วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Other 2020 Stories

 

นานาสาระในปี 2020

สำหรับบทความส่งท้ายปี 2020 เป็นบทความเฉพาะกิจ รวบรวมมาจากบทความสั้นลงในเว็บเพจผู้เขียนเองครับ ผู้อ่านท่านใดต้องการติดตามเชิญได้ตามลิงก์ข้างล่างนี้ครับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงอ่านนานาสาระในปี 2020 กันได้เลยครับ

https://web.facebook.com/superboy.shipbucket

                                                ++++++++++++++++++++++++++++++

นี่คือภาพถ่ายเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย FF-462 ใน 'การฝึกความร่วมมือและความพร้อมทางเรือ 2001' หรือ Cooperation Afloat Readiness and Training 2001 หรือ CARAT 2001 ร่วมกับกองทัพเรืออเมริกาที่อ่าวไทย โดยมีเรือคอร์เวตปราบเรือดำน้ำเรือหลวงตาปี กับเรือบรรทุกเครื่องบินเรือหลวงจักรีนฤเบศรเข้าร่วมเช่นกัน ส่วนเรืออเมริกาประกอบไปด้วย เรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกชั้น Whidbey Island ชื่อ USS Rushmore (LSD-47), และเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Oliver Hazard Perry อีกสองลำคือ USS Curts (FFG 38) กับ USS Wadsworth (FFG 9)

การฝึก CARAT 2001 อเมริกาไม่ได้มาประเทศเราเพียงแห่งเดียว แต่คุณพี่ไล่กวาดไปเรื่อยจนเกือบครบทุกชาติในอาเซียน โดยเริ่มต้นจากอินโดนีเซีย ต่อด้วยไทยแลนด์ ไปที่สิงคโปร์ ข้ามฝั่งมาที่มาเลเซีย ก่อนปิดท้ายเฟสแรกที่บรูไน ส่วนเฟสสองมีฟิลิปปินส์เพียงชาติเดียว สำหรับประเทศไทยพวกเขามาเยือนวันที่ 19 ถึง 29 มิถุนายน 2001 โดยเข้าเทียบท่าที่จุกเสม็ดจังหวัดชลบุรี ใช้เรือจำนวน 3 ลำ มีนาวิกโยธินและเจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งเข้าร่วมฝึกซ้อม

การฝึกความร่วมมือและความพร้อมทางเรือหรือ CARAT เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1995 จนถึงปัจจุบัน โดยครั้งแรกเป็นการฝึกซ้อมร่วมกับราชนาวีไทย และในปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 26 ของการฝึกซ้อม ลำบากพอสมควรเนื่องจากการระบาดของโรคร้ายโควิด-19 เท่าที่แอดพบข่าวมีเพียงบรูไนกับบังคลาเทศเข้าร่วมการฝึกซ้อม ส่วนศรีลังกาตัดสินใจยกเลิกในภายหลัง แม้ปีนี้เป็นเพียงการฝึกกับชาติเล็กชาติน้อยก็ตาม แต่ยังต้องนับว่ามีการฝึก CARAT อีกหนึ่งขวบปี

สำหรับประเทศไทยการฝึกผสม CARAT 2020 ถูกเลื่อนไม่มีกำหนด ก็ตามสภาพแหละครับว่ากันไม่ได้ โม้มาตั้งนานไม่ได้พูดถึงเรือแม้แต่ประโยคเดียว มีโอกาสแอดจะเขียนบทความยาวๆ แล้วกันเนอะ

https://catalog.archives.gov/id/6609787

 

                                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

ประมาณปี 1995 กองทัพเรือไทยสั่งซื้อเรือโฮเวอร์คราฟต์ (Hovercraft) หรือยานเบาะอากาศจากอังกฤษจำนวน 3 ลำ นำมาใช้งานภารกิจค้นหากู้ภัยและช่วยเหลือน้ำท่วม โดยเลือกแบบเรือ Griffon 1000TD ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีเรือโฮเวอร์คราฟต์วางขายตั้งแต่ปี 1976 แบบเรือ Griffon 1000TD คือเรือรุ่นแรกที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล เริ่มวางขายตั้งแต่ปี 1983 โดยมีลูกค้ารายเดียวคือกองทัพเรือไทยนั่นเอง

เรือทั้ง 3 ลำใช้หมายเลข 401 ถึง 403 ต่างประเทศเรียกชื่อเรือว่า Griffon 401 Griffon 402 และ Griffon 403 แต่ทหารเรือไทยเรียกชื่ออะไรแอดจนด้วยเกล้า มาดูข้อมูลโดยทั่วไปของเรือกันบ้าง มีความยาว 27.6 เมตร กว้างวัดที่เบาะอากาศ 12.5 เมตร กว้างวัดที่ตัวเรือ 8.4 เมตร ความกว้างห้องโดยอยู่ที่ 3.8 เมตร เรือลำนี้ไม่มีระวางขับน้ำสูงสุดเหมือนเรือทั่วไป แต่มีน้ำหนักรวมสูงสุดที่ 3,200 กิโลกรัม มีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,000 กิโลกรัม สามารถบรรทุกทหารได้มากสุด 10 นาย (ทหาร 9 นายบวกถอดลูกเรือ 1 นาย)

ปรกติใช้ลูกเรือ 2 นายแต่ใช้ 1 นายในยามฉุกเฉินก็ได้นะเออ ใช้เครื่องยนต์ดีเซล Deutz BF6L913C จำนวน 1 ตัว ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (เดี๋ยวนี้รถกระบะบางคันแรงม้าแซงไปเสียแล้ว) ความเร็วสูงสุด 33 นอต ระยะปฏิบัติการณ์ไกลสุด 200 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 27 นอต ส่วนความเร็วสูงสุดบนฝั่งอยู่ที่ 15 นอต ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสามารถแล่นบนฝั่งได้ เพื่อนๆ สมาชิกอย่าสับสนนะครับเดี๋ยวแอดงงตามไปด้วย

