วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2563

Ecuadorian Navy 2020

 

กองทัพเรือเอกวาดอร์ในปี 2020

สาธารณรัฐเอกวาดอร์เป็นประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป พรมแดนทางเหนือติดโคลอมเบีย ทิศตะวันออกกับทิศใต้ติดเปรู ทิศตะวันตกเป็นชายฝั่งติดมหาสมุทรแปซิฟิก ประชากรทั้งประเทศมีประมาณ 17 ล้านคน รายได้ต่อหัวในปี 2018 อยู่ที่ 6,344.87 ดอลลาร์ เทียบกับประเทศไทยที่ 7,273.56 ดอลลาร์ไม่แตกต่างเท่าไร รายได้หลักมาจากวงการปิโตรเลียม สามารถผลิตน้ำมันได้เกือบ 550,000 บาร์เรลต่อวัน

                ปี 2018 เอกวาดอร์มีมูลค่า GDP 3.2 ล้านล้านบาท มีหนี้สาธารณะของประเทศเท่ากับ 45.2 เปอร์เซ็นต์ของ GDP เงินทุนสำรองลดจาก 185,000 ล้านบาทเหลือเพียง 83,000 ล้านบาท ต้องกู้ยืมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ 128,000 ล้านบาท เอกวาดอร์ยังประสบปัญหาโควิด 19 ชนิดหนักหนาสาหัส รัฐบาลล้มเหลวในการจัดการเหตุฉุกเฉินทางสาธารณสุข

ประเทศนี้มีปัญหาภายในเยอะมาก แต่เอกวาดอร์มีพื้นที่ติดทะเลถึงสองส่วนห้า จำเป็นต้องมีกองทัพเรือไว้คอยดูแลป้องกัน บทความนี้จะพูดราชนาวีเอกวาดอร์ครับ อดีตเขามีแนวทางใช้กำลังแบบไหน และในอนาคตเขาเพ่งมองไปทางไหน

เรือฟริเกต

            ราชนาวีเอกวาดอร์มีเรือฟริเกตชั้น Leander Batch III หรือ Type 12I จำนวนสองลำ ประกอบไปด้วย BAE Eloy Alfaro (FM-01) และ BAE Morán Valverde (FM-02) ระวางขับน้ำปรกติ 2,500 ตัน ยาว 113 เมตร กว้าง 12 เมตร กินน้ำลึก 5.5 เมตร ติดตั้งปืนใหญ่ 4.5 นิ้วลำกล้องแฝด 1 กระบอก ใช้เรดาร์ควบคุมการยิง ELM-2221 STGR ของอิสราเอล ติดตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสาม 2 แท่นยิง อาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet จำนวน 4 นัด ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx 1 ระบบ พร้อมระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ELTA 905 จากอิสราเอล


                ผู้อ่านอาจรู้สึกคุ้นตาอย่างไรพิกล ทั้งนี้เนื่องมาจากเป็นเรือมือสองจากชิลี ต้นสายปลายเหตุเกิดจากการล่มสลายของโครงการ Tridente Frigate ปลายปี 2000 ทำให้ชิลีต้องปรับปรุงเรือเก่าชนิดจัดหนักจัดเต็ม ต่อมาในปี 2007 ชิลีได้เรือฟริเกตใหม่แต่มือสองประจำการครบ 8 ลำ เรือฟริเกตชั้น Leander เพิ่งปรับปรุงใหม่กลายเป็นส่วนเกิน จำเป็นต้องปลดประจำการอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนั้นเองประธานาธิบดี Rafael Correa ของเอกวาดอร์ ยื่นข้อเสนอขอซื้อเรือฟริเกตแลกกับน้ำมัน

                ใช่แล้วครับเรือฟริเกตมือสองแลกกับน้ำมัน

อ่านไม่ผิดหรอกครับเรือฟริเกตมือสองแลกกับน้ำมัน

                เหตุผลที่เอกวาดอร์สนใจเรืออายุ 33 ปีมีด้วยกันสองประการ หนึ่งเรือลำนี้เพิ่งปรับปรุงใหม่ได้เพียงไม่นาน มีการซ่อมเครื่องยนต์หลักให้มีสภาพเหมือนใหม่ ส่งผลให้เรือมีอายุการใช้งานไปอีก 15-20 ปี ชิลีกับเอกวาดอร์มีความรักใคร่ชอบพอกันมานาน ทั้งสองประเทศไม่กินเส้นกันเปรูเหมือนๆ กัน การเจรจาซื้อขายเรือจึงเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น

