วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566

HTMS Chakri Naruebet Air Defence System

 

ผู้เขียนบังเอิญค้นพบบทความเก่าเขียนโดยนายทหารเรือ เกี่ยวข้องกับระบบป้องกันภัยทางอากาศเรือหลวงจักรีนฤเบศร จึงนำมาเผยแพร่ต่อเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลเหล่านี้สูญหายไปจากอินเทอร์เน็ต แบ่งเป็น 2 บทความประกอบไปด้วย การติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL’ กับ การยิงอาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL’ บทความมีข้อมูลค่อนข้างละเอียดจึงมีความยาวพอสมควร ขอให้ผู้เขียนทุกคนอดทนอ่านจนจบนะครับ ^_*

1.การติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL ร.ล.จักรีนฤเบศร

นาวาเอก ชาลี ส่องสว่างธรรม

มีผู้รู้กล่าวว่า การติดตั้งระบบควบคุมการยิง หรือระบบอาวุธ ดูแล้วมันง่ายเหมือนปอก กล้วยเข้าปาก หรือบางท่านว่ามันง่ายเหมือนการต่อ Jigsaw บางท่านก็ว่าเหมือนการต่อ Lego (ของเด็กเล่น) บางท่านที่รู้คอมพิวเตอร์ก็ว่ามันเป็น Plug&Play เสียบปลั๊กก็เล่นได้ "จริงๆแล้ว มันง่ายเช่นว่าปานนั้นเชียวหรือ"

ผู้เขียนมีส่วนร่วมในการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL ร.ล.จัก รีนฤเบศร จึง ขอถ่ายทอดประสบการณ์เป็นบทความ เพื่อให้เข้าใจถึงความยุ่งยากในการติดตั้งระบบอาวุธฯ โดยภาพรวม เน้นตั้งแต่การเริ่มติดตั้ง จนถึงการทดลองระบบฯ ในทะเล ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านมอง เห็นภาพของการติดตั้งระบบควบคุมการยิง ระบบอาวุธต่างๆว่า..."มันไม่ง่ายอย่างที่ท่านคิด"

กองทัพเรือได้จัดหาระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL จากบริษัท Matra Defense ประเทศฝรั่งเศส ๓ ระบบ เพื่อติดตั้งให้กับเรือหลวงจักรีนฤเบศร ระบบที่ ๑ บริเวณหัวเรือกราบ ขวาและได้พิจารณาแต่งตั้ง "คณะกรรมการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL ร.ล. จักรีนฤเบศร " (กตจ.) และอนุกรรมการ (อกตจ.๑ และอกตจ.๒) เพื่อดำเนินการติดตั้งระบบฯ ให้แล้วเสร็จ จนสามารถรับใช้ราชการได้

อกตจ.๑ มีหน้าที่ติดตั้ง PLATFORM (ดาดฟ้ายื่นออกนอกตัวเรือ) เพื่อรองรับแท่นยิง อาวุธปล่อยนำวิถี ทั้ง ๓ แห่งซึ่ง กรมอู่ทหารเรือ (อร.) เป็นหน่วยรับผิดชอบออกแบบ และสร้าง โดย กรมโรงงานฐานทัพเรือสัตหีบ (กรง.ฐท.สส.) สำหรับ อกตจ.๒ กรมสรรพาวุธทหารเรือ (สพ.ทร.) เป็นหน่วยรับผิดชอบ ติดตั้งแท่นฐาน ระบบอาวุธ และการเชื่อมต่อกับระบบควบคุม การยิง โดย กองโรงงานไฟฟ้าอาวุธ (กฟอ.สพ.ทร.) เป็นหน่วยรับผิดชอบการติดตั้งทั้งหมด ยก เว้นเฉพาะการติดตั้งคลังอาวุธปล่อยพร้อมใช้บนเรือ ซึ่งกองอาวุธปล่อยนำวิถี (กอว.สพ.ทร.) เป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับผู้เขียนมีหน้าที่รับผิดชอบงานมอบหมายของ กฟอ.สพ.ทร. และยังเป็น อนุกรรมการและเลขานุการ อกตจ. ๒ ด้วย

กฟอ.สพ.ทร. มีสถานที่ตั้งอยู่ที่ อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ (อจปร.อร.) ขึ้นการบังคับบัญชากับ สพ.ทร. เป็นสายวิทยาการ กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ (อล.ทร.) รับผิด ชอบซ่อมทำและติดตั้งระบบอาวุธการยิง (คคย.) และระบบอาวุธให้แก่ กองเรือยุทธการ (กร.) หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ./รฝ.) และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) กฟอ.สพ.ทร. เป็นหน่วยงานระดับโรงงานเล็กๆ แต่มีผลงานที่พิสูจน์ได้เกินตัวระดับกรม มีประ สบการณ์หลากหลายในการติดตั้งระบบอาวุธ (เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๖) อาทิ ระบบควบคุมการยิง จำนวน ๑๘ ระบบ ระบบปืน ๒๔ ระบบ (ร่วมกับ กทว.สพ.ทร.) ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRALเป็นระบบที่ ๑๙-๒๑ ที่เพิ่งแล้วเสร็จล่าสุด ซึ่งประหยัดงบประมาณให้ ทร. ได้ไม่น้อย กว่า ๕๐ ล้านบาท และในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๒ ต้องติดตั้งสถานีตรวจสนามแม่เหล็ก ตัวเรือและเสียงใต้น้ำ (FACDAR)ทดแทนสถานีเดิมที่ชำรุด ตั้งแต่เมื่อประมาณ ๒๐ ปีก่อน

ระบบปล่อยอาวุธนำวิถี SADRAL ทั้ง ๓ ระบบ จะทำงานอิสระจากกัน โดยแต่ละระบบ จะรับผิดชอบย่านพื้นที่ป้องกันอาวุธปล่อยนำวิถีของข้าศึกตามสถานที่ติดตั้ง ดังรูปที่ ๑ โดยมี ส่วนประกอบย่อยในแต่ละระบบฯ ดังนี้

๑.ตู้ CONTROL CONSOLE ควบคุมการทำงานของระบบโดยรวม และเชื่อมต่อกับ ระบบอื่นๆ ติดตั้งในห้องศูนย์ยุทธการ จำนวน ๓ ตู้

๒.ตู้ SERVO CONTROL UNIT ควบคุมการหัน กระดกแท่นยิงทั้ง ๓ ตามคำสั่ง ควบคุมจากตู้ CONTROL CONSOLE ซึ่งติดตั้งในห้องเซอร์โวหัว ๒ ตู้ (สำหรับแท่นยิงหัว เรือขวาและซ้าย) และห้องเซอร์โวท้าย ๑ ตู้ (สำหรับแท่นยิงท้ายเรือ)

๓.แท่นยิง (LAUNCHER) ติดตั้งบริเวณหัวเรือกราบขวา หัวเรือกราบซ้ายและท้าย เรือ ขวา แต่ละแท่นยิง ประกอบด้วยท่อยิง ๖ ท่อยิง ซึ่งหมายถึงสามารถต่อสู้ด้วยระยะประชิด ป้องกันอาวุธปล่อยนำวิถีฝ่ายข้าศึกได้ถึง ๑๘ ลูก ในเวลาใกล้เคียงกัน (เกือบพร้อมกัน) มีกล้อง โทรทัศน์และกล้องอินฟราเรดติดตั้งบนแท่นยิง (ไม่มีกล้อง LASER RANGE FINDER)

๔.อาวุธปล่อยนำวิถี "MISTRAL" (อย่าสับสนกับระบบควบคุมการยิง SADRAL) ปกติจะเก็บไว้ในคลังพร้อมใช้บนเรือ กอว.สพ.ทร. รับผิดชอบติดตั้งคลังดังกล่าว

๕.กล่องห้ามยิง (VERTO BOX) สำหรับผบ.เรือ ๒ ชุด ใช้ยกเลิกสัญญาณการยิง อัตโนมัติของอาวุธปล่อยนำวิถี ปกติแล้วจะพร้อมยิงตลอดเวลา ติดตั้งบริเวณที่นั่งสั่งการ ผบ.เรือ ที่ห้องศูนย์ยุทธการ และสะพานเดินเรือ

ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL มีหน้าที่อย่างไร

เมื่อร.ล.จักรีนฤเบศร ถูกโจมตีจากข้าศึกโดยยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่างๆ จากเรือผิวน้ำ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ และเรือดำน้ำ เมื่อระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL อยู่ในสถาพพร้อม รบ ลูกอาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL จะวิ่งออกจากแท่นยิงโดยอัตโนมัติ ตรงเข้าหาอาวุธปล่อย นำวิถีของข้าศึก และระเบิดตัวเอง เพื่อให้ลูกปรายขนาดเล็กจำนวนมากระเบิดทำลายอาวุธ ปล่อยนำวิถีข้าศึกนั้นให้ตกก่อนที่จะวิ่งถึง ร.ล.จักรีนฤเบศร

เมื่อระบบอำนวยการรบของเรือชี้เป้า (Target Designation)แท่งยิงจะหันและ กระดกไปยังเป้าอาวุธปล่อยนำวิถีข้าศึกนั้นโดยอัตโนมัติ กล้องโทรทัศน์ และกล้องอินฟราเรด บนแท่นยิง จะจับเป้าเห็นภาพเป้าบนจอ เมื่อเป้าเข้าใกล้ระยะที่ IR SEEKER ในหัวลูกอาวุธปล่อยสามารถทำงานได้ จะเริ่มติดตามเป้าอัตโนมัติควบคุมแท่นยิงให้หันกระดก ตามเป้านั้น เมื่อได้ระยะยิงลูกอาวุธปล่อยนำวิถีจะออกจากท่อยิงวิ่งเข้าหาเป้า และทำลายเป้าใน ที่สุด

การติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL

ในการติดตั้งระบบควบคุมการยิง หรือระบบอาวุธใดๆรวมทั้งการติดตั้งระบบอาวุธปล่อย ฯ SADRALนี้ด้วยแบ่งออกเป็น ๕ ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้

๑.การติดตั้งแท่นฐาน (FOUNDATION) หมายรวมถึงแท่นฐานของแท่นยิง หรือระบบปืนแท่นฐานตู้ต่างๆ (SEATING) จะต้อง เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดของแต่ละ บริษัทผู้ผลิต