เรือลำนี้ถือเป็นความลับสุดยอดครับ หมายถึงเจ้าหน้าที่ไทยนี่แหละบอกว่าลับสุดยอด ขนาดจำนวนเรือยังไม่สามารถเอ่ยออกมาชัดเจน แต่ให้ตายเถอะโรบินข้อมูลเรือลำนี้คนทั่วโลกเขารู้เขาเห็นกันหมดแล้ว

ภาพประกอบแรกมาจากนิตยสาร Janes Fighting Ships 2009-2010 เป็นภาพถ่ายเรือ Griffon 401 ในปี 1999 สังเกตุนะครับว่าเรือทาสีขาวคาดเหลือง (จริงๆ แอดอยากเรียกว่ายานมากกว่า) ประตูเข้าเรือเป็นแบบปีกนกพับขึ้นไปข้างบน ให้อารมณ์รถเสปอร์ตฟอร์รารียังไงยังงั้น เบาะอากาศสีดำสนิท มีเรดาร์เดินเรือ I-Band ของ Raytheon จำนวน 1 ตัว ภาพนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าราชนาวีไทยมีเรือโฮเวอร์คราฟต์หรือยานเบาะอากาศใช้งาน

เรือทั้ง 3 ลำถูกใช้งานมาตามลำดับ ใช้งานหนักใช้งานน้อยแอดไม่มีข้อมูล เวลาต่อมามีการเปลี่ยนแปลงสีเรือเล็กน้อย โดยเปลี่ยนจากสีขาวคาดเหลืองเป็นสีขาวคาดส้มลวดลายเหมือนเดิม ปรกติเรือจะจอดอยู่ที่กองเรือยุทธการสัตหีบ เป็นอาคารเก่าๆ คล้ายโรงยิมติดถนนเรียบหาดข้างสโมสรสัญญาบัตร ข้อมูลที่ยืนยันได้คือปี 2011 เรือยังคงจอดอยู่ตรงนี้ แต่ปลดประการเอาตอนไหนแอดมืนตื้บครับผม

เรือปลดประจำการแล้วยังไงต่อคำตอบก็คือขายให้กับเอกชน เพื่อไม่ให้เสียเวลาขอตัดมายังปี 2019 หรือปีที่แล้ว บริเวณริมถนนมิตรภาพอำเภอมวกเหล็ก ซึ่งมีฉายา นมดีกระหรี่ดังมาตั้งแต่แอดตัวเท่าฝาหอย ได้ปรากฏเรือ Griffon 1000TD ลำหนึ่งในสภาพไม่ค่อยสวยสักเท่าไร ส่องเข้าไปดูระยะประชิดเรือลำนี้ชื่อ Griffon 402 หรือเรือหมายเลข 402 เรือลำนี้เจ้าของประกาศขายราคาไม่แพงแค่ 2 ล้านถ้วนเท่านั้นเอง

แอดขอนำภาพบางส่วนมาลงเพื่อบันทึกไว้ในเว็บเพจตัวเอง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าครั้งหนึ่งลูกประดู่ไทยเคยใช้งานเรือโฮเวอร์คราฟต์หรือยานเบาะอากาศ ปัจจุบัน Griffon 402 ยังอยู่ริมถนนมิตรภาพหรือเปล่า ตอนนี้สระบุรีมีผู้ติดเชื้อโควิค 8 รายแล้ว อีกไม่นานจะขยับจากสีเหลืองเป็นสีส้ม (ได้ไปแน่ๆ) เพราะฉะนั้นแอดขออยู่บ้านเหมือนต่อไปนะครับ อีกอย่างก็คือขับรถไปไม่ถูกกลัวหลงฮา

อ้างอิงจาก : นิตยสาร Janes Fighting Ships 2009-2010

https://web.facebook.com/0921235552.max/posts/2457909090927655/

 

                                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

หลังสงครามฟอคแลนด์ประมาณ 5 ปี รัฐบาลอังกฤษจัดตั้งกองกำลังทางทะเลให้กับหมู่เกาะฟอคแลนด์ ทำหน้าที่ลาดตระเวณตรวจการณ์ไม่ติดอาวุธในยามปรกติ เน้นมาที่การทำประมงนอกเขตชายฝั่งและพื้นที่ต่อเนื่อง โดยมีกองกำลังติดอาวุธจากอังกฤษจำนวนหนึ่ง คอยดูแลความปลอดภัยของหมู่เกาะแยกกันชัดเจน

สาเหตุที่จัดตั้งหลักๆ มาจากการกำหนดเขตทำประมง จำเป็นต้องมีสักหน่วยงานเข้ามาดูแลรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้กองกำลังฟอคแลนด์จึงถือกำเนิดจนถึงปัจจุบัน

กำลังทางน้ำประกอบไปด้วยเรือ 5 ลำ ระวางขับน้ำรวมกัน 6,907 ตัน แบ่งเป็นเรือใช้งานทั่วไป 2 ลำ และเรือตรวจการณ์ประมงอีก 3 ลำ

เรือตรวจการณ์ประมงลำแรกชื่อ Falkland Desire (ภาพที่หนึ่ง) ระวางขับน้ำ 1,949 ตัน ยาว 74.5 เมตร กว้าง 12.7 เมตร กินน้ำลึก 4.7 เมตร ระยะปฏิบัติการณ์ไกลสุด 15,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต มีจุดรับส่งคนจากเฮลิคอปเตอร์แต่ไม่มีลานจอด

เรือลำนี้ในอดีตชื่อ Southella สร้างในเมืองอเบอร์ดีนปี 1969 ย้ายมาสังกัดฟอคแลนด์ปี 1987 อันเป็นปีถือกำเนิดกองกำลัง ต่อมาในปี 1994 ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Northern Desire อีก 4 ปีถัดมาถูกเปลี่ยนมาใช้ชื่อเดิม เข้าประจำการจนถึงปี 2003 ก่อนส่งไม้ให้กับเรือใหม่กว่าชื่อ Sigma รวมทั้ง Dorada

เรือตรวจการณ์ประมงลำที่สองชื่อ Falkland Right ระวางขับน้ำ 1,878 ตัน ยาว 69.2 เมตร กว้าง 12 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตร เป็นเรือประเทศโปแลนด์ถูกอังกฤษเช่ามาใช้งานที่ฟอคแลนด์ในปี 1987 เช่นกัน

