเสร็จหลายเดือนแล้วยังหานายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่ได้ นายโจนาธารในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัดสินใจเสริมจุดอ่อนให้กับกองทัพเรือด้วยวิธีการง่ายๆ ราคาไม่แพง สามารถเคลื่อนย้ายได้ โดยการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule จากอิสราเอลจำนวน 2 ระบบ

C-Dome รุ่น Mission Mudule ประกอบไปด้วย

1.ห้องควบคุมในตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 1 ตู้ ติดตั้งเรดาร์ตรวจจับและติดตามเป้าหมาย AESA จำนวน 4 ตัวกับกล้องออปโทรนิกส์อีก 1 ตัว ใช้เป็นห้องควบคุมการยิงระบบต่อสู้อากาศยาน ทำงานแยกต่างหากจากระบบอำนวยการรบเรือที่ติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ

2.แท่นยิงแนวดิ่งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Iron Dome ระยะยิง 70 กิโลเมตรจำนวน 20 ท่อยิง

Iron Dome หนึ่งนัดราคา 100,000-150,000 เหรียญ เทียบกับ ESSM ราคานัดละ 1 ล้านเหรียญถูกกว่ากันชนิดหน้ามือหลังมือ ยิงเป้าหมายบนอากาศได้ทุกชนิดยกเว้นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบบินเรี่ยน้ำ เนื่องจาก Iron Dome ถูกออกแบบให้มีความเร็วต่ำเพียง 2.2 มัค เน้นจัดการเป้าหมายราคาถูกแต่มีปริมาณค่อนข้างมาก

ถ้าใช้งานอย่างถูกต้อง C-Dome จะช่วยคุ้มครองกองเรือจากภัยคุกคามทางอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม

เรือที่นายโจนาธารกำหนดให้ติดตั้ง C-Dome ประกอบไปด้วย

1.เรือฟริเกตชั้น Type 053HTH จำนวน 2 ลำ ได้แก่เรือหลวงกระบุรี 457 และเรือหลวงสายบุรี 458

2.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 2 จำนวน 2 ลำ ได้แก่เรือหลวงกระบี่ 551 และเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ 552

C-Dome จำนวน 2 ระบบเข้ามาปิดจุดอ่อนกองเรือไทยได้ในระดับหนึ่ง

แท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56

          การปิดจุดอ่อนให้กับกองทัพเรือของนายโจนาธารจากพรรคเพื่อนไทย ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยังไม่สิ้นสุด หลังการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule จากอิสราเอลมาใช้งาน เรือหลวงกระบี่ 551 เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 2 ลำแรกเดินทางเข้าอู่ลอย เพื่อปรับปรุงเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งป้องกันภัยทางอากาศลำแรกของราชนาวีไทย โดยที่เรือยังคงทำภารกิจหลักคือลาดตระเวนตรวจการณ์ ตรวจสอบเรือพาณิชย์และเรือประมง ในน่านน้ำ 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งได้ตามปรกติ

การปรับปรุงเรือประกอบไปด้วย

1.ปรับปรุงระบบอำนวยการรบ TACTICOS เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด Baseline 2

2.ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS50 AESA ตรวจจับเป้าหมายบนอากาศได้ไกลสุด 180 กิโลเมตร ตรวจจับเป้าหมายพื้นน้ำได้ไกลสุด 80 กิโลเมตร

3.ติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานและอาวุธปืน

4.ติดตั้งออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Miradar สำหรับปืนใหญ่ 76 มม.กับปืนกล 30 มม.

5.ติดตั้งระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ใช้ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ VIGILE Mk2 R-ESM

6.ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวง SKWS DL-12T ขนาด 12 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง

6.ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56 สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM จำนวนมากสุด 12 นัด

แท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56 สามารถฝังใต้ดาดฟ้าเรือได้ทั้งครึ่งหนึ่งและทั้งหมด การใช้งานบนเรือหลวงกระบี่เราจะตั้งแท่นยิงหลังปล่องระบายความร้อนโดยไม่ฝังเพราะฝังไม่ได้ รวมทั้งต้องมีการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับจุดติดตั้งอาวุธก่อน ติดกันง่ายๆ เหมือนเรือหลวงประจบคีรีขันธ์ติด Harpoon นั่นแหละครับ