๒.การเดินสายและเข้าหัวสาย (CABLING) เป็นการเดินสายระหว่างตู้ต่างๆ ผ่านที่ ต่างๆ ตามตัวเรือ จะต้องออกแบบเส้นทางเดินของสายไฟ การเข้าหัวสาย (CONNECTING) ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคต่างๆและประสบการณ์มาก และต้องการความประณีตสูงมาก

๓.STW/SIT (SETING TO WORK/SYSTEM INTEGRATION TEST) เป็น การเริ่มการเชื่อมต่อระหว่างตู้ต่างๆของระบบ ตรวจสอบการจ่ายไฟต่างๆ เข้าระบบ ตรวจสอบ อุปกรณ์หรือระบบอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันกับระบบอาวุธนั้น เชื่อมต่อกันเพื่อรับ/ส่งสัญญาณต่างๆ มีการตรวจสอบเป็นรายการย่อยต่างๆ ตามที่บริษัทผู้ผลิตได้กำหนดไว้

๔.HAT (HARBOUR ACCEPTANCE TEST) ขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบการ ทำงานของระบบว่าสามารถทำงานตามขีดความสามารถต่างๆของระบบนั้นได้หรือไม่ ตรวจสอบการทำงาน/การประมวลผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์ควบคุมการยิง รวมทั้งโปรแกรม เป็นการตรวจสอบเมื่อเรือจอดหน้าท่า อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้เป็นการทำงานจริงๆของระบบ อย่างแท้จริง

๕.SAT(SEA ACCEPTANCE TEST/TRIAL) ขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบ/ ทดลองการทำงานของระบบในทะเล ว่าสามารถทำงานตามขีดความสามารถจริงต่างๆ ของ ระบบ นั้นได้หรือไม่ กล่าวคือจะต้องพยายามให้เหมือนจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งถือว่าเป็น ขีดความสามารถ/การทำงานอย่างสมบูรณ์ของระบบนั้นๆอย่างแท้จริง ในบางระบบจะต้องมีการ ทดลองการยิงต่อเป้าสมมติหรือจำลอง เช่น การยิงอากาศยานลากท้ายเครื่องบิน (ติด MDI) การยิงเป้าพื้นน้ำลากท้ายเรือลากเป้า เพื่อวัดความแม่นยำ ของระบบอาวุธนั้น บริษัทผู้ผลิตมัก จะไม่ยอมผูกพันการยิงทดสอบฯ นี้ไว้ในสัญญาฯ เพราะโอกาสผ่านเกณฑ์ตรวจรับยากและยุ่ง ยากมาก

การติดตั้งระบบอาวุธประเภทในส่วนของระบบตรวจจับ (SENSOR) ของระบบควบคุม การยิงและระบบอาวุธ ต้องติดตั้งตามหลักการ "การขนาน" (PARALLELISM) กล่าวคือ ทั้งทางหัน (TRAINNING) ของทุกอุปกรณ์ต้องขนานกัน และในทางกระดก (ELEVATION) ของทุกอุปกรณ์ก็ต้องขนานกัน ประสิทธิภาพและความถูกต้องแม่นยำในการยิงทำลายเป้าของ ระบบอาวุธต่างๆ ขึ้นกับคุณภาพและความประณีตในการติดตั้งขึ้นตอนนี้

การติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL ร.ล.จักรีนฤเบศร เป็นการติดตั้งระบบฯ ที่ยุ่งยากมากที่สุดเท่าที่เคยประสบมาของกฟอ.สพ.ทร. ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้ติดตั้งระบบฯ ควบคุมและกำกับให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดการส่งมอบให้ กร. ทั้งนี้การเริ่มงานติดตั้ง ระบบฯ ช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ๒ เดือนครึ่ง จึงจำต้องระดมศักยภาพและทรัพยากรเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายสำหรับกำหนดแผนงาน

ขึ้นตอนการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL

ในตอนต้นของบทความได้กล่าวนำความเป็นมาของระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRALพอสมควร หลังจากนี้จะเน้นเนื้อหาการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL โดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นตามจุดประสงค์ของบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอเรียบเรียงเป็นลำดับดังนี้

๑.ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL เป็นผลงานการติดตั้งระบบควบคุมการยิง (คคย.) ระบบอาวุธในลำดับที่ ๑๙ - ๒๑ ของกฟอ.สพ.ทร. ผู้เขียนจึงมั่นใจว่าการติดตั้งฯ จะเป็น ไปด้วยความเรียบร้อย และเสร็จทันตามแผนที่กำหนด แต่นับได้ว่าเป็นการติดตั้งระบบ คคย. ที่ มีความยุ่งยากมากที่สุดเท่าที่เคยประสบมา กล่าวคือ เป็นการติดตั้งระบบฯขณะเรือลอยน้ำ ซึ่งมีอาการโคลงตามปกติการติดตั้งระบบอาวุธจะต้องทำในอู่แห้งเท่านั้น การติดตั้งระบบ ดังกล่าวในครั้งนี้เรือยังคงปฏิบัติราชการตามปกติ แทนที่จะงดปฏิบัติราชการเช่นเรืออื่นๆ ทางเรือมีบทบาทในการพิจารณาเกี่ยวกับการติดตั้งมากที่สุด มีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งต้องประสานงานอย่างดี ติดตั้งพร้อมกันทั้ง ๓ ระบบ ในห้วงเวลาอันสั้นประมาณ ๖ เดือน และติดตั้งนอกพื้นที่อจปร.อร. ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กฟอ.สพ.ทร. เป็นครั้งแรก

๒.อร.ออกแบบ PLATFORM ดาดฟ้าติดตั้งแท่นยิงทั้ง ๓ แห่ง โดย กรง.ฐท. สส. สร้างตามแบบนั้น หลังจากสร้าง PLATFORM ทั้ง ๓ เสร็จเรียบร้อย พบว่ามีปัญหาเนื่องจาก ความแข็งแรง และความสั่นสะเทือนที่หัวเรือกราบขวา และกราบซ้าย สำหรับทางท้ายเรือ กราบขวายอมรับได้ จึงต้องเสียเวลาแก้ไขช่วงหนึ่ง เป็นผลให้การเริ่มติดตั้งระบบฯ งานในความ รับผิดชอบของกฟอ.สพ.ทร. ช้ากว่าแผนที่กำหนด ๒ เดือนครึ่ง โดยที่กำหนดเสร็จสิ้นโครงการ ยังเหมือนเดิม นับว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้เขียนที่จะต้องทำให้ได้ เมื่อพิจารณาโดยรวมจึง เริ่มงานติดตั้งแท่นฐานท้ายก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ ๑ ระบบ เพื่อใช้เป็นเครื่องช่วยฝึก อบรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของทร. ในต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๒ ตามข้อตกลงกับบริษัท MATRA

๓.ติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL กำหนดมาตรฐาน การติดตั้งระบบฯไว้ สูงมาก และสูงกว่าทุกระบบฯ ที่กฟอ.สพ.ทร. ได้เคยติดตั้งมาก่อนแล้ว เช่น

๓.๑ ในการติดตั้งอาวุธหรือเรดาร์ต่างๆทั้งลำ จะต้องติดตั้งขนานกับแผ่น MASTER DATUM ซึ่งติดตั้งที่กระดูกงูและเป็นพื้นระนาบอ้างอิงของเรือโดยอาศัยหลักการ "การขนาน" สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL กำหนดให้ค่าความเอียงของแท่นฐานกับแผ่น MASTER DATUM ของเรือยอมให้มีอัตราผิดได้ไม่เกิน ๓ ลิปดา (MINUTE) ซึ่งเทียบเท่ากับการติดตั้ง ระบบปืน ๗๖/๖๒ ในอู่แห้ง ในขณะที่ ร.ล.จักรีนฤเบศร ลอยน้ำสามารถวัดอาการโคลงได้ ๖๐ ลิปดา นี้ ทำให้ยิงเป้าระยะ ๑ กิโลเมตร จะทำให้ยิงผิดทางสูง/ข้าง ๑ เมตร ถือว่าเป็นเรื่องไม่ เล็กน้อย สำหรับระบบนี้จะมีผลกับการติดตามเป้าอัตโนมัติ

๓.๒ ในการติดตั้งระบบอาวุธหรือเรดาร์ต่างๆทั้งลำ จะต้องติดตั้งศูนย์ทางหันของ อุปกรณ์ ให้ขนานกับเส้นกลางลำของเรือ (CENTER LINE) ซึ่งเป็นเส้นอ้างอิงทางหันเรือ โดยอาศัย หลักการ "การขนาน" ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL กำหนดให้แนวเส้นศูนย์ทางหัน ของแท่นยิงจะต้องขนานกับเส้นกึ่งกลางลำยอมให้มีอัตราผิดได้ไม่เกิน ๑๐ ลิปดา (มีผลกระทบ กับการติดตามเป้าทางแบริ่ง) ในการทำต้องใช้กล้อง THEODOLITE ซึ่งใช้ใน การสำรวจ ถนนได้รับผลกระทบจากเรือโคลงอย่างมาก ต้องรอจังหวะที่เรือนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะต้อง ถ่ายเส้นอ้างอิงหลักอยู่ที่แผ่น MASTER DUTAM ที่กระดูกงู นำขึ้นมาไว้ที่ดาดฟ้า ลานบิน แล้วถ่ายลงที่ PLATFORM ทั้งสามอีกทีหนึ่งและต้องควบคุมอัตราผิดปกติให้อยู่ใน เกณฑ์ ให้ได้ ถ้าเรามีกล้อง GYRO THEODOLITE สักตัวคงไม่ลำบากแบบนี้ผู้อ่านคง เห็นภาพว่า มันยุ่งยากเพียงใด

๓.๓ แท่นฐานที่จะติดตั้งสายอากาศเรดาร์ อุปกรณ์ตรวจจับ (SENSOR) ต่างๆแท่น ปืน แท่นยิงระบบอาวุธต่างๆจะต้องมีผิวหน้าเรียบมาก (FLATNESS) ทั้งนี้เพื่อให้ติดตั้งกับแท่นฐานได้อย่างมั่นคง