เรือตรวจการณ์ประมงลำสุดท้ายชื่อ Falkland Sound (ภาพที่สอง) ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,200 ตัน ยาว 53.5 เมตร กว้าง 11.3 เมตร กินน้ำลึก 3.4 เมตร เรือลำนี้สร้างในเยอรมันเป็นของอาเจนตินา ใช้ขนส่งสัมภาระกับวางทุ่นระเบิด กองทัพเรืออังกฤษยึดครองในเดือนมิถุนายน 1982 สุดท้ายถูกส่งมาสังกัดหมู่เกาะฟอคแลนด์ช่วงสิ้นปี 1986 ถือเป็นเรือตรวจการณ์ลำแรกของหมู่เกาะชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก


นอกจากนี้ยังมีเรือใช้งานทั่วไปชั้น Aberdovey อีก 2 ลำ ชื่อ Beaulieu A99 กับ Blakeney A104 เรือมีระวางขับน้ำ 117 ตัน ยาว 24 เมตร กว้าง 5.5 เมตร กินน้ำลึก 1.7 เมตร หมู่เกาะฟอคแลนด์มีเครื่องบินตรวจการณ์ Dornier 228 MPA อีก 1 ลำด้วยนะครับ มีโดมเรดาร์ใต้ทัองเครื่องไว้ตรวจจับเรือประมงทั้งหลาย แต่ไม่มีอาวุธบนเครื่องบินแต่อย่างใด เหมือนเครื่องบิน Dornier 228 กองทัพเรือไทยในปัจจุบัน

สังเกตุนะครับว่าเรือตรวจการณ์ฟอคแลนด์ลำเล็กกว่าเรือหลวงปัตตานี แต่กินน้ำลึกมากกว่าเพราะต้องใช้ในทะเลคลั่งอันดับต้นๆ ของโลก ทะเลแถบนี้สัตว์น้ำค่อนข้างอุดมสมบรูณ์ นอกจากปลาน้ำลึกหลากชนิดยังมีหมึกราคาแพงจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้อังกฤษจึงจัดตั้งกองกำลังไม่ติดอาวุธ เพื่อคอยดูแลเรื่องการทำประมงที่เริ่มยุ่งยากกว่าเดิม

เรือตรวจการณ์ประมงคืออะไรมีหน้าที่อย่างไร ปีหน้าแอดเขียนบทความยาวๆ ให้อ่านแล้วกัน มีของไทยด้วยแหละแต่ขอเก็บข้อมูลก่อน ที่เคยหาเจอมันหายไปกับ Harddisk ไม่รักดีเสียแล้ว

http://www.shipspotting.com/gallery/photo.php?lid=1912452

http://rfanostalgia.org/.../RFA.../Aftermath/Black-Pig

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

กองบังคับการตำรวจน้ำก่อตั้งในวันที่ 15 พฤษภาคม 2495 โดยพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อันเป็นผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง

ตอนนั้นทั่วโลกปลูกข้าวได้น้อยเป็นของดีราคาแพง ส่วนประเทศไทยปลูกข้าวได้มากแต่ราคาตกต่ำ ส่งผลให้มีการลักลอบส่งข้าวออกขายต่างประเทศ หน่วยงานราชการไม่มีเรือมากพอและใหญ่พอในการจับกุมผู้กระทำผิด ปี 2490 รัฐบาลมอบหมายให้กองทัพเรือเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ ถัดมาเพียง 3 ปีกองทัพเรือมีแผนปรับปรุงใหญ่ชนิดหน้ามือหลัง มีการรับยุทธวิธีและอาวุธยุทโธปกรณ์แบบใหม่จากอเมริกา เพื่อรองรับภัยคุกคามรูปแบบใหม่มีชื่อว่า คอมมิวนิสต์การดูแลเรื่องลักลอบส่งออกข้าวจำเป็นต้องเปลี่ยนมือ

มีการจัดตั้ง 'กองตำรวจน้ำ' ขึ้นมา โดยให้อยู่ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ปี 2494 กรมตำรวจได้สั่งต่อเรือขนาด 60 ฟุต จำนวน 3 ลำจากประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งโอนเรือจากหน่วยดับเพลิงทางน้ำ และหน่วยปราบปรามทางน้ำปากคลองสานมาอีก 2 ลำ ถือเป็นเรือชุดแรกสุดของหน่วยงานใหม่เอี่ยมอ่องของชาติไทย

กองบังคับการตำรวจน้ำมีโครงสร้างองค์กรไม่ยุ่งยาก แบ่งออกเป็นกองกำกับการ 11 กองด้วยกัน กองกำกับการ 1 ดูแลเรื่องงานช่าง กองกำกับการ 2 เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กองกำกับการ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการทางเรือ กองกำกับการ 4 ถึง 11 เป็นฝ่ายปฏิบัติการ มีที่ตั้งและพื้นที่รับผิดชอบทั่วทั้งประเทศ มีหน่วยงานในสังกัดเป็นสถานีตำรวจน้ำทั้งหมด

สำหรับเรือที่แอดนำมาลงเป็นภาพประกอบ คือเรือตรวจการณ์ขนาด 30 ฟุตจากกองกำกับการ 10 กองบังคับการตำรวจน้ำ อันมีที่ทำการอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ดูแลรับผิดชอบเขตแม่น้ำโขงโดยมีเจ้าหน้าที่จากสถานที่ตำรวจน้ำ 5 แห่ง เรือลำนี้ค่อนข้างเก่าพอสมควร มีประจำการจำนวน 38 ลำประกอบไปด้วยเรือหมายเลข 301 ถึง 338 แอดหาข้อมูลทั่วไปของเรือไม่ได้เลย รู้แค่เพียงติดปืนกล 12.7 มม.ไว้ 1 กระบอก มีเสากระโดงขนาดเล็กกลางเรือ หลังคาท้ายสุดของเรือทาสีธงชาติไทยหรือธงไตรรงค์

