วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อาวุธปืนบนเรือรบราชนาวีไทย


บทความนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลอาวุธปืนที่ติดตั้งอยู่บนเรือรบของกองทัพเรือ โดยจำกัดอยู่แค่เพียงอาวุธปืนที่ยังประจำการอยู่และเป็นแบบติดตั้งตายตัวเท่านั้น ข้อมูลบางอย่างอาจคลาดเคลื่อนหรือไม่ชัดเจนไปบ้าง เช่นชื่อเรือที่ติดตั้งหรือจำนวนรวมทั้งหมด ผู้เขียนต้องขออภัยล่วงหน้า ข้อมูลส่วนใหญ่และชื่อเรียกอย่างเป็นทางการอ้างอิงจาก www.thaiarmedforce.com ขอบคุณมาณ.ที่นี้ด้วย

ปืนใหญ่เรือ

BAE Systems Mk.45 mod.2 ขนาด 127 มม./54 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว  
เป็นปืนใหญ่เรือขนาด 5 นิ้วที่ใหม่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของราชนาวีไทย ติดตั้งอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงนเรศวรจำนวน 2 ลำ 2 ระบบ มีความแม่นยำสุงใช้กระสุนมาตราฐานนาโต้ได้หลากหลายและได้รับความนิยมแพร่หลายมากติดตั้งอยู่บนเรือหลายนานาชาติ สามารถตีต่อเป้าหมายได้ไกลสุด 24.1 กิโลเมตรโดยมีอัตรายิงสุงสุด 20 นัดต่อนาที  ตามแผนการปรับปรุงเรือชั้นเรือหลวงนเรศวร ปืนรุ่นนี้จะได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้นมีอัตรายิงสุงขึ้น ทว่าเรือยังอยู่ในระหว่างปรับปรุงจึงยังไม่นับว่าเป็นข้อมูลอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด


BAE Systems Mk.42 mod.9 ขนาด 127 มม./54 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
เป็นระบบปืนใหญ่ที่ถือกำเนิดมาเพื่อเป็นที่หนึ่งอย่างแท้จริง เริ่มเข้าประจำการในช่วงสงครามเย็นที่มีการเผชิญหน้ากันระหว่างนาโต้กับวอร์ซอ จึงได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสุงมากมีขนาดใหญ่น้ำหนักมากอัตรายิงสุงมากและมีราคาต่อหน่วยสุงตามไปด้วย อาวุธปืนที่เริ่มเข้าประจำการในปี 1953 สามารถยิงได้ถึง 40 นัดต่อนาทีในโหมอัตโนมัติ แม้ในภายหลังจะปรับลดเหลือเพียงแค่ 28 นัดต่อนาทีแต่ยังถือเป็นปืนใหญ่เรือขนาดมากกว่า 3 นิ้วที่ยิงได้เร็วที่สุดของกองทัพเรือไทย มีประจำการอยู่บนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Knox จำนวน 2 ลำด้วยกัน ทว่าเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัยปลดประจำการไปแล้ว จึงนับว่าเหลือประจำการอยู่จริงแค่เพียง1ระบบเท่านั้น ความเห็นส่วนตัวผู้เขียนชอบมากเพราะถูกออกแบบให้ใช้งานบนเรือบรรทุกเครื่องบินด้วย ได้รับความนิยมสุงมากเช่นกันติดบนเรือพิฆาตทุกลำของอเมริกาในช่วงสงครามเย็นกำลังระอุ

BAE Systems Mk.8 mod.0 ขนาด 114 มม./55 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
เป็นปืนใหญ่เรืออเนกประสงค์แนวคิดใหม่ของอังกฤษในยุค 1970 ฉีกรูปแบบเดิมที่ปืนรุ่นเก่าทั้งใหญ่โตทั้งเทอะทะและต้องใช้พื้นที่มหาศาล ภายหลังได้มีการปรับปรุงป้อมปืนให้มีความทันสมัยมากขึ้นลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ ลำกล้องปืนขนาด 4.5 นิ้วสามารถตีต่อเป้าหมายได้ไกลสุด 22 กิโลเมตร ด้วยอัตรายิง 25 นัดต่อนาที เป็นอาวุธปืนหลักของเรือฟริเกตและเรือพิฆาตราชนาวิอังกฤษทุกลำยกเว้นแค่เพียงเรือฟริเกต Type22 รุ่นแรกๆ กองทัพเรือไทยมีใช้งานอยู่เรือหลวงกุฎราชกุมารจำนวน 2 ระบบ เคยมีข่าวว่าปืนกระบอกท้ายเรือชำรุดแต่ผู้เขียนไม่ทราบข้อเท็จจริง

