ปัจจุบันกองทัพเรืออเมริกาครองอันดับหนึ่งของโลกทั้งจำนวนเรือและขีดความสามารถ
ตามมาห่างๆ
แต่เข้าใกล้มากขึ้นทุกทีคือกองทัพเรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนหรือกองทัพเรือจีน
สองชาตินี้มีโครงการสร้างเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยเข้าประจำการช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ผู้เขียนจึงนำแบบเรือทั้งสองรุ่นมาเปรียบเทียบให้มองภาพเห็นชัดเจน
เป็นข้อมูลเสริมแด่ผู้อ่านซึ่งต้องการเข้าใจและเรียนรู้กองทัพเรืออันดับหนึ่งและสองของโลก
ขนาดเรือ
วันที่ 26 สิงหาคม 2023 อู่ต่อเรือ Hudong Zhonghua
Shipyard ประเทศจีน มีการประกอบพิธีปล่อยเรือฟริเกตชั้น Type
054B ลำแรกลงน้ำ คาดการณ์ว่าเรือจะสามารถเข้าประจำการปลายปี 2024
หรือต้นปี 2025
Type
054B มีระวางขับน้ำปรกติ 4,400 ตัน
ระวางขับน้ำเต็มที่ 5,500 ตัน ยาว 147 เมตร กว้าง 17 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน
CODOD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว
ความเร็วสูงสุดประมาณ 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 6,500
ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 นอต และ 7,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต
Type 054B คือเรือที่คนทั่วโลกจับตามองเป็นเวลายาวนานหลายปี
นานเสียจนผู้เขียนถอดใจไปแล้วหลังเห็นจีนสั่งซึ่งเรือฟริเกตชั้น Type 054A เฟสใหม่
แต่แล้วด้วยอิทธิฤทธิ์หลวงปู่เค็มทำให้เรือที่โลกเฝ้ารอปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน
ขนาดใหญ่โตกว่าและทันสมัยกว่าเรือฟริเกตชั้น Type 054A อย่างเห็นได้ชัด
บังเอิญผู้เขียนผิดหวังเล็กน้อยเพราะเรือลำจริงยังไปไม่สุด ทว่าพอเข้าใจเหตุผลนี่คือสุดของที่สุดของกองทัพเรือจีนในปัจจุบัน
จีนต้องการสร้างเรือฟริเกตชั้น Type
054B เฟสหนึ่งจำนวน 10 ลำ
คาดการณ์ว่าตั้งแต่ลำที่สามเป็นต้นไปการสร้างเรือจะรวดเร็วกว่าเดิม เรียกว่าปั๊มเรือกันจนมือเป็นระวิงอะไรทำนองนี้
ข้ามฝั่งกลับมาที่ลุงแซมกองทัพเรืออเมริกากันบ้าง
วันที่ 31 สิงหาคม 2022 บริษัท Fincantieri Marinette
Marine’s shipyard ในสหรัฐอเมริกา ประกอบพิธีตัดเหล็กเรือฟริเกตชั้น
FFG-62 หรือเรือฟริเกตชั้น Constellation ลำแรกในวงเงิน 795 ล้านเหรียญ เรือรบรุ่นใหม่ทันสมัยลำแรกมีกำหนดส่งมอบและเข้าประจำการภายในปี
2026
FFG-62
มีระวางขับน้ำปรกติ 6,112 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่
7,408 ตัน ยาว 151 เมตร กว้าง 19.7 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODLAG ติดตั้งเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์+ดีเซล+มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นรุ่นแรกของอเมริกา
ความเร็วสูงสุด 26 นอตขึ้นไป ระยะปฏิบัติการไกลสุด 6,000
ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต
FFG-62
คือเรือที่คนทั่วโลกจำนวนพอสมควรให้ความสนใจ โดยที่คนทั่วโลกบางส่วนไม่ให้ความสำคัญรวมทั้งผู้เขียน
เนื่องจากเมื่อนำแบบเรือมาเปรียบเทียบกับเรือลาดตระเวนและเรือพิฆาตกองทัพเรืออเมริกา
FFG-62 กลายเป็นลูกปลาน้อยไม่มีอะไรน่าสนใจหรือดึงดูดใจ