เรามักจะเห็นเรือตรวจการณ์ขนาด 30 ฟุตกับเรือตรวจการณ์ขนาด 50 ฟุต รูปทรงเรือทั้งสองลำแบนๆ ยาวๆ หน้าต่างเยอะคล้ายคลึงกัน (เรือตรวจการณ์ขนาด 40 ฟุตและ 60 ฟุตไม่ค่อยเห็นสักเท่าไร ทั้งที่มีจำนวนเรือน้อยกว่ากันไม่มาก) สองลำนี้ทำงานร่วมกันประมาณว่าเป็นคู่หูคู่ฮา ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ขนาด 50 ฟุตยังได้ไปต่อ แต่เรือตรวจการณ์ขนาด 30 ฟุตเริ่มถูกแทนที่ด้วยเรือสปีดโบ๊ทขนาดเท่ากัน เป็นไปตามยุคสมัยและไม่น่าแปลกใจสักนิด กรมเจ้าท่าเองยังใช้เรือแบบนี้ไล่จับผู้กระทำผิดในแม่น้ำโขง

http://www.div10.marine.police.go.th/index.php

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2020 เรือคอร์เวต CM-56 ARC Almirante Tono เดินทางมาถึงท่าเรือเมือง Cartagena ประเทศโคลัมเบียโดยสวัสดิภาพ ท่ามกลางการตอนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง นี่คือเรือรบลำใหม่ล่าสุดแห่งประเทศที่มี เรเน่ ฮิคิต้า ผู้รักษาประตูผู้ชอบออกมาไกลถึงครึ่งสนาม

เรือลำนี้คือเรือคอร์เวตชั้น Pohang Flight IV ลำแรกสุด ที่เกาหลีใต้บริจาคให้กับต่างชาติ เดิมชื่อเรือ ROSK Iksan PCC-768 เข้าประจำการปี 1987 ปลดประจำการปี 2018 ทันสมัยกว่าเรือที่บริจาคให้ฟิลิปปินส์ เวียดนาม หรืออียิปต์ ซึ่งเป็นรุ่นเก่ากว่าพอสมควร เรามาดูข้อมูลทั่วไปกันสักเล็กน้อย

ARC Almirante Tono มีระวางขับน้ำเต็มที่ 1,220 ตัน ยาว 88.3 เมตร กว้าง 10 เมตร กินน้ำลึก 2.9 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG ความเร็วสูงสุด 32 นอต ระยะปฏิบัติการ 4,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต

ข้อแตกต่างกับรุ่นเก่า Flight I ถึง III อยู่ที่ระบบเรดาร์และระบบอาวุธ โดยการโละระบบจากเนเธอร์แลนด์ทิ้งทั้งหมด หันมาใช้ระบบอำนวยการรบ wsa-423 combat system ซึ่งพัฒนาโดย Samsung Thales ประเทศเกาหลีใต้ ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลาง Marconi S1810 รุ่นส่งออกของอังกฤษ อยู่ในโดมสีขาวบนสุดเสากระโดงมองเห็นชัดเจน

อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรดาร์ควบคุมการยิง WM22 นะครับ เรือลำนี้ใช้เรดาร์ควบคุมการยิง Marconi ST1802 รุ่นส่งออกของอังกฤษจำนวน 2 ตัว สามารถควบคุมอาวุธปืนได้คล่องตัวกว่า WM22 เพียงตัวเดียวเหมือนรุ่นเก่า ทำให้เรือมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม

มาดูระบบอาวุธบนเรือคอร์เวตปราบเรือดำน้ำจากเกาหลีใต้กันต่อ ประกอบไปด้วยปืนใหญ่ 76/62 มม.จำนวน 2 กระบอกหน้า-หลัง สมัยอยู่เกาหลีใต้ติดปืนกล 40 มม.ลำกล้องแฝดอีก 2 กระบอกหน้า-หลัง ถือเป็นระบบป้องกันตนเองระยะประชิดที่ดีพอสมควร แต่พอมาอยู่กับโคลัมเบียปืนกล 40 มม.ถูกถอดออก แทนที่ด้วยปืนกล 20 มม.หกลำกล้องรวบที่เกาหลีใต้พัฒนาขึ้นเอง

ทำไมถึงเปลี่ยนปืนรอง? เรื่องนี้แอดไม่ทราบเหมือนกัน ดูเหมือนรางปล่อยระเบิดลึกท้ายเรือจะหายไปด้วย ปัจจุบันความสำคัญแทบไม่เหลือแล้วไม่มีก็งั้นๆ


อาวุธอย่างอื่นยังอยู่ครบถ้วนทั้งหมด ทั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสาม 2 แท่น และแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 ท่อยิง ซึ่งแอดเดาว่าเป็น SSM-700K Haeseong มากกว่า Harpoon เพราะโคลัมเบียซื้อมาใช้งานตั้งแต่ปี 2012 จำนวน 16 นัด ทำการทดสอบยิงไปแล้วประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา แหล่งข่าวส่วนใหญ่ในโคลัมเบียแจ้งเหมือนที่แอดเข้าใจเช่นกัน

การบริจาคเรืออาจเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อจรวดเพิ่มเติม เนื่องจากในปี 2011 หลังเซ็นสัญญาซื้อจรวด 16 นัด โคลัมเบียได้รับบริจากเรือคอร์เวตชั้น Donghae จำนวน 1 ลำ ปัจจุบันมีชื่อใหม่ว่า CM-55 ARC Nariño

เกาหลีใต้ยังเหลือเรือคอร์เวต ชั้น Pohang Flight IV ถึง Flight VI อีกพอสมควร โพรโมชันซื้ออาวุธแถมเรือยังสามารถใช้งานได้เรื่อยๆ เพื่อนสมาชิกคนไหนสนใจกรุณาติดต่อเกาหลีใต้โดยตรง ต้องขออภัยเรื่องความไม่สะดวก พอดีแอดไม่ใช่นายหน้าอดได้คอมมิชชันแย่จัง ~_^

https://thearchipielagopress.co/desde-corea-del-sur-llega-a-cartagena-el-arc-almirante-tono-destinado-a-la-armada-nacional-de-colombia/?fbclid=IwAR0pecQIVvKcMDSqG-SrNYM2v8yQkj2yZzwEesrkAM8k4hcgBGzE4WHwdVU