                    +++++++++++++++++++++++

 

2.การยิงอาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL ครั้งแรกของกองทัพเรือไทย

โดย  ต้นเรือ ร.ล.จักรีนฤเบศร

อาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL ถือเป็นอาวุธที่สำคัญของ ร.ล.จักรีนฤเบศร  นับตั้งแต่ติดตั้งเมื่อ พ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการทดสอบการยิงจริง เนื่องจากขาดความพร้อมในด้านต่างๆ เช่น เป้าที่ใช้ในการทดสอบ และการรักษาความปลอดภัยของสนามยิง เป็นต้น ในปี พ.ศ.2552 ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการได้กำหนดนโยบายให้มีการฝึกยิงทดสอบอาวุธประเภทต่างๆ ของเรือในกองเรือยุทธการ รวมถึงอาวุธปล่อย MISTRAL ของ ร.ล.จักรีนฤเบศร ต่อมาในเดือน ก.ค.52 ทร.ได้มีโอกาสฝึกร่วมกับ ทร.สหรัฐฯ ในการฝึก CARAT 2009 ซึ่งทาง ทร.ได้อนุญาตให้มีการฝึกยิงทดสอบระบบอาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราสามารถทดสอบความพร้อมรบ และความเชื่อมั่นต่อระบบอาวุธปล่อยนำวิถีฯ

ในบทความนี้จะกล่าวถึงประสบการณ์ในการฝึกยิงอาวุธปล่อย มาถ่ายทอดให้กับผู้อ่านได้รับทราบ ก่อนอื่นจะปูพื้นฐานให้ทราบถึงรายละเอียด และคุณลักษณะที่สำคัญของระบบอาวุธปล่อยนำวิถีฯ การเตรียมความพร้อมในการฝึกยิง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ และสุดท้ายการปฏิบัติและบรรยากาศในวันฝึกยิงจริง

รายละเอียดและคุณลักษณะที่สำคัญของระบบอาวุธปล่อย

ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีป้องกันตนเองระยะประชิดแบบ SADRAL  เป็นระบบอาวุธปล่อยนำวิถีป้องกันตนเองระยะประชิด ชนิดพื้นสู่อากาศ (SURFACE TO AIR MISSILE) ใช้ลูกอาวุธปล่อยนำวิถีมิสทราล (MISTRAL) เป็นลูกอาวุธปล่อย เป็นแบบนำวิถีเข้าสู่เป้าด้วยตนเอง (FIRE AND FORGET) ติดตั้งบนเรือรบผิวน้ำ ออกแบบมาเพื่อใช้ต่อต้านภัยคุกคามประเภทอาวุธปล่อยนำวิถี และอากาศยานข้าศึกที่เข้าโจมตีในระดับต่ำ ในระยะประมาณ 6 กม. (3.23ไมล์ทะเล) ซึ่งคำว่า SADRAL ย่อมาจาก Close Air Fight Self-Defence Light System (Systemed Autodefense RAPROCHEE Anti-aerien Leger)

ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี SADRAL ได้เริ่มใช้ประจำการในกองทัพประเทศต่างๆ ใน ปี ค.ศ. 1989 และในปัจจุบันได้ถูกประจำการอยู่ในกองทัพต่างๆ ของ 25 ประเทศ ซึ่งระบบอาวุธปล่อยฯ สามารถขายได้มากกว่า16,000 ชุด ทั่วโลกในส่วนของกองทัพเรือไทย ได้จัดหาและติดตั้งบน ร.ล.จักรีนฤเบศร ตั้งแต่ พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน

คุณลักษณะที่สำคัญของลูกอาวุธปล่อย

คุณลักษณะของลูกอาวุธปล่อยที่สำคัญ ประกอบด้วย

 -ขนาดของลูกอาวุธปล่อย มีความยาว 186 ซม. น้ำหนัก 18.4 กก.

 -หัวรบของลูกอาวุธปล่อย ประกอบด้วย ดินระเบิด TNT น้ำหนัก 3 กก. ภายในบรรจุลูกปืนทังสเตน จำนวน 1,500 ลูก ระบบนำวิถีเป็นแบบ  Infrared passive การขับเคลื่อนเป็นแบบเชื้อเพลิงแข็ง

-ขีดความสามารถของลูกอาวุธปล่อย สามารถทำความเร็วได้ 2.5 มัค ระยะยิง 5,300 เมตร และความสูง 3,000 เมตร

ขั้นตอนการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฯขั้นตอนในการใช้อาวุธปล่อยนำวิถีฯ เริ่มตั้งแต่ตรวจจับเป้าหมาย เมื่อ ร.ล.จักรีนฤเบศร ถูกโจมตีด้วยยิงอาวุธปล่อยนำวิถีประเภทต่างๆ จากเรือผิวน้ำ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ และเรือดำน้ำ จากฝ่ายตรงข้ามพนักงานตรวจจับและติดตามเป้าของระบบอำนวยการรบจะติดตามเป้าหมายตั้งแต่ระยะไกล เมื่อเป้าเข้ามาระยะที่เหมาะสม จะส่งมอบเป้าหมายให้กับระบบควบคุมอาวุธปล่อยนำวิถีฯ แท่นยิงจะหันไปยังเป้าหมายโดยอัตโนมัติ กล้องโทรทัศน์ และกล้องอินฟราเรดที่แท่นยิง จะจับเป้าหมายเห็นภาพเป้าหมายบนจอ พนักงานจะเลือกให้ลูกอาวุธปล่อยฯเริ่มทำงาน

เมื่อเป้าหมายเข้าใกล้ระยะที่ IR SEEKER ในหัวลูกอาวุธปล่อยนำวิถีฯ สามารถติดตามรังสีอินฟาเรดที่แพร่ออกมาจากความร้อนของเป้าหมายได้ อาวุธปล่อยจะเริ่มติดตามเป้าหมายควบคุมแท่นยิงให้หันและกระดก อัตโนมัติตามเป้าหมายนั้น พนักงานควบคุมจะเป็นผู้กดปุ่มยิง หลังจากที่ลูกอาวุธปล่อยพ้นจากแท่นยิง ลูกอาวุธปล่อยจะวิ่งเข้าหาเป้าหมาย ในการระเบิดของลูกอาวุธปล่อยอาจเป็นแบบเฉียดเป้าระเบิดตัวเอง เพื่อให้ลูกปรายขนาดเล็กจำนวนมากระเบิดทำลายเป้าหมาย หรืออาจจะกระทบกับเป้าหมายระเบิด

การเตรียมความพร้อมในการฝึกยิง

ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญในการฝึกยิง คือการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกยิง และการฝึกซ้ำๆหลายครั้งให้เหมือนจริงมากที่สุด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าไม่เกิดข้อผิดพลาดในการฝึกยิง ทางผู้บังคับบัญชาของกองเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ทุกระดับชั้นได้ผลักดันให้ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินสนับสนุนในการเตรียมความพร้อมการฝึกยิง ผลทำให้การฝึกยิงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การเตรียมความพร้อมประกอบด้วย ด้านองค์บุคคล  ด้านองค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี โดยมีการปฏิบัติแบ่ง เป็น 3 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การเตรียมความพร้อม เป็นการวางแผนการทำงานเพื่อเตรียมพร้อมเบื้องต้นในการฝึกยิง การตรวจสอบความพร้อมของลูกอาวุธปล่อยนำวิถีฯ และระบบอาวุธปล่อยฯ โดย สพ.ทร. และการซ่อมทำระบบอาวุธปล่อยนำวิถีฯ บนเรือ เช่น ระบบควบคุมการทำงาน ตู้ควบคุมการหันและกระดกของแท่นยิง รวมทั้งแท่นยิงอาวุธปล่อย

ช่วงที่ 2 การตรวจสอบและทดลองระบบ เป็นการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุม การทำงานของแท่นยิง และจัดการประชุมวางแผนแนวทางและแผนการยิงร่วมกับหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการฝึกการปฏิบัติงานของพนักงานในฝึกยิง การควบคุมและสั่งการ และวางแนวทางในการป้องกันอันตรายต่างๆ

ช่วงที่ 3 การฝึกอาวุธปล่อยนำวิถีฯ ในทะเล โดยการปฏิบัติฝึกกับเป้าอากาศยาน ฝึกการเคลื่อนย้ายและติดตั้งลูกอาวุธปล่อยฯของเจ้าหน้าที่ การทดสอบระบบควบคุมของลูกอาวุธปล่อยฯ การควบคุมและสั่งการในการยิงอาวุธปล่อยฯ และทบทวนข้อระมัดระวังและอันตรายจากลูกอาวุธปล่อยฯ

การฝึกยิงอาวุธปล่อยในการฝึก CARAT 2009

การฝึก CARAT ในประเทศไทย เป็นการฝึกร่วมของกำลังทางเรือระหว่าง ทร.ไทยกับ ทร.สหรัฐฯ ซึ่งจัดให้มีการฝึกทุกปี ในปี 2009 กำลังทางเรือฝ่ายไทยที่สำคัญ ประกอบด้วย ร.ล.จักรีนฤเบศร ร.ล.นเรศวร ร.ล.มกุฏราชกุมาร ร.ล.คีรีรัฐ และ ร.ล.สุโขทัย กำลังทางเรือฝ่ายสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย เรือ USS Harpers Ferry เรือ USS Chafee และ USS Crommelin โดยทาง ทร.เสนอให้มีการฝึกการปฏิบัติการทางเรือในหลายสาขา ในการนี้ได้บรรจุการฝึกที่สำคัญ คือการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฯ ของ ร.ล.จักรีนฤเบศร เป้าที่ใช้ในการฝึกยิง

ในการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฯ ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือเป้าที่ใช้ในการยิงจะต้องมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับเป้าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมากที่สุด เป้าจะต้องมีขนาดและความเร็ว รวมทั้งความร้อนที่ปล่อยออกมาใกล้เคียงกับลูกอาวุธปล่อยนำวิถี ซึ่งเป้าดังกล่าวรวมกับระบบควบคุมเป้ามีราคาค่อนข้างสูงในการจัดหาและใช้เป้าได้ครั้งเดียวในการฝึกยิงเป็นเป้าของอาวุธปล่อยนำวิถี