แต่ด้วยอเมริกันสแตนดาร์ดเมื่อนำเรือมาเปรียบเทียบกับเรือฟริเกตชาติอื่น
กลับกลายเป็นว่า FFG-62 ทะยานขึ้นสู่หัวตารางกลายเป็นจ่าฝูงไม่ก็รองจ่าฝูง
นำเรือสองลำมาเปรียบเทียบตันต่อตันได้ดังนี้
FFG-62
ระวางขับน้ำปรกติมากกว่า Type 054B เท่ากับ 1,712 ตัน
FFG-62
ระวางขับน้ำสูงสุดมากกว่า Type 054B เท่ากับ 1,908 ตัน
FFG-62 ยาวกว่า Type
054B เท่ากับ 4 เมตร และกว้างกว่าเท่ากับ 2.7
เมตร
ความยาวต่างกันเล็กน้อยทว่าความกว้างต่างกันถือว่าเยอะ
ส่งผลให้ระวางขับน้ำมากกว่ากันพอสมควร คะแนนหัวข้อนี้อเมริกาได้หนึ่งแต้มไปครอบครองเป็นการประเดิมสนาม
ปืนใหญ่หัวเรือ
เรือฟริเกตชั้น Type
054B เลือกใช้งานปืนใหญ่ H/PJ-87 ขนาด 100 มม.โดยการนำปืนใหญ่
100 มม.รุ่นส่งออกของฝรั่งเศสมาพัฒนาต่อ อัตรายิงสูงสุง 78 นัดต่อนาทีไม่รองรับกระสุนต่อระยะหรือกระสุนฉลาด
เหตุผลที่จีนถอดปืนใหญ่ H/PJ-26 ขนาด 76 มม.ออกเข้าใจว่าต้องการยิงถล่มเป้าหมายระยะทางไกลกว่าเดิม
เรือฟริเกตชั้น FFG-62 เลือกใช้งานปืนใหญ่ Bofors 57 mm Mk110 ขนาด 57 มม.เหตุผลง่ายๆ ก็คือกองทัพเรืออเมริกาคิดว่าปืนใหญ่ขนาด 127 มม.ไม่เหมาะสม หวยจึงมาออกที่ Bofors 57 mm Mk110 เพราะกองทัพเรือและหน่วยยามฝั่งเลิกใช้งานปืนใหญ่ขนาด
76 มม.ไปแล้ว สามารถใช้กระสุน 3P
เลือกวิธีจู่โจมเป้าหมายได้ถึง 6 ชนิดโดยอัตโนมัติ
เพียงแต่ดูเหมือนว่าอเมริกาเลือกใช้งานกระสุนผลิตเองในประเทศเป็นหลัก
ปืนใหญ่ 100 มม.กับ 57 มม.มีจุดดีจุดด้อยแตกต่างกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับว่าใช้งานกับเป้าหมายอะไร
ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้ผู้เขียนให้เท่ากันคนละหนึ่งแต้ม
แท่นยิงแนวดิ่ง
VLS
เรือฟริเกตชั้น Type
054B มีแท่นยิงแนวดิ่งหน้าสะพานเดินเรือจำนวน 32 ท่อยิง คาดการณ์ว่าสำหรับใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน HHQ-16C รุ่นใหม่ยิงได้ไกลสุด 50 กิโลเมตร และอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
Yu-8 ระยะยิงไกลสุด 50 กิโลเมตร การติดตั้งอาจเลือก HHQ-16C จำนวน 24 นัดกับ Yu-8 จำนวน 8 นัด โดยไม่มีอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่งระยะไกลใช้งานเหมือนเรือฟริเกตรุ่นเก่า
เรือฟริเกตชั้น FFG-62 มีแท่นยิงแนวดิ่งหน้าสะพานเดินเรือจำนวน 32 ท่อยิง
สามารถเลือกใช้งานอาวุธทุกชนิดที่สามารถบรรจุลงในแท่นยิงแนวดิ่ง
บังเอิญกองทัพเรืออเมริกาเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการว่า สำหรับใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
ESSM ระยะยิง 50 กิโลเมตร กับ SM-2 ระยะยิงมากกว่า
100 กิโลเมตร ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM-6
เป็นแผนการระยะยาว และอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่งระยะไกล Tomahawk
ยังอยู่ในสถานะไม่ชัดเจน
กองทัพเรืออเมริกาหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
VL-ASROC
ทว่าเนื่องมาจากตั้งแต่เรือฟริเกตลำที่สองเป็นต้นไป
เรือจะได้รับการติดตั้งโซนาร์ลากท้ายอันดับหนึ่งของโลก ประกอบกับบนเรือมีระบบอำนวยการรบปราบเรือดำน้ำ
AN/SQQ-89(V)16 ใช้งานอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นลูกเรือแค่นำ VL-ASROC มาใส่ท่อยิงจำนวนตามที่ต้องการ ก็สามารถใช้งานลูกยาวพิฆาตซับมารีนได้ตามปรกติ
