กองทัพเรือเอกวาดอร์ตอนจบ
สวัสดีปีใหม่
2021
อันแสนโสภา ผู้เขียนได้เขียนถึงกองทัพเรือเอกวาดอร์ไปแล้ว 2 ตอน บทความตอนแรกเป็นกำลังรบหลักกองทัพเรือเอกวาดอร์
ส่วนบทความตอนที่สองคือภัยคุมคามในปัจจุบัน ซึ่งมาในรูปแบบกองเรือประมงขนาดใหญ่จากประเทศจีน
สำหรับตอนนี้จะเป็นตอนจบบริบูรณ์แบบช้อยเก็บฉาก ทีเด็ดทีขาดที่ถูกเก็บซ่อนกำลังจะเปิดเผย
ผู้เขียนอยากให้อ่านทบทวนบทความ
2
ตอนแรกเล็กน้อย เพื่อรับรู้เบื้องลึกเบื้องหลักทัพเรือประเทศเล็กๆ
ในอเมริกาใต้ เรียบร้อยแล้วก็ลุยกันเลยกับบทความแรกสุดประจำปี ขอเตือนสักเล็กน้อยว่าค่อนข้างยาวจนต้องตัดทิ่ง
Chinese Fleet in Latin America
เรือดำน้ำ
กองทัพเรือเอกวาดอร์มีขนาดไม่ใหญ่โตสักเท่าไร
จำนวนเรือรบหลักมีจำนวนจำกัดตามงบประมาณและกำลังพล เรือรบขนาดใหญ่เกิน 1,000
ตันพวกเขาใช้เรือมือสองทุกลำ อายุใช้งานไม่เกิน 20 ปีต้องเปลี่ยนลำใหม่อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรือพิฆาตชั้น Gearing จากอเมริกาซึ่งเข้าโครงการปรับปรุงใหญ่ FRAM I
แต่ไม่มีจรวดปราบเรือดำน้ำ ASROC เรือฟริเกตตรวจการณ์ชั้น Tacoma จากอเมริกา รวมทั้งเรือฟริเกตชั้น Hunt (Type 1)
จากอังกฤษ
ต่อมาในปี
1978 มีการจัดหาเรือฟริเกตชั้น Leander Batch II จากอังกฤษจำนวน
2 ลำ ปัจจุบันประจำการเรือฟริเกตชั้น Leander Batch
III ซื้อต่อจากชิลีจำนวน 2 ลำเท่าเดิม
หมายเลขสองคือจำนวนเรือฟริเกตที่เอกวาดอร์มีประจำการ
เรือฟริเกตมือสองเพียง
2
ลำจะไปทำอะไรได้?
ผู้เขียนคิดว่าใช้งานทั่วไปและเป็นเรือธงกองเรือผิวน้ำ
เพราะเป็นเรือใหญ่ออกทะเลลึกได้ มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มีอาวุธครบ 3 มิติในการป้องกันตัวเอง
รวมทั้งเข้าสกัดกั้นเรือไม่ปรากฏสัญชาติในทะเลอาณาเขต
แต่เอาไปบวกกับกองเรือรบทันสมัยฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แน่นอน
ถาม…ในเมื่อเรือฟริเกตเน่าๆ ทั้ง 2 ลำเอาไปบวกไม่ได้
แล้วเอกวาดอร์จะจัดการผู้รุกรานได้อย่างไร
ตอบ…จะไปยากอะไรใช้เรือดำน้ำสิครับ อาศัยความชำนาญพื้นที่บุกเข้าจู่โจมแบบเงียบกริบ
ขอพาทุกท่านย้อนกลับไปในยุคเจ็ดศูนย์
กองทัพเรือเอกวาดอร์มีความต้องการเรือดำน้ำรุ่นใหม่
เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บในการป้องกันประเทศให้สมบูรณ์แบบ
และเรือดำน้ำคือไพ่เด็ดในการป้องกันการเกิดสงคราม กองเรือผิวน้ำของพวกเขามีขนาดไม่ใหญ่โต
ช่วงนั้นได้เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีกับเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีเข้ามาเสริมทัพแล้วก็จริง
แต่เรือทุกลำเป็นเรือขนาดเล็กมีขีดความสามารถจำกัด ขณะเรือฟริเกตมือสองก็พึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้
เรือดำน้ำใหม่เอี่ยมคือโครงการสำคัญที่ล่มไม่ได้
โครงการนี้มีบริษัทเข้าร่วมชิงชัยจาก
4
ประเทศ ประกอบไปด้วยอังกฤษ อิตาลี สเปน และเยอรมัน ผลการชิงชัยเรือดำน้ำขนาด
1,300 ตันจากเยอรมันเข้าวิน มีการเซ็นสัญญาในวันที่ 18
มีนาคม 1974 โดยจะสร้างเรือที่เมือง Kiel
ประเทศเยอรมัน เรือดำน้ำ BAU-91 Shyri วางกระดูกปี
1974 เข้าประจำการวันที่ 5 พฤศจิกายน 1977 ส่วนเรือดำน้ำ BAU-92 Huancavilca วางกระดูกงูปี 1975 เข้าประจำการวันที่ 16 มีนาคม 1978 สัญญาซื้อเรือดำน้ำสองลำอยู่ที่ 66
ล้านเหรียญ
เงิน
66
ล้านเหรียญในปี 1974 เทียบกับปี 2021 จะเป็นเท่าไร ผู้เขียนตอบไม่ได้เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องค่าเงิน
แต่ขอให้เชื่อผู้เขียนสักเรื่องเถอะนะครับว่า กองทัพเรือเอกวาดอร์ใช้เงิน 66
ล้านเหรียญได้คุ้มค่าเหลือเกิน