PLA Navy Type 79 ขนาด 100 มม./56 คาลิเบอร์ แท่นคู่
นี่คือปืนใหญ่เรือที่จีนพัฒนาขึ้นมาเองจนเป็นผลสำเร็จ และเข้าประจำการแทนปืนใหญ่รุ่นเก่าที่ล้าสมัยแล้วของรัสเซียในช่วง 1970 ป้อมปืนแฝดขนาดใหญ่ใช้เรดาร์ควบคุมการยิงโดยสมบรูณ์แบบ มีระบบสำรองบังคับด้วยมือสามารถยิงได้ทั้งเป้าหมายบนอากาศและภาคพื้นดิน อัตรายิง 25 นัดต่อนาทียิงได้ไกลสุด 22.5 กิโลเมตรด้วยกระสุนHE กองทัพเรือไทยมีใช้งานอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงบางประกงจำนวน 2 ลำ 4 ระบบ 8 กระบอก ก่อนหน้านี้เรือชั้นเรือหลวงกระบุรีทั้ง 2 ลำก็มีเช่นกันแต่โดนถอดออกแล้ว

PLA Navy NG12-2 PJ-33A ขนาด 100 มม./56 คาลิเบอร์ แท่นคู่
เป็นรุ่นปรับปรุงใหม่ของปืนรุ่น Type 79 ภายนอกเปลี่ยนป้อมปืนมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีรูปทรงลดการตรวจจับจากเรดาร์  ป้อมปืนทำงานได้ดีขึ้นเร็วขึ้นและใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น ควบคุมด้วยเรดาร์ควบคุมการยิงแบบใหม่ขนาดกระทัดลงประสิทธิภาพโดยรวมของปืนน่าจะดีกว่าเดิมไม่มากก็น้อย กองทัพเรือจีนมีแผนจะนำมาทดแทนปืนType 79 รุ่นเก่าๆทั้งหมด แต่ท้ายที่สุดก็ยกเลิกแล้วหันไปพัฒนาปืนรุ่นใหม่ต่อไป กองทัพเรือไทยมีประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงกระบุรีทั้ง 2 ลำ 2 ระบบ 4 กระบอก

OTO Melara  ขนาด 76 มม./62 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
เป็นปืนใหญ่เรือที่ได้รับความนิยมสุงมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ตั้งแต่เริ่มเข้าประจำการกับอิตาลีในปี 1964 จนถึงปัจจุบันยังมีคำสั่งซื้อไม่ขาดสาย ป้อมปืนมีขนาดกระทัดรัดน้ำหนักน้อยใช้พื้นที่ด้านใต้ดาดฟ้าไม่มากนัก จึงสามารถติดตั้งได้กับเรือตรวจการณ์ที่มีขนาดเล็กไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน มีการพัฒนาตัวปืนให้ทันสมัยตลอดเวลา ปืนรุ่นใหม่ล่าสุดสามารถยิงกระสุน Vulcanoได้ไกลสุดถึง 40 กม.และกระสุน DART ควบคุมด้วยคลื่นวิทยุจนกระสุนวิ่งกระทบเป้าหมายได้ไกลสุด 35 กิโลเมตร กองทัพเรือไทยใช้งานปืนรุ่นนี้เป็นจำนวนมากโดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกัน

 -Compact มีอัตรายิงสุงสุด 80 นัดต่อนาที ประจำการอยู่บนเรือรบจำนวนมาก เช่น เรือชั้นเรือหลวงตาปีจำนวน2ลำ เรือชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 3 ลำ เรือชั้นเรือหลวงบุรีจำนวน 3 ลำ 6 ระบบ เป็นต้น

 -Rapid Fire มีอัตรายิงสุงสุด 100 นัดต่อนาที ประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงรัตนโกสินท์จำนวน 2 ลำ

 -Super Rapid Fire  มีอัตรายิงสุงสุด 120 นัดต่อนาที ประจำการอยู่บนเรือหลวงอ่างทองและเรือชั้นเรือหลวงปัตตานีจำนวน 2 ลำ ด้วยอัตรายิงที่สุงกองทัพเรืออิตาลีจึงใช้เป็นระบบป้องกันระยะประชิดประจำเรือรบรุ่นใหม่ๆ