ถ้าเปรียบเทียบตามข้อมูลที่กองทัพเรืออเมริกาเผยแพร่
เรือฟริเกตชั้น Type 054B เป็นต่อหนึ่งเสาไฟ
ถ้าเปรียบเทียบตามข้อมูลจากการใช้งานจริง
เรือฟริเกตชั้น FFG-62
จะแซงนำหน้าสองเสาไฟ
เนื่องจากยังหาความชัดเจนที่ชัดเจนไม่ได้
ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้ผู้เขียนให้เท่ากันคนละหนึ่งแต้ม
ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดบริเวณหัวเรือ
เรือฟริเกตชั้น Type
054B ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 ขนาด 30 มม.สิบเอ็ดลำกล้องรวบจำนวน 1 ระบบ ส่วนเรือฟริเกตชั้น FFG-62 มีเพียงตัวเปล่ากับหัวใจดวงเปลี่ยว ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้จีนได้หนึ่งแต้มไปครอบครอง
ระบบเรดาร์
ภาพประกอบที่สองเรือฟริเกตชั้น Type
054B น่าจะใช้งานระบบอำนวยการรบ ZKJ-5 เหมือน Type
054A ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดไม่ทราบรุ่น
ทำงานโดยการหมุนรอบตัวเองใช้เรดาร์ AESA จำนวน 2 ตัวประกบหน้าหลัง
ตัวแรกสำหรับตรวจจับเป้าหมายตัวที่สองสำหรับติดตามเป้าหมาย
หลักการเดียวกันกับเรดาร์ Type
382 ซึ่งจีนซื้อลิขสิทธิ์เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ MR-710 Fregat ของรัสเซียมาใช้งาน
ต่ำลงมาเล็กน้อยคือเรดาร์ควบคุมการยิงแบบ
Phased
Array จำนวน 4 ตัวฝังรอบเสากระโดง
มีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ต่ำลงมาเล็กน้อยเพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็น ECM หรือ ESM เสากระโดงรองติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำรุ่นสองหน้า
ใช้หลักการเดียวกันตัวแรกตรวจจับเป้าหมายตัวที่สองติดตามเป้าหมาย อันเป็นรูปแบบมาตรฐานการติดตั้งระบบเรดาร์บนเรือฟริเกตตระกูล
Type 054 ทุกรุ่นและทุกลำ
จุดนี้แหละครับที่ผู้เขียนผิดหวังเล็กน้อย
ปัจจุบันเรือฟริเกตขนาดใหญ่ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Phased Array จำนวน 3-6 ตัวฝังรอบเสากระโดง เรดาร์สองหน้ารูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดถือว่าล้าสมัยเกินไป
แต่ต้องเข้าใจนะครับว่าเทคโนโลยีจีนยังสร้างเรดาร์ตรวจการณ์ Phased Array ขนาดเล็กไม่ได้ รวมทั้งจีนต้องการสร้างเรือฟริเกตชั้น Type 054B อย่างน้อยที่สุด 20 ลำ ถ้าใส่เรดาร์ Phased
Array รอบเสากระโดงราคาเรืออาจสูงเกินไปส่งผลกระทบต่อโครงการ
ระบบเรดาร์บนเรือฟริเกตชั้น FFG-62 มีปริศนาให้เหล่านักสืบหัวเห็ดช่วยกันไขคดี
ภาพประกอบที่สามเรือติดตั้งระบบอำนวยการรบ
Aegis
Baseline 10 Combat System ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์
3มิติ AN/SPY-6(V3)
ซึ่งเป็นเรดาร์ Phased Array จำนวน 3 ตัว
มีเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ AN/SPS-73(V)18
น่าจะอุปกรณ์รูปทรงสามเหลี่ยมจำนวน 2 ตัว
ใช้ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ SEWIP Block 2 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก ต่อกันด้วย…ด้วย…เอ่อ…ไม่มีแล้วครับ
ข้อมูลจากกองทัพเรืออเมริกาตัดจบมันดื้อๆ
แค่เพียงเท่านี้
ปัญหาก็คือ…เรือฟริเกตชั้น FFG-62
ติดเรดาร์ควบคุมการยิงไว้ที่จุดไหน???