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

คืนนี้แอดพามาพบเรือรบประเทศไทยบ้าง ในภาพคือเรือ ล.122 กับ ล.141 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า 'เรือตรวจการณ์ลำน้ำแบบเก่า' หรือ รตล.ซึ่งก็คือแบบเรือ PBR MK2 ได้รับความนิยมใช้งานแพร่หลายทั่วโลก

กองเรือลำน้ำ กองเรือยุทธการมีใช้งานจำนวน 39 ลำ ปัจจุบันมีการจัดหาเรือรุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน ไม่ทราบเหมือนกันยังหลงเหลือปฏิบัติงานอีกหรือไม่ เนื่องจากใช้งานมาอย่างยาวนาน 30 ปีขึ้นไป รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ยกเลิกสายการผลิตไปแล้ว

PBR MK2 ตัวเรือทำจากไฟเบอร์กลาสเคลือนเรซิ่น ระวางขับน้ำ 8 ตัน ยาว 9.6 เมตร กว้าง 3.5 เมตร กินน้ำลึกสุด 0.6 เมตรที่ท้ายเรือ ความเร็วสูงสุด 25 นอต ความเร็วเดินทาง 20 นอต ระยะปฏิบัติการณ์ 150 ไมล์ทะเล ใช้นายทหาร 1 นายกับทหารชั้นประทวน 4 นาย

อาวุธบนเรือประกอบไปด้วย ปืนกล 12.7 มม.แท่นคู่ 1 แท่นที่หัวเรือ ปืนกล 12.7 มม.แท่นเดี่ยว 1 แท่นที่ท้ายเรือ ปืนกล 7.62 มม.อีก 2 กระบอกสองกราบเรือ เครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม.กับ 60 มม.อย่างละ 1 กระบอก จำนวนอาวุธค่อนข้างมากเพราะต้องใช้งานในที่เสี่ยงภัย

อุปกรณ์สื่อสารบนเรือประกอบไปด้วย เครื่องรับ-ส่งวิทยุแบบ AN/VRC-46 จำนวน 2 เครื่อง โดยในภาพเรือ ล.122 ติดเรดาร์เดินเรือสีขาวของ Raytheon จำนวน 1 ตัว ขณะที่เรือล.141 ติดเรดาร์เดินเรือสีดำไม่ทราบยี่ห้อ 1 ตัวเช่นกัน ที่เห็นผมสีทองสวมแว่นดำทหารอเมริกานะครับ ส่วนพวกเขามาฝึกซ้อมอะไรนั้นแอดไม่ทราบจริงๆ

PBR MK2 สามารถขนส่งทหารได้จำนวน 10 ถึง 15 นาย ต้องเบียดๆ กันหน่อยเพราะพื้นที่โดยสารมีไม่มาก หลังการใช้งานมาอย่างยาวนานพอได้ข้อสรุปว่า เรือไม่เหมาะสมกับภารกิจปฏิบัติการตามลำน้ำในยุคปัจจุบัน ไม่สามารถรับ-ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษหรือ ชปพ.ได้ และที่สำคัญระยะปฏิบัติการณ์ค่อนข้างสั้นมาก

เรือลำใหม่ที่เข้ามาทดแทนถูกปรับปรุงจุดอ่อน สามารถทำภารกิจได้ดีกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่เชื่อแอดเถอะไม่มีเรือตรวจการณ์ลำน้ำลำไหน เป็นที่นิยมแพร่หลายมีผู้คนรู้จักทั่วโลกเท่าเรือ PBR MK2 ลำนี้ นอกจากประเทศไทยในอาเซียนยังมีอีก 3 ชาติเคยใช้งาน ประกอบไปด้วย เวียดนามใต้ ราชอาณาจักรลาว และสาธารณรัฐเขมร ทว่าปัจจุบันไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว ทั้งเรือตรวจการณ์ลำน้ำก็ดีประเทศเพื่อนบ้านก็ดีล้วนหายเรียบ

https://uk.wikipedia.org/wiki/%D0%A4%D0%B0%D0%B9%D0%BB:Royal_Thai_Navy_Riverine_Sailors_on_patrol_boats.jpg?fbclid=IwAR2pfRG1rReIGWxIbOKrIgitxH3dbrwukCBY4JrOKpSwSLPnhY_MLVbNKa0

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

วันที่ 22 พฤศจิกายน 1980 หรือยัอนกลับไป 40 ปีที่แล้ว เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงขนาดใหญ่ Chinook HC1 ซึ่งมีชื่อเรียกขานฝูงบินว่า Bravo November ได้ถูกส่งมอบให้กองทัพอากาศอังกฤษเป็นลำแรก

ปี 1978 อังกฤษสั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้เฟสแรกจำนวน 13 ลำในวงเงิน 200 ล้านเหรียญ นำมาทดแทน Westland Wessex ซึ่งแก่ชราภาพและขนาดเล็กกว่ากัน 4 ปีต่อมาพวกเขายังสั่งซื้อเพิ่มอีก 8 ลำ โดยใช้เครื่องยนต์เดิมปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้นเล็กน้อย


เข้าประจำการเพียงหนึ่งปีครึ่งก็เจองานใหญ่ สงครามฟอคแลนด์ Bravo November เข้าร่วมแนวหน้าอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เคยทำสถิติขนทหาร 81 นายไปส่งยังที่หมาย แบกมากกว่าปรกติถึงสองเท่าแต่เอาตัวรอดสำเร็จ นี่คือสถิติโลกที่ยังอยู่ยงคงกระพันจนถึงทุกวันนี้ เคยทำภารกิจกลางคืนแล้วกล้องนักบินมีปัญหา เกือบบินตกทะเลแต่ยังเอาตัวรอดสำเร็จอีกครั้ง