                มีนาคม 2008 เรือฟริเกตทั้งสองลำถูกขายให้กับเอกวาดอร์ ในวงเงิน 28 ล้านเหรียญหรือลำละ 14 ล้านเหรียญเท่านั้น ราคาถูกกว่าระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx ใหม่เอี่ยม ซึ่งมีราคาอยู่ที่ประมาณ 16-18 ล้านเหรียญ ถัดมาเพียงหนึ่งเดือน BAE Eloy Alfaro (FM-01) และ BAE Morán Valverde (FM-02) เข้าประจำการพร้อมทำหน้าที่ มาครบทุกอย่างรวมทั้งระบบสื่อสารและ Phalanx CIWS ที่ว่ากันว่าเป็นของมือสองจากอิสราเอลการช่าง

เอกวาดอร์ใช้อาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet เหมือนชิลีอยู่แล้ว ทำให้เรือแทบไม่ต้องปรับปรุงสิ่งใดเพิ่มเติม นอกจากติดอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานนำวิถีความร้อนระยะใกล้รุ่น Mistral ใช้แท่นยิงแฝดสองรุ่น Simbad ซึ่งต้องใช้พลยิงควบคุมไม่ใช่รีโมทเหมือนรุ่นใหม่ ผู้เขียนขอสารภาพว่าหา Simbad ไม่เจอเนื่องภาพไม่ค่อยชัดเจน

เหตุผลข้อที่สองที่เอกวาดอร์ซื้อเรือฟริเกตจากชิลี เพราะก่อนหน้านี้เขามีเรือฟริเกตมือสอง Leander Batch II จากอังกฤษจำนวน 2 ลำ สภาพค่อนข้างโทรมเครื่องยนต์ใกล้กลับบ้านเก่า ค่าใช้จ่ายในการออกเรือแต่ละครั้งค่อนข้างสูง เรือจากชิลีสามารถตอบโจทย์ได้อย่างถูกต้อง หนึ่งราคาถูกแต่ได้เรือทันสมัยกว่าเดิม สองลูกเรือใช้เวลาปรับตัวค่อนข้างสั้น สามอะไหล่หลายอย่างใช้งานร่วมด้วยกันได้ สี่อุปกรณ์บนท่าเรือไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ ห้าค่าใช้จ่ายน้อยลงตามสภาพเครื่องยนต์หลัก

เรือเก่าทั้งสองลำชื่อ BAE Eloy Alfaro (FM-01) และ BAE Morán Valverde (FM-02) เช่นเดียวกัน ในภาพคือเรือฟริเกต BAE Morán Valverde (FM-02) ปลดประจำการปี 2008 หลังได้รับเรือใหม่ ติดอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38 Exocet จำนวน 4 นัด กระบอก อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seacat แฝดสี่ 1 แท่นยิง ในภาพถูกถอดออกแล้วเพราะจรวดหมดอายุ รวมทั้งตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสาม 2 แท่นยิง ซึ่งมีการปรับปรุงติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามา เนื่องจากของเดิมอังกฤษใช้จรวดปราบเรือดำน้ำ Limbo เหมือนเรือหลวงมกุฏราชกุมาร ล้าสมัยเกินไปในปี 1991 ที่เรือเข้าประจำการ

มีเรื่องแปลกให้ปวดหัวเล่นก็คือ เรือใช้เรดาร์ตรวจการณ์ผิวน้ำรุ่น Type 992 ซึ่งทันสมัยน้อยกว่า Type 993Q บนเรือลำใหม่ เข้าใจว่าอังกฤษเปลี่ยนเรดาร์ให้ตอนขายเรือ เพราะปรกติเรือฟริเกตรุ่นนี้ใช้เรดาร์ Type 993Q เป็นส่วนใหญ่ เห็นอย่างชัดเจนว่าเรือใหม่มีรูปทรงเหมือนเรือเก่า แต่ติดอาวุธและระบบเรดาร์ทันสมัยกว่ากันพอสมควร

เรือมือสองจากอังกฤษมีอายุประจำการ 15 ปีกับ 17 ปี ส่วนเรือมือสองจากชิลีตอนนี้ใช้มาแล้ว 12 ปี เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่น่าจะอยู่ได้อีกสักพักหนึ่ง ฉะนั้นภายใน 5 ถึง 10 ปีเอกวาดอร์ต้องซื้อเรือฟริเกตลำใหม่