เรือลาดตระเวนกับเรือพิฆาตระบบเอจิสรุ่นเก่าของอเมริกาใช้เรดาร์ควบคุมการยิง
AN/SPG-62 จำนวน 3 ถึง 4 ตัว
ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-1 จำนวน 4 ตัว
เรือพิฆาตชั้น
DDG-1000
ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3
มิติ AN/SPY-3 ระยะตรวจจับ 320 กิโลเมตรจำนวน 4 ตัวสำหรับนำวิถี SM-2 กับ ESSM ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ระยะไกล Volume
Search Radar (VSR) หรือ AN/SPY-4
ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่จำนวน 4 ตัว
เรือบรรทุกเครื่องบิน
USS
Gerald R. Ford (CVN-78) ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-3 ระยะตรวจจับ 320 กิโลเมตรจำนวน 3 ตัวสำหรับนำวิถี ESSM ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ระยะไกล Volume Search Radar (VSR) หรือ AN/SPY-4 ระยะทำการไกลสุด 463 กิโลเมตรจำนวน 3 ตัว
เรือบรรทุกเครื่องบิน
USS
John F. Kennedy (CVN-79) ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-3 ระยะตรวจจับ 320 กิโลเมตรจำนวน 3 ตัวสำหรับนำวิถี ESSM ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-6(V3) จำนวน 3 ตัว
เรือฟริเกตชั้น
FFG-62 ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3มิติ AN/SPY-6(V3) จำนวน 3 ตัวโดยไม่มีเรดาร์ควบคุมการยิง???
เท่ากับว่ากองทัพเรืออเมริกาบอกความจริงไม่ครบถ้วน
แบบเรือที่นำมาจัดแสดงติดตั้งอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบกับเรือฟริเกต
Type
054B ต้องถือว่าฝั่งอเมริกาเปิดเผยข้อมูลมากกว่าแบบเทียบกันไม่ติด
เพราะกองทัพเรือกับรัฐบาลจีนไม่เปิดเผยข้อมูลแม้แต่เรื่องเดียวต้องคาดเดาเอาเอง
ฉะนั้นเมื่อเรือฟริเกตชั้น
FFG-62 เข้าประจำการจริง จะมีออปชันติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิงตามนี้
1.ปรับปรุงเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-6(V3) จำนวน 3 ตัว ให้ช่วยนำวิถี
SM-2 กับ ESSM
2.ติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง AN/SPG-62 จำนวน 2
ตัว
3.โดมทรงกลมเล็กใหญ่บนเรือนับรวมกันจำนวน 10 โดม
อาจมีสัก 2 โดมเป็นเรดาร์ควบคุมการยิงไอเทมลับ
4.ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-3 ใต้ SEWIP Block 2 จำนวน 2
ตัว สำหรับนำวิถีให้กับ SM-2 และ ESSM เป็นการลอกการบ้านเรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นใหม่
5.ใช้งานแบบยิง SM-2 และ ESSM
ไม่ได้แบบนี้ไปก่อน รอเรดาร์ควบคุมการยิงไอเทมลับพัฒนาเสร็จค่อยว่ากัน
แม้ยังมีปริศนาเรดาร์ควบคุมการยิงอะไรเอ่ย
ทว่าคะแนนหัวข้อนี้อเมริกาได้หนึ่งแต้มไปครอบครอง
อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
เรือฟริเกตชั้น
Type
054B เป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ทำการรบได้ 3 มิติ
โดยมีภารกิจอันดับหนึ่งคือปราบเรือดำน้ำเพราะมีขนาดเหมาะสมที่สุด
เรือรุ่นเก่าอย่าง Type 054A ติดตั้งตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
YJ-83 หรือ C-802A รุ่นฟูลออปชันจำนวน
8 นัด ทว่า Type 054B เปลี่ยนมาใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
YJ-12 จำนวน 8 นัด เพราะมีความเร็วสูงสุดมากถึง 4 มัค
ระยะยิงไกลสุดเพิ่มขึ้นเป็น 400 กิโลเมตร เพียงแต่รูปแบบการโจมตี YJ-12 ใช้เพดานบินค่อนข้างสูงต่างจาก YJ-83 ซึ่งใช้ยุทธวิธีบินเรี่ยน้ำ
เรือฟริเกตชั้น
FFG-62 เป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ทำการรบได้ 3 มิติเช่นกัน
โดยมีภารกิจอันดับหนึ่งคือปราบเรือผิวน้ำต่อด้วยคุ้มกันกองเรือหรือขบวนเรือสินค้า
กองทัพเรืออเมริกากำหนดให้ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จากนอร์เวย์จำนวน 16 นัด อาวุธรุ่นใหม่ใช้รูปทรงลดการตรวจจับด้วยเรดาร์
ตรวจจับเป้าหมายด้วยคลื่นความร้อน มีระบบดาต้าลิงก์ทันสมัยเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับเรือหรืออากาศยาน
ปัจจุบัน NSM กลายเป็นอาวุธปราบเรือผิวน้ำหลักของสมาชิกนาโต้ทดแทน
Harpoon รุ่นเก่าจากอเมริกา
อเมริกานี่แหละที่ถีบหัวส่ง Harpoon แล้วเลือกใช้งาน NSM เป็นรายแรก เพราะตรงกับความต้องการของตัวเองในปัจจุบัน
ต่อมาชาติอื่นพากันลอกการบ้านจนกลายเป็นสินค้าขายดีฮอตฮิตติดลมบน
YJ-12
กับ NSM มีดีมีเลวแตกต่างกันเทียบกันไม่ได้
ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้ผู้เขียนให้เท่ากันคนละหนึ่งแต้ม
ปืนกลอัตโนมัติขนาด
25-30
มม.