เรือหลวงกระบี่กลับเข้าประจำการอีกครั้งปลายปี 2024 กลายเป็นเรือลำที่ 4 ที่สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตร วิธีใช้งาน ESSM ร่วมกับแท่นยิงแนวดิ่ง Mk 56 ค่อนข้างง่ายไม่ยุ่งยาก เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อกล่อง Mk 25 บรรจุ ESSM เหมือนตอนใช้งานแท่นยิง Mk 41

เรือหลวงกระบี่ยังสามารถติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule เพิ่มเติมบนลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งจะทำให้เรือมี ESSM จำนวน 8 นัดกับ Iron Dome จำนวน 20 นัดใช้งาน กลายร่างเป็นอภิมหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งป้องกันภัยทางอากาศ ทันทีที่เรือกลับเข้ามาประจำการและทดสอบติดตั้ง C-Dome  กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน รวมทั้งสิงคโปร์รีบส่งคนมาดูงานที่สัตหีบทันที

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Mistral 1X

          วันที่ 28 พฤษภาคม 2024 นายพีต้าจากพรรคกว้างไกล ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการ งานแรกที่ท่านผู้นำคนที่ 30 ทำคือการปรับปรุงเรือฟริเกตชั้น Type 053HT กาลครั้งหนึ่งคุณพ่อนายพีต้าเคยเป็นจุ่มโพ่เรือหลวงเจ้าพระยาถึง 5 ปี ท่านนยกมีความคุ้นเคยเรือลำนี้และอยากให้เรือใช้งานได้อย่างยาวนาน โดยมีระบบอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ เพียงพอในการป้องกันตัวเอง

          แผนแรกนายพีต้าต้องการปรับปรุงเรือด้วยระบบอาวุธและเรดาร์จากตะวันตก ให้เหมือนเรือที่นักวาดภาพชาวไทยคนหนึ่งเคยปรับปรุงเรือแบบคนเมากาวหลายครั้ง บังเอิญนายโจนาธารรองนายกกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเขามาเคลียร์ใจและขอขมา บอกว่าช่วงที่ตัวเองเป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขานำงบประมาณกองทัพเรือส่วนใหญ่มาปรับปรุงเรือหลวงกระบี่เหลือไว้ให้รัฐมนตรีตัวจริงเพียงน้อยนิด

          นายพีต้ารู้สึกกลุ้มใจมากอยากปรับพรรคเพื่อนไทยออกจาก 8 พรรคร่วม ติดอยู่แค่เพียงตัวเองเซ็น MOU ไปแล้วว่าเราสองคนจะรักกันชั่วฟ้าดินสลาย นายกหนุ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับจนคุณพ่อต้องเดินมาสอบถาม เมื่อได้รับทราบความจริงอดีตจุ่มโพ่เรือหลวงเจ้าพระยาให้คำแนะนำว่า นักวาดภาพชาวไทยที่เคยปรับปรุงเรือแบบคนเมากาวมีแนวคิดใหม่ล่าสุด หมอนี่ติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ Mission Mudule กาวมากๆ เลยลูก

          คำแนะนำจากผู้ให้กำเนิดนายพีต้าทำตามทันที เขารีบติดต่อกับฝรั่งเศสผ่านกุนซือตัวเองซึ่งสนิทกับคนในกองทัพ มีการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ Mistral 1X (Mistral 3 + Sea Giraffe 1X ) แบบ Mission Mudule จำนวน 2 ระบบ มาใช้งานบนเรือหลวงเจ้าพระยา 455 กับเรือหลวงบางปะกง 456

อุปกรณ์ Mistral 1X แบบ Mission Mudule ประกอบไปด้วย

          1.ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตใบที่หนึ่งวางหลังเสากระโดง บนหลังคาติดตั้งแท่นยิงแฝดหก Sadral ที่นายพีต้ารีดไถจากกองทัพเรือฝรั่งเศส นำมาปรับปรุงใหม่ใช้ระบบตรวจจับรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูง ทำงานร่วมกับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 รุ่นใหม่ล่าสุดระยะยิง 7 กิโลเมตร ในตู้คอนเทนเนอร์คือคลังแสงจัดเก็บ Mistral 3 มากสุด 15 นัด การบรรจุใส่ท่อยิงสามารถใช้งานเครนยกเรือยางท้องแข็งเป็นเครื่องมือทุ่นแรง