US Navy Mk.22 mod.0 ขนาด 76 มม./50 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
ปืนใหญ่ที่มืชื่อเสียงมากที่สุดกระบอกหนึ่งของอเมริกา เป็นปืนที่ใช้ยิงมากที่สุดในสงครามเกาหลี ซึ่งเป็นสมรภูมิท้ายสุดที่มีการยิงถล่มชายฝั่งด้วยกองเรือรบจำนวนมาก มีใช้งานอย่างแพร่หลายในหลายสิบประเทศ ถือเป็นปืนหลักที่ฝั่งนาโต้ใช้ยันการคุกคามจากระบบคอมมิวนิสต์ก็ว่าได้ ประเทศไทยเริ่มมีการใช้งานหลังสงครมโลกครั้งที่2โดยนำมาประจำการแทนแทนระบบปืน Bofors 75/51รวมทั้งปืนขนาด 3 นิ้วและ4นิ้วของอังกฤษที่ล้าสมัยเกินไปและขาดแคลนกระสุนปืน ปัจจุบันยังคงประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงหัวหินจำนวน 3 ลำ เรือชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 3 ลำ และเรือหลวงปิ่นเกล้าอีก 3 ระบบ

Bofors Mk.1 ขนาด 57 มม./70 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
ระบบปืนอเนกประสงค์จากสวีเดนเริ่มเข้าประจำการในปี 1966 ได้รับความนิยมสุงพอสมควรจนถึงปี 2000 จึงค่อนข้างซาลง เป็นปืนใหญ่เรือที่มีอัตรายิงเร็วที่สุดในโลกนั่นคือสามารถยิงได้ถึง 200 นัดต่อนาทีในรุ่น MK.1และเพิ่มเป็น 220 นัดต่อนาทีในรุ่นถัดไป จึงมีความสามารถในการตีต่อเป้าหมายบนอากาศได้เป็นอย่างดี ปืนรุ่นMk.1ประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงปราบปรปักษ์จำนวน 3 ลำ ไม่มีแนวโน้มที่จะจัดหาเพิ่มเติมแต่อย่างใด




                              -------------------------------------------------------

ปืนใหญ่กล

Bofors M3 ขนาด 40 มม./60 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
นี่คือปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นมาตราฐานของกองทัพเรือไทยในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับการสั่งซื้อจำนวนมากเพื่อใช้งานแทนที่ปืนกล 40/40 แท่นคู่ของญี่ปุ่น รวมทั้งปืน 76/40 รุ่นเก่าของอังกฤษ พัฒนามาจากปืนต่อสู้อากาศยานประจำภาคพื้นดิน นับเป็นปืนกล40มม.ที่มียอดผลิตสุงสุดและยิงกระสุนจริงมากที่สุดในโลก ประสบความสำเร็จทั้งยอดขายและผลงานที่ออกสนามรบได้ทุกทวีปและทุกสมรภูมิ กองทัพเรือไทยใช้งานปืนรุ่นนี้มาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีประจำการอยู่บนเรือรบหลายลำ อาทิเช่น เรือหลวงจันทร เรือหลวงถลาง เรือชั้นเรือต.91จำนวน 8 ลำ เรือชั้นเรือหลวงหัวหินจำนวน 3 ลำ เรือชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 3 ลำ เป็นต้น

US Navy Mk.1 mod.2 ขนาด 40 มม./56 คาลิเบอร์ แท่นคู่
ปืนต่อสู้อากาศยานของกองทัพเรืออเมริกาในช่วงสงครามโบกครั้งที่ 2 โดยการนำปืนBofors 40/60 แท่นคู่มาใช้งานร่วมกับเรดารควบคุมการยิงอันทันสมัย แม้ระบบควบคุมการยิงจะถูกจำหน่ายไปแล้วแต่ระบบปืนยังสามารถควบคุมและทำการยิงได้ด้วยระบบแมนนวล ปัจจุบันมีใช้งานอยู่บนเรือหลวงปิ่นเกล้าจำนวน 3 ระบบ

Breda/Bofors Type 107 ขนาด 40 มม./70 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
40/70 คือปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นถัดไปของ Bofors โดยนำปืน 40/60 ที่มีชื่อเสียงมาปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น ลำกล้องยาวมากกว่าเดิมแท่นปืนมีขนาดเล็กลงนิดหน่อย กองทัพเรือไทยเริ่มซื้อเข้าประจำการในช่วงปี 1980 โดยรุ่นType 107 เป็นรุ่นป้อมปืนเปิดโล่ง มีอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงตาปีจำนวน 2 ลำ