เนื่องจากเรือฟริเกตชั้น Type
054B และเรือฟริเกตชั้น FFG-62 ไม่มีการติดตั้งอาวุธชนิดนี้
แม้บนเรือมีที่พื้นที่ว่างมากเพียงพอสำหรับติดตั้งก็ตาม ฉะนั้นหัวข้อนี้ผู้เขียนไม่แจกคะแนนให้กับทั้งสองฝ่าย
ระบบเป้าลวง
เรือฟริเกตชั้น Type
054B ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี Type 726-4 ขนาด 24 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง
น้อยกว่าเรือฟริเกตชั้น Type 054A ซึ่งมีจำนวน 4 แท่นยิง บั้นท้ายเรือมีเป้าลวงตอร์ปิโดแบบลากท้ายไม่ทราบรุ่นไม่ทราบจำนวน เป็นอุปกรณ์ปรกติมาตรฐานกองทัพเรือจีนไม่มีอะไรหวือหวา
เรือฟริเกตชั้น FFG-62 ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี Nulka ขนาด 4
ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง
บั้นท้ายเรือมีเป้าลวงตอร์ปิโดแบบลากท้าย AN/SLQ-25 Nixie รุ่นมาตรฐานกองทัพเรืออเมริกา เพราะ Nulka
ประสิทธิภาพสูงกว่า Type 726-4 แต่มีจำนวนน้อยกว่ากัน ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้ผู้เขียนให้เท่ากันคนละหนึ่งแต้ม
ในความเป็นจริงกองทัพเรืออเมริกาใช้งานระบบเป้าลวงมากกว่านี้
มีทั้งรุ่นมาตรฐานขนาด 130 มม.และรุ่นแพชูชีพขนาดใหญ่ใช้ปล่อยทิ้งน้ำ เพียงแต่กองทัพเรืออเมริกาเปิดเผยข้อมูลเท่านี้ผู้เขียนจึงกำหนดเพียงเท่านี้
ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดบริเวณท้ายเรือ
เรือฟริเกตชั้น Type
054B ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด HHQ-10 ขนาด 24 ท่อยิง
ส่วนเรือฟริเกตชั้น FFG-62 ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM Black II ขนาด
21 ท่อยิง เพราะ RAM Black II
ประสิทธิภาพสูงกว่า HHQ-10 เล็กน้อยแต่มีจำนวนน้อยกว่า
ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้ผู้เขียนให้เท่ากันคนละหนึ่งแต้ม
ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
คาดการณ์ว่าเรือฟริเกตชั้น Type
054B จะติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Yu-7 จำนวน 6 ท่อยิง ส่วนเรือฟริเกตชั้น FFG-62 ไม่มีข้อมูลการติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโด ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้จีนได้หนึ่งแต้มไปครอบครอง
ต้องบอกก่อนนะครับว่าภารกิจเรือฟริเกตชั้น
FFG-62 คือการตรวจจับเป้าหมายใต้น้ำ ส่วนภารกิจปราบเรือดำน้ำยกให้เฮลิคอปเตอร์ประจำเรือซึ่งเป็นแบบนี้ตั้งแต่เรือฟริเกตชั้น
OHP จากยุค 80 กองทัพเรืออเมริกาไม่ติดตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำบนเรือฟริเกตก็ไม่แปลกรวมทั้งไม่เป็นอะไร
เพราะยังสามารถใส่ VL-ASROC
ในแท่นยิงแนวดิ่งหน้าสะพานเดินเรือได้
หรือถ้าต้องการติดตั้งเพิ่มเติมในภายหลังก็ใช้เวลาปรับปรุงเรือไม่นาน
โซนาร์หัวเรือ
คาดการณ์ว่าเรือฟริเกตชั้น
Type
054B จะติดตั้งโซนาร์หัวเรือ Type 307 ซึ่งจีนซื้อลิขสิทธิ์โซนาร์
MGK-335 จากรัสเซียมาสร้างเอง ส่วนเรือฟริเกตชั้น FFG-62 ไม่ติดตั้งโซนาร์หัวเรือ ไม่มี Bulbous Bow สำหรับแหวกน้ำแต่มี
External Bow Thruster หนึ่งตัวไว้ช่วยเหลือขณะจอดเทียบท่า