มาดูรายละเอียดเรือดำน้ำสักนิด
เป็นแบบเรือ Type 209/1300 หรือเรียกว่า 209
Class (Type 1300) แบบเยอรมันได้เหมือนกัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,285
ตันที่ผิวน้ำ และ 1,390 ตันที่ใต้น้ำ ยาว 59.5
เมตร กว้าง 6.3 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU
12V493 TY60 ความเร็วสูงสุด 11 นอตที่ผิวน้ำหรือระดับกล้องตาเรือ
และ 21 นอตขณะดำน้ำลึก สามารถดำน้ำลึกสุด 250 เมตร ใช้ลูกเรือจำนวน 33 นาย มีท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533
มม.จำนวน 8 ท่อยิง
พร้อมลูกตอร์ปิโดอีก 14 นัด
ชมภาพเรือลำจริงกันเลยครับ
เมื่อเข้าประจำการเรือถูกเปลี่ยนหมายเลขเป็น S-11 Shyri กับ S-12 Huancavilca เรือขนาดไม่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงเก็บใหญ่โต
นำมาจอดปากแม่น้ำอเมซอนร่วมกับเรือผิวน้ำได้ โดยใช้วิธีจอดซ้อนสองลำไม่เปลืองพื้นที่
ถึงเวลาออกปฏิบัติภารกิจก็แล่นออกไปเท่านั้นเอง
ไม่ต้องทำอะไรให้มันอลังการงานสร้างโดยใช่เหตุ
เรือดำน้ำทั้ง
2
ลำประจำการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ 5 พฤศจิกายน
2017 กองทัพเรือเอกวาดอร์ได้จัดพิธีฉลองการเข้าประจำการครบ 40 ปีเต็ม มีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ร่วมกันทั่วทั้งประเทศ เงิน 66 ล้านเหรียญช่างแสนคุ้มค่าเหลือเกิน
ปัจจุบันเรือเข้าประจำการ
43
ปีกว่าๆ แล้ว ยังคงใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม อาจไม่มีระบบ
AIP ดำน้ำได้ 21 วัน อาจยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบไม่ได้
อาจไม่มีโพรโมชันซื้อ 2 แถม 1 (ที่ไม่เคยมีจริง)
อาจไม่มีกองอวยบอกว่าเรือดำน้ำเยอรมันยัดไส้ตะวันตก แต่เรือสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม
เพราะได้มีการปรับปรุงครึ่งอายุใช้งานเรียบร้อยแล้ว
วันที่
10
มกราคม 2008 รัฐบาลเอกวาดอร์เซ็นสัญญามูลค่า 120
ล้านเหรียญ กับบริษัท ASMAR ประเทศชิลีซึ่งเป็นอู่ต่อเรือใหญ่โตที่สุดในอเมริกาใต้
เพื่อปรับปรุงเรือดำน้ำ Type 209/1300 ทั้ง 2 ลำให้ทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานอีก 20 ปีขึ้นไป โดยการติดตั้งระบบโซนาร์ S-Cube Sonar Suite ของ THALES เปลี่ยนมาใช้ระบบอำนวยการรบ SUBTICS CCS ของ Naval Group หรือ DCNS ในอดีต
ใส่เรดาร์เดินเรือ Furuno 1832 ใส่ระบบตรวจจับสัญญาณเรดาร์ DMA301
ECM Suite และต้องการตอร์ปิโด Black Shark เข้ามาใช้งานแทนของเดิม
S-11 Shyri เข้าปรับปรุงในปี 2012 ส่วน S-12 Huancavilca เข้าปรับปรุงในปี 2014 ภาพนี้ถ่ายหลังปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย
ทันสมัยกว่าเดิมใช้งานอีก 20 ปีได้อย่างแน่นอน นี่คือผลจากการคัดเลือกแบบเรืออย่างชาญฉลาด
การเลือกอู่ต่อเรือ
ASMAR ทำให้ราคาปรับปรุงเรือลดต่ำกว่าไปประเทศเยอรมัน
กองทัพเรือชิลีใช้งานเรือดำน้ำ Type 209/1400 อยู่แล้วจำนวน 2ลำ ส่วน ASMAR ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก Naval
Group หรือ DCNS ค่อนข้างมาก
เพื่อรองรับการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ Scorpene กองทัพเรือชิลี การปรับปรุงเรือดำน้ำเอกวาดอร์จึงผ่านฉลุยไม่ติดขัดปัญหา
การมีเรือดำน้ำเข้าประจำการอย่างยาวนาน
ช่วยให้กองทัพเรือเติมเต็มทุกอย่างที่ขาดหาย
นอกจากลูกเรือเรือดำน้ำจะมีความชำนาญเป็นพิเศษ เรือฟริเกต 2
ลำกับเรือคอร์เวต 6 ลำ
ได้มีโอกาสฝึกฝนทำสงครามปราบเรือดำน้ำกับของจริง
ได้ใช้งานโซนาร์ตรวจจับเป้าหมายใต้น้ำกับของจริง
ทุกอย่างจริงหมดเพราะฉะนั้นพวกเขามีประสบการณ์สูง
นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ
ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ การจัดหาอะไหล่สำหรับใช้งาน
การฝึกหนีภัยออกจากเรือดำน้ำ การฝึกทำงานร่วมกับอากาศยานปีกหมุน
การฝึกรับส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษใต้น้ำ ทุกอย่างที่พูดถึงถ้าไม่มีเรือดำน้ำย่อมทำอะไรไม่ได้
เอกวาดอร์ฝึกฝนมาแล้ว 43 ปีเต็มเขาเหนือกว่าเราเรื่องนี้อย่างชัดเจน
สำหรับบทความแรกคะแนนกองทัพเรือเอกวาดอร์กับไทยเสมอกัน
หัวข้อเรือดำน้ำเราเป็นรองเขาหลายเสาไฟต้องแจกแต้มให้เขา คะแนนในตอนนี้กลายเป็นเอกวาดอร์
2
คะแนนและไทยแลนด์ 1 คะแนน
อากาศยานปีกแข็ง
ถึงเป็นกองทัพขนาดเล็กแต่จำเป็นต้องมีอากาศยานปีกแข็ง
เอกวาดอร์มีใช้งานจำนวนไม่มากแต่ครอบคลุมเกือบทุกภารกิจ
พระเอกของเขาคือเครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเล CASA CN-235 MPAจำนวน 2 ลำ ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ผิวน้ำใต้ท้องเครื่อง
ใช้พื้นที่ภายในสำหรับเจ้าหน้าที่เรดาร์เพียงน้อยนิด
เครื่องบินสามารถทำภารกิจขนส่งหรือโดยสารได้ตามปรกติ โดยมีเครื่องบิน Beechcraft
Super King Air MPA อีก 3 ลำซึ่งเก่ากว่ากันช่วยกันทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
Super King Air MPA นอกจากเรดาร์ตรวจการณ์แล้ว
ยังมีระบบกล้องตรวจการณ์ออปทรอนิกส์หรือ FLIR กับระบบตรวจจับสัญญาณเรดาร์หรือ
ESM ช่วยกันค้นหาเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม เครื่องบินทั้ง 5
ลำเปรียบได้กับม้างานของเอกวาดอร์
แต่เครื่องบินเพียง
5
ลำย่อมไม่เพียงพอต่อการใช้งาน รวมทั้งเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าเหมาะสมกว่าและน่าสนใจกว่า ประเทศเล็กๆ ในอเมริกาใต้ประเทศนี้ปรับตัวได้รวดเร็วมาก
ปี 2009 หรือย้อนกลับไป 11 ปีกว่าๆ กองทัพเรือเอกวาดอร์สั่งซื้ออากาศยานไร้คนขับหรือ
UAV จากอิสราเอลมาใช้งานเหนือท้องทะเลจำนวน 6 ลำ มูลค่ารวมทั้งโครงการอยู่ที่ 23 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง
ถือเป็นกองทัพเรือแรกๆ ในแถบอเมริกาใต้ที่ใช้งาน UAV แบบจริงจัง
อุปกรณ์ทันสมัยประกอบไปด้วย
หนึ่งอากาศยานไร้คนขับรุ่น Heron จำนวน 2 ลำ น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด 1,150 กิโลกรัม ยาว 8.5
เมตร ปีกกาง 16.6 เมตร ตามข้อมูลจากการใช้งานจริง Heron บินได้สูงถึง 25,000 ฟุต บินได้นานสุด 19 ชั่วโมง ติดตั้งทั้งเรดาร์ตรวจการณ์และกล้องตรวจการณ์ออปทรอนิกส์
ทุกครั้งที่ขึ้นบินใช้เจ้าหน้าที่รวมทั้งสิ้น 5 นาย
ประกอบไปด้วย นักบิน ผู้ควบคุมเรดาร์ ผู้ควบคุมกล้องตรวจการณ์ ผู้บัญชาการภารกิจ
และหัวหน้าสถานี
อากาศยานไร้คนขับหนึ่งลำใช้เจ้าหน้าที่
5
นาย แบ่งหน้าที่กันเพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด เพราะ Heron มีขนาดใหญ่บินได้สูงบินได้ไกล มีทั้งเรดาร์และกล้องตรวจการณ์จึงทำหน้าที่ได้ใกล้เคียงเครื่องบิน
อากาศยานไร้คนขับรุ่นที่สองคือ
Searcher จำนวน 4 ลำ น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด
500 กิโลกรัม ยาว 5.8 เมตร ปีกกาง 8.54 เมตร ตามข้อมูลจากการใช้งานจริง Seacher บินได้นานสุด 12 ชั่วโมง ติดตั้งกล้องตรวจการณ์ออปทรอนิกส์
ทำงานร่วมกันหน่วยยามฝั่งเป็นภารกิจหลัก โดยใช้เจ้าหน้าที่รวมกันแค่
4 นาย ประกอบไปด้วย นักบิน ผู้ควบคุมกล้องตรวจการณ์
ผู้บัญชาการภารกิจ และหัวหน้าสถานี ส่วนผู้ควบคุมเรดาร์ไม่มีเนื่องจากไม่มีเรดาร์
อุปกรณ์ชิ้นใหม่เข้าประจำการได้เพียงปีกว่าๆ
เริ่มมีผลงานจริงในการค้นหาเส้นทางลำเลียงยาเสพติด จนกลุ่มพ่อค้าต้องคิดหาวิธีการใหม่ๆ
