วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2565

British Guns in Royal Thai Navy

 

อาวุธปืนจากอังกฤษมีบทบาทในกองทัพเรือไทยมาอย่างยาวนาน เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.. 2437 มีการสั่งซื้อปืนอาร์มสตรองขนาด 4.7 นิ้ว ระยะยิงไกลสุด 7,600 เมตร และปืนใหญ่ฮอทชกีสขนาด 6 ปอนด์ ระยะยิงไกลสุด 4,000 เมตร มาใช้งานบนเรือพระที่นั่งมหาจักรี

นี่คือครั้งแรกที่กองทัพเรือมีปืนใหญ่แบบบรรจุท้ายหรือปืนยิงเร็ว (Quick Firing Gun) ใช้งาน

ถัดมาเพียง 3 ปีมีการสั่งซื้อปืนยิงเร็วอาร์มสตรองขนาด 4.7 นิ้ว (120 มม.) ปืนยิงเร็วฮอทชกีสขนาด 6 ปอนด์ (57 มม.) ขนาด 3 ปอนด์ (47 มม.) และขนาด 1 ปอนด์ (37 มม.) มาใช้งานบนเรืออีก 4 ลำ ประกอบไปด้วยเรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ (ลำที่สอง) เรือพาลีรั้งทวีป และเรือสุครีพครองเมือง และนี่ก็คืออาวุธปืนมาตรฐานรุ่นแรกสุดแห่งราชนาวีสยาม ผู้เขียนขออนุญาตใช้คำว่า Common Fleet ให้เห็นภาพอย่างชัดเจน

นับจากนั้นเป็นต้นมาลูกประดู่ไทยไม่เคยห่างหายจากปืนอังกฤษ

ผู้เขียนใช้เวลานั่งคิดนอนคิดอยู่ประมาณสามสี่วัน ก่อนตัดสินใจขั้นเด็ดขาดแบบชายชาตินักรบหัวใจทระนงว่า จะใช้เวลาว่างสร้างบทความเกี่ยวกับอาวุธปืนจากเมืองผู้ดีขึ้นมา รวบรวมข้อมูลอาวุธปืนที่ยังคงประจำการอยู่ในประเทศไทย ส่วนอาวุธปืนที่เลิกใช้งานแล้วให้แล้วกันไปไม่เขียนถึงก็แล้วกัน

ก่อนเข้าสู่เนื้อหาขอแวะกลับมาที่เกาะอังกฤษอีกครั้ง ภาพประกอบที่หนึ่งคือศูนย์ฝึกการใช้อาวุธปืนแห่งกองทัพเรืออังกฤษชื่อ HMS Cambridge บริเวณชายฝั่งเมือง Plymouth ถูกจัดตั้งขึ้นมาในปี 1956 เพื่อฝึกฝนการใช้งานอาวุธปืนทันสมัยให้กับกำลังพล ต่อมาในปี 2001 กองทัพเรืออังกฤษมีคำสั่งปิดศูนย์ฝึกตลอดกาล สถานที่แห่งนี้จึงได้ร้างราผู้คนกลายเป็นพื้นที่รกร้าง เหลือเพียงตำนานให้เล่าขานสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน

อาวุธปืนในภาพประกอบที่หนึ่งกองทัพเรือไทยมีใช้งานทุกกระบอกประกอบไปด้วย

ปืนใหญ่ 4.5 นิ้ว BAE Systems Mk.8 mod.0

นี่คือปืนใหญ่รุ่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาในยุค 70 แตกต่างจากปืนรุ่นเก่าที่มีขนาดใหญ่โตเทอะทะต้องใช้พื้นที่มหาศาล ภายหลังมีการปรับปรุงให้ล้ำสมัยกว่าเดิมในรุ่น Mk.8 mod.1 โดยการออกแบบป้อมปืนใหม่เพื่อลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ ปืนรุ่นนี้ใช้ลำกล้องปืนขนาด 4.5 นิ้วหรือ 114 มม. อัตรายิงเร็วสุด 25 นัดต่อนาที สามารถยิงถล่มเป้าหมายพื้นน้ำหรือชายฝั่งได้ไกลสุด 22 กิโลเมตร เคยออกรบยิงมาแล้วในสงครามฟอล์คแลนด์ระหว่างปี 1982  ดวลกับปืนใหญ่ลากจูงบนบกบ้าง ยิงสกัดเครื่องบินโจมตี A-4 Skyhawk บ้าง ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างคละเคล้ากันไป เรือรบอังกฤษยิงถล่มชายฝั่งอย่างหนักจนปืนบางกระบอกชำรุดเสียหาย