          2.ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตใบที่สองวางหลังปล่องระบายความร้อน บนหลังคาติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะใกล้ Sea Giraffe 1X ระยะตรวจจับ 100 กิโลเมตร ในตู้คอนเทนเนอร์คือห้องเรดาร์กับห้องควบคุมการยิง ทำงานแยกเป็นอิสระจากระบบอำนวยการรบของเรือ ต้องการแค่เพียงพลังงานไฟฟ้าผ่านเครื่องแปลงแรงดัน แต่ถึงกระนั้นก็ตามข้อมูลจาก Sea Giraffe 1X จะถูกส่งต่อให้กับห้องยุทธการ เรือหลวงเจ้าพระยา 455 ซึ่งถอดเรดาร์ตรวจการณ์ประเทศจีนออกแล้วจึงมีหูตาแพรวพราวกว่าเดิมไปด้วย

           ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Mistral 1X ถอดไปใช้งานบนเรือลำอื่นได้ก็จริง ทว่ากองทัพเรือกำหนดให้ติดตั้งบนเรือฟริเกตชั้น Type 053HT จำนวน 2 ลำเท่านั้น ในกรณีมีปัญหาเร่งด่วนสามารถถอดออกมาใช้งานบนฝั่งได้ ประสิทธิภาพอาจไม่เทียบเท่า C-Dome บนเรือฟริเกตชั้น Type 053HTH แต่มีจุดเด่นเรื่องราคาไม่แพง ขนาดเล็กน้ำหนักเบา เข้ากันได้ดีกับเรือฟริเกตตัวท็อปที่ใช้ระบบ SAAB รวมทั้งเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ซึ่งใช้งานแท่นยิงแฝดหก Sadral กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral รุ่นเก่า

          เรือหลวงเจ้าพระยา 455 ปรับปรุงใหม่เข้าประจำการปี 2024 ส่วนเรือหลวงบางปะกง 456 ปรับปรุงใหม่เข้าประจำการปี 2025 อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจากจีนถูกถอดออกทั้งสองลำ ได้อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 6 นัดกับเรดาร์ 3 มิติระยะตรวจจับ 100 กิโลเมตรเข้ามาแทน อาจไม่ดีที่สุดแต่อดีตจุ่มโพ่เรือหลวงเจ้าพระยาค่อนข้างพอใจ นายพีต้าจึงพอใจตามบิดาและปิดงานของตัวเองแค่เพียงเท่านี้

เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อาวุธนำวิถี

บ่ายวันที่ 2 ธันวาคม 2024 เกิดสภาวะแปรปรวนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายร้อยปี สึนามิขนาดมหึมาในมหาสมุทรแปซิฟิกบุกโจมตีแผ่นดินอย่างรุนแรง ส่งผลให้เมืองตามชายฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก โคลัมเบีย เปรู และชิลี ถูกกวาดลงสู่ท้องทะเลเกิดความเสียหายระดับร้ายแรง หมู่เกาะเล็กหมู่เกาะน้อยแถวนั้นสูญหายไป มีผู้ประสบภัยจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านชีวิตต้องการความช่วยเหลือ

หลังเกิดเหตุมีการระดมความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทั่วโลก แต่เนื่องมาจากจุดเกิดเหตุกินพื้นที่ตั้งแต่อเมริกาเหนือถึงอเมริกาใต้ สหประชาชาติจึงได้ร้องขอความช่วยเหลือมายังรัฐบาลไทย ให้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางมายังอเมริกาใต้เป็นเวลาสองเดือน เนื่องจากที่นั่นมีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์บราซิลเพียงลำเดียวที่สามารถบรรทุกอากาศยานปีกหมุนจำนวนมาก เรือประเทศอื่นบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ได้มากสุดเพียง 2 ลำ เรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกอเมริกาที่เคยสัญญาว่าจะเดินทางมาช่วยเหลือ ถูกประธานาธิบดีโจ ไบเดนสั่งให้หันหัวเรือกลับมาดูแลแคลิฟอร์เนียซึ่งเจอของแข็งเข้าไปเต็มเหนี่ยว เรือจากยุโรปก็ดันติดขัดปัญหาเรื่องภัยสงครามเดินทางมาไม่ได้