ในการลำเลียงสินค้า หนึ่งในนั้นก็คือเรือดำน้ำลำเลียงยาเสพติดที่โลกระบือ
อากาศยานปีกแข็งมีประจำการเพียงเท่านี้
ตอนนี้ผู้เขียนอยากให้สนใจภาพเล็กมุมล่างซ้าย นี่คือห้องวอร์รูมหรือห้องบัญชาการกองเรือตรวจการณ์
หน้าที่หลักคือดูแลคุ้มครองพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล มีเจ้าหน้าที่ประจำการตลอด 24 ชั่วโมง
เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ได้รับจากเรือและอากาศยาน ก่อนส่งมอบต่อให้ผู้บัญชาการตัดสินใจต่อไป
ห้องวอร์รูมฟังดูยิ่งใหญ่อลังการ
แต่ของจริงเป็นเพียงพื้นที่ว่างหน้าห้องประชุม นำมากั้นพาติชันก่อนติดตั้งหน้าจอกับระบบสื่อสาร
ง่ายๆ แบบนี้แหละครับแต่สามารถทำงานได้ดีพอสมควร สังเกตได้ว่าบนหน้าจอใหญ่สุดกับตรงกลางซ้าย
คือภาพหมู่เกาะกลาปากอสกับเขตพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ อันเปรียบเสมือนไข่แดงที่ต้องดูแลประคบประหงมอย่างดี
นอกจากภารกิจทางทหารจำนวนมากมาย
เครื่องบินตรวจการณ์ CN-235 MPA ยังรับหน้าที่อื่นควบคู่กันไป
ไม่ว่าจะนำคนป่วยมาส่งโรงพยาบาลในเมืองหลวง การลำเลียงสิ่งของหรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์
ทั้งในยามปรกติหรือต้องเผชิญโรคระบาดร้ายแรงจากประเทศจีน
เนื่องจากเครื่องบินมีพื้นที่ภายในค่อนข้างมาก
รวมทั้งมีประตูท้ายขนาดใหญ่รองรับการขนส่ง CN-235 MPA ทั้งสองลำจึงเป็นทุกอย่างให้กับกองทัพเรือเอกวาดอร์
เอกวาดอร์ยังมีเครื่องบินลำเลียงขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่ง
ประกอบไปด้วย Beechcraft Super King Air จำนวน 6
ลำ และ Cessna 172 อีก 2 ลำ ใช้งานทั้งในภารกิจปรกติและภารกิจวีไอพี ไม่มีเครื่องบินหรูหราสำหรับท่านผู้นำแต่อย่างใด
อากาศยานปีกหมุน
เฮลิคอปเตอร์เป็นอีกหนึ่งพาหนะที่มีความสำคัญ
กองทัพเรือเอกวาดอร์มีเฮลิคอปเตอร์ Bell 206 JetRanger จำนวน 3 ลำ มี Bell
TH-57 SeaRanger อีก 3 ลำ
ใช้งานร่วมกับเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีชั้น Esmeraldas จำนวน 6
ลำ มีเฮลิคอปเตอร์ Bell 230 (ใบพัดหลักมี 2
กลีบ) จำนวน 2 ลำ
ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ผิวน้ำไว้ที่ปลายจมูก เพื่อใช้งานบนเรือฟริเกตชั้น Leander
จำนวน 2 ลำ นี่คืออากาศยานปีกหมุนประจำกองเรือผิวน้ำนั่นเอง
แต่เนื่องมาจาก
Bell
230 เกิดอุบัติเหตุจนถูกจำหน่าย 1 ลำ
พวกเขาจำเป็นต้องนำเฮลิคอปเตอร์ Bell 430 (.ใบพัดหลักมี 4
กลีบ) จำนวน 1 จาก 4
ลำมาติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ไว้ที่ปลายจมูก
เพื่อใช้งานบนเรือฟริเกตทดแทนของเดิม สำหรับเฮลิคอปเตอร์ Bell 430 ช่วงแรกที่เข้าประจำการยังใช้ล้อกางตามปรกติ ทว่าในภายหลังติดขาสกีเพิ่มเข้ามาและใช้งานแบบนี้
ฐานล้อยังอยู่นะครับแต่ไม่รู้ยังใช้งานได้อีกหรือไม่ แปลกทั้งรุ่นเฮลิคอปเตอร์และอุปกรณ์ในการลงจอด
เฮลิคอปเตอร์มาจากอเมริกาทั้งหมดเลย
แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ นอกจากใช้งานทางทหารยังใช้งานทางพลเรือนด้วย
โดยในภาพนี้คือรับผู้ป่วยฉุกเฉินไปส่งโรงพยาบาล กองทัพเรือเอกวาดอร์พยายามประชาสัมพันธ์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ เจ้าหน้าที่ทุกนายพยายามผูกมิตรกับประชาชน ไม่คิดทำตัวแตกต่างออกไปถือเป็นสิ่งที่ดีมาก
ตอนนี้ต้องให้คะแนนอีกแล้วครับ
ผู้เขียนขอบอกตามตรงว่าน่าหวาดเสียว
กองทัพเรือเอกวาดอร์ใช้งานอากาศยานไร้คนขับตั้งแต่ปี
2009
ขณะที่ไทยแลนด์เพิ่งก้าวเท้าก้าวแรกยังไปไม่ถึงไหน
(แต่จะเอารุ่นติดอาวุธเสียด้วย หวยล๊อกเมืองจีนหรือเปล่าหนอ)