ฉะนั้นคะแนนหัวข้อนี้จีนได้หนึ่งแต้มแต่เพียงผู้เดียว
โซนาร์ท้ายเรือ
คาดการณ์ว่าเรือฟริเกตชั้น Type
054B จะติดตั้งโซนาร์ลากจูง H/SJG-311 Towed
Variable-Depth Sonar (TVDS) ที่ช่องใหญ่กราบซ้าย กับโซนาร์ลากท้าย H/SJG-206 Towed Line Array Sonar (TLAS) ที่ช่องเล็กกราบซ้าย
เป็นระบบโซนาร์มาตรฐานมีใช้งานบนเรือฟริเกตตระกูล Type 054
เรือพิฆาตชั้น Type 052D และเรือพิฆาตชั้น Type 055 เข้ามาอุดช่องว่างสงครามใต้น้ำซึ่งกองทัพเรือจีนค่อนข้างล้าสมัยได้ดีพอสมควร
บังเอิญโซนาร์ลากจูง
H/SJG-311 ขนาดค่อนข้างเล็กใกล้เคียงโซนาร์ AN/SQS–35 IVDS บนเรือฟริเกตชั้น KNOX กองทัพเรืออเมริกายุค 70 เทียบกับโซนาร์ ACTAS
บนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชจีนยังตามหลังสองเสาไฟ ต้องรอพัฒนาโซนาร์รุ่นใหม่กว่านี้ถึงจะสามารถไล่จี้ท้ายได้ใกล้เคียงกว่าเดิม
ระบบโซนาร์ลากท้ายบนเรือฟริเกตชั้น FFG-62 น่าสนใจพอสมควร
ตามแผนแรกเรือจะติดตั้งระบบโซนาร์ลากท้าย
AN/SLQ-61 light weight Towed Array Sonar กับโซนาร์ลากจูง AN/SQS-62 Variable-Depth Sonar ที่อเมริกาพัฒนาขึ้นมาเอง
ฝาแฝดคู่นี้ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับเรือฟริเกตและเรือ LCS ในรูปแบบ
Mission Mudule จำนวนเรือ 20+10=30 ลำมากเพียงพอที่จะพัฒนาโดยมีราคาสมเหตุสมผล
ทว่าในการทดสอบใช้งานจริงฝาแฝดกลับได้ผลงานน่าผิดหวัง
กองทัพเรืออเมริกาจึงเปลี่ยนแผนหันมาติดตั้งโซนาร์ลากท้าย CAPTAS 4 ซึ่งดีที่สุดทันสมัยที่สุดระยะตรวจจับมากกว่า 100 กิโลเมตร
เรือฟริเกตชั้น FFG-62 ยังมีโซนาร์เตือนภัยตอร์ปิโดและเป้าลวงลากท้าย AN/SLQ-61 Lightweight Tow Torpedo Defense Mission Module
เพิ่มเติมเข้ามาในอนาคต ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาผู้เขียนขอไม่นับรวมในการให้คะแนน
แต่ถึงกระนั้น CAPTAS 4 ยังช่วยให้อเมริกาได้หนึ่งแต้มไปครอบครอง
อากาศยานประจำเรือ
เรือฟริเกตชั้น
Type
054B ออกแบบให้รองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ล่าสุดจำนวน 1
ลำตามภาพประกอบที่สี่ ปัจจุบันเฮลิคอปเตอร์ Z-20F รุ่นใช้งานทางทะเลพัฒนาเสร็จแล้ว แต่กว่าจะพร้อมประจำการและพร้อมใช้งานเต็มสูบอาจกินเวลา
5-10 ปี เทียบกับเฮลิคอปเตอร์ NH90 Sea
Tiger ของกองทัพเรือเยอรมัน เพิ่งออกปฏิบัติภารกิจตอนกลางคืนได้อย่างครบถ้วนช่วงปลายปี
2023 ที่ผ่านมา
เรือฟริเกตชั้น FFG-62 มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ค่อนข้างใหญ่ตามภาพประกอบที่ห้า
สำหรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ MH-60R Seahawk จำนวน 1 ลำ และอากาศยานไร้คนขับปีกหมุน MQ-8C Firescout อีก 1 ลำ MQ-8C Firescout คือเฮลิคอปเตอร์ BELL 407 รุ่นไร้คนขับนั่นแหละครับ
ติดอาวุธได้จำนวนหนึ่งหรือจะเป็นโซโนบุยจำนวน 48 นัด อนาคตสามารถใช้งานตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
Very Lightweight Torpedo (VLWT) ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
6.75 นิ้วหรือ 140 มม.หนัก 220 ปอนด์หรือ 100 กิโลกรัมได้ ฉะนั้นการทำภารกิจปราบเรือดำน้ำร่วมกับ