Mk.8 mod.0 คือปืนหลักเรือฟริเกตและเรือพิฆาตราชนาวิอังกฤษทุกลำ ยกเว้นแค่เพียงเรือฟริเกตชั้น Type22 สอง Batch แรกเท่านั้น กองทัพเรือไทยมีใช้งานเรือหลวงกุฎราชกุมารจำนวน 2 กระบอก เรือหลวงมกุฎราชกุมารทำพิธีปล่อยน้ำวันที่ 18 พฤศจิกายน 1971 ก่อนที่เรือราคา 375 ล้านบาทจะเดินทางไกล 14,476 ไมล์กลับมายังประเทศไทย จากนั้นจึงทำพิธีเข้าประจำการในวันที่ 7 พฤษภาคม 1973 ต่อไป

ภาพประกอบที่สองเห็นปืนใหญ่ 4.5 นิ้วท้ายเรืออย่างชัดเจน แต่แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Cat โดดเด่นสะดุดตามากที่สุด เรือฟริเกตจากอังกฤษอายุ 49 ปี 6 เดือนต้องถือว่านานมาก ทว่าเรือหลวงมกุฎราชกุมารยังอยู่ในสถานะประจำการ ฉะนั้นปืนใหญ่ 4.5 นิ้วทั้งสองกระบอกยังอยู่ในสถานะใช้งานเช่นเดียวกัน

ปืนกล 20 มม. Oerlikon GAM-BO1

          ปืนกลขนาด 20 มม.ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกคือ Oerlikon 20 mm/70 จากสวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษนำมาใช้งานระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองโดยใช้ชื่อว่า 20 mm/70 Mark I  กับ Mark II ปืนรุ่นนี้ถูกใช้งานอย่างยาวนานจนถึงยุค 80 บริษัท BMARC หรือ British Manufacture and Research Company ได้พัฒนาปืนกล 20 มม.รุ่นใหม่ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า GAM-BO1 อาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยจึงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 1985

          GAM-BO1 ใช้ปืน Oerlikon 20 mm/85 KAA ติดตั้งบนป้อมปืนพัฒนาขึ้นเอง อัตรายิงสูงสุด 1,000 นัดต่อนาที ระยะยิงหวังผล 2 กิโลเมตรกับเรือผิวน้ำและ 1.5 กิโลเมตรกับอากาศยาน ป้อนกระสุนเข้ารังเพลิงได้ 1 สาย มีกระสุนรวมทั้งสิ้น 200 นัด น้ำหนักรวมป้อมปืนบวกกระสุนเท่ากับ 182 กิโลกรัม ยิงเร็วกว่า Oerlikon 20 mm/70 ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ยิงไกลกว่า Oerlikon 20 mm/70 ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ใช้กระสุน 20x128 มม.ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ สร้างความเสียหายต่อเป้าหมายทุกประเภทได้กว่าเดิม

          กองทัพเรือไทยเริ่มใช้งานปืนกล GAM-BO1 น่าจะระหว่างปี 1988-1989 โดยการติดตั้งบนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้น PC-461 ที่ได้รับโอนมาจากอเมริกา ภาพประกอบที่สามเรือหลวงสารสินธุติดปืนกล GAM-BO1 บริเวณกลางเรือจำนวน 1 กระบอก แล้วถอดเครนใหญ่ย้ายเรือเล็กบริเวณกลางเรือไปไว้ท้ายเรือ รวมทั้งถอดระบบอาวุธปราบเรือดำน้ำทุกชนิดออกจากเรือเป็นการถาวร สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากกองทัพเรือเปลี่ยนแปลงภารกิจ จากเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำให้กลายมาเป็นเรือตรวจการณ์ปืน

          ภาพเล็กมุมบนซ้ายคือพิธีรับมอบเรือการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.265  จำนวน 5 ลำในวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 มีการติดตั้งปืนกล GAM-BO1 บริเวณหัวเรือใช้เป็นอาวุธหลัก โดยการนำปืนเก่าจากเรือปลดประจำการแล้วมาใช้งานใหม่ มีการซ่อมคืนสภาพปืนให้ดีดังเดิมด้วยงบประมาณไม่เกิน 4 ล้านบาท ประหยัดกว่าซื้อปืนกล 20 มม. Denel GI-2ใหม่เอี่ยมจากแอฟริกาใต้กระบอกละ 13.5 ล้านมาใช้งาน (ราคาในตอนนั้น)

          ปัจจุบันปืนกล GAM-BO1 มีใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก หลายบริษัทผลิตชุดแต่งให้สามารถควบคุมปืนด้วยรีโมทคอนโทรลได้ โดยใช้ระบบออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงในการค้นหาและติดตามเป้าหมาย เพียงแต่ว่าผู้เขียนยังไม่เคยเห็นชาติไหนซื้อไปใช้งานอย่างจริงจัง มีเพียงอียิปต์ที่สั่งซื้อปืนกลอัตโนมัติ Oerlikon SeRanger จากบริษัท Rhienmetall ของเยอรมัน (นำ GAM-BO1 มาปรับปรุงให้ทันสมัยกว่าเดิม) ไปใช้งานบนเรือตรวจการณ์ลำใหม่จากบริษัท Lurssen ของเยอรมันจำนวนไม่กี่กระบอก