ฉะนั้นเอกวาดอร์สมควรได้คะแนนนี้ไป แต่เนื่องมาจากไทยแลนด์มีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ
เครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเลสามารถติดอาวุธได้ด้วย (ถึงแม้ใกล้ปลดประจำการแล้วก็ตาม)
ผู้เขียนตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายได้คะแนนเท่ากัน ฉะนั้นแล้วคะแนนรวมยังอยู่ที่ 2
ต่อ 1 ดังเดิม
หน่วยยามฝั่ง
หน่วยยามฝั่งเอกวาดอร์ถูกจัดตั้งในปี
1980 หน้าที่หลักคือการบังคับใช้กฎหมายเหมือนประเทศอื่น เพียงแต่ที่นี่ครอบคลุมมาถึงแม่น้ำทุกสายด้วย
มีกำลังพลไม่มากเพียง 300 กว่านาย
เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเรือไม่ได้แยกขาดจากกัน มีเรือตรวจการณ์ขนาดเล็กจนถึงเรือตรวจการณ์ลำน้ำประมาณ
40 ลำ ที่เด่นๆ หน่อยก็คือเรือหมายเลข LG-44 ถึง LG-47 ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ชั้น Stan
Patrol 2606 ความยาว 26 เมตรจากอู่ต่อเรือ Damen
เนเธอร์แลนด์ ส่วนที่เห็นในภาพคือเรือตรวจการณ์ชั้น Stan
Patrol 5009 จากอู่ต่อเรือ Damen เนเธอร์แลนด์เช่นกัน
เรือหมายเลข
LG-30
กับ LG-31 ถือเป็นเรือธงหน่วยยามฝั่งในปัจจุบัน
จัดเป็นเรือตรวจการณ์ขนาด 50 เมตรซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดมาอย่างยาวนาน
Stan Patrol 5009 มีระวางขับน้ำ 479 ตัน
ยาว 50.1 เมตร กว้าง 9.4 เมตร
กินน้ำลึกสุด 3.5 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU จากเยอรมัน ความเร็วสูงสุด 29.5 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด
2,900 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต
ใช้ลูกเรือเพียง 28 นาย ตัวเรือทำจากเหล็กส่วนเก๋งเรือหรือ Super
Structure ทำจากอะลูมิเนียม
จุดเด่นของ
Stan
Patrol 5009 อยู่ที่หัวเรือแบบ Sea Axe อันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ
DAMEN เพียงเจ้าเดียว Sea Axe สามารถรักษาการวิ่งด้วยความเร็วสูง
ในทะเลแปรปรวนมีคลื่นลมค่อนข้างรุนแรงได้ดีกว่าเดิม ลูกเรือมีความปลอดภัยมากขึ้น
ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น หัวเรือแข็งแก่รงขึ้นทนการปะทะได้ดีกว่าเดิม โดยมีข้อแม้ว่าเรือ
(โดยเฉพาะหัวเรือ) กินน้ำลึกมากกว่าปรกติ ใช้งานในทะเลลึกได้ดีกว่าเรือตรวจการณ์ความยาว
50 เมตรทั่วไป
Stan Patrol 5009 มีสะพานเดินเรือ 360 องศามองได้ทุกมุมโดยไม่มีจุดบอด
ใส่เรือยางท้องแข็ง RHIB ขนาด 7.5 เมตรจำนวน
2 ลำ จะเห็นอยู่ในภาพฝั่งขวามือว่าเรือยางลำใหญ่มาก
บรรทุกผู้โดยสารได้มากกว่าและทนคลื่นลมได้มากกว่า Stan Patrol 5009 มีจุดติดปืนกลอัตโนมัติขนาดไม่เกิน 30 มม.ที่หัวเรือ แต่หน่วยยามฝั่งเอกวาดอร์ไม่จำเป็นต้องใช้ปืนราคาแพงหูฉี่
เนื่องจากงานหลักคือไล่จับพ่อค้ายาเสพติดกับเรือประมงต่างชาติเท่านั้น
เอกวาดอร์มีเรือจำนวนไม่มากก็จริง
แต่ไม่ได้กำหนดว่าเรือทุกลำต้องติดอาวุธหนักทำการรบได้
ทำให้สามารถจัดเรือใหม่มาใช้งานได้อย่างเหมาะสม โลกเปลี่ยนไปแล้วสงครามเย็นจบสิ้นนานแล้ว
หวังใจว่าสักวันบางประเทศจะเปลี่ยนแนวคิด
ภาพต่อไปเป็นเรือตรวจการณ์ลำน้ำขนาดเล็ก ติดเรดาร์เดินเรือ Furuno ไว้ด้วยจำนวน 1 ตัว
สถานที่ถ่ายภาพอยู่ในแม่น้ำอเมซอนนี่แหละ
เจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งยึดยาเสพติดจากพ่อค้าได้จำนวนหนึ่ง (ในถุงสีดำใกล้เจ้าหน้าที่ขวาสุด)
นี่คือหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการจัดตั้งหน่วยยามฝั่งในปี 1980 โดยมีเรือเร็วขนาด 40 ฟุตจำนวนไม่กี่ลำใช้งาน
อเมริกาใต้เป็นแหล่งค้าขายยาเสพติดขนาดมหึมา