แอดขอเปรียบเทียบเพื่อความสนุกสนาน ระหว่างราชนาวีเอกวาดอร์กับราชนาวีไทย (อย่าคิดมากครับแค่พอขำๆ) ระบบป้องกันตนเองระยะประชิดทำงานอัตโนมัติ (รุ่นใช้พลยิงควบคุมผู้เขียนขอไม่นับนะครับ ปัดไปเป็นปืนหลักกับปืนรองอย่าว่ากันเด้อ) เอกวาดอร์มี Phalanx 2 ระบบ ส่วนไทยมี 1 ระบบบนเรือหลวงภูมิพล (เรือหลวงพุทธทั้ง 2 ลำปลดประจำการแล้ว ส่วนเรือชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์มีแต่จุดติดตั้ง) เพราะฉะนั้นเราโดนนำเขาไปแล้ว 1 คะแนน

เรือคอร์เวต

            เรือคอร์เวตติดอาวุธครบ 3 มิติมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ คือความใฝ่ฝันของหลายชาติที่มีงบประมาณจำกัด เพราะสามารถจัดหามาใช้งานในปริมาณมากเพียงพอ ค่าใช้จ่ายในการใช้งานไม่แพงเลือดสาดเหมือนเรือฟริเกต ปี 1978 เอกวาดอร์สั่งซื้อเรือคอร์เวตจำนวน 6 ลำ จากอู่ต่อเรือ Cantieri Navali Riuniti หรือ CNR โดยใช้แบบเรือ Type 550 เหมือนเรือคอร์เวตชั้น Laksamana มาเลเซีย แต่มีความแตกต่างเรื่องรายละเอียดเล็กน้อย เรือทุกลำเข้าประจำการระหว่างปี 1982 ถึง 1984  

เรือคอร์เวตชั้น Esmeraldas ระวางขับน้ำ 650 ตัน ยาว 62.3 เมตร กว้าง 9.3 เมตร กินน้ำลึก 2.9 เมตร ความเร็วสูงสุด 37 นอต ระยะปฏิบัติการณ์ไกลสุด 4,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 นอต ติดปืนใหญ่ 76/62 มม.1 กระบอก ปืนกล 40/70 มม.ลำกล้องแฝด 1 กระบอก อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน  Aspide จำนวน 4 นัด อาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet  จำนวน 6 นัด และตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Whitehead A244 จำนวน 6 นัด


ในภาพนี้คือเรือชื่อ CM-13 Los Rios ติดจรวด Aspide เพียง 2 ท่อยิง และจรวด MM40 Exocet เพียง 3 ท่อยิง เรือชั้นนี้ทำงานร่วมกับเฮลิคอปเตอร์ Bell 206 JetRanger จำนวน 3 ลำ และ Bell TH-57 SeaRanger อีก 3 ลำ สังเกตนะครับว่าเรือไม่มีปล่องระบายความร้อน และไม่ได้ทาสีกราบเรือเป็นสีดำแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่เป็นแบบเรือจากยุค 70 แปลกดีไหมครับ

แม้เป็นเรือขนาดเล็กแต่ติดอาวุธครบ 3 มิติ รวมทั้งเรดาร์ตรวจการณ์ RAN-10S (ซึ่งจีนซื้อลิขสิทธิไปผลิตและติดตั้งบนเรือหลวงนเรศวรกับตากสิน ปัจจุบันมีใช้งานบนเรือหลวงกระบุรีและสายบุรี รวมทั้งมีใช้งานบนเรือคอร์เวต Type-056 ของจีน ที่มิตรรักแฟนเพลงชาวไทยอยากได้เหลือเกิน) เรือยังติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง Selenia Orion 10X ถึง 2 ตัว สามารถยิงจรวด Aspide พร้อมกันสองทิศทางได้ มีโซนาร์หัวเรือ Thomson Sintra Diodon ใช้ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ELT 211 ESM กับ ELT 318 ECM พร้อมระบบเป้าลวง SCLAR 105 รุ่นหกท่อยิงบนหลังคาสะพานเดินเรือ