บางทีอาจเป็นเพราะปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก เหตุผลก็คือยิงได้ไกลกว่า ทำลายเป้าหมายได้ดีกว่า มีความคุ้มค่ามากกว่า และเหมาะสมกับภัยคุกคามใหม่อย่างเรือเร็วพลีชีพมากกว่า แม้อัตรายิงไม่สูงเทียบเท่าปืนกลขนาด 20 มม. ทว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอัตรายิงอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป

ปืนกล 30 มม. ลำกล้องแฝด GCM-AO3-2

          หลังสงครามโลกครั้งที่สองราชนาวีอังกฤษมีปืนกลต่อสู้อากาศยาน 2 รุ่น ประกอบไปด้วย Oerlikon 20 mm/70  Mark II กับ Bofors 40 mm L/60 ที่มาพร้อมเรดาร์ควบคุมการยิงรุ่นเก่า ปืนกลขนาด 40 มม.ยิงได้ไกลกว่าย่อมมีความสำคัญมากกว่า จึงได้มีการพัฒนาอาวุธปืนรุ่นใหม่มาใช้งานทดแทนต่อไป

          ความพยายามครั้งที่หนึ่งคือการพัฒนาปืนกล Bofors 40 mm L/70 ใช้ป้อมปืนแบบเต็มมาพร้อมระบบป้อนกระสุนอัตโนมัติ แต่แล้วในปี 1960 โครงการนี้ได้ถูกยกเลิกเพราะความพยายามครั้งที่สอง กองทัพเรืออังกฤษตัดสินใจเลือก Sea Cat GWS-20 ใช้งานทดแทน Bofors 40 mm L/60 บนเรือรบ

          อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Cat ถูกพัฒนาจากอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีรถถัง Malkara ของออสเตรเลีย ระยะยิงไกลสุด 5 กิโลเมตรใช้ระบบนำวิถีคลื่นวิทยุ แท่นยิงขนาด 4 ขนาดกะทัดรัดนัดน้ำหนักเบา ใช้เรดาร์ควบคุมการได้หลากหลายรวมทั้งจากประเทศอื่น ส่งผลให้ Sea Cat ฮอทอฮิตติดลมบนขายดิบขายดีทั่วโลก เรือหลวงมกุฎราชกุมารมีใช้งานเช่นกันบริเวณกลางเรือก่อนถึงปืนใหญ่ 4.5 นิ้วกระบอกท้าย

          Sea Cat อาจมีคุณสมบัติโดดเด่นทว่าแอบมีจุดอ่อนสำคัญ เพราะไม่สามารถทำหน้าที่ทดแทนปืนกลได้อย่างครบถ้วน เรือตรวจการณ์ก็ดี เรือยกพลขึ้นบกก็ดี เรือกวาดทุ่นระเบิดก็ดี นำ Sea Cat มาใช้งานทดแทน Bofors 40 mm L/60 ไม่ได้ ส่งผลให้อังกฤษจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องพัฒนาอาวุธปืนรุ่นใหม่ ครั้งนี้พวกเขาหันมาให้ความสนใจปืนกลขนาด 30 มม.จากสวิตเซอร์แลนด์

          โครงการใหม่คือการจับมือกันอีกครั้งระหว่าง Oerlikon กับ BMARC โดยการนำปืน Oerlikon 30 mm/75 KCB จำนวน 2 กระบอก แต่ละกระบอกอัตรายิงสูงสุด 650 นัดต่อนาที อัตรายิงสูงสุดรวมจึงเท่ากับ 1,300 นัดต่อนาที มาติดตั้งบนแท่นยิงรุ่นใหม่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า มีที่นั่งพลยิงฝั่งขวาป้อมปืนพร้อมระบบควบคุมการทรงตัว ใช้ระบบป้อนกระสุนอัตโนมัติมีกล่องกระสุนขนาด 125 นัดจำนวน 2 กล่อง เท่ากับว่าปืนมีกระสุนขนาด 30 มม.พร้อมยิงจำนวน 250 นัด อาวุธทันสมัยถูกพัฒนาขึ้นมาจำนวนสามรุ่นประกอบไปด้วย

          1.GCM-AO3-1 คือปืนรุ่นต้นแบบ ที่นั่งพลยิงถูกปกคลุมด้วยกระจกกับหลังคาป้องกันแดดลมฝน โชคร้ายปืนรุ่นนี้ไม่มีการสร้างจริงเพราะมีราคาสูงเกินไป 