เส้นทางผลิตเส้นทางลำเลียงของพ่อค้ารายใหญ่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน รวมทั้งโยงใยกับหลายประเทศไม่แตกต่างใยแมงมุม
เอกวาดอร์ต้องเข้าร่วมสงครามปราบยาเสพติดเช่นกัน
โดยมีพันธมิตรชื่ออเมริกาช่วยกันทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่
การต่อสู้กับพ่อค้ายาเสพติดสามารถบรรยายได้ดังนี้
เริ่มต้นจากเครื่องบินตรวจการณ์
P-8
Poseidon ของอเมริกา ขึ้นบินตรวจการณ์กลางทะเลลึกตามหน้ที่ประจำวัน
เมื่อตรวจพบเรือต้องสงสัยว่ากำลังมาส่งหรือรับยาเสพติด ข้อมูลเรือลำนี้จะถูกส่งต่อมายังกองทัพเรือเอกวาดอร์
เครื่องบินตรวจการณ์ของเอกวาดอร์เข้ามารับช่วงต่อเป็นไม้ถัดไป
ครั้นเรือเข้าใกล้ฝั่งอากาศยานไร้คนขับรีบเข้ามาตามติดระยะประชิด
ก่อนที่เรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งจะเข้าจับกุมเมื่อเรือเข้าใกล้แผ่นดิน
สงครามปราบยาเสพติดต้องใช้ทั้งเงิน
เวลา อุปกรณ์ทันสมัย เจ้าหน้าที่มีประสบการณ์ รวมทั้งแผนการที่ดีที่เหมาะสม
ถึงตรงนี้ผู้อ่านพอมองภาพออกหรือยังครับ การจัดตั้งหน่วยยามฝั่งในปี 1980
ก็ดี การจัดหาเรือทันสมัยไม่ติดอาวุธหนักมาใช้งานก็ดี
การจัดหาอากาศยานไร้คนขับในปี 2009 ก็ดี
ทั้งหมดคือแนวความคิดที่เอกวาดอร์ได้รับมาจากอเมริกา กองทัพเรือจากประเทศเล็กๆ
จึงรับมือกับภัยคุกคามหลักได้อย่างไม่ตึงมือ แต่ก็นั่นแหละครับ…ใช่ว่าจะปราบกันหมดเสียที่ไหน
ถึงเวลาให้คะแนนอีกแล้ว
เนื่องจากประเทศไทยไม่มีหน่วยยามฝั่ง ฉะนั้นคะแนนนี้ตกเป็นของเอกวาดอร์อย่างแน่นอน
และทำให้เขาออกนำเราไปแล้วถึง 3 ต่อ 1 คะแนน
จบกัน…นี่เราจะแพ้จริงๆ หรือ เหลือเวลาอีกแค่ 5 นาทีไม่รวมทดเจ็บ
บ้าชะมัด…บ้าชะมัด…บ้าชะมัด!
ผู้อ่านอย่าได้กังวลใจไปเลย
ด้วยระบบ VAR ที่ทันสมัยในโลกลูกหนัง ประเดี๋ยวผู้เขียนจัดจุดโทษให้สักสองลูกดีไหม
นาวิกโยธิน
มาถึงลูกจุดโทษลูกแรกสุดกันเลย
เอกวาดอร์มีทหารบกในทหารเรือเพื่อทำภารกิจจำนวนหนึ่ง เริ่มก่อตั้งในปี 1962
นานพอสมควร มีกำลังพลประมาณ 1,700 นายไม่เยอะอะไรมากมาย
อาวุธหนักพอมีบ้างแต่ไม่มากเท่าไร อาทิเช่นปืนครกขนาด 60 มม.และ81 มม. ปืนไร้แรงสะท้อนขนาด
106 มม.มีรถลำเลียง HMMWV หรือ Humvee อีกจำนวนหนึ่ง
เอกวาดอร์มีเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลางชั้น
LSM-1
อีกจำนวน 1 ลำ
รูปร่างหน้าตาเหมือนเรือหลวงครามของเราไมมีผิดเพี๊ยน ทว่าในปัจจุบันทั้งเรือ LST
และเรือ LSM
จากยุคสงครามโลกครั้งที่สองปลดประจำการหมดแล้ว ยังไม่มีโครงการซื้อเรือใหม่เพราะไม่มีงบประมาณ
พวกเขาต้องใช้เรือเท่าที่มีในการฝึกฝนนาวิกโยธินตัวเองไปพลางๆ
เทียบกับราชนาวีไทยซึ่งกำลังจะได้เรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าโล่งขนาด
20,000
ตันจากจีน (ที่มันโล่งเพราะจ่ายเงินเฉพาะตัวเรือไม่นับรวมอาวุธ)
ทำให้เราเก็บแต้มสำคัญไล่มาเป็น 2 ต่อ 3 และตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา
ลูกประดู่ไทยมีเรือบรรทุกเครื่องบินสกีจัมป์จำนวน 1 ลำ
ปัจจุบันกลายเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ไปแล้วก็จริง
รวมทั้งหลายคนพยายามบอกว่าจริงๆ แล้วมันเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
แต่เรือลำนี้ทุกคนบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้เรียกว่า Harrier Carrier ฉะนั้นผู้เขียนขอเรียก่าเรือบรรทุกเครื่องบินอย่าโกรธกันนะครับ
ด้วยอิทธิฤทธิ์เรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่มีเครื่องบิน
(เก็ตสิโนว่ามาเอง) คะแนนทั้งสองประเทศกลับมาเท่ากันที่ 3
ต่อ 3 ทันใดนั้นเอง ปิแอร์ลุยจิ คอลิน่า กรรมการชื่อดังเจ้าของฉายา
‘หัวหลอดไฟ’ ได้เป่านกหวีดยาวหมดเวลา