ภาพนี้มาจากงาน Open House ต้นเดือนพฤษจิกายน 2000 เทียบได้กับงานวันเด็กบ้านเรานั่นแหละครับ เรือคอร์เวตในภาพชื่อ CM-12 Manabí ติดท่อยิงจรวด Aspide ครบ 4 ท่อนัด มองเห็นโดม ELT 828 ลูกกลมๆ ซึ่งเป็นจานส่งสัญญาณระบบก่อกวนเรดาร์ ELT 318 ECM เรือหลวงมกุฏราชกุมารกับเรือชั้นเรือหลวงชลบุรีมีระบบนี้ใช้งานเช่นกัน

บนลานมีเฮลิคอปเตอร์ Bell 206 JetRanger พร้อมทุ่นลอยน้ำที่ฐานสกี ผูกมัดไว้อย่างดีป้องกันการพลัดหล่นทะเล แต่อย่างที่รู้เรือลำนี้ขนาดไม่ใหญ่เท่าไร เหมาะสมกับภารกิจไม่ไกลจากชายฝั่งสักเท่าไร ถ้าออกทะเลลึกคงทำได้แค่ลานจอดรับส่งชั่วคราว จานส่งสัญญาณเรดาร์ควบคุมการยิง Selenia Orion 10X ค่อนข้างบาง แต่ใช้งานได้จริงก็เอาเถอะไม่ว่ากัน

เรือคอร์เวตชั้น Esmeraldas ถือเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพเรือ รวมทั้งเคยสวมบทบาทผู้เสียสละในปี 1991 เมื่อกองทัพเรือซื้อเรือฟริเกต Leander Batch II จำนวน 2 ลำจากอังกฤษ เรือคอร์เวต 2 ลำต้องเสียสละแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำให้ ต่อมาอีก 17 ปีเรือฟริเกตปลดประจำการ แท่นยิงตอร์ปิโดได้กลับคืนสู่สถานที่ที่ตัวเองจากมา

เรือทุกลำถูกซ่อมบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพดี โดยเฉพาะในปี 2017 ถึง 2018 เรือ 3 ลำชื่อ CM-12 Manabí CM-13 Los Ríos และ CM-16 Loja ถูกปรับปรุงใหญ่โดยอู่ต่อเรือภายในประเทศในวงเงิน 71 ล้านเหรียญ โดยการซ่อมคืนสภาพให้เหมือนเรือใหม่มากที่สุด รวมทั้งติดตั้งระบบอำนวยการรบ Orion ซึ่งเอกวาดอร์พัฒนาเอง

ถูกต้องครับผมเอกวาดอร์พัฒนาระบบอำนวยการรบขึ้นมาเอง

จริงแท้แน่นอนเอกวาดอร์พัฒนาระบบอำนวยการรบขึ้นมาเอง

นี่คือภาพเรือ CM-13 Los Ríos หลังการปรับปรุงเสร็จแล้ว เรดาร์ตรวจการณ์ RAN-10S หายไปจากเสากระโดง ได้เรดาร์เดินเรือตัวใหม่กับกล้องตรวจการณ์มาแทนที่ กราบซ้ายใส่เรือยางท้องแข็งกับเครนแทนแท่นยิงตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ ส่วนกราบขวายังคงมีแท่นยิงตามปรกติ แท่นยิงจรวด MM40 Exocet ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ลูกจรวดไม่ใส่เพราะเหลือใช้งานได้ไม่มาก ถ้าจะใส่จรวดต้องเอาเรือยางขึ้นไปเก็บบนฝั่งก่อน สาเหตุที่ต้องใส่เรือยางเพราะเขตเศรษฐกิจจำเพาะ รวมทั้งภัยร้ายรูปแบบใหม่ที่เป็นปัญหาใหญ่ของชาติ


เอกวาดอร์มีแม่น้ำกับป่าอเมซอนครึ่งประเทศ (ดั่งที่เห็นในภาพ) ฐานทัพเรือที่ Guayaquil ตั้งอยู่ค่อนข้างลึกเข้ามาในทวีป (ให้นึกถึงภาพเสือโครงถ่ายด้านข้าง ฐานทัพเรืออยู่แถวๆ ฟันกรามของเสือ) เรือกินน้ำเยอะๆ ค่อนข้างลำบากในการใช้เส้นทาง ทำให้เรือคอร์เวต Esmeraldas ใช้งานได้อย่างสะดวกคล่องตัวกว่าเรือฟริเกต