ในสงครามฟอคแลนด์ Chinook ทำภารกิจมากมาย ทั้งลำเลียงทหาร 1,530 นายขึ้นฝั่ง ลำเลียงยุทธปัจจัย 600 ตันขึ้นฝั่ง รวมทั้งเชลยศึกอาเจนตินาอีก 650 คนไปที่ที่ควรไป โดยในภาพกำลังช่วยแบก Westland Wessex เสียหายกลับมาส่งเรือ พูดๆ ง่ายว่า Chinook เป็นทุกอย่างให้คุณแล้ว

ถึงดีแค่ไหนแต่  Bravo November ไม่รอดพ้นความเสียหาย เมื่อเรือลำเลียงขนาดใหญ่ Atlantic Conveyer ถูกโจมตีด้วยจรวด Exocet กระทั่งจมลงในเวลาต่อมา เฮลิคอปเตอร์ Chinook 3 ลำต้องจมทะเลพร้อม Westland Wessex 6 ลำและ Westland Lynx อีก 1 ลำ แต่ไม่มีเครื่องบินโจมตี Harrier GR.3 จมด้วยนะครับ เพราะนักบินจากฝูงบิน 809 บินไปขึ้นเรือบรรทุกเครื่องบินก่อนเรือถูกยิง เรื่องนี้แอดเคยเขียนถึงนานมาแล้วในบทความThe Ultimate Harrier

40 ปีผ่านไปอังกฤษมี Chinook ประจำการมากกว่า 60 ลำ ปี 2018 เพิ่งสั่งเพิ่มอีก 16 ลำ ถือเป็นกระดูกสันหลังในการทำภารกิจลำเลียงพล และจะเป็นต่อไปอีกเรื่อยๆ อย่างน้อยที่สุด 20 ปีเต็ม

https://www.raf.mod.uk/news/articles/chinook-arrival-with-royal-air-force-remembered/?fbclid=IwAR0vUJgqwXDZkg3Gvfch6ozSn1DlqHda2mLJPbArZlS1cLD3axcSKWMIOWo

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

RFA Argus (A135) คือเรือช่วยรบขนาดใหญ่ของอังกฤษ เคยผ่านสงครามฟอคแลนด์ เคยผ่านสงครามอ่าวเปอร์เซีย เคยทำภารกิจมากมาย และเคยเป็นเรือฝึกถึง 4 ปีเต็ม เรือลำนี้เป็นทุกอย่างให้ Royal Navy พวกเขามีแผนปลดประจำการในปี 2024 ทว่าเรื่องราวของเธอยังคงโลดโผนโจนทะยานไม่หยุด

RFA Argus ระวางขับน้ำ 28,081 ตัน ยาว 175.1เมตร กว้าง 30.4 เมตร กินน้ำลึก 8.1 เมตร มีปืน 20 มม.GAM-BO1 เพียง 2 กระบอกไว้ป้องกันตัว กับปืนกล 7.62 มม.อีก 4 กระบอก มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบไม่เต็มลำ มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ใต้ดาดฟ้าเรือ พร้อมลิฟท์ขนาดใหญ่พอสมควร ภาพรวมเรือดูขี้เหร่ในสายตาแฟนคลับชาวไทยทุกราย แต่ดูบนลานจอดของเธอสิครับ...เป็นอะไรที่น่าดูชมมาก

นอกจากสัมภาระจำนวนมาก มีรถบรรทุกหลายคัน รวมทั้งตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ยังมีเรือยางท้องแข็งขนาดใหญ่ติดเพิ่มเติมขวามือในภาพ ด้วยเหตุจำเป็นต้องใช้งานในภารกิจปัจจุบัน อากาศยานบนเรือประกอบไปด้วย เฮลิคอปเตอร์ Wildcat เฮลิคอปเตอร์ Merlins และเฮลิคอปเตอร์ Chinook ขนาดใหญ่ท้ายเรือ ซึ่งแวะมาเยี่ยมเยียนไม่ได้ประจำการแบบสองลำแรก

ภาพนี้เพิ่งถ่ายไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในทะเลแคริบเบี้ยนสถานที่ทำงานแห่งใหม่ RFA Argus ได้รับคำสั่งใหตามไล่ล่ายาเสพติด ที่มีการขนส่งผ่านทะเลย่านนี้แบบโจ๋งครึ่ม ก่อนเดินทางมาถึงคนเสพริมถนนกรุงลอนดอน จึงมีการติดเรือยางท้องแข็งเพิ่มเติม

และในวันนี้มีข่าวใหญ่จากอังกฤษ RFA Argus พร้อมเจ้าหน้าที่คอมมานโดบนเรือ (ขนไปด้วย 47 นาย พร้อมเฮลิคอปเตอร์หลายลำ) สามารถยึดโคเคนจำนวนมากจากกลางทะเลลึก มูลค่าเฉพาะครั้งนี้อยู่ที่ 120 ล้านปอนด์ และถ้านับรวมตั้งแต่เริ่มภารกิจประจำปี 2020 โดยมีหน่วยยามฝั่งอเมริกากับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำใหม่เอี่ยม HMS Medway ช่วยกันทำงาน (แอดเคยลงข่าวไปแล้วครั้งหนึ่ง) มูลค่ารวมของยาเสพติดถ้าหลุดไปถึงอังกฤษ จะอยู่ที่ประมาณ  357 ล้านปอนด์กันเลยทีเดียว แม่เจ้า!!