          2.GCM-AO3-2 ถูกใช้งานจริงบนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Type 22 จำนวน 2 กระบอก ทำงานร่วมกับปืนกล 20 มม.Oerlikon 20 mm/70 อีก 2 กระบอก (หลังปี 1985 ได้ถูกแทนที่ด้วย GAM-BO1) โดยไม่มีปืนใหญ่ 4.5 นิ้วที่หัวเรือตามปรกติ เพราะถูกติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38 Exocet จำนวน 4 ท่อยิงในตำแหน่งปืนหลัก ปืนกล GCM-AO3-2 จึงเป็นที่พึ่งหลักหากมีเครื่องบินเล็ดลอดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seawolf เข้ามา

          3.GCM-AO3-3 ใช้กล่องกระสุนแบบยาวบรรจุกระสุนมากถึง 160 นัดจำนวน 2 กล่อง มีใช้งานจำนวนไม่มากอาทิเช่น บนเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Waspada กองทัพเรือบรูไนจำนวน 3 ลำ

          อัตรายิงสูงสุด 1,300 นัดกับกระสุนขนาด 30 มม. 250 นัดของ GCM-AO3-2 เคยดวลเดี่ยวกับเครื่องบินโจมตี A-4 Skyhawk และเครื่องบินขับไล่ Dagger กองทัพอากาศอาเจนตินามาแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครกินใครลงเสมอกันไปศูนย์ต่อศูนย์ เรือฟริเกต Type 22 ถูกยิงก็จริงทว่าเสียหายเพียงเล็กน้อย A-4 Skyhawk กับ Dagger หลบกระสุนปืนจาก GCM-AO3-2 สำเร็จ โชคร้ายบินไปเจอ Sea Harrier ตามมาเก็บดาบสองก็เลยไม่ได้กลับบ้าน

          ว่ากันตามตรง GCM-AO3-2 สมควรขายดิบขายดีใกล้เคียง GAM-BO1 บังเอิญสงครามฟอล์คแลนด์ผลาญงบประมาณกระทรวงกลาโหมอังกฤษอย่างมหาศาล รวมทั้งกองเรือทั้งกองมีจุดอ่อนใหญ่โตต้องเร่งแก้ไขทันทีทันควัน เรือฟริเกต Type 22 ตั้งแต่ Batch 2 เป็นต้นไปจึงได้ใช้งาน GCM-AO3-2 บ้างไม่ได้ใช้บ้าง ส่วนเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Type 42 ที่วางแผนการไล่ติดตั้งให้ครบทุกลำ ถูกยกเลิกโครงการแล้วหันมาจัดหาระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx CIWS จากอเมริกาไว้ป้องกันตัว

          ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทำให้ผู้คนทั่วโลกแทบจำหน้าตา GCM-AO3-2 ไม่ได้ด้วยซ้ำ

          สำหรับประเทศไทยมีปืนกล 30 มม.GCM-AO3-2 ใช้งานจำนวน 2 กระบอก กระบอกแรกบนเรือตรวจการณ์หมายเลข 1804 หรือเรือศรีนรินทร์กองบังคับการตำรวจน้ำ ภาพประกอบที่สี่มองเห็นปืน Oerlikon 30 mm/75 KCB จำนวน 2 กระบอกอย่างชัดเจน สังเกตนะครับว่าปลอกลดแสงที่ปลายปืนค่อนข้างยาว

          ภาพประกอบที่ห้าปืนกล GCM-AO3-2 กระบอกที่สองถูกติดตั้งบนเรือตรวจการณ์หมายเลข 1803 หรือเรือลพบุรีราเมศวร์กองบังคับการตำรวจน้ำ หัวเรือใช้ราวกับตกแบบทืบค่อยๆ เล็กลงมาจนเป็นแบบโปร่ง แตกต่างจากเรือศรีนรินทร์ใช้ราวกันตกแบบโปร่งจอดอยู่ฝั่งขวามือในภาพถ่าย ส่วนเรือลำกลางมองเห็นบั้นท้ายกลางเต็นท์แบบเต็มพื้นที่นั้นคือ เรือตรวจการณ์หมายเลข 1802 หรือเรือดำรงราชานุภาพฝาแฝดเรือลพบุรีราเมศวร์

เรือดำรงราชานุภาพไม่มีปืนกล GCM-AO3-2 เพราะถูกติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76/50 มม.ที่หัวเรือ

          สังเกตนะครับว่า GCM-AO3-2 มีฝาครอบสายกระสุนแบบเต็ม จุดป้อนกระสุนเยื้องมาทางกลางปืน ท้ายปืนมีฝาครอบปิดอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างมิดชิด โดยมีกล่องกระสุนขนาด 125 นัดจำนวน 2 กล่องประกบซ้ายขวา