ผู้เขียนนึกประเทศพม่าขึ้นมาทันที พร้อมกับเรือฟริเกตกินน้ำตื้นที่โดนเหยียดหยามเหลือเกิน พม่ามีภูมิประเทศใกล้เคียงเอกวาดอร์ค่อนข้างมาก ยังมีป่าเขาลำเนาไพรและธรรมชาติอันแสนสมบรูณ์ ไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้านเหลือแต่เขาหัวโล้น เราจึงได้เห็นเรือดำน้ำ Kilo เจ้าของฉายาหลุมดำแห่งมหาสมุทร ลอยลำอย่างอ้อยอิ่งอยู่ในแม่น้ำสีขุ่นอันเป็นท่าจอดเรือ

ผลจากการปรับปรุงเรือเองใช้ระบบอำนวยการรบตัวเอง ทำให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดินถึง 100 ล้านเหรียญ เรืออีก 3 ลำถูกปรับปรุงแล้วระหว่างปี 2008 ถึง 2010 ภายใต้โครงการ Esmeraldas program โดยไม่ได้เปลี่ยนเรดาร์ตรวจการณ์และระบบอำนวยการรบ ด้วยพิษร้ายเศรษฐกิจรวมทั้งโควิด 19 ผู้เขียนคาดว่าคงไม่ได้ปรับปรุงใหม่อีกนานพอสมควร

มาถึงปัญหาใหญ่ที่น่าสนใจมาก เอกวาดอร์กำลังประสบปัญหาเรื่องอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ พวกเขาต้องการซื้อ MM40 Exocet Block 3 มาใช้งานบนเรือตัวเอง ปัญหาก็คือจรวดนัดละ 5 ล้านเหรียญ

ใช่แล้วครับ… MM40 Exocet Block 3 นัดละ 5 ล้านเหรียญ!

เอกวาดอร์ต้องการ  MM40 Exocet Block 3 จำนวน 40 นัด ต้องใช้เงิน 200 ล้านเหรียญหรือ 6,298.20 ล้านบาท

ได้ข่าวว่าราชนาวีไทยสนใจจรวดรุ่นนี้มาติดบนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ผู้เขียนแนะนำว่าให้หยุดดูสถานการณ์ไปก่อน ตอนนี้ทุกอย่างในประเทศกำลังย่ำแย่นักศึกษาอย่าห้าว ใช้ Harpoon กับ C-802A ไปพลางๆ ไม่น่าเกินความสามารถ

ต่อจากนี้เรามาเปรียบเทียบอาวุธนำวิถีระหว่างสองชาติ เริ่มจากอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานก่อน เอกวาดอร์มีจรวด ASpide บนเรือคอร์เวต 6 ลำ ส่วนไทยมีจรวด ESSM บนเรือฟริเกต 3 ลำ (ภูมิพล นเรศวร ตากสิน) จรวด ASpide บนเรือคอร์เวต 2 ลำ (รัตนโกสินทร์ สุโขทัย) นำมารวมกันแล้วเท่ากับ 5 ลำยังแพ้เขาอยู่ 1 ลำ

Ship-หา-และ!!

ถ้าเป็นอีหรอบนี้เอกวาดอร์จะนำเรา 2 แต้ม เห็นท่าจะไม่ได้การจำเป็นต้องแจกลูกโทษ ทันใดนั้นเองผู้เขียนนึกขึ้นมาได้ว่า เรือบรรทุกเครื่องบินของเราติดตั้ง Sadral ยิงจรวด Mistral ไว้ด้วยนี่นา ฉะนั้นเรามี 6 ลำเท่าเขาไม่มีใครได้แต้มนี้ไปครอง ส่วนจรวด Mistral บนเรือฟริเกตเอกวาดอร์ถือว่าไม่นับ เพราะยังหาภาพไม่เจอรวมทั้งใช้ยิงด้วยมือไม่ใช้รีโมท

ต่อไปเป็นอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ เอกวาดอร์มีเรือฟริเกต 2 ลำเรือคอร์เวต 6 ลำเท่ากับ 8 ลำ ส่วนไทยมี Harpoon บนเรือฟริเกต 3 ลำ (ภูมิพล นเรศวร ตากสิน) เรือคอร์เวต 2 ลำ (รัตนโกสินทร์ สุโขทัย) เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง 1 ลำ (ประจวบ) มี C-802A บนเรือฟริเกต 2 ลำ (กระบุรี สายบุรี) ส่วน C-801 ผู้เขียนขอไม่นับขอเถอะนะ เพราะฉะนั้นเรามีเรือ 8 ลำเท่าเขาพอดี สรุปความได้ว่าไม่มีใครเก็บแต้มนี้ เอกวาดอร์ยังนำหน้าไทยแลนด์อยู่เพียง 1 แต้ม