ในการฝึก ทร.สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนเป้าอากาศยานบังคับวิทยุ (Drone) แบบ BQM-74E ซึ่ง ในปี 2552 ประเทศแคนาดา ได้จัดซื้อเป้าละประมาณ 13 ล้านบาท เป้า Drone มีขนาดเล็กเท่ากับลูกอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน ความเร็วเท่ากับความเร็วเดินทางของเครื่องบินขับไล่ ควบคุมการทำงานด้วยการบังคับทางวิทยุ คุณลักษณะของเป้าที่สำคัญ คือ ความยาวของเป้า 3.94 ม. ความกว้างของปีก 1.76 ม. น้ำหนัก 123 กก. และใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเจตในการขับเคลื่อน ด้วย แรงขับ 240 ปอนด์ ซึ่งมีขีดความสามารถในการทำความเร็วได้สูงสุด 927 กม.ต่อชม.และบินได้นาน 68 นาที

สถานการณ์การฝึกยิงในวันจริง

ในวันที่ 13 ก.ค.52 เวลา 1100 เป็นเวลาที่กำหนดไว้ในการปล่อยเป้า แต่เกิดปัญหาจากสภาพอากาศในพื้นที่ฝึกมีคลื่นค่อนข้างแรง และความเร็วลมประมาณ 30-35 น็อต ซึ่งเกินขีดจำกัดในการปล่อยเป้าขึ้นจากเรือ และเรือควบคุมอาจจะไม่สามารถควบคุมการโคจรของเป้าได้ ซึ่งทางผู้บัญชาการกองเรือร่วมทั้งสองฝ่ายจึงขอเลื่อนการฝึกออกไปจนกว่าความเร็วลมจะมีความเหมาะสม ในสถานการณ์ดังกล่าวผมมีความรู้สึกว่าทางผู้บังคับบัญชาที่มาเยี่ยมชมการฝึก และกำลังพลประจำเรือต่างๆ ที่เฝ้ารอการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฯต่างก็มีความกังวล และผิดหวัง ในใจของทุกคนแล้วคงภาวนาขอให้ความเร็วลมลดลง เพื่อสามารถทำการฝึกยิงได้ ในความคิดของผมแล้วถ้าไม่สามารถฝึกยิงได้ การเตรียมการในการฝึกยิงจริงต่างๆ ที่ผ่านมา จะไม่ปรากฏผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม และการฝึกยิงอาวุธนำวิถี MISTRAL ครั้งแรก ก็จะยังคงเป็นความหวังต่อไป

ต่อมาในเวลาประมาณ 1600 ความเร็วลมเริ่มลดลงสามารถที่จะปล่อยเป้าได้ ทางผู้บัญชาการกองเรือร่วมทั้งสองฝ่ายจึงสั่งให้ฝึกยิงอาวุธได้ ทำให้ความหวังที่พวกเรารอคอยได้มาถึง ซึ่งตามแผน เป้า Drone ลูกแรก ใช้สำหรับการยิงปืนใหญ่ประจำเรือของเรือร่วมฝึก และการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีเอสปิเด้ ของ ร.ล.สุโขทัย ส่วนเป้า Drone ลูกที่สองใช้สำหรับการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL แต่ได้ปรับแผนให้เป้า Drone ลูกแรก สำหรับการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฯ ของ ร.ล.จักรีนฤเบศร 

ในการฝึกเรือในกระบวนเรือจัดรูปกระบวนเรียงตามกัน กำลังพลประจำเรือ ร.ล.จักรีนฤเบศร ได้ยินประกาศทางระบบประกาศคำสั่ง ประจำสถานีรบพร้อมกับเสียงสัญญาณการประจำสถานี เป็นสิ่งบ่งบอกว่าการฝึกได้เริ่มขึ้นแล้ว การประจำสถานีรบซึ่งเป็นการเตรียมขั้นความพร้อมสูงสุดของเรือในการเผชิญกับภัยคุกคามต่างๆ ผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของสนามยิงรายงานให้ผู้อำนวยการฝึกทราบว่า สนามยิงปลอดภัยผู้อำนวยการฝึกจึงได้สั่ง เริ่มเที่ยว

เวลา 1718 เรือ ทร.สหรัฐฯ ปล่อยเป้า Drone และบังคับเป้าให้บินตามวงจรการบินที่กำหนดไว้ ระหว่างนั้นสายตาทุกคู่บนสะพานเดินเรือพยายามค้นหาเป้าว่าบินอยู่ตำบลที่ใด แต่ไม่สามารถพบเห็นด้วยสายตาได้ ที่ห้องศูนย์ยุทธการ กล้องโทรทัศน์ที่แท่นยิงท้ายสามารถตรวจจับและติดตามเป้าได้ รายงาน ตรวจพบเป้า Drone ในแบริ่ง..........แต่ไม่มีมุมยิง กล้องโทรทัศน์ที่แท่นยิงหัว สามารถจับเป้า Droneได้ พนักงานควบคุมแท่นยิง รายงาน พบเป้าพร้อมกับควบคุมแท่นยิงหันและกระดกไปยังเป้าหมาย

พนักงานกดปุ่มเลือกลูกอาวุธปล่อยฯ จากนั้น IR SEEKER ในหัวลูกอาวุธปล่อยสามารถติดตามรังสีอินฟาเรดที่แพร่ออกมาจากความร้อนของเป้าหมายได้ พนักงานควบคุมแท่นยิง รายงาน “Lock on” ระบบได้ควบคุมแท่นยิงให้หันและกระดกติดตามเป้าโดยอัตโนมัติ นายทหารการอาวุธสั่ง แท่นยิง 1 ระวัง......ยิงพนักงานควบคุมกดปุ่ม ยิงที่สะพานเดินเรือ ได้ยินเสียงจุดระเบิดที่แท่นหมายเลข 1 ทางหัวเรือขวา เห็นควันสีขาวพุ่งออกจากแท่นหัว อาวุธปล่อยพุ่งจากแท่นยิงและเข้าหาเป้าประดุจลูกไฟ วิ่งไปทางทิศ 200 ทางหัวเรือขวา ด้วยความรวดเร็ว  ประมาณ 4 วินาที เห็นกลุ่มประกายไฟและควันจำนวนมาก ที่ระยะ 2 ไมล์  และเห็นเป้าสีส้มระเบิดในเวลาต่อมา ลูกอาวุธปล่อยนำวิถีฯชนถูกเป้า ผลทำให้เป้าระเบิดและตกลงไปในทะเล

จากบรรยากาศความเครียดในการฝึกกลายเป็นอาการปิติและการแสดงความยินดีในความสำเร็จในการยิง บรรยากาศภายในเรือเต็มไปด้วยรอยยิ้มและการแสดงความยินดี แตกต่างจากบรรยากาศก่อนยิงอาวุธโดยสิ้นเชิง กำลังพลประจำเรือได้     เสริฟแชมเปญ ให้กับ ผู้บังคับบัญชา และนายทหารสัญญาบัตรที่ร่วมชมการฝึก เพื่อเป็นการแสดงความยินดีต่อความสำเร็จในการยิงอาวุธปล่อยฯในครั้งนี้

พล.ร.ต.ไชยยศ สุนทรนาค ผู้อำนวยการฝึกกองอำนวยการฝึกผสม CARAT 2009 ได้ชมเชยการปฏิบัติว่า ขอชมเชยการปฏิบัติของ ร.ล.จักรีนฤเบศร.....ที่ได้มีการเตรียมการและการปฏิบัติในการยิงอาวุธปล่อยนำวิถี...ต่อเป้า Drone จนทำให้การยิงอาวุธปล่อยนำวิถี...ประสบความสำเร็จ

ในส่วนของกำลังพลประจำเรือแล้ว ผมเชื่อว่าความยากลำบาก และความเหนื่อยล้า จากการเตรียมความพร้อมของระบบอาวุธปล่อย และความพร้อมในการฝึกยิงได้มลายหายไปสิ้นเชิงหลังจากที่พวกเราเห็นอาวุธปล่อยฯ วิ่งชนเป้า  การฝึกยิงอาวุธปล่อยฯของเรือในวันนี้ ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของกองทัพเรือว่า การฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL ครั้งแรกของ ทร.ไทย สำเร็จอย่างงดงามตามความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ทุกประการ

บทส่งท้าย

อาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL ถือว่าเป็นอาวุธหลักที่สำคัญของ ร.ล.จักรีนฤเบศร ในการป้องกันภัยต่อภัยคุกคามที่จะเข้ามาทำอันตรายต่อเรือในขณะที่เรือออกปฏิบัติราชการในพื้นที่ปฏิบัติการ ในการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี MISTRAL ของ ร.ล.จักรีนฤเบศร จุดมุ่งหมายหลักเป็นทดสอบความพร้อมรบของเรือ และความเชื่อมั่นต่อระบบอาวุธปล่อยนำวิถีฯ ผลการฝึกอาวุธปล่อยฯชนถูกเป้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการฝึกดังกล่าวได้ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของกองทัพเรือ โดยเป็นการฝึกที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เรือ และกองทัพเรือ อันเป็นที่น่าภาคภูมิใจต่อข้าราชการของ ร.ล.จักรีนฤเบศร และกองทัพเรือ ส่งผลทำให้เกิดความมั่นใจต่อขีดความสามารถ และความพร้อมรบของเรือ ในการปฏิบัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ที่เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งของกองทัพเรือ

                    +++++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

https://www.navy.mi.th/navic/document/830104a.html?fbclid=IwAR0P3gQ08aharal98gDf4l05rO9OCgCGf8V2O-6Xxy7AQIhxADFOU8WS8Hw

http://web.archive.org/web/20090910081830/www.navy.mi.th/cvh911/911update27.html

 

วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

S800 Submarine

 

เรือดำน้ำ S800

ในงานแสดงอาวุธ Euronaval 2006 ระหว่างวันที่  23 ถึง 27 ตุลาคม 2006 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส บริษัท Rubin Design Bureau จากรัสเซียกับบริษัท Fincantier จากอิตาลี นำเรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดชื่อ S1000 มาเปิดตัวครั้งแรก สร้างความฮือฮาให้กับผู้ร่วมงานจากทุกมุมโลกกลายเป็นข่าวใหญ่โต