เป็นอันว่ากองทัพเรือเอกวาดอร์เจ้าถิ่นเสมอกับกองทัพเรือไทยผู้มาเยือน ต้องใช้วิธียิงลูกโทษตัดสินโดยไม่มีการต่อเวลาพิเศษ
เรือตรวจการณ์จากเกาหลีใต้
วันที่
27
มีนาคม 2020 มีข่าวสำคัญมาจากเอเชีย
รัฐบาลเกาหลีใต้มอบเรือตรวจการณ์ชั้น Haeuri ซึ่งเพิ่งปลดประจำการไปหมาดๆ
ให้กับเอกวาดอร์จำนวน 2 ลำ โดยเป็นเรือหมายเลข KCG 303 กับ KCG 303 ตามลำดับ
เรือทั้งสองลำสังกัดหน่วยยามฝั่งเกาหลีใต้
ระวางขับน้ำปรกติ 300 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่
430 ตัน ยาว 53.7 เมตร
(เรือตรวจการณ์ความยาว 50 เมตรที่ได้รับความนิยมนั่นเอง)
กว้าง 7.4 เมตร ความเร็วสูงสุด 19 นอต
ระยะปฏิบัติการไกลสุด 1,900 ไมล์ทะเล ใช้ลูกเรือ 27 นาย เรือทั้งสองลำเข้าประจำการปี 1990 กับ 1991
ตามลำดับ ติดปืนกล 20 มม.หกลำกล้องรวบ Sea Vulcan ไว้ที่หัวเรือ
มีเรือเล็กกราบขวาเรือจำนวน 1 ลำ
ท้ายเรือเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ สามารถรับ-ส่งคนหรือสิ่งของจากเฮลิคอปเตอร์ได้
นอกจากเรือตรวจการณ์ความยาว
50
เมตรจำนวน 2 ลำแล้ว ในปี 2021 รัฐบาลเกาหลีใต้จะมอบเรือตรวจการณ์ยาว 120 เมตรของหน่วยยามฝั่ง
ให้เอกวาดอร์นำมาใช้ปกป้องน่านน้ำตัวเอง มิตรรักแฟนเพลงชาวเอกวาดอร์คาดเดาว่าอาจเป็นเรือหมายเลข
5001 แต่ผู้เขียนสงสัยว่า 5,000 ตันลำมันใหญ่เกินไปหรือเปล่า
เรือขนาด 120 เมตรยังไม่มีข่าวที่ชัดเจนสักเท่าไร สื่อขนาดใหญ่ชื่อดังยังไม่ได้เล่นข่าวนี้
เพราะฉะนั้นถือว่าฟังหูไว้หูแล้วกันนะครับ
วันที่
27
ธันวาคม 2020 มีพิธีรับมอบเรือตรวจการณ์ชั้น Haeuri จำนวน 2 ลำซึ่งได้รับบริจาคจากเกาหลีใต้
เรือถูกทาสีเทาหมอกมาตั้งแต่ต้นทาง ถึงเอกวาดอร์จึงได้มีการติดสัญลักษณ์หน่วยยามฝั่ง
ปืนกล 20 มม.หกลำกล้องรวบไม่มานะครับ
จานรับสัญญาณดาวเทียมหรือ SATCOM หายไปแต่เรดาร์เดินเรือยังมีเช่นเดิม
เรือทั้ง 2 ลำเอกวาดอร์ตั้งใจนำไปใช้งานที่หมู่เกาะกลาปากาส
ซึ่งในตอนนี้ใช้เรือคอร์เวตติดอาวุธนำวิถีไล่จับเรือประมงจีน
ขนาดไม่ใหญ่เท่าไรอายุเกิน 30 ปีไปแล้วก็จริง
แต่ยังใช้งานได้ดีทำภารกิจไล่ตบเด็กได้ดีเยี่ยม ถือเป็นอีกหนึ่งเขี้ยวเล็บในการปกป้องอธิปไตย
ช่วงปลายปี
2020
มีข่าวไม่กรองหลุดออกมาว่า กองทัพเรือเอกวาดอร์อยากได้เรือตรวจการณ์
50 เมตรกับ 120 เมตรจากเกาหลีใต้เพิ่มอีก
2+1=3 ลำ โดยคราวนี้เป็นการจ่ายเงินซื้อในราคา 20 กว่าล้านเหรียญ ผู้เขียนยังไม่กล้ายืนยันเหมือนเรือตรวจการณ์ 120 เมตรลำแรก รอให้มีข่าวจากเกาหลีใต้เสียก่อนค่อยว่ากันอีกครั้งเนอะ
แผนการในอนาคต
มาถึงเรือลำใหม่และลำสุดท้ายของบทความนี้
เดือนธันวาคม 2019 บริษัท Fassmer ซึ่งเป็นอู่ต่อเรือประเทศเยอรมันได้แถลงข่าวว่า บริษัทเซ็นสัญญากับบริษัท Ecuadorian
Naval Shipyard Astilleros Navales Ecuatorianos หรือเรียกสั้นๆ ว่า
Astinave EP อันเป็นอู่ต่อเรือในประเทศเอกวาดอร์นั่นเอง
(ชื่อบริษัทจะยาวไปถึงไหน)
สัญญาฉบับนี้คือการสร้างเรืออเนกประสงค์ชั้น
MPV70
Mk.II จำนวน 1 ลำขึ้นมาเองในเอกวาดอร์
อู่ต่อเรือ Astinave EP เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด
ใช้แบบเรือจาก Fassmer โดยมีวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมันคอยให้คำแนะนำ
ประเทศนี้รสนิยมค่อนข้างดีพอสมควร
รวมทั้งเลือกของใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีจากอิตาลีอย่างงี้ เรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีจากเยอรมันอย่างงี้
เรือฟริเกตมือสองจากอังกฤษอย่างงี้ เรือดำน้ำใหม่เอี่ยมจากเยอรมันอย่างงี้
เรือลำใหม่ของพวกเขาก็มาจากเยอรมัน ดูจากผลงานเดิมน่าจะโดดเด่นไม่แพ้รุ่นพี่