นายกพีต้ากับรองนายกโจนาธารตัดสินใจทำตามคำร้องขอ เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้รับคำสั่งพร้อมเดินทางอย่างเร่งด่วนภายใน 48 ชั่วโมง เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชได้รับคำสั่งทำหน้าที่เรือคุ้มกัน เรือหลวงสิมิลันได้รับคำสั่งพร้อมเดินทางเช่นกัน บังเอิญรัฐบาลอเมริกาติดต่อรัฐบาลไทยแจ้งว่าใช้เรือส่งบำรุงกำลังของตัวเองได้ ลูกเรือเรือหลวงสิมิลันจึงถูกยกเลิกคำสั่งแยกย้ายกลับไปนอนบ้านใครบ้านมัน

ก่อนเดินทางพบปัญหาชวนหนักใจเล็กน้อย เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานเ ESSM เพียง 8 นัด ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral บนเรือหลวงจักรีนฤเบศรเป็นรุ่นเก่าประสิทธิภาพต่ำ บังเอิญเย็นวันนั้นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 จำนวน 20 นัดที่กองทัพเรือจัดหามาใช้งานบนเรือฟริเกตชั้น Type 053HT เดินทางมาถึงอ่าวไทยพอดิบพอดี นายกพีต้าจึงมีคำสั่งให้นำ Mistral 3 ทั้ง 20 นัดมาใช้งานบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือหลวงเจ้าพระยากับเรือหลวงบางประกงใช้งาน Mistral รุ่นเก่าไปก่อนแล้วจะซื้อมาเพิ่มให้ในปีถัดไป

ได้อาวุธใหม่เอี่ยมจากฝรั่งเศสมาแล้วนายกพีต้ายังไม่มั่นใจ เวลาสองเดือนอาจเกิดภัยคุกคามกับเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ตอนไหนก็ได้ ESSM จำนวน 8 นัดกับ Mistral 3 จำนวน 20 นัดไม่เพียงพอแน่นอน

รองนายกโจนาธารให้คำแนะนำสนใจสินค้าอิสราเอลหรือไม่ แล้วนำเสนอระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome รุ่น Mission Mudule ที่ตัวเองจัดหามาใช้งานดตอนเป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกพีต้าเห็นผลงานจากคลิปวิดีโอส่งตรงจากอิสราเอลแล้วชอบใจทันที บอกว่าข้าพเจ้าเคยเห็นคลิปนานแล้วแต่ไม่รู้ว่าเรามีใช้งาน ว่าแล้วจึงเซ็นคำสั่งถอด C-Dome จากเรือหลวงสายบุรีมาใส่บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร

ห้องควบคุมในตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตพร้อมเรดาร์ตรวจจับและติดตามเป้าหมาย AESA กับแท่นยิงแนวดิ่งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Iron Dome จำนวน 20 ท่อยิง ถูกติดตั้งบริเวณจุดรับส่งอากาศยานปีกหมุนจุดที่ห้ากราบขวาเรือ อันเป็นจุดที่ตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าไม่รบกวนการทำงานส่วนอื่น จุดรับส่งอากาศยานปีกหมุนสี่จุดบริเวณกราบซ้ายทำงานได้ตามปรกติ ลิฟต์ขนส่งอากาศยานทั้งสองตัวทำงานได้ตามปรกติ ลิฟต์ขนของทำงานได้ตามปรกติ เครนยกของทำงานได้ตามปรกติ โรงเก็บอากาศยานทำงานได้ตามปรกติ ทุกอย่างบนเรือทำงานได้ตามปรกติโดยมีออปชันพิเศษเพิ่มเติมเข้ามา