อาวุธสุดท้ายเป็นตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ เอกวาดอร์มีเรือฟริเกต 2 ลำเรือคอร์เวต 6 ลำเท่ากับ 8 ลำ ส่วนไทยมีเรือฟริเกต 4 ลำ (ภูมิพล นเรศวร ตากสิน มกุฏราชกุมาร) เรือคอร์เวต 4 ลำ (รัตนโกสินทร์ สุโขทัย ตาปี คีรีรัฐ) เรือตรวจการณ์ 3 ลำ (คำรณสินธุ ทยานชล ล่องลม) และมีบนเรือพิฆาตคุ้มกันอีก 1 ลำ (ปิ่นเกล้า) รวมทั้งหมดเท่ากับเรามีเรือถึง 12 ลำ ได้คะแนนอย่างใสสะอาดมาครอบครอง ทำให้คะแนนรวมกลับมาเสมอกันที่ 1 ต่อ 1

เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี

            กาลครั้งหนึ่งเรือชนิดนี้คือดาวรุ่งพุ่งแรง ปัจจุบันกลายเป็นดาวร่วงไม่เว้นกระทั่งประเทศเล็กๆ ในอเมริกาใต้ เอกวาดอร์เคยมีเรือชนิดนี้ถึง 2 ชั้นด้วยกัน เริ่มจากลำเล็กสุดเรือชั้น Manta จากอู่ต่อเรือ Lurssen ประเทศเยอรมัน เรือมีระวางขับน้ำ 134 ตัน ยาว 36.2 เมตร กว้าง 5.8 เมตร กินน้ำลึก 1.7 เมตร ใช้ระบบเรดาร์จาก Thomson-CSF ทั้งลำ ติดปืนกล Emerson Electric ขนาด 30 มม.ลำกล้องแฝด กับอาวุธนำวิถีปราบเรือรบ Gabriel Mk II อีก 4 นัด

เรือชั้น Manta ทั้ง 3 ลำเข้าประจำการในปี 1971 ช่วงแรกติดตั้งตอร์ปิโด 533 มม.เป็นอาวุธหลัก ต่อมาในปี 1980 จึงนำจรวด Gabriel Mk II พร้อมเรดาร์ควบคุมการยิงมาติดตั้งแทน จรวดถูกถอดออกเมื่อตกลงเขตเศรษฐกิจจำเพาะหรือ EEZ กับประเทศเพื่อนบ้านได้ ตอนนี้ปลดประจำการครบถ้วนทุกลำ ได้เรือตรวจการณ์ปืนซึ่งเหมาะสมกว่าทำหน้าที่แทน

นอกจากเรือจิ๋วแจ๋วยาวเพียง 30 กว่าเมตร พวกเขายังมีเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น TNC 45 จากอู่ต่อเรือ Lurssen ประเทศเยอรมันอีก 3 ลำ เข้าประจำการระหว่างปี 1976  ถึง 1977 เรือมีระวางขับน้ำ 265 ตัน ยาว 45 เมตร กว้าง 7 เมตร กินน้ำลึก 2.4 เมตร ความเร็วสูงสุดถึง 35 นอต ใช้ระบบเรดาร์จาก Thomson-CSF ทั้งลำ ติดตั้งปืนใหญ่ 76/62 มม.1กระบอก ปืนกล 35 มม.ลำกล้องแฝด Oerlikon GDM-A 1 กระบอก ปืนรุ่นนี้ใช้พลยิงควบคุมเหมือนปืนกล Bofors 40 มม.รุ่นเก่า ทีเด็ดทีขาดคืออาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38 Exocet จำนวน 4 นัด ทันสมัยกว่า Gabriel Mk II ที่ต้องใช้เรดาร์ควบคุมการยิง