          ทั้งนี้เนื่องมาจากปืนกล 30 มม.อัตโนมัติ Mauser Mk.30 mod.F บนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงเรือหลวงคำรณสินธุทั้ง 3 ลำ ปลดประจำการหมดแล้วถูกแทนที่ด้วยปืนกลรุ่นใหม่จากอังกฤษแล้ว ส่งผลให้แชมป์ปืนกลยิงเร็วแห่งประเทศไทยเป็นของกองบังคับการตำรวจน้ำ อัตรายิง 1,300 นัดต่อนาทีของ GCM-AO3-2 ชนะปืนกลทุกรุ่นของกองทัพเรือด้วยคะแนนเอกฉันท์

          โชคดีแชมป์ยิงเร็วแห่งประเทศไทยยังเป็นของลูกประดู่ ไม่มีใครเอาชนะระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx บนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชสำเร็จ (4,500 นัดต่อนาทีไม่ใช่ได้มาเพราะจับฉลากหรือโชคช่วย)

ปืนกล 30 มม. MSI DS30B Mark 1

          เนื่องจากปืนกล 30 มม. GCM-AO3-2 ราคาค่อนข้างสูงแต่ความนิยมค่อนข้างต่ำ ขนาดกะทัดรัดก็จริงแต่มีน้ำหนักรวมถึง 2,150 กิโลกรัม กองทัพเรืออังกฤษยังคงต้องการปืนกล 30 มม.ราคาประหยัดน้ำหนักเบา นำมาใช้งานบนเรือตรวจการณ์ เรือยกพลขึ้นบก และเรือกวาดทุ่นระเบิด จึงส่งไม้ต่อให้บริษัท MSI-Defence Systems LTD นำ GCM-AO3-2 มาปรับปรุงใหม่ให้ตรงตามความต้องการ

          MSI ลดจำนวนปืน 30 มม.เหลือเพียงกระบอกเดียว น้ำหนักรวมแค่ 1,200 กิโลกรัม ปรับปรุงโน่นนั่นนี่เล็กน้อยก่อนตั้งชื่อใหม่ว่า LS-30B เมื่อปืนได้รับความนิยมจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อ DS30B Mark 1 ด้วยอัตรายิง 650 นัดต่อนาทีพร้อมกระสุน 1 กล่อง 160 นัด มากเพียงพอที่จะป้องกันตนเองจากภัยคุกคามได้ในระดับหนึ่ง

          DS30B Mark 1 ถูกติดตั้งบนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ Type 23 และเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศ Type 45 เวอร์ชันกองทัพเรืออังกฤษทำงานร่วมกับออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง เวอร์ชันเรือฟริเกตมาเลเซียกับเรือคอร์เวตบรูไนไม่ใช้ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง เพราะเป็นออปชันเสริมขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าต้องการหรือไม่ (โดยคิดเงินเพิ่ม)

          กองทัพเรือไทยมี DS30B Mark 1 ใช้งานจำนวน 2 กระบอก บนเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้นเรือหลวงลาดหญ้าที่ซื้อมาจากอิตาลี ชมภาพประกอบที่หกแล้วเล่นเกมจับผิดไปพร้อมกัน ภาพซ้ายมือคือช่วงแรกที่เรือทั้งสองลำเพิ่งเข้าประจำการ DS30B ยังคงใช้ปืน Oerlikon 30 mm/75 KCB ตามปรกติ ปลอกลดแสงที่ปลายปืนค่อนข้างยาว มีฝาครอบสายกระสุนแบบเต็ม จุดป้อนกระสุนเยื้องมาทางกลางปืน ท้ายปืนมีฝาครอบปิดอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างมิดชิด โดยมีกล่องกระสุนขนาด 160 นัดจำนวน 1 กล่องที่ฝั่งซ้ายป้อมปืน

          ภาพขวามือคือช่วงที่เรือเข้าประจำการหลายปีแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับลำกล้องปืนอย่างชัดเจน ปืน Oerlikon 30 mm/75 KCB ถูกแทนที่ด้วย Mark 44 Bushmaster II จากบริษัท Northrop อเมริกา เป็นปืนกลอเนกประสงค์ใช้งานบนรถหุ้มเกราะชนิดต่างๆ อัตรายิงสูงสุดลดลงมาเหลือเพียง 200 นัดต่อนาที