ข้อมูลจากเรดาร์ตรวจจับและติดตามเป้าหมาย AESA ทั้ง 4 ตัวของระบบ C-Dome จะถูกต่อมาที่ห้องยุทธการเรือซึ่งใช้ระบบอำนวยการรบของ SAAB การตรวจจับเป้าหมายของเรือย่อมดีกว่าเดิมไม่มากก็น้อย แต่การตรวจจับและติดตามเป้าหมายให้กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 บนแท่นยิง Sadral ขนาด 6 ท่อยิงทั้ง 3 แท่นยิง ต้องพึ่งพาเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB บนเสากระโดงตามปรกติ

วันที่ 6 ธันวาคม 2024 กองเรือช่วยเหลือจากประเทศไทยออกเดินทาง ในโรงเก็บเรือหลวงจักรีนฤเบศรมีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B เพียง 2 ลำ ถึงที่หมาย S-70B ลำที่ติดตั้งโซนาร์ชักหย่อนจะย้ายมาประจำการบนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ส่วน S-70B อีกลำถูกกำหนดเป็นเครื่องสำรองไม่มีการใช้งาน การค้นหาผู้ประสบภัยจะใช้งานเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพเรือโคลัมเบีย เปรู และชิลี สมทบด้วยหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกา

ตามแผนการกองเรือไทยจะหยุดพักเกาะกวมเป็นเวลาหนึ่งวัน ก่อนออกเดินทางกองทัพเรือใส่อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Iron Dome ในท่อยิงเพียง 2 นัดกันผีหลอก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาต้องการสนับสนุนการปฏิบัติการกู้ภัยของกองทัพเรือไทย ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจึงอนุมัติให้แบ่ง Iron Dome ของนาวิกโยธินซึ่งมีอยู่ที่เกาะกวมจำนวน 1 กองร้อย มาใส่เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์หมายเลข 911 กองทัพเรือไทยจำนวน 10 นัด

เท่ากับว่าการเดินทางไปยังอเมริกาใต้ของเรือหลวงจักรีนฤเบศรและเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช มี C-Dome ระยะยิง 70 กิโลเมตรจำนวน 12 นัด ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตรจำนวน 8 นัด และ Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 20 นัดไว้ป้องกันตัว ส่วน Phalanx ซึ่งใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้างทดไว้ในใจไม่ต้องพูดถึง

โครงการปรับปรุงเรือชั้นเรือหลวงปัตตานี

การติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศรายการสุดท้ายของนายกพีต้ากับรองนายกโจนาธาร คือการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้นเรือหลวงปัตตานี เริ่มจากเรือหลวงปัตตานี 511 เข้ารับการปรับปรุงกลางปี 2024 กลับเข้าประจำการกลางปี 2025 ต่อด้วยเรือหลวงนราธิวาส 512 เข้ารับการปรับปรุงกลางปี 2025 กลับเข้าประจำการกลางปี 2026

รายละเอียดการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานเรือประกอบไปด้วย

1.ระบบอำนวยการรบและระบบเรดาร์ยังคงใช้รุ่นเดิมเพื่อความประหยัด

2.ติดตั้งปกรณ์ตรวจจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์หรือ ESM รุ่น ES-3601 ของบริษัท L3HARRIS บนเสากระโดง

3.ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวง SKWS DL-12T ขนาด 12 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิงใกล้จุดติดตั้งปืนรอง

4.เปลี่ยนปืนรองเป็นปืนกล DS-3OM Mark2 ขนาด 30 มม.พร้อมออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง (เหมือนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ) เสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดติดตั้งและสร้างระเบียงรูปทรงทันสมัยเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับแท่นยิงรวมทั้งให้ลูกเรือสามารถเดินผ่านได้

5.ติดตั้งแท่นยิง Simbad-RC ขนาด 2 ท่อยิงจากฝรั่งเศสจำนวน 1 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 มีการเสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดติดตั้งแม้ Simbad-RC น้ำหนักเบามากก็ตาม Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรเพียง 2 นัดอาจไม่ถูกใจมิตรรักแฟนเพลง แต่มากที่สุดเท่าเรือตรวจการณ์สร้างโดยประเทศจีนสามารถติดตั้งได้ และดีเพียงพอในการป้องกันภัยทางอากาศระดับไม่ร้ายแรง