เรือดำน้ำ S1000 ถือกำเนิดจากการความร่วมมือระหว่างบริษัท Rubin กับ Fincantier เพื่อสร้างเรือดำน้ำรุ่นส่งออกขายให้กับประเทศในโลกที่สาม โดยนำเรือดำน้ำ Amur-950 ของบริษัท Rubin มาปรับปรุงเพิ่มเติม ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนจากยุโรป แล้วใส่ระบบ AIP ของบริษัท Fincantier ที่ได้รับเทคโนโลยีจากเยอรมันเพิ่มเติมเข้ามา เรือดำน้ำรุ่นส่งออกลำนี้จึงมีประสิทธิภาพสูงกว่าเรือต้นแบบ และเหมาะสมกว่าถ้าต้องการเจาะตลาดลูกค้าใหม่ที่ไม่ได้ใช้งานอาวุธรัสเซียโดยเฉพาะ

โครงการร่วมระหว่างสองชาติมีการพัฒนาแบบเรือจำนวน 3 รุ่น ประกอบไปด้วย

-เรือดำน้ำรุ่น S500 ขนาดเล็กสุด

-เรือดำน้ำรุ่น S800 ขนาดกลาง

-เรือดำน้ำรุ่น S1000 ขนาดใหญ่สุด

วิธีตั้งชื่อรุ่นคิดกันเอาง่ายๆ ตามขนาดเรือ เพียงแต่ให้ความสำคัญรุ่น S1000 ที่คาดว่าจะหาลูกค้าสำเร็จมากที่สุด รวมทั้งสร้างผลกำไรให้สองบริษัทคู่ค้ามากที่สุด อันเป็นเรื่องปรกติของการค้าขายทั่วไปนั่นแหละครับ

รู้ประวัติที่มาการพัฒนาแบบเรืออย่างคร่าวๆ แล้ว ไปชมแบบเรือของจริงกันต่อเลยครับ

เรือดำน้ำ S800  เวอร์ชันรัสเซีย/อิตาลี

          ภาพประกอบที่หนึ่งคือเรือดำน้ำจากโครงการร่วมระหว่างสองชาติ ภาพบนเรือดำน้ำ S1000 ผู้เขียนนำมาจากโบร์ชัวร์บริษัท Fincantier ปัจจุบัน ส่วนภาพล่างคือเรือดำน้ำ S800 ตั้งแต่ปี 2008 สังเกตนะครับว่าเหมือนกันหัวจรดท้ายราวฝาแฝด หากนำเรือดำน้ำต้นแบบ Amur-950 มาเปรียบเทียบจะเป็นแฝดสามกันเลยทีเดียว


          ข้อมูลจากบริษัท
Fincantier ระบุว่า เรือดำน้ำ S1000 มีระวางขับน้ำ 1,000 ตันขณะลอยลำ กับ 1,100 ตันขณะดำน้ำ ความยาว 57.20 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือทนความดัน 5.5 เมตร ดำน้ำได้ลึกสุด 250 เมตร ควมเร็วสูงสุดขณะดำน้ำ 14 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 4 นอต หรือ 1,600 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 6 นอต ออกทะเลได้นานสุด 30 วัน ใช้ลูกเรือ 16 นาย รองรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ 6 นาย

          ระบบขับเคลื่อนใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 715 kW จำนวน 2 ตัว กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 650 kW จำนวน 2 ตัว ใช้แบตเตอรี่แบบตะกั่วขนาด 112 เซลล์จำนวน 2 ชุดตามปรกติ ติดตั้งระบบ AIP แบบ Fuel cell ขนาด 200 kW เพิ่มเติมเข้ามา หางเสือเรือรูปตัว X ทำงานร่วมกับใบจักรชนิด 7 แฉก

          ระบบอำนวยการรบมีคอนโซลปฏิบัติการ 5 คอนโซล มีระบบโทรศัพท์ใต้น้ำหรือ Underwater Telephone ใช้กล้องตาเรือรุ่นออปโทรนิกส์ทันสมัย มีทั้งกล้องโทรทัศน์ เลเซอร์วัดระยะ และกล้องตรวจจับความร้อน มีระบบดักจับสัญญาณคลื่นอิเล็กทรอนิกส์หรือ ESM ปิดท้ายด้วยเรดาร์เดินเรืออีก 1 ตัว

ระบบตรวจจับใต้น้ำประกอบไปด้วย โซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิดที่หัวเรือ โซนาร์ Conformal Array สีขาวๆ ยาวๆ ตรงหัวเรือสไตล์รัสเซีย และโซนาร์ Intercept Array เป็นตุ่มเล็กๆ อยู่ตำแหน่งหลังสุดบนหอบังคับการ

          โซนาร์ Intercept Array ทำหน้าที่ตรวจจับการแพร่คลื่นโซนาร์แบบ Active จากอากาศยาน เรือผิวน้ำหรือเรือดำน้ำ อาจเรียกว่าโซนาร์เตือนภัยโซนาร์ได้เช่นกัน หลักการทำงานคล้าย ESM แค่เปลี่ยนจากดักจับคลื่นเรดาร์เป็นคลื่นโซนาร์จากการปิง ฉะนั้นอาจเรียกว่าโซนาร์ดักจับการแพร่คลื่นโซนาร์ได้เช่นกัน

          โซนาร์ Intercept Array ทำงานแยกต่างหากจากระบบอำนวยการรบ ติดตั้งเพิ่มเติมในภายหลังได้อย่างง่ายดาย อาทิเช่นเมื่อทูร์เคียพัฒนาโซนาร์ Intercept Array สำเร็จจึงนำมาติดบนเรือดำน้ำ Typ3 209/1300 อายุการใช้งานมากกว่า 40 ปีของตัวเอง ฉะนั้นแล้วผู้เขียนจะขอพูดถึงสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต

ติ๊งต่างว่าระหว่างปี 2013-2015 กองทัพเรือไทยประจำการเรือดำน้ำ Type 206 จำนวน 4 ลำ (ใช้เวลาปรับปรุงเรือที่เยอรมันนานหน่อยเพราะเรามีเรือตั้ง 4 ลำ) หลายปีต่อมาเราอยากใช้งานโซนาร์ Intercept Array จึงจัดหาจากทูร์เคียมาติดตั้งเอง เท่ากับว่ากองทัพเรือไทยมีเรือดำน้ำขนาด 500 ตันที่ทรงพลานุภาพที่สุดของโลก

เรือหลวงสุดสาครติดโซนาร์ Intercept Array ที่อู่ต่อเรือราชนาวีมหิดล

คุณพระคุณเจ้า! ผู้เขียนทำอะไรลงไปไม่รู้ตัวจริงๆ

กลับมาที่เรือดำน้ำ S1000 กันอีกครั้ง เพราะต้นแบบคือเรือดำน้ำรัสเซียทำให้ S1000 หมัดหนักเป็นพิเศษ หัวเรือติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533 มม.จำนวน 6 ท่อยิง คลังแสงในเรือสามารถจัดเก็บตอร์ปิโดได้ 8 นัด จำนวนรวมที่ S1000 แบกได้จึงเท่ากับ 14 นัด ได้ตอร์ปิโดนำวิถีสายไฟเบอร์ Black Shark จากอิตาลีเป็นหมัดเด็ด พร้อมกับไอเท็มลับอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่ง Club-S จากรัสเซียให้ลูกค้ากระเป๋าหนักได้เลือกใช้งาน

ภาพประกอบที่หนึ่งภาพล่างคือเรือดำน้ำ S800 รุ่นรองลงมา ขนาดเล็กลงนิดหน่อย ระวางขับน้ำลดลงประมาณ 200 ตัน ความยาวลดลงนิดเดียวแทบไม่เห็นความแตกต่าง มาพิจารณาภายในเรือไปพร้อมกัน จะเห็นนะครับว่าบริเวณหัวเรือเหมือนกันทุกอย่าง จัดเก็บตอร์ปิโดในคลังแสงจำนวน 8 นัดเท่ากัน แต่เนื่องมาจากเป็นรุ่นรองอาจมีบางอย่างถูกตัดออกไป อาทิเช่นใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่ง Club-S ไม่ได้ หรือไม่ได้ติดตั้งโซนาร์ Intercept Array บนหอบังคับการ บวกกับขนาดเรือเล็กลงทำให้ราคาถูกกว่ารุ่น S1000 ในระดับหนึ่ง

จุดที่แตกต่างอย่างชัดเจนประกอบไปด้วย ห้องศูนย์ยุทธการ S1000 อยู่ใต้หอบังคับการเยื้องไปทางด้านหลัง ห้องศูนย์ยุทธการ S800 อยู่ใต้หอบังคับการเยื้องมาทางด้านหน้า แบตเตอรี่แบบตะกั่วขนาด 112 เซลล์ของ S1000 ทั้ง 2 ชุดวางเรียงกัน ส่วน S800 แบตเตอรี่ชุดหน้ายังอยู่ตำแหน่งเดิม แต่แบตเตอรี่ชุดหลังย้ายไปท้ายเรือใกล้มอเตอร์ขับเคลื่อน รวมทั้ง S800 มีถังกลมๆ ขนาดใหญ่สีฟ้าเพิ่มเติมเข้ามาไม่ทราบว่าคืออะไร

ความเห็นส่วนตัวตำแหน่งดังกล่าวเหมาะสมกับระบบ AIP แบบ Full Cell ที่อิตาลีได้มาจากเยอรมัน เพียงแต่รูปร่าง AIP จะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมทรงสูง ผู้เขียนกลับไปตรวจสอบโบร์ชัวร์อีกครั้ง ปรากฏว่า AIP แบบ Full Cell น่าจะอยู่ด้านบนแบตเตอรี่ชุดหลังของ S800 ตำแหน่งที่มีท่อกลมๆ บนดาดฟ้าเรือนั่นแหละครับ

เป็นการคาดเดาจากบุคคลผู้มีความรู้ด้านเทคนิคและกายภาพเรือดำน้ำเพียงน้อยนิด

เรือดำน้ำ S800  สำหรับอินเดีย

เมื่อสินค้าพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ต้องขาย สิ่งแรกที่สมควรทำคือหาลูกค้ารายแรกให้สำเร็จ

ระหว่างเดือนตุลาคม 2008 กองทัพเรืออินเดียเริ่มต้นเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำรุ่นใหม่ติดระบบ AIP หรือ Project 75(I) จำนวน 6 ลำ ตั้งใจประจำการต่อจากเรือดำน้ำชั้น Scorpene จากฝรั่งเศสจำนวน 6 ลำจากโครงการ Project 75 ที่เพิ่งปิดโครงการสดๆ ร้อนๆ และเนื่องมาจากการบริหารงานของอินเดียถ้าไม่ล่าช้าก็ล่าช้าอย่างถึงที่สุด ส่งผลให้โครงการ Project 75(I) มีการยื่นข้อเสนอจริงในเดือนธันวาคม 2012

แชมป์เก่าฝรั่งเศสส่ง Super Scorpene เข้าร่วมชิงชัย เยอรมันส่ง Type 214 เกาหลีใต้ส่ง Type 212 HDW สเปนส่ง S-80 (ช่างกล้า) ญี่ปุ่นส่ง Soryu เข้าร่วมในภายหลัง Rubin กับ Fincantier ส่ง S1000 ปิดท้ายด้วย Rubin บริษัทเดียวส่ง Amur-1650 อาวุธรัสเซียทั้งลำ

บริษัท Rubin จากรัสเซียไม่ได้ผิดกฎนะครับ ทุกบริษัทสามารถส่งแบบเรือเท่าไรก็ได้

ย้อนกลับไประหว่างปี 2008 ถึง 2011 บริษัท Rubin กับ Fincantier ส่ง S1000 กับ S800 สองแบบเรือเข้าร่วมชิงชัย (เท่ากับว่า S800 ถูกเสนอให้กับอินเดียก่อนปากีสถานเป็นเวลา 15 ปี) บังเอิญ S800 ถูกถอดออกไปก่อนมีการยื่นข้อเสนอ และ Rubin ตัดสินใจส่ง Amur-1650 เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งจากลูกค้าเก่า

โชคร้ายเหลือเกินโครงการ Project 75(I) เกิดความล่าช้าอย่างถึงที่สุด อันเป็นผลกระทบจากโครงการ Project 75 มีความล่าช้าเรื่องการก่อสร้าง กว่าเรือดำน้ำ Scorpene ลำแรกจะเข้าประจำการก็ปี 2016 ต่อมาในปี 2014 ความสัมพันธ์ระหว่าง Rubin กับ Fincantier ต้องขาดสะบั้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัสเซียใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน โครงการร่วมระหว่างสองชาติสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการนับแต่นั้นเป็นต้นมา

บริษัท Fincantier ยังคงถือสิทธิ์แบบเรือ S1000 เหมือนเดิม เพียงแต่ค่อนข้างล้าสมัยเมื่อเทียบกับเรือดำน้ำรุ่นใหม่ ทำให้ไม่มีลูกค้ากระเป๋าหนักใจใหญ่ใจถึงสั่งซื้อไปใช้งานตราบจนถึงปัจจุบัน

ตราบจนถึงปัจจุบันโครงการ Project 75(I) ยังไม่มีผู้ได้รับการคัดเลือกเช่นเดียวกัน

Shallow Water Assault Submarine (SWAS) Program

ระหว่างปี 1993 ปากีสถานมีเรือดำน้ำขนาดเล็กหรือ Midget Submarine เข้าประจำการ โดยใช้แบบเรือ MG-110 จากบริษัท Cos.Mo.S ประเทศอิตาลีที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเรื่อง Midget Submarine  มาสร้างด้วยตัวเองโดยอู่ต่อเรือในประเทศชื่อ KS&EW จำนวน 3 ลำ

ภาพประกอบที่สองภาพบนคือเรือดำน้ำชั้น Cosmos ระวางขับน้ำ 102 ตันขณะลอยลำกับ 110 ตันขณะดำน้ำ ยาว 27.25 เมตร กว้าง 2.3 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ความเร็วสูงสุด 9 นอตขณะลอยลำกับ 6 นอตขณะดำน้ำ ดำน้ำได้ลึกสุด 110 เมตร ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,500 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 20 วัน ใช้ลูกเรือ 6 นาย รองรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ 8 นายหรือ 2 ทีม

เรือดำน้ำชั้น Cosmos ติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533 มม.ไม่ทราบจำนวน โดยมีตอร์ปิโดปราบเรือผิวน้ำรุ่น Mk.8 ยุคสงครามโลกของที่สองจากอเมริกาเป็นอาวุธป้องกันตัว แต่ถึงกระนั้นก็ตามเรือดำน้ำที่ปากีสถานสร้างเองไม่เหมาะสมกับการรบเต็มรูปแบบ เป็นเพียงยานใต้น้ำลำเลียงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษไปทำภารกิจ

ก่อนหน้านี้ระหว่างปี 1972 ถึง 1973 ปากีสถานประจำการเรือดำน้ำขนาดเล็กชั้น SX-404 จากบริษัท Cos.Mo.S ประเทศอิตาลีจำนวน 6 ลำ ระวางขับน้ำ 41 ตัน ยาว 16 เมตร สำหรับลำเลียงหน่วยปฏิบัติการพิเศษใต้น้ำ พวกเขามีความเชี่ยวชาญและสร้างเรือดำน้ำขนาดเล็กได้ด้วยตัวเอง แล้วยังต่อยอดพัฒนาเรือรุ่นใหม่ขึ้นมาเองและเข้าประจำการแบบเงียบๆ ไม่บอกใคร บังเอิญเรือดำน้ำชั้น Cosmos กับเรือดำน้ำที่ปากีสถานพัฒนาขึ้นมาเองขนาดเล็กเกินไป ไม่สามารถทำภารกิจที่เรือดำน้ำขนาดทั่วไปสามารถทำได้

ความต้องการเรือดำน้ำขนาดเล็กรุ่นใหม่ ขนาดใหญ่กว่า ติดอาวุธมากกว่า ได้พลันเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบตั้งแต่กลางปี 2017 เนื่องจากกองทัพเรือปากีสถานต้องเสริมทัพหลายทางจึงไม่มีงบประมาณ ต่อมาในปี 2021 การโยนหินถามทางได้พลันเกิดขึ้น มีการตั้งโครงการ Shallow Water Assault Submarine หรือ SWAS ขึ้นมา เปิดโอกาสให้บริษัทสร้างเรือทั่วโลกนำเสนอผลงานตัวเอง แต่ยังไม่มีกำหนดการคัดเลือกแบบเรืออย่างชัดเจน

เรือดำน้ำ STM-500 จากทูร์เคีย

ในงาน Naval Systems Seminar 2021 จัดขึ้นระหว่างวันที่  15-16 พฤศจิกายน 2021 ที่กรุงอังคารา ประเทศทูร์เคีย STM Combat Systems Group บริษัทสร้างเรือยักษ์ใหญ่ของทูร์เคียได้เปิดเผยข้อมูลว่า โครงการเรือดำน้ำขนาดเล็ก STM 500 จะเริ่มต้นเดินหน้าอย่างเต็มตัวภายในปี 2022

ภาพประกอบที่สองภาพล่างคือแบบเรือ STM 500 มีระวางขับน้ำประมาณ 550 ตัน ยาว 42 เมตร กว้า 8.5 เมตร ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล 2 ตัวทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ Lithium-Ion โดยมีออปชันเสริมระบบ AIP ยังไม่มีการเปิดเผยรุ่น ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,000 ไมล์ทะเลเมื่อติดตั้งระบบ AIP ออกทะเลนานสุด 30 วัน ดำน้ำลึกสุด 250 เมตร มีที่พักสำหรับลูกเรือ 18 นาย รองรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษจำนวน 6 นาย

หมายเหตุ : โบร์ชัวร์ที่ผู้เขียนโหลดมาจากบริษัท STM ไม่มีข้อมูลเรื่องเครื่องยนต์แม้แต่ประโยคเดียว

จากภาพประกอบเรือดำน้ำ STM 500 บรรทุกยานใต้น้ำ Swimmer Delivery Vehicle (SDV) มาด้วยจำนวน 1 ลำ เป็นออปชันเสริมยืนยันความสามารถการทำภารกิจแทรกซึมจากใต้น้ำ

ถึงเป็นเรือดำน้ำขนาดเล็กแต่อุปกรณ์ต่างๆ อัดแน่นเหมือนเรือดำน้ำทั่วไป มีระบบอำนวยการรบ เรดาร์เดินเรือ กล้องตาเรือแบบออปโทรนิกส์ ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์หรือ ESM ระบบเป้าลวงตอร์ปิโดซึ่งทูร์เคียผลิตได้เอง เสาสัญญาณสื่อสารลอยผิวน้ำก็มี ระบบโซนาร์จัดเต็มมีทุกชนิดให้ลูกค้าเลือกใช้ตามงบประมาณ

STM 500 มีท่อตอร์ปิโดขนาด 533 มม.จำนวน 4 ท่อยิง สามารถยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบได้ 2 ท่อยิง แบกตอร์ปิโดหรืออาวุธปล่อยไปด้วยถึง 8 นัด (4 นัดในท่อยิง+4นัดในคลังแสง) เรือลำเล็กก็จริงแต่มีห้องกัปตันแยกเป็นสัดส่วน มีทั้งห้องครัวห้องรับประทานอาหารสำหรับจัดเก็บอาหารและน้ำดื่ม

การสร้างเรือดำน้ำ STM 500  ลำแรกเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน 2022 ยังไม่มีการเปิดเผยว่าเรือลำแรกสร้างให้กับชาติไหน มีการคาดเดาว่าถ้าไม่ใช่ทูร์เคียก็ปากีสถานตามโครงการ SWAS ข้อมูลเรื่องเรือปากีสถานเป็นเพียงข่าวลือผ่านโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตไม่เคยเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แล้วไม่นานมิตรรักแฟนเพลงชาวทูร์เคียทั้งหลาย พร้อมใจกันเต้นระบำและส่งเสียงเฮดังสนั่นทั่วกรุงอังคารา

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2022 บริษัท STM จับมือกับพันธมิตรประกอบไปด้วย ASELSAN MKE และ ASFAT ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการมายังกองทัพเรือปากีสถาน เพื่อส่งแบบเรือ STM 500 เข้าร่วมชิงชัยโครงการ Shallow Water Assault Submarine หรือ SWAS โดยยกตัวอย่างประสิทธิภาพเรือดำน้ำ Type 206 ที่มีขนาดใกล้เคียงกันอย่างเกินหน้าเกิน เป็นการชักจูงให้ลูกค้าเห็นดีเห็นงามและตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าตัวเอง

ใช่ครับคนทั่วโลกยังคงประทับใจประสิทธิภาพเรือดำน้ำ Type 206 ตัวเล็กหมัดหนักจากเยอรมัน

นอกจากปากีสถานบริษัท STM ยังได้เสนอขายสินค้าตัวเองไปเรื่อย รวมทั้งฟิลิปปินส์ที่ตั้งโครงการจัดหาเรือดำน้ำจำนวน 2 ลำ เพียงแต่ความหวังค่อนข้างเลือนรางเพราะมีคู่แข่งยั้วเยี้ยไปหมด และอุปสรรคสำคัญที่สุดคืองบประมาณของฟิลิปปินส์นั่นแหละ เรือดำน้ำนอกจากราคาแพงยังมีค่าใช้จ่ายค่าซ่อมบำรุงสูงเอาการ ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ละเอียดถี่ถ้วนไม่เช่นนั้นตัวเองอาจประสบปัญหากระเป๋าฉีก

ทันทีที่เรือดำน้ำ Type 206 เอ๊ย! เรือดำน้ำ STM 500 เปิดตัวเข้าร่วมโครงการ ทุกคนทั่วโลกพร้อมใจกันยกให้เป็นเต็งจ๋านอนมาพระสวด และด้วยความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมระหว่างทูร์เคียกับปากีสถาน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีม้าตัวใหม่สอดแทรกเข้ามา บังเอิญบริษัทสร้างเรือยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งไม่ยอมให้เรื่องราวจบง่ายๆ เช่นนี้

ถัดมาเพียง 4 วันในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2022 บริษัท Fincantier จากอิตาลีประกาศก้องอย่างทระนงองอาจว่า จะส่งแบบเรือดำน้ำขนาดเล็กชื่อ S800 เข้าร่วมชิงชัยโครงการ SWAS ของปากีสถาน

ปัญหาก็คือ Fincantier พัฒนาแบบเรือดำน้ำ S800 เสร็จเรียบร้อยหรือยัง?

เรือดำน้ำ S800  เวอร์ชันอิตาลี

วันที่ 1 เมษายน 2022 นาย Giuseppe Bono ซีอีโอบริษัท Fincantiershสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเรื่องการดำเนินงานของบริษัท มีการสอบถามเรื่องสินค้าใหม่ที่ดูเหมาะสมกับประเทศยูเออี นาย Giuseppe Bono ตอบคำถามว่าบริษัท Fincantier ให้ความสำคัญกับเรือคอร์เวตขนาด 4,000 ตัน ระบบอัตโนมัติไร้คนขับ และเรือดำน้ำรุ่นใหม่ล่าสุด

ท่านซีอีโอขยายความชัดเจนกว่าเดิมว่า S800 คือเรือดำน้ำขนาดเล็กที่ได้รับการถ่ายโอนด้านเทคนิคและการปฏิบัติการจากเรือดำน้ำ Type 212A และ Type 212NSF บริษัท Fincantier เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์และเป็นผู้สร้างเรือ เรานำประสบการณ์ทั้งหมดมาออกแบบเรือให้ทันสมัย มีรูปทรงลดการตรวจจับจากโซนาร์ มีความคล่องตัวสูง ดำน้ำได้ลึก มีอุปกรณ์อัตโนมัติช่วยการทำงาน ขนาดเรือเหมาะสมกับเขตน้ำตื้นหรือพื้นที่ที่มีการจราจรทางน้ำแน่นหนา ทำภารกิจยาวนานในเขตน้ำลึกหรือมหาสมุทรได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน ระบบอำนวยการรบ ระบบตรวจจับ และระบบอาวุธมีประสิทธิภาพเทียบเท่าเรือดำน้ำ Type 212NSF

ข้อมูลจากท่านซีอีโอน่าสนใจพอสมควร โชคร้ายเหลือเกินยูเออีซื้อเรือคอร์เวต Gowind 2500 จากฝรั่งเศสเรียบร้อยแล้ว ระบบอัตโนมัติไร้คนขับสินค้าจากจีนมาแรงกว่า เหลือแค่เพียงเรือดำน้ำขนาดเล็กนี่แหละที่พอเจาะตลาดได้ กองทัพเรือยูเออีแสดงท่าทางสนใจจัดหาเรือดำน้ำมาเนิ่นนาน ที่หมายตาไว้ได้แก่เรือชั้น Dolphin ลำเก่าจากอิสราเอล ถ้า Fincantier ยื่นข้อเสนอที่เหมาะสมบางทีพวกเขาอาจถูกหวยตะวันออกกลาง

เรามาชมภาพเรือดำน้ำ S800 เวอร์ชันอิตาลีที่แท้จริงกันต่อดีกว่า

 ในงานแสดงอาวุธ  IDEX/NAVDEX 2023 ระหว่างวันที่ 20 ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2023ที่ยูเออี บริษัท Fincantieri จากอิตาลีเปิดตัวเรือดำน้ำขนาดเล็กชั้น S800 โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าพัฒนาขึ้นมาโดยใช้แนวคิด ประสบการณ์ และเทคโนโลยีที่ตัวเองได้ร่วมพัฒนาเรือดำน้ำชั้น Type 212 และ  Type 212NFS

S800 เวอร์ชันอิตาลีมีระวางขับน้ำ 750 ตันขณะลอยลำกับ 850 ตันขณะดำน้ำ ยาว 51 เมตรเส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือทนความดัน 4.5 ม. ดำน้ำได้ลึกสุด 250 เมตร หางเสือเรือรูปตัว X ทำงานร่วมกับใบจักรชนิด 7 แฉก (ผู้เขียนขยายภาพนับให้แล้ว) หัวเรือติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533 มม.จำนวน 5 ท่อยิง คลังแสงในเรือสามารถจัดเก็บตอร์ปิโดได้ 4 นัด จำนวนรวมที่ S800 แบกได้จึงเท่ากับ 9 นัด

เรือดำน้ำรุ่นดีเซล-ไฟฟ้ารุ่นใหม่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล V-batt เทอร์โบชาร์จ 12 สูบ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบซิงโครนัส และแบตเตอรี่จำนวน 2 ชุดตามปรกติ โดยมีระบบ AIP Fuel cell จำนวน 2 โมดุลให้กำลังรวม 70 kW ความเร็วสูงสุดที่ใต้น้ำมากกว่า 15 นอต ความเร็วสูงสุดที่ใต้น้ำโดยใช้ระบบ AIP คือ 4.5 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,500 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 30 วัน ปฏิบัติการใต้น้ำต่อเนื่องนานสุด 7 วัน ใช้ลูกเรือ 18 นาย รองรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ 8 นายหรือ 2 ทีม

จากข้อมูลขั้นต้นเรือดำน้ำรุ่นใหม่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลตามปรกติ

ภาพประกอบที่สามผู้เขียนแอบจิ๊กมาจากเว็บเพจกัปตันนีโม ขอบคุณตรงนี้เลยเดี๋ยวใส่ลิงก์อ้างอิงไว้ท้ายบทความ รูปทรงเปลี่ยนแปลงไปแลดูคล้ายคลึงเรือดำน้ำ Type 212NFS ภาพประกอบที่สามภาพบนมองเห็นหางเสือเรือรูปตัว X ทำงานร่วมกับใบจักรชนิด 7 แฉก อันเป็นมรดกตกทอดจากโครงการร่วมระหว่างสองชาติในอดีต หอบังคับการย้ายมาอยู่กลางเรือเกือบพอดิบพอดี Diving plane หรือ fairwater planes ย้ายจากหอบังคับการมาอยู่หัวเรือด้านบน อันเป็นตำแหน่งยอดนิยมเรือดำน้ำขนาดเล็กรุ่นใหม่ของจีนติดจุดนี้เช่นเดียวกัน

ภาพประกอบที่สามภาพล่างแสดงให้เห็นภายในตัวเรืออย่างคร่าวๆ หัวเรือด้านบนติดตั้งโซนาร์ตามปรกติ ถัดไปสีแดงคือห้องพักลูกเรือ พื้นที่ด้านล่างคือท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533 มม.จำนวน 5 ท่อยิงกับคลังแสงเก็บตอร์ปิโดได้อีก 4 นัด กลมๆ ตรงโคนหอบังคับการคือระบบโทรศัพท์ใต้น้ำ พื้นที่ส่วนท้ายเรือคือเครื่องยนต์ดีเซล V-batt เทอร์โบชาร์จ 12 สูบ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบซิงโครนัส ระบบ AIP แบบ Fuel cell ขนาด 70 kW และระบบมอเตอร์ขับเคลื่อนเชื่อมต่อมายังใบจักรชนิด 7 แฉก

อ้าวแล้วแบตเตอรี่เรือดำน้ำ S800 เวอร์ชันอิตาลีอยู่ที่ไหน?

เรือดำน้ำ S800 เวอร์ชันรัสเซีย/อิตาลี VS เรือดำน้ำ S800  เวอร์ชันอิตาลี

          ภาพประกอบที่สี่คือการเปรียบเทียบระหว่างแฟนเก่ากับกิ๊กใหม่ ภาพบนคือเรือดำน้ำ S800 ปี 2008 ส่วนภาพล่างคือเรือดำน้ำ S800 ปี 2023 รุ่นใหม่ล่าสุด ผู้เขียนขอใช้ข้อมูล S1000 ในการอ้างอิงให้กับ S8000 ปี 2008 เพราะเรือสองลำเหมือนกันเกือบทั้งหมดยกเว้นความยาว ฉะนั้นข้อมูลอาจผิดพลาดได้ขอชี้แจงให้ชัดเจน

          S800 ปี 2008 เส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือทนความดัน 5.5 เมตร มากกว่า S800 ปี 2023 ถึง 1 เมตร ความยาวไม่มีข้อมูลไม่อาจเปรียบเทียบได้ จำนวนท่อยิงตอร์โดมากกว่า (6 ท่อยิงกับ 5 ท่อยิง) จำนวนตอร์ปิโดมากกว่า (14 นัดกับ 9 นัด) หากพิจารณาเฉพาะการติดอาวุธเรือเชื้อสายโรมานอฟสกี้ทำคะแนนได้ดีกว่า แต่ถ้าเปรียบเทียบจากเทคโนโลยีเรือเชื้อสายมัลดีนี่ทำคะแนนทิ้งห่าง โดยเฉพาะการออกแบบตัวเรือลดการตรวจจับจากโซนาร์ ทำให้เรือดูแตกต่างอย่างชัดเจนจนกลายเรือลำใหม่ไปเลย ท้ายเรือยังคงใช้งานหางเสือเรือรูปตัว X ทำงานร่วมกับใบจักรชนิด 7 แฉกต่อไป ความยาวท้ายเรือสั้นกว่ารูปทรงอ้วนกลมกว่าตามสมัยนิยม

          ผู้เขียนคาดเดาว่าระบบขับเคลื่อนประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ฉะนั้นเรือดำน้ำ S800 ปี 2023 จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล V-batt เทอร์โบชาร์จ 12 สูบจำนวน 2 ตัว ให้กำลังประมาณ 715 kWหรือใกล้เคียง ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบซิงโครนัสจำนวน 2 ตัว ให้กำลังประมาณ 650 kWหรือใกล้เคียง เป็นข้อมูลจากการคาดเดาผู้เขียนถึงใส่คำว่าหรือใกล้เคียงเข้ามาในบทความ

บริษัท Fincantieri นำแบบเรือ S800 จากโครงการร่วมระหว่างสองชาติมาพัฒนาด้วยตัวเองจริง และนำแนวคิด ประสบการณ์ กับเทคโนโลยีที่ตัวเองพัฒนาเรือดำน้ำชั้น Type 212A และ  Type 212NFS มาปรับปรุงเรือลำนี้จริง ผู้เขียนใช้คำว่า All New เรือใหม่ทั้งลำก็คงไม่ใช่ ใช้คำว่า Facelift เหล้าเก่าในขวดใหม่ก็คงไม่เหมาะ สงสัยต้องใช้คำว่าเกิดใหม่จากเถ้าถ่านเหมือนนกฟีนิกส์กระมังครับ

          จากภาพประกอบมองเห็นรายละเอียดภายใน มากเพียงพอที่จะทำความรู้จักเรือได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่ผู้เขียนยังคงติดใจสงสัยว่าแบตเตอรี่เรือดำน้ำ S800 เวอร์ชันอิตาลีอยู่ที่ไหน?

          การค้นหาแบตเตอรี่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ วิธีง่ายที่สุดคือนำภาพเรือดำน้ำที่มีการออกใกล้เคียงมาเปรียบเทียบ

ภาพประกอบที่ห้าคือโครงสร้างเรือดำน้ำชั้น Type 212A ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี เรือลำนี้ใช้ระบบ AIP แบบ Fuel cell และเป็นต้นแบบที่ Fincantieri นำมาพัฒนาเรือดำน้ำ S800 เวอร์ชันตัวเงอง แบตเตอรี่ Type 212A อยู่บริเวณหัวเรือค่อนมาตรงกลาง ใต้พื้นที่ Living Area อันเป็นส่วนคลังแสงจัดเก็บตอร์ปิโด ที่อยู่ชั้นถัดไปคือพื้นที่สำหรับห้องพักลูกเรือ พบจุดติดตั้งบนเรือต้นแบบแล้วการค้นหาบนเรือใหม่ย่อมทำได้ไม่ยาก

ภาพประกอบที่หกเป็นการเปรียบเทียบระหว่างเรือดำน้ำ Type 212A ภาพบน กับเรือดำน้ำ S800 เวอร์ชันอิตาลีปี 2023 ภาพล่าง การติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แบตเตอรี่ Type 212A อยู่ชั้นล่างสุดบริเวณหัวเรือค่อนมาตรงกลาง ฉะนั้นแบตเตอรี่ S800 ต้องอยู่ชั้นล่างสุดบริเวณหัวเรือค่อนมาตรงกลาง

ภาพประกอบที่หกภาพล่าง แบตเตอรี่คือสีฟ้าอ่อนยาวๆ ใต้คลังแสงไล่มาถึงกลางเรือ และเป็นไปได้ว่าจะใช้แบตเตอรี่ Lithium-Ion เพราะเรือดำน้ำ Type 212NFS ที่บริษัท Fincantieri กำลังจะสร้างให้กับกองทัพเรืออิตาลี เปลี่ยนมาใช้งานแบตเตอรี่ Lithium-Ion แล้ว S800 จึงสมควรใช้งานรุ่นเดียวกัน

เรามาตรวจสอบอุปกรณ์ภายในตัวเรือ S800 กันบ้าง ที่เห็นเป็นแท่งยาวๆ ท้ายเรือด้านบนคือถังออกซิเจนเหลว ตำแหน่งเดียวกับ Type 212A เพียงแต่ขนาดไม่เท่ากัน หน้าหอบังคับการลักษณะคล้ายตอร์ปิโดเบาคือถังไฮโดรเจน ต่างจาก Type 212A ที่ติดถังไฮโดรเจนรอบตัวเรือรูปวงกลมตามภาพประกอบที่ห้า จุดติดตั้งระบบ AIP แบบ Fuel cell จะอยู่ใต้ถังออกซิเจนเหลวบริเวณหัวถัง ตำแหน่งเดียวกับ Type 212A เพราะลอกการบ้านกันมา พื้นที่ Living Area อันเป็นส่วนคลังแสงกับห้องพักลูกเรือยังเหมือนกันราวกับฝาแฝด

Fincantieri ใช้แนวคิด ประสบการณ์ และเทคโนโลยีจากเรือดำน้ำชั้น Type 212A และ Type 212NFS มาใส่ในเรือดำน้ำรุ่นส่งออกลำใหม่ อุปกรณ์ภายในเรือก็เลยเหมือนกันมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ คำพูดท่านซีอีโอเรื่อง S800 มีประสิทธิภาพเทียบเท่าเรือดำน้ำ Type 212NSF ใกล้เคียงความจริงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน

แต่ก็แค่  80 เปอร์เซ็นต์ไม่สามารถใช้งานแทน Type 212NSF โดยตรงได้

สิ่งที่อาจเป็นปัญหาตัดแข้งตัดขาเรือดำน้ำ S800

เรือทุกลำล้วนมีเจ้ากรรมนายเวรแตกต่างกันออกไป ไม่มีเรือลำไหนสมบูรณ์ทุกอย่างรวมทั้งเรือดำน้ำใหม่เอี่ยมจากอิตาลี เรือทุกลำต้องพบอุปสรรคขวากหนามและต้องฝ่าฟันให้สำเร็จ หากทำไม่สำเร็จย่อมขายไม่ออกและกลายเป็นบุคคลผู้โลกลืมในท้ายที่สุด

ผู้เขียนให้ความเห็นตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ 3 หัวข้อสำคัญ

1.ราคา

เรือที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทันสมัยย่อมมีราคาแพง เมื่อเรือราคาแพงย่อมเสียเปรียบคู่แข่งขันเป็นธรรมดา บริษัท Fincantieri ต้องตั้งราคา S800 ให้เหมาะสม ถึงจะได้รับการคัดเลือกจากปากีสถานหรือชาติอื่นที่สนใจ

2.การซ่อมบำรุง

เรือที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทันสมัยย่อมดูแลซ่อมบำรุงยากกว่าเดิม เมื่อเรือมีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงแพงย่อมเสียเปรียบคู่แข่งขันเป็นธรรมดา บริษัท Fincantieri ต้องตั้งราคาอะไหล่และการบริการหลังการขายให้เหมาะสม ถึงจะได้รับการคัดเลือกจากปากีสถานหรือชาติอื่นที่สนใจ

3.ลำเดียวของโลก

          โดยทั่วไปสินค้าจากอิตาลีจะมีใช้งานในกองทัพตัวเอง เพราะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการจากกองทัพ บังเอิญเรือดำน้ำ S800 เป็นสินค้าส่งออกตั้งแต่สมัยโครงการร่วมระหว่างสองชาติ กองทัพเรืออิตาลีไม่มีใช้งานทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หากปากีสถานหรือชาติใดก็ตามอยากซื้อ S800 ไปเสริมทัพ ต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบก่อนเซ็นสัญญาจ่ายเงินว่า ยอมรับการเป็นชาติเดียวของโลกหรือลำเดียวของโลกได้หรือไม่

          เฉพาะความเห็นสุดท้ายเรือดำน้ำ STM 500 ค่อนข้างได้เปรียบ บริษัทได้รับคำสั่งสร้างเรือลำแรกจากลูกค้าไม่เปิดเผยรายชื่อแล้ว หากปากีสถานตัดสินใจเลือกจะเป็นชาติที่สองของโลก ยกเว้นแค่เพียงลูกค้าไม่เปิดเผยรายชื่อรายดังกล่าวคือปากีสถาน

แต่ถึงกระนั้นก็ตามผู้เขียนยังคงติดใจเรื่องหนึ่ง เครื่องยนต์ดีเซลเรือดำน้ำ STM 500 อยู่ที่ไหน?

                    +++++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

https://en.defenceturk.net/stm-500-mini-submarine-to-join-pakistans-swas-program/

https://defence.pk/pdf/threads/shallow-water-submarines-the-case-for-pakistan.675973/

https://www.adnec.ae/en/eventlisting/international-defence-exhibition-and-conference-idex-2023

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=746431753504879&id=100044141844026&mibextid=Nif5oz

https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/804154/000119312507183355/dex991.htm

https://www.fincantieri.com/en/products-and-services/naval-vessels/s1000/

https://www.secretprojects.co.uk/threads/fincantieri-s90-s1600-s1300-s1000-s800-s500-and-s300-cc-submarines.5646/

http://pakmade.blogspot.com/p/submar.html

https://www.aljundi.ae/en/interviews/giuseppe-bono-ceo-of-fincantieri-to-al-jundi-gcc-market-is-our-strategic-goal/