ชมภาพเรือจริงกันบ้าง มุมบนขวาในกรอบแดงคือเรือชั้น Manta มองเห็นแท่นยิงจรวด Gabriel Mk II อย่างชัดเจน ประเทศชิลีก็เคยมีเรือชั้นนี้เช่นเดียวกัน ส่วนภาพบนคือเรือชั้น TNC 45 หมายเลข LM-24 Quito เข้าร่วมซ้อมรบใหญ่ประจำปี 2017 โดยมีเรือคอร์เวต CM-11 BAE Esmeraldas  แล่นประกบ ส่วนภาพล่างเรือชื่อ LM-26 Cuenca เข้าร่วมการซ้อม Pacific Ocean 2018 กับเรือพิฆาต USS Wayne E. Meyer (DDG 108) สังเกตนะครับว่าเรือมีท่อยิงจรวด MM38 Exocet ติดไว้ด้วย 2 ถึง 4 นัด แต่ใครเลยจะทราบเป็นกล่องดัมมี่หรือกล่องจริงมีจรวดจริง

เห็นภาพแล้วรู้สึกคุ้นเคยบ้างไหมครับ แน่นอนอยู่แล้วเพราะใช้แบบเรือเดียวกับเรือชั้นเรือหลวงปราบปรปักษ์ ซึ่งเราสั่งต่อจากประเทศสิงคโปร์ (สิงคโปร์ก็มีเรือชั้นนี้ประจำการเช่นกัน แต่ต่อจากอู่ต่อเรือ Lurssen เยอรมันงงดีเนอะ) เรือเราใช้ปืนใหญ่ Bofors 57 มม.ปืนกล Bofors 40/70 มม.อาวุธนำวิถีปราบเรือรบ Gabriel Mk II 5 นัด ควบคุมการยิงโดยเรดาร์ WM22 รูปลักษณ์ภายนอกจึงดูแตกต่างสักเล็กน้อย

เปรียบเทียบกับเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีประเทศไทย ปัจจุบันเรือชั้นเรือหลวงราชฤทธิ์เหลือเพียงลำเดียว ส่วนเรือชั้นเรือหลวงปราบปรปักษ์จำนวน 3 ลำ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเหลือประจำการจริงกี่ลำ จรวด Gabriel Mk II ปลดประจำการหมดแล้ว ส่วนจรวด MM38 Exocet ได้ข่าวว่ายังเหลืออยู่ จะซ้อมยิงก่อนปลดประจำการเรือชั้นเรือหลวงราชฤทธิ์ในเร็วๆ นี้

สำหรับหัวข้อนี้ผู้เขียนให้คะแนนเสมอกัน เพราะไม่มีความชัดเจนเรืออาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ แต่ที่ชัดเจนก็คือใกล้ปลดระวางทั้งหมด บ่งบอกอนาคตเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

ผู้เขียนอยากเขียนให้จบในบทความเดียว ครั้นเหลียวมองเนื้อหาที่เหลือแล้วพลันถอนใจ ยังมีเรื่องราวสนุกตื่นเต้นอีกมากมาย ขออนุญาติตัดจบตอนแรกไว้ที่กองเรือผิวน้ำ รออ่านตอนที่สองเดือนตุลาคมนะครับ ช่วงหลังเป็นการเจาะลึกนโยบายกองทัพเรือเอกวาดอร์ กับการปรับตัวเข้าหาภายคุกคามในปัจจุบัน วันนี้ขออำลากันไปก่อนสวัสดีครับ ;)

-------------------------------

อ้างอิงจาก

https://base.mforos.com/1139583/5292349-armada-de-ecuador/?pag=2

https://web.facebook.com/armadaecuatoriana/?tn-str=k*F

https://en.wikipedia.org/wiki/Ecuadorian_Navy

https://base.mforos.com/1139583/5292349-armada-de-ecuador/?pag=2

http://www.milpower.org/modarmedforces.asp?value=243

https://americamilitar.com/ecuador/260-armada-del-ecuador-p21.html

https://www.jetphotos.com/airline/Ecuador%20-%20Navy

https://products.damen.com/-/media/Products/Images/Clusters-groups/High-Speed-Crafts/Stan-Patrol-Vessel/Stan-Patrol-5009/Documents/Product_Sheet_Damen_Stan_Patrol_5009_St.pdf

https://www.navyrecognition.com/index.php/news/defence-news/2020/march/8216-south-korea-will-deliver-two-decommissioned-haeuri-class-patrol-vessels-to-ecuador-s-coastguard.html

https://web.facebook.com/ROKArmedForces/photos/a.805807109517678/2808689162562786/?type=3&theater

https://dialogo-americas.com/articles/uavs-help-ecuadors-navy-catch-drug-traffickers-from-the-air/

https://en.wikipedia.org/wiki/Condell-class_frigate

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น