เรือฟริเกต Type 31e ขนาด 5,700 ตันราคาลำละ 250 ล้านปอนด์ ยาเสพติดที่ยึดสำเร็จสามารถซื้อเรือได้ถึง 1.39 ลำ นี่คือเหตุผลที่อังกฤษออกไปรบนอกบ้าน ขอใช้คำเดิมที่เคยเขียนไปแล้วอีกครั้ง เพราะเป็นคำพูดที่เหมาะสมมากที่สุด

                การผจญภัยของ RFA Argus ยังไม่เสร็จสิ้น ลองทายกันเล่นๆ ไหมครับ เมื่อเธอกับคู่หูเดินทางกลับแผ่นดินแม่ ตัวเลขอย่างเป็นทางการจะหยุดอยู่ที่เท่าไร ~_

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2020 บริษัท Thales ได้แถลงข่าวว่า ระบบปืนกล 40 มม.RAPIDFire ที่ตัวเองกับ Nexter พัฒนาร่วมกัน ถูกคัดเลือกจากหน่วยงานจัดหาอาวุธกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศส ให้นำมาติดตั้งบนเรือรบรุ่นใหม่ในอนาคต (ใช่สิ...บริษัทฝรั่งเศสทั้งคู่นี่นา)

RAPIDFire รุ่นใช้งานทางทะเลหรือมีชื่อใหม่ว่า T40aa ใช้ปืน 40 มม.รุ่นใหม่พัฒนาร่วมกันระหว่าง Nexter ฝรั่งเศสกับ BAE อังกฤษ ใช้กระสุนปืนรุ่นใหม่แบบไร้ปลอก ระยะยิงหวังผลผิวน้ำ 4 กิโลเมตรทางอากาศ 2.5 กิโลเมตร อัตรายิงสูงสุด 200 นัดต่อนาที น้ำหนักรวมทั้งระบบประมาณ 3 ตัน (หนักแฮะ) บรรจุกระสุนพร้อมยิงในป้อมปืนจำนวน 140 นัด โดยมีระบบควบคุมการยิงติดอยู่บนป้อมปืนเลย

ปืนรุ่นใหม่ยิงได้ทั้งเป้าผิวน้ำ เป้าบนฝั่ง เป้าบนอากาศ รวมทั้งอากาศยานไร้คนขับที่หลายคนหวาดเกรงสุดหัวใจ แต่บริษัทผู้ผลิตยังไม่เคยพูดถึงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบนะครับ ในภาพกราฟิกก็ยังไม่มีไม่เหมือนของสวีเดน ฉะนั้นแอดขอละไว้ก่อนไม่กล้าโม้เกินหน้าเกินตา

ตั้งแต่ปี 2019 ปืนกล 40 มม.ได้รับความนิยมอีกครั้ง เริ่มจากทัพเรือออสเตรเลียซื้อปืนกล 40 มม.รุ่นใหม่อิตาลี มาติดบนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งยาว 80 เมตรแบบเรือเยอรมันจำนวน 12 ลำ ต่อด้วยอังกฤษอุดหนุนสวีเดนซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ซื้อปืน Bofor 40 mk4 มาติดบนเรือฟริเกต Type-31e จำนวน 5 ลำลำละ 2 กระบอก ฝรั่งเศสเป็นชาติใหญ่อันดับสามที่เริ่มจัดหามาใช้งาน บนเรือตรวจการณ์ใหม่เอี่ยมของตัวเอง

เรือมีระวางขับน้ำ 2,000 ตัน ยาวประมาณ 90 เมตร ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการณ์ 5,500 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้ติดต่อกันนานสุด 40 วัน ที่น่าสนใจมากที่สุดของเรือลำนี้ก็คือ ในเอกสารเขียนอายุการใช้งานอย่างชัดเจนว่า 35 ปี (WOW!!) ส่งมอบระหว่างปี 2025-2029 รวมทั้งสิ้น 10 ลำ ตีความง่ายๆ ส่งมอบปีละ 2 ลำ ฉะนั้นมูลค่าการจัดหาย่อมถูกกว่าซื้อเรือทีละ 1 ลำอย่างแน่นอน

แม้แบบเรือยังไม่ชัดเจนก็จริง แต่เวลาส่งมอบกลับชัดเสียยิ่งกว่าชัด ผู้ใช้งานสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ผู้ผลิตสามารถวางแผนตัวเองได้เช่นกัน มีแต่ข้อดีเยอะแยะแบบนี้ไทยแลนด์ควรทำตามบ้างเน่อ

https://defence-blog.com/news/future-french-navy-vessels-will-receive-new-generation-of-artillery.html?fbclid=IwAR3YMc1gV5ApmFl4ugOUKh1OUGBGIjg_HlhVUD3T_S4xfJ3LyocvdtRBw3E

https://www.navalnews.com/event-news/euronaval-2020/2020/10/euronaval-first-details-of-the-patrouilleurs-oceanique-po-platform-unveiled/?fbclid=IwAR2lmoUZWD5ibIpBkooo_vxDNOoqwFFeZFiy90UG-vHHKBFnFBcyTIQnc-k

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

วันนี้กลับมาที่เรือดำน้ำอีกครั้ง ในภาพคือเรือชั้น Type 209/1400mod ลำที่สี่ของกองทัพเรืออียิปต์ เรือสามลำแรกส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ส่วนลำนี้จะไปถึงมือลูกค้าปีหน้าตามแผน เรือมีระวางขับน้ำ 1,594 ตันขณะดำ ยาว 61.2 เมตร กว้าง 6.18 เมตร ดำน้ำลึกสุด 250 เมตร มีท่อยิงตอร์ปิโด 533 มม.8 ท่อยิง นำตอร์ปิโดไปด้วยมากสุด 14 นัด ความเร็วสูงสุด 21 นอต ระยะปฏิบัติการณ์ไกลสุด 11,000 ไมล์ทะเล นี่คือเรือดำน้ำโจมตีเครื่องยนต์ดีเซลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่ง

แม้แบบเรือพัฒนามาจากเรือดำน้ำรุ่นเก่า แต่ได้รับการติดอุปกรณ์ทันสมัยล้นลำ โดยเฉพาะระบบโซนาร์จัดเต็มกันเลยทีเดียว มีทั้งโซนาร์หัวเรือ โซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิด โซนาร์ flank array สองกราบเรือทำงานร่วมกับ passive ranging sonar อีก 6 จุด ไม่มีระบบ AIP มิตรรักแฟนเพลงชาวไทยคงร้องยี้ แต่โดยส่วนตัวแอดว่าเหมาะสมกับเรามากที่สุดลำหนึ่ง