          Mark 44 Bushmaster II ใช้ปลอกลดแสงค่อนข้างสั้น กระบอกปืนเรียวแหลมกว่ากันเล็กน้อย ไม่มีฝาครอบสายกระสุนแบบเต็ม ท้ายปืนถูกเปิดโล่งมองเห็นชิ้นส่วนต่างๆ ชัดเจน เพราะ Mark 44 Bushmaster II มีจุดป้อนกระสุนเยื้องมาทางท้ายปืน (เห็นอุปกรณ์สี่เหลี่ยมคล้ายช่องใส่กระสุนเหนือหมวกพลยิงกันบ้างไหมครับ) แต่มีข้อดึสามารถป้อนกระสุนใส่รังเพลิงได้สองสายฝั่งซ้ายฝั่งขวา จำนวนกระสุนปืนก็เลยเพิ่มขึ้นมาสองเท่าตัวไปด้วย

          เนื่องจาก DS30B Mark 1 มีที่นังพลยิงฝั่งขวามือป้อมปืน จึงไม่สามารถเพิ่มกระสุนกล่องที่สองจำนวน 160 นัด

ปืนกล 30 มม. MSI DS30M Mark 2

          เมื่อทุกคนบนโลกก้าวผ่าน Y2K หรือปี 2000 เป็นที่เรียบร้อย ภัยคุกคามที่มีต่อเรือเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาเช่นกัน การโจมตีอย่างห้าวหาญและบ้าบิ่นจากเครื่องบินโจมตี A-4 Skyhawk ไม่มีอีกต่อไป อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบบินเรี่ยน้ำถูกส่งเข้ามาทำหน้าที่แทน รวมทั้งเกิดภัยคุกคามจากเรือยางท้องแข็งขนาดเล็กติดระเบิดขนาดใหญ่ ลักลอบเข้ามาสร้างความเสียหายต่อเรือรบรุ่นใหม่ทันสมัยติดอาวุธล้นลำ

          บริษัท MSI พัฒนา DS30B Mark 1 ให้เหมาะสมกับภัยคุกคามใหม่ โดยการเปลี่ยนมาใช้ปืนกล Mark 44 Bushmaster II จากบริษัท Northrop  อัตรายิงสูงสุด 200 นัดต่อนาทีเหมือนเรือหลวงลาดหญ้าเพราะเราทำตามเขา ใช้ระบบควบคุมการยิงผ่านระบบอำนวยการรบได้ หรือจะติดตั้งออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงบนป้อมปืนก็ทำได้ ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะติดที่นั่งพลยิงเผื่อเหลือเผื่อขาดในยามฉุกเฉิน หรือเพิ่มกล่องกระสุนขนาด 30 มม.อีก 1 หนึ่งกล่อง 200 นัด ส่งผลให้ยอดรวมกระสุนทั้งหมดอยู่ที่ 400 นัด เสร็จเรียบร้อยจึงตั้งชื่อใหม่ว่า DS30M Mark 2 ต่อมาในภายหลัง MSI ตั้งชื่อใหม่อีกครั้งหวังผลทางการค้าว่า SeaHawk รุ่นโน้นรุ่นนั้นรุ่นนี้ บังเอิญลูกค้าทั่วโลกรวมทั้ง The Royal Navy ยังคงเรียกชื่อ DS30M Mark 2 เหมือนเดิมต่อไป

          ปืนกล Mark 44 Bushmaster II อัตรายิงน้อยลงแบบฮวบฮาบก็จริง แต่มีข้อดีเรื่องความแข็งแรงทนทาน ซ่อมบำรุงง่าย ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีอายุใช้งานมากกว่าปืนกล 30 มม.รุ่นเก่า มีความเหมาะสมกับการไล่ยิงเรือยางท้องแข็งติดระเบิด เข้ามาเติมเต็มช่องโหว่ที่ในอดีตเรือรบอเมริกาพลาดเคยท่าเสียทีมาก่อน

          กองทัพเรือไทยใช้งานปืนกลอัตโนมัติ DS30M Mark 2 จำนวนมาก เป็นอาวุธปืนมาตรฐานรุ่นล่าสุดแห่งราชนาวีสยาม ปืนกระบอกแรกถูกตั้งบนเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ต.991 เมื่อ 15 ปีที่แล้ว (เวลาเดินทางผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน) ปืนกระบอกสองตั้งบนเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ต.991 เช่นเดียวกันแต่เป็นปืนท้าย เรือตรวจการณ์ยาว 38 เมตรติดปืนกลอัตโนมัติ 30 มม.สองกระบอกพี่จะโหดไปถึงไหนครับ

ภาพประกอบที่เจ็ดคือ DS30M Mark 2 หน้าสะพานเดินเรือเรือ ต.991 มองเห็นกล่องกระสุนปืนจำนวน 2 กล่อง 400 นัดประกบซ้ายขวา สายกระสุนแบบเปลือย 2 สายพาดไปยังช่องใส่กระสุนใกล้ท้ายปืนแบบเปลือย รอบป้อมปืนติดตั้งที่ยืนพลยิงยกสูงจากพื้นประมาณหนึ่งฟุต เพื่อให้ทหารเรือไทยกระดกป้อมปืนหนัก 1.2 ตันขึ้น-ลง-ซ้าย-ขวาได้ดีกว่าเดิม ทว่าการเล็งเป้าหมายจะไม่มีอุปกรณ์เสริมเหมือนดั่ง DS30B Mark 1