MH-60R Seahawk จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
MQ-8C
Firescout ช่วยให้อเมริกาปาดหน้าจีนคว้าหนึ่งแต้มสำคัญไปครอบครอง
สรุปคะแนนอย่างเป็นทางการ อเมริกา 9
แต้ม : จีน 8 แต้ม
คำวิจารณ์
เรือฟริเกตชั้น Type
054B คือการนำเรือฟริเกตชั้น Type 054A
ขยายร่างจาก 4,000 ตันเป็น 5,500 ตัน
ปรับเปลี่ยนรูปทรงจาก Semi-Stealth เป็น Full-Stealth กว้านสมอเรือกับจุดผูกเชือกหัวเรือย้ายลงอยู่ใต้ดาดฟ้าเรือ ขนาดใหญ่ขึ้น ใช้ระบบเรดาร์
ระบบอาวุธ และเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่ เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นการนำรุ่นเก่ามาต่อยอดให้ร่วมสมัย
เท่ากับว่าเรือฟริเกตชั้น Type 054B มาสุดทางแล้วไม่สามารถไปต่อได้แล้ว
เรือฟริเกตรุ่นถัดไปของจีนต้องพัฒนาใหม่หมดยกเว้นเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ
โดยมีสิ่งสำคัญที่สมควรพัฒนาให้เหมาะสมมากกว่าเดิมประกอบไปด้วย
1.อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานรุ่นที่สามารถใส่
4 นัดใน 1 ท่อยิง
เพื่อให้เรือสามารถใช้อาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่งระยะไกลได้เหมือนเรือฟริเกตค่ายนาโต้
โดยไม่ต้องจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนแท่นยิงแนวดิ่งหรือลดจำนวนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
เรือฟริเกตอเนกประสงค์หรือปราบเรือดำน้ำจำนวนแท่นยิงแนวดิ่ง 32 ท่อยิงถือว่ามาสุดทางแล้วเช่นกัน หากเพิ่มมากกว่านี้ต้องขยายขนาดเรือ
แก้ไขแบบเรือ เพิ่มกำลังไฟบนเรือ รวมทั้งส่งผลให้ราคาเรือสูงกว่าเดิม
เก็บเงินก้อนนี้ไว้จ่ายค่าเสียหายในข้อที่ 2 และ 3 น่าจะเหมาะสมกว่า
2.ระบบตรวจจับใต้น้ำทั้งโซนาร์หัวเรือและโซนาร์ลากท้าย
ตอนนี้ CAPTAS 4 พากัปตันอเมริกาและแก๊งนาโต้ฉีกห่างไปไกลกว่าเดิม
จีนต้องลดระยะห่างด้วยเทคโนโลยีคุณภาพใกล้เคียงกัน ปัญหาก็คือไม่ใช่นึกอยากทำก็ทำกันได้ง่ายๆ
ขนาดอเมริกามีงบประมาณให้ถลุงมากมายยังไปไม่รอดต้องรีบถอนตัวก่อนสายเกินแก้
3.ระบบเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติแบบ Phased Array ขนาดเหมาะสมกับเรือฟริเกต ปัจจุบันจีนใช้งานเรดาร์ชนิดนี้บนเรือพิฆาตชั้น
Type 052 กับ Type 055 แต่มีข้างใหญ่เสียจนเรือฟริเกตขนาด
5,500 ตันแบกไม่ไหว ถ้าจีนอยากลดระยะห่างระหว่างตัวเองกับอเมริกาต้องเร่งพัฒนาเรดาร์รุ่นใหม่ให้เร็วที่สุด
เรดาร์รุ่นใหม่ไม่น่าทันใช้งานบนเรือฟริเกตชั้น
Type
054B อย่างดีที่สุดอาจมีรุ่นทดสอบติดตั้งบนเรือลำสุดท้าย
ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำให้จีนล้างบางขึ้นเรือฟริเกตชั้น Type 057 ใหม่หมดทั้งลำอะไรแบบนี้ไปเลย
ข้ามฝั่งกลับมาที่ลุงแซมกองทัพเรืออเมริกากันบ้าง
เรือฟริเกตจีนเลือกพัฒนาเองโดยใช้การถ่ายทอดลิขสิทธิ์หรือวิศวกรรมย้อนยุคอันแสนโด่งดัง
ทว่าเรือฟริเกตอเมริกาใช้วิธีคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเหมาะสมที่สุด โดยกำหนดคุณสมบัติแตกต่างจากเรือจีนชนิดกลับหัวกลับท้าย
โครงการเรือฟริเกตชั้น