และเมื่อผู้เขียนพิจารณารายละเอียดเท่าที่หาได้
แบบเรือ MPV70 Mk.II ของเอกวาดอร์มีทีเด็ดโดนใจที่ผู้อ่านทุกคนต้องอึ้งทึ่งเสียว
เอกวาดอร์เดินหน้าอีกหนึ่งก้าวสำเร็จแล้ว
เรือลำใหม่ลำนี้เทียบเท่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง เป็นเรือใหม่เอี่ยมอ่องยังไม่มีข้อมูลชัดเจน
บังเอิญ Fassmer มีแบบเรือ MPV70 ซึ่งไม่ได้ติดตั้งอาวุธ
เรือมีความยาว 70 เมตรตามชื่อแบบเรือ ระวางขับน้ำถึง 2,400
ตันเพราะมีพื้นที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ผู้เขียนคาดเดาว่า MPV70 Mk.II น่าจะมีขนาดใกล้เคียงกัน
มาดูความทันสมัยของเรือกันบ้างนะครับ
ใช้สะพานเดินเรือแบบ 360 องศาอีกแล้วสินะ
(อิจฉาวุ้ย) หัวเรือติดปืนใหญ่ Oto 76/62 Super Rapid กลางเรือเป็นปืนกลอัตโนมัติ
20 มม.จากอิสราเอลพร้อมระบบควบคุมการยิง
กลางเรือใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดมาตรฐานมากถึง 12 ตู้ มีเครนขนาดใหญ่มากรองรับน้ำหนัก
20 ตัน มีเรือยางท้องแข็งอีก 2 ลำบริเวณกลางเรือ
มีลานจอดขนาดใหญ่รองรับเฮลิคอปเตอร์ได้ถึง
11
ตัน มีปืนกล 12.7 มม.ติดอยู่ด้านท้ายอีก
2 กระบอก รวมทั้งมีช่องปล่อยเรือยางท้องแข็งจากท้ายเรืออีก 2
ลำ (หรือที่เรียกว่า Stern Launching Lamp) แต่ในภาพผู้เขียนยังมองไม่เห็นแฮะ
แบบเรือจาก
Fassmer ว่าทันสมัยแล้ว แต่ยังมีสิ่งพิเศษเพิ่มเติมเข้ามาทำให้ผู้เขียนใจสั่น เรือลำนี้
ใช้ระบบอำนวยการรบ Orion ซึ่ง Astinave EP พัฒนาขึ้นมา (รุ่นเดียวกับที่ติดตั้งบนเรือคอร์เวตชั้น Esmeraldas บางลำ) ใช้เสากระโดงเรือ Integrated Mast ทันสมัยกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งของเราลิบลับ
รวมทั้งใช้เรดาร์ AESA พัฒนาโดย Virtualabs S.R.L จากอิตาลีร่วมกับ Astinave EP จากเอกวาดอร์ ในภาพจะเห็นแบบฝังสามมุมเป็นเรดาร์ตัวใหญ่
(อาจเป็นเรดาร์ S-Band)
กับแบบฝั่งสี่มุมเป็นเรดาร์ตัวเล็ก (อาจเป็นเรดาร์ X-Band) ทั้งเรดาร์และระบบอำนวยการรบจะได้ไปต่ออย่างแน่นอน
ในขณะที่ประเทศไทยบ้าเห่อระบบอำนวยการรบรุ่นใหม่จาก
THALES
เอาแต่ชื่นชมระบบเรดาร์รุ่นใหม่จาก SAAB ว่าจะใช้งาน
SM-2 ได้เต็มประสิทธิภาพไหมหนอ เวลาเดียวกัน…เรือลำใหม่ของเอกวาดอร์ติดระบบอำนวยการรบพัฒนาขึ้นมาเอง ใช้ระบบเรดาร์ AESA แบบฝังสี่มุมพัฒนาร่วมกับอิตาลี นี่คือความแตกต่างระหว่างเขากับเราอย่างชัดเจน
และด้วยความแตกต่างนี้เอง
ผู้เขียนให้กองทัพเรือเอกวาดอร์ชนะการยิงจุดโทษกองทัพเรือไทย
ปล.เนื่องจากบทความค่อนข้างยาว
ผู้เขียนขอตัดเนื้อหาเกี่ยวกับอู่ต่อเรือ Astinave EP
ออกไปนะครับ
-------------------------------
อ้างอิงจาก
https://base.mforos.com/1139583/5292349-armada-de-ecuador/?pag=2
https://web.facebook.com/armadaecuatoriana/?tn-str=k*F
https://en.wikipedia.org/wiki/Ecuadorian_Navy
https://base.mforos.com/1139583/5292349-armada-de-ecuador/?pag=2
http://www.milpower.org/modarmedforces.asp?value=243
https://americamilitar.com/ecuador/260-armada-del-ecuador-p21.html
https://www.jetphotos.com/airline/Ecuador%20-%20Navy
https://dialogo-americas.com/articles/uavs-help-ecuadors-navy-catch-drug-traffickers-from-the-air/
https://defbrief.com/2020/12/27/ecuador-welcomes-donated-south-korean-patrol-vessels/
https://www.elsnorkel.com/2017/11/el-shyri-40-anos-de-patrullaje-submarino.html
https://base.mforos.com/1104351/6609237-asmar-modernizara-209-ecuatorianos/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น