Breda/Bofors Type 564 ขนาด 40 มม./70 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
Type 564 คือรุ่นที่มีป้อมปืนชนิดเต็มตัว โดยการนำรุ่น Type 107มาปรับปรุงเพิ่มเติมจึงมีคุณสมบัติอื่นๆคล้ายคลึงกัน มีประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงราชฤทธิ์จำนวน 3 ลำ เรือชั้นปราบปรปักษ์จำนวน 3 ลำ  เรือชั้นเรือหลวงสัตหับจำนวน 3 ลำ เรือชั้นเรือหลวงสีชังจำนวน 2 ลำ และเรือต.99

Breda Twin Compact ขนาด 40 มม./70 คาลิเบอร์ แท่นคู่
ระบบปินที่ได้รับความนิยมสุงมากระหว่างปี 1980-2000 อาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบอาวุธป้องกันตัวระยะประชิดที่ดีมากเป็นอันต้นๆในยุคนั้น(แม้จะต้องใช้คนควบคุมการยิงก็ตาม) สินค้าจากอิตาลีมีน้ำหนักเบาขนาดป้อมปืนไม่ใหญ่นัก ใช้เรดาร์ควบคุมการยิงจากค่ายตะวันตกได้เกือบทุกแบบและมีอัตราการยิงสุงถึง 600 นัดต่อนาที เป็นปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 40/70 ที่พัฒนาการมาได้ไกลมากที่สุด แม้ปัจจุบันจะมีรุ่นใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้นแต่เสี่อมความนิยมลงไปชนิดน่าใจหาย ราชนาวีไทยมีประจำการ 6 ระบบ บนเรือหลวงมกุฎราชกุมาร เรือชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์จำนวน 2 ลำ และเรือชั้นเรือหลวงชลบุรีจำนวน 3 ลำ

PLA Navy Type 76 ขนาด 37 มม./63 คาลิเบอร์ แท่นคู่
ปืนต่อสู้อากาศยานจากประเทศจีนแต่เป็นสินค้าคุณภาพสุงของโซเวียต จึงมีความมั่นใจในเรื่องประสิทธิภาพความแข็งแรงทนทานและความน่าเชื่อถือในการใช้งานจริง อำนาจการยิงของปืนรุ่นนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปืนรุ่นอื่นที่มีขนาดลำกล้อง 20-40 มม. ป้อมปืนสามารถควบคุมด้วยรีโมทใช้เรดาร์ควบคุมการยิงได้หรือยิงแบบแมนนวลก็ได้ มีประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงบางปะกงจำนวน 2 ลำ 8 ระบบ 16 กระบอก ก่อนหน้านี้เคยมีประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงกระบุรีด้วยแต่ถูกแทนที่ด้วยรุ่น Type 76A ไม่ทราบสถานะปัจจุบันของปืนที่ถูกถอดออก
 

PLA Navy Type 76A ขนาด 37 มม./63 คาลิเบอร์ แท่นคู่
เป็นการนำปืนรุ่น Type 76 มาปรับปรุงใหญ่ เปลี่ยนป้อมปืนใหม่ให้ทันสมัยขึ้นควบคุมโดยอัตโนมัติอย่างสมบรูณ์แบบ ใช้เรดาร์ควบคุมการยิงรุ่นใหม่ที่พัฒนามาจากอิตาลีโดยมีขนาดเล็กลงแต่จับเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงกระบุรีจำนวน 2 ลำ 8 ระบบ 16 กระบอก  ก่อนหน้านี้เคยมีประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงนเรศวรด้วยแต่ปัจจุบันถูกถอดออกแล้ว ไม่ทราบสถานะและสภาพปัจจุบันของปืนที่ถูกถอดออก