มีข้อถกเถียงเล็กน้อยว่า...ทำไมอียิปต์ซื้อเรือดำน้ำรุ่นเก่า ทั้งที่มี Type 214 วางขายตั้งนานแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะดีลนี้ค่อนข้างยาวนาน ประธานาธิบดีฮอสนี่ มูบารัค สั่งซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำปลายปี 2010 และด้วยปัญหามากมายจึงใช้เวลายาวนานพอสมควร เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ Type 209 มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำ อายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม อียิปต์เคยมีปัญหาความพร้อมรบสมัยใช้เรือดำน้ำจีน Type 209 จะช่วยเติมเต็มและแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุดเป๊ะๆ

https://www.kn-online.de/Nachrichten/Wirtschaft/Kiel-Werft-TKMS-bringt-U-Boot-fuer-Aegypten-zu-Wasser

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++

 

วันนี้มีข่าวสั้นจากประเทศอังกฤษ บริษัท BAE ได้สัญญาจัดหาอาวุธปืนให้กับโครงการเรือฟริเกต Type 31ของตัวเองจำนวน 5 ลำ โดยลำแรกจะพร้อมเข้าประจำการในปี 2027 เรือฟริเกตลำนี้แอดเคยเขียนถึงไปแล้วเช่นกัน เพื่อนคนไหนอยากอ่านเชิญได้เลยครับ

https://thaimilitary.blogspot.com/.../type-31e-general...

กลับมาที่ข่าวสั้นอีกครั้ง ในสัญญาประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ Bofors 57 Mk3 จำนวน 5 กระบอก มีอัตรายิงเร็วสุด 220 นัดต่อนาที กับปืนกล Bofors 40 Mk4 จำนวน 10 กระบอก อัตรายิงเร็วสุด 300 นัดต่อนาที เพราะฉะนั้นเรือ 1 ลำจะมีปืนใหญ่ 57 มม.1 กระบอก กับปืนกล 40 มม.2 กระบอกเป๊ะๆ

Type 31 ถือเป็นเรือฟริเกตลำแรกของราชนาวีอังกฤษนับจากเรือฟริเกต Type 22 ที่ไม่ใช้งานปืนกล 30 มม.ซึ่งผลิตเองภายในประเทศ (รุ่นที่พัฒนามาเรื่อยๆ จนเป็น DS+30MR ในปัจจุบัน) ถือเป็นเรือฟริเกตลำแรกที่ใช้งานปืนใหญ่ Bofors 57 มม.รวมทั้งถือเป็นเรือฟริเกตลำแรกตั้งแต่เรือชั้น Type 12I หรือเรือชั้น Leander ที่กลับมาใช้งานปืนกล Bofors 40 มม.อีกครั้ง โดยครั้งนี้ใช้ลำกล้องปืนรุ่นเดิมแต่ทันสมัยมากกว่าเดิม

                ทั้งปืนใหญ่ 57 มม.กับปืนกล 40 มม. เคยเป็นของสวีเดนแต่ตอนนี้อยู่ในเครือ BAE อังกฤษเสียแล้ว ปืนรุ่นใหม่มีความทันสมัยมากกว่าเดิม ตวมทั้งมีระบบ Programmable 3P ammunition ให้เลือกใช้งาน

3P ammunition คืออะไร? คือการตั้งวิธีจุดชนวนกระสุนปืนแต่ละนัด ให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่ต้องการทำลายอย่างสะดวกรวดเร็ว สามารถเลือกวิธีตั้งชนวนได้ถึง 6 แบบ ตั้งแต่ใช้ยิงจรวดต่อสู้เรือรบ ยิงเครื่องบิน ยิงเฮลิคอปเตอร์ ยิงเรือลำใหญ่ ยิงเรือยางลำเล็ก รวมทั้งยิงยานหุ้มเกราะบนชายฝั่งโน่น กระสุนปืน 40 มม.หนัก 2.5 กิโลกรัม ส่วนกระสุนปืน 57 มม.หนัก 6.1 กิโลกรัม ปืนทั้งสองชนิดอยู่ในความดูแลของ BAE System เป็นเรื่องง่ายในการจัดหามาใช้งานหรือพัฒนาเพิ่มเติม

วิธีการตั้งชวนกระสุนปืนทำได้อย่างง่ายดาย พลยิงตั้งชนวนกระสุน 3P ด้วยการกดปุ่ม แล้ว Fire Control Computer จะสั่งให้อุปกรณ์จัดการโดยอัตโนมัติ มีอุปกรณ์ในป้อมปืนยื่นมาจัดการตั้งชนวนที่หัวกระสุน โดยต้องเป็นกระสุน 3P เท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้ เมื่อยิงเฮลิคอปเตอร์ร่วงแล้วผู้อ่านอยากยิงเรือหางยาวต่อ ผู้อ่านก็แค่กดปุ่มเลือกให้ระบบช่วยทำการเปลี่ยนให้

ปืน 2 รุ่นนี้เหมาะสมกับราชนาวีไทยไหม?? ส่วนตัวแอดชอบปืน 40 มม.มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าเพ่งมองไปที่เรือฟริเกต เรือคอร์เวต รวมทั้งเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ยังคิดว่าใช้ 76/62 มม.กับ 30 มม.เหมือนเดิมดีกว่า ปืน 57 มม.ไม่ได้เกิดในบ้านเราแน่ๆ ส่วนปืน 40 มม.ถ้าจะจัดหามาใช้งานจริงๆ อาจนำมาใช้บนเรือ LPD กับเรือตรวจการณ์ขนาด 50 เมตร ทดแทนปืนใหญ่ 76/62 มม.ราคาแพงก็คงพอไหวน่า

แต่ไม่มีก็เฉยๆ ครับ ถ้าติดจรวด ESSM หรือ Phalanx ค่อยตื่นเต้นหน่อย

http://www.navyrecognition.com/index.php/news/defence-news/2020/october/9061-bae-systems-awarded-naval-guns-contract-for-royal-navy-type-31-frigate-program.html?fbclid=IwAR0grn2eymaSi8eNSsOQ5hEYYQbgNDWihzmsaIO7BuXqzBxBJU27We2A_Nc

 

                                ++++++++++++++++++++++++++++++


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น