          ฉะนั้นการยิงปืนกล DS30M Mark 2 ด้วยมือเปล่า ความน่าจะเป็นที่จะถูกเป้าหมายแทบเป็นไปไม่ได้

ภาพรวมผู้เขียนคิดว่า DS30M Mark 2 เหมาะสมกับกองทัพเรือมากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนต้องเข้าใจประสิทธิภาพอาวุธปืนให้กระจ่างชัดเจนเสียก่อน

การยิงสกัดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบด้วยกระสุนปืน สามารถทำได้เพียง 2 วิธีประกอบไปด้วย

1.ใช้อัตรายิงมากกว่า 4,500 นัดต่อนาที ยิงกระสุนเป็นสายออกไปสกัดกั้นเหมือนดั่ง Phalanx

2.ใช้กระสุนฉลาดที่สามารถจัดการเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยมีอุปกรณ์ตั้งชนวนแตกอากาศด้วยระบบคอมพิวเตอร์ติดอยู่ที่ปลอกลดแสงเหมือนดั่ง Milliennium Gun

เท่ากับว่า DS30M Mark 2 ไม่สามารถทำได้ทั้งสองวิธีการ DS30B Mark 1 ที่มีอัตรายิง 650 นัดต่อนาทีก็ทำไม่ได้เช่นกัน อยากให้ DS30M Mark 2 ยิงกระสุนแตกอากาศตั้งค่าด้วยคอมพิวเตอร์ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้ปืน KCE30/ABM จากบริษัท Rheinmetall ของเยอรมันเท่านั้น เปลี่ยนเสร็จแล้วเราค่อยปรับปรุงป้อมปืนให้เหมาะสมกว่าเดิม จากนั้นจึงหากระสุนแตกอากาศตั้งค่าด้วยคอมพิวเตอร์จากบริษัท Rheinmetall มาใช้งานกับปืน

นี่คือวิธีการเดียวในการทำให้ DS30M Mark 2 มีประสิทธิใกล้เคียง CIWS แต่ถึงกระนั้นยังไม่สามารถเป็น CIWS ตัวจริงได้ ข้อเสียก็คือปืนและกระสุนจากเยอรมันราคาแพงเลือดสาด การซ่อมบำรุงแพงบ้าเลือดต่างจากปืนอเมริการาวฟ้ากับเหว ส่งผลให้ทุกชาติหันมาใช้ปืนกล Mark 44 Bushmaster II ป้องกันเรือตัวเอง

ปืนกล 30 มม. MSI DS30M Mark 2 New Version

          ทั้งนี้เนื่องมาจากปืนกล 30 มม.อัตโนมัติ Mauser Mk.30 mod.F บนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุหมดอายุการใช้งาน กองทัพเรือจึงได้จัดหาปืนกลอัตโนมัติ DS30M Mark 2 มาใช้งานทดแทนจำนวน 3 กระบอก สินค้าใหม่เอี่ยมจากบริษัท MSI ประเทศอังกฤษส่งมอบให้กับลูกค้าแล้ว กองทัพเรือนำมาติดตั้งบนเรือครบถ้วนทุกลำแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบหาข้อบกพร่องตามภาพประกอบที่แปด

          เทียบกับภาพประกอบที่เจ็ดมองเห็นความแตกต่างชัดเจน DS30M Mark 2 รุ่นใหม่ใช้กล่องกระสุนกับฝาครอบปืนรูปทรงหกเหลี่ยม สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพื่อลดการสะท้อนคลื่นเรดาร์จากเรือฝ่ายตรงข้าม เทียบกับรุ่นเก่าที่เน้นการออกแบบรูปทรงสี่เหลี่ยมเรียบง่ายแล้ว ปืนรุ่นใหม่ดูเนียนตากว่าเดิมและทันสมัยมากกว่านิดหน่อย

          ต่อไปในอนาคต DS30M Mark 2 จะเป็นรุ่นนี้ทั้งหมด กองทัพเรือควรสั่งซื้อมาติดตั้งบนเรือ ต.997 กับ ต.998 เสียที มัวแต่รอปืนกล 30 มม.หกลำกล้องรวบจากรัสเซียเรือไม่มีอาวุธใช้งานกันพอดี