Breda/Rheinmetall Mauser Mk.30 mod.F ขนาด 30 มม./82 คาลิเบอร์ แท่นคู่
เป็นระบบปืนที่มีชื่อเสียงมากกว่าข้อเท็จจริง นั่นก็คือสินค้าได้รับการสั่งซื้อน้อยมากเมื่อเทียบกับความน่าจะเป็น ทั้งนี้เนื่องมาจากได้ถือกำเนิดในช่วงที่ปืนขนาด 40/70 มม.กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย กระทั่งถึงปี 2000 เมื่อ 40/70 มม.เสื่อมความนิยมลง  Mauser Mk.30 ก็พ่ายแพ้ให้กับปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 20-30 มม.รุ่นใหม่ๆอย่างราบคาบ  สาเหตุเป็นเพราะล้าสมัยเกินไป มีขนาดใหญ่เทอะทะต้องใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้า รวมทั้งไม่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเล็งได้ กองทัพเรือไทยมีประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงคำรณสินธุจำนวน 3 ลำ


MSI-DSL/Oerlikon DS-30B (LOCSIG) KCB ขนาด 30 มม./75 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
นี่คือระบบปืนกลอเนกประสงค์ขนาด30มม.ยุคใหม่ของราชนาวีอังกฤษ พัฒนาและปรับปรุงมาจาก Oerlikon 30 mm twin cannon ซึ่งเป็นปืนหลักของเรือฟริเกตชั้น Type22 รุ่นแรกๆ มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมีความอเนกประสงค์มากขึ้น ใช้กระสุนรุ่นใหม่ของนาโต้ได้ทั้งหมดพร้อมอัตรายิงสุงถึง 650 นัดต่อนาที DS-30B ได้รับความนิยมจากอังกฤษและลูกค้าเก่าพอสมควร มีติดตั้งอยู่บนเรือชั้นเรือหลวงลาดหญ้าจำนวน 2 ลำ


MSI-DSL/Alliant Techsystems DS-30MR (REMSIG) Mk.44 ขนาด 30 มม. แท่นเดี่ยว
DS-30M คือระบบปืนกลเอนกประสงค์รุ่นใหม่อย่างแท้จริง พัฒนาต่อจาก DS-30B โดยมีความแตกต่างที่ด้านขวาของป้อมปืน ซึ่ง DS-30B จะมีที่นั่งของพลยิงติดตั้งอยู่ แต่ DS-30M ตัดออกเพราะเน้นการควบคุมด้วยรีโมท มีขนาดกระทัดรัดมากเมื่อเทียบกับปืน 30 มม.รุ่นเก่าๆ รองรับการยิงได้ทั้งแบบแมนนวลและรีโมท ใช้เรดาร์ควบคุมการยิงได้หลายแบบกระสุนพร้อมยิงมีจำนวนมากเพียงพอและถอดเปลี่ยนได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เคยมีรุ่นติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานขนาดเล็กเป็นออปชั่นเสริม แต่เป็นได้แค่อาวุธในอุดมคติคือมีคนนิยมชมชอบมากแต่ไม่มีคนซื้อ ปัจจุบันได้ปรับปรุงมาเป็นรุ่นติดจรวดเอนกประสงค์แทน ซึ่งก็ทำท่าจะไปได้สวย เพราะแนวโน้มการใช้งานจรวดเอนกประสงค์ขนาดเล็กบนเรือขนาดเล็กมีเพิ่มมากขึ้น


กองทัพเรือติดระบบปืนชนิดนี้บนเรือชั้นเรือต.991 และ 994 จำนวน 6 ลำ เรือชั้นเรือหลวงนเรศวรจำนวน 2 ลำ เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงกระบี่ และมีแนวโน้มจะติดตั้งเพิ่มเติมในเรือรบรุ่นใหม่ในอนาคต นอกจากกองทัพเรือไทยแล้ว DS-30M ยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอีกหลายประเทศ กองทัพเรือมาเลเซียนำไปใช้งานบนเรือตัวเองจำนวนมากเช่นกัน รวมทั้งเรือฟริเกตและเรือคอร์เวตรุ่นใหม่จำนวน 12 ลำ 24 ระบบในอนาคตใกล้ๆนี้ด้วย



Oerlikon Mk.4 ขนาด 20 มม./70 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
ปืนกลขนาด 20 มม.ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เข้าร่วมทั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 กับสงครามเกาหลีและทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีใช้งานในหลายสิบประเทศได้รับการผลิตออกมาเป็นปริมาณมหาศาล นอกจากนี้ยังมีรุ่นแท่นคู่ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แตกต่างกัน สาเหตุก็เพราะตัวปืนมีการออกแบบที่เรียบง่ายดูแลง่ายแต่มีประสิทธิภาพสุงและมีปัญหาการใช้งานน้อยมาก มีขนาดกระทัดรัดติดตั้งและถอดง่