เท่ากับว่ากองทัพเรือมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ใช้งานบนเรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงบางปะกง เรือหลวงปัตตานี เรือหลวงนราธิวาส รวมทั้งเรือหลวงจักรีนฤเบศรที่จะต้องปรับปรุงแท่นยิง Sadral หลังเดินทางกลับจากอเมริกาใต้

6.ติดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM ระยะยิง 185 กิโลเมตรจำนวน 8 ท่อยิงกลางเรือ เหตุผลที่นายกพีต้ากับรองนายกโจนาธารเลือกเรือชั้นนี้เพราะใช้ระบบตะวันตกทั้งลำ ส่วนเรือหลวงเจ้าพระยาใช้ระบบจีนทั้งลำต้องปรับปรุงเยอะเกินไปไม่คุ้มค่าเพราะเรือเก่าแล้ว

หลังการปรับปรุงเรือหลวงปัตตานีกับเรือหลวงนราธิวาส จะกลายร่างเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงลำหนึ่งของอาเซียน

บทสรุปหลังสิ้นสุดโครงการ

          หลังปิดโครงการปรับปรุงระบบป้องกันภัยทางอากาศในช่วงกลางปี 2026 ราชนาวีไทยมีเรือรบติดระบบป้องกันภัยทางอากาศทันสมัยเทียบเท่าสิงคโปร์ประกอบไปด้วย

          1.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตรประกอบไปด้วย เรือหลวงนเรศวร 421 เรือหลวงตากสิน 422 เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช 471 และเรือหลวงกระบี่ 551 ตามภาพประกอบแถวบนสุด

          2.เรือที่สามารถติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome ระยะยิง 70 กิโลเมตรประกอบไปด้วย เรือหลวงกระบุรี 457 เรือหลวงสายบุรี 458 เรือหลวงกระบี่ 551 และเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ 552 ตามภาพประกอบแถวที่สอง

          3.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตร ไปด้วย เรือหลวงเจ้าพระยา 455 เรือหลวงบางปะกง 456 เรือหลวงปัตตานี 511 และเรือหลวงนราธิวาส 512 ตามภาพประกอบแถวที่สาม

          4.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome ได้แก่ เรือหลวงจักรีนฤเบศร 911 ตามภาพประกอบแถวที่สี่

5.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM และระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome ได้แก่ เรือหลวงกระบี่ 551 ตามภาพประกอบแถวที่สี่

6.เรือที่สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aspide 2000 ระยะยิง 25 กิโลเมตรได้เรือ เรือหลวงรัตนโกสินทร์ 441 ตามภาพประกอบแถวที่สี่

กองทัพเรือมีเรือติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะยิง 7 ถึง 70 กิโลเมตรจำนวน 13 ลำ แต่ติดตั้งติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศได้มากสุด 12 ลำ เพราะมีระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome เพียง 2 ระบบ

ผู้โชคร้ายที่ถูกคัดออกได้แก่...เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากผู้เขียนรู้สึกหมั่นไส้เล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่ใช่เพราะเรือแบก Harpoon  block 2 จนหลังแอ่น ลานจอดเฮลิคอปเตอร์รองรับ S-70B ได้เหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ควรทำลานจอดเฮลิคอปเตอร์ให้ว่างเข้าไว้จะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ยังมีภารกิจตามเก็บทุ่นเตือนภัยสึนามิ สรุปความได้ว่าให้เรือลำอื่นใช้งาน C-Dome ดีกว่าเนอะ

อ้างอิงจาก

https://thaimilitary.blogspot.com/2023/06/river-class-batch-3.html

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_ships_of_the_Republic_of_Singapore_Navy

https://youtu.be/BtbK5xoAYsw

https://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Mk-56-missile-launcher.htm

https://www.asiatraveltips.com/news19/119-SaabGiraffe1X.shtml

https://www.mbda-systems.com/press-releases/mbda-successfully-demonstrates-the-anti-surface-capabilities-of-the-mistral-missile/

https://twitter.com/xaviervav/status/1631688854624247808

https://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/KDS-Naval-Strike-Missile.htm

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=738767854920975&set=pb.100063633005696.-2207520000.&type=3

https://www.turbosquid.com/