และในอนาคตของอนาคตกองทัพเรือควรสั่งซื้อมาติดตั้งบนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดใหม่ เรือตรวจการณ์ขนาด 50 เมตรชุดใหม่ รวมทั้งเรือยกพลขึ้นบกขนาด 20,000 ตันจากประเทศจีน ระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ไม่สมควรจัดหาปืนกลอัตโนมัติรุ่นอื่นนอกจาก DS30M Mark 2 นอกเสียจากขึ้นโครงการเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำขนาด 4,000 ตันจำนวน 4 ลำ และต้องการปืนรองรุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม ยิงกระสุนฉลาดอเนกประสงค์ได้อาทิเช่นปืนกลอัตโนมัติ 40 มม.รุ่นใหม่ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันใหม่ภายหลังก็ยังไม่สาย

ปืนกล 30 มม. MSI DS30M Mark 2 With Martlet Missiles

          วันที่ 16 กรกฎาคม 2019  กองทัพเรืออังกฤษทดสอบยิงอาวุธปล่อยนำวิถี Martlet จากป้อมปืน DS30M Mark 2 บนเรือฟริเกต Type 23 ชื่อ HMS Sutherland ผลการทดสอบ Martlet พุ่งทำลายเป้าหมายเรือผิวน้ำได้อย่างแม่นยำ ถือเป็นความก้าวหน้าอีกหนึ่งขั้นในการพัฒนาอาวุธป้องกันตนเองระยะใกล้

Martlet หรือ Lightweight Multirole Missile หรือ LMM คืออาวุธปล่อยอเนกประสงค์นำวิถีเลเซอร์บวกอินฟราเรด ระยะยิงไกลสุดประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้ยิงเรือลำเล็กลำน้อย เรือยางพลีชีพ ยานผิวน้ำไร้คนขับ อากาศยานไร้คนขับ เฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งเครื่องบินตรวจการณ์ได้อย่างสบาย แต่ต้องแลกกับกระสุนขนาด 30 มม.หายไปหนึ่งกล่อง 200 นัด และไม่สามารถสลับชนิดกระสุนระหว่างการใช้งานได้เหมือนเก่า

          DS30M Mark 2 ติด Martlet คืออีกหนึ่งทางเลือกในอนาคต เหมาะสมกับชาติที่ต้องการทำลายเป้าหมายไม่ใช่ยิงสกัดเป้าหมาย แลกกับค่าใช้จ่ายในการจัดหา Martlet มาใช้งานเป็นเงินพอสมควร ทว่า DS30M Mark 2 ติด Martlet มีปัญหาสำคัญสมควรนำมาพิจารณา สิ่งนั้นก็คือจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการซื้อไปใช้งานจริงเสียที

ผู้เขียนอาจไม่มีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็จริง ทว่าตราบใดที่กองทัพเรืออังกฤษไม่สั่งซื้อ DS30M Mark 2 ติด Martlet มาใช้งานบนเรือตัวเอง ผู้เขียนขออนุญาตนั่งกำเงินตัวเองอยู่ในบ้านพักตากอากาศต่อไป

บทสรุป

บทความ British Guns in Royal Thai Navy บอกเรื่องหนึ่งกับผู้เขียนว่า กองทัพเรือยังคงเชื่อมั่นอาวุธปืนจากประเทศอังกฤษค่อนข้างสูง จึงได้มีการจัดหามาใช้งานบนเรือรบชนิดต่างๆ จำนวนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ DS30M Mark 2 ผงาดครองเมือง เราจะได้เห็นอาวุธปืนอังกฤษในกองทัพเรือไทยไปอีกแสนนาน

แม้ว่าอังกฤษจะหนีไปใช้งานปืนกลอัตโนมัติขนาด 40 มม.แล้วก็ตาม

                                        +++++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

รายงานเรื่อง : การพัฒนาด้านอาวุธของกองทัพเรือ โดย ร.ท.กรณ์พิสิฐ กอบกิจสิทธิชัย

https://twitter.com/sebh1981/status/1235234004116410371

https://thaimilitary.blogspot.com/2015/08/blog-post.html

https://thaimilitary.blogspot.com/2018/05/m21-class-patrol-boat.html

https://web.facebook.com/MineSquadron

https://web.facebook.com/photo/?fbid=1931687037082755

https://web.facebook.com/photo?fbid=5894646650594502

https://web.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02ANhqzMuAW75dKQsAiB7knt8YPXoi5T8cV6jwhm5fv65HPMJnc4a3BwczBAG6G13Kl&id=100017364975542&__cft__[0]=AZXJaJKSLcxcQRElKrUFTL3-FUN8Iupxuf5LYs-fRtrhqnyuvzRzkUxEtdrlvHFKuc36ZrOtUsXgIQruFnM2PX2YLluJ2wj8rNPszlBIuXXiHnXM1G5BTlM4jIkdZRjnuNo&__tn__=-UK-R

https://www.msi-dsl.com/products/seahawk-a1/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น