FFG-62 ผู้ชนะการประกวดแบบเรือคือบริษัท Fincantieri
จากอิตาลี ใช้แบบเรือฟริเกตชั้น FREMM มาปรับปรุงให้มีความอนุรักษนิยมหรือแก่กว่าเดิม
ปรับเปลี่ยนรูปทรงจาก Full-Stealth เป็น Semi-Stealth
กว้านสมอเรือกับจุดผูกเชือกหัวเรือย้ายมาอยู่บนดาดฟ้าตามปรกติ
ติดตั้งเรดาร์เหนือสะพานเดินเรือใช้เสากระโดงเดี่ยวมีเสาค้ำยัน 2 ต้นสืบสานทายาทจากยุคสงครามโลก (พี่แกชอบเสาทรงนี้มาก) อเมริกาใช้เรือครั้งหนึ่ง
8 เดือนกว่าจะกลับถึงฐานทัพมีแต่สนิมเต็มลำ
ฉะนั้นอุปกรณ์ทุกอย่างบนเรือต้องใช้งานง่าย ซ่อมบำรุงง่าย ปรับปรุงแก้ไขง่าย
ลูกเรือจะได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับภารกิจตัวเอง ไม่วิตกกังวลเรื่องการใช้ท่ายากแต่อย่างใด
เนื่องจากปืนใหญ่ขนาด
127
มม.ไม่เหมาะสมกับเรือ
อเมริกาเลือกซื้อปืนใหญ่ขนาด 57 มม.จากสวีเดนบวกอังกฤษมาใช้งาน
เนื่องจากอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
Harpoon ล้าสมัยเกินไป อเมริกาเลือกซื้อ NSM
จากนอร์เวย์มาใช้งาน
เนื่องจากโซนาร์
AN/SQS-61+ AN/SQS-62 ทำงานก๊องแก๊งเกินไป อเมริกาเลือกซื้อ
CAPTAS 4 จากฝรั่งเศสบวกเนเธอร์แลนด์มาใช้งาน
ส่วนระบบอาวุธและเรดาร์ขั้นเทพของตัวเองทั้งหลายทั้งปวง
อเมริกายังคงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มีออปชันตรงนี้เพิ่มเดี๋ยวก็มีออปชันตรงนั้นเพิ่ม
จุดเด่นอันดับหนึ่งในปัจจุบันคือเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Phased Array หรือเรดาร์ตระกูล SPY นั่นเอง
ปัจจุบันจีนใช้งานเรดาร์
Phased
Array พัฒนาเองประสิทธิภาพใกล้เคียง AN/SPY-1
ของอเมริกา บังเอิญเรดาร์จีนขนาดใหญ่กว่าบรรดาแฟนคลับจึงเคลมว่าระยะตรวจจับไกลกว่า
บังเอิญอีกครั้งปัจจุบันกองทัพเรืออเมริกาเปลี่ยนมาใช้งานเรดาร์ตระกูล AN/SPY-6 ซึ่งมีรุ่นย่อยถึง 4 รุ่นบนเรือรบรุ่นใหม่ทุกลำ
มีเรดาร์ AN/SPY-3 ใช้ในการควบคุมการยิง SM-2 กับ ESSM มีเรดาร์ AN/SPY-4 บนเรือรบขนาดใหญ่กว่า
10,000 ตันบางลำ รวมทั้งมีเรดาร์ AN/SPY-7 รุ่นส่งออกขายให้กับญี่ปุ่น แคนาดา และสเปน
นี่คือจุดเด่นที่จีนยังคงไล่ตามหลังอเมริกามากกว่า 10 ปี
บทสรุป
การพัฒนาเรือฟริเกตรุ่นใหม่กว่านี้ของจีนอาจใช้งบประมาณมากกว่าอเมริกา
เพราะอเมริกาไม่จำเป็นต้องพัฒนาทุกอย่างสามารถพึ่งพาเพื่อนๆ ได้ เรือฟริเกต Type
057 ของแท้จีนจะมีหน้าตาเช่นไรคือเรื่องน่าสนใจมาก แต่กว่าเรือลำจริงจะมาคงต้องรอกันอีกหลายปีไม่แน่อาจทันลูกชายคนเล็กบวช
ส่วนเรือฟริเกตอเมริกาผู้เขียนยังคงยืนยันคำเดิม
เป็นแบบเรือที่น่าเบื่อไม่สมควรเขียนบทความถึงด้วยซ้ำ ปริศนาเรดาร์ควบคุมการยิงอะไรเอ่ยยังน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ…ฮา
++++++++++++++++++++
อ้างอิงจาก
:
https://twitter.com/knktlw/status/1725955741356286220
https://web.facebook.com/photo?fbid=821742833290143&set=pcb.821742983290128
https://www.naval.com.br/blog/2023/11/04/lancada-a-segunda-fragata-type-054b-da-marinha-chinesa/
https://twitter.com/NavyLookout/status/1481559102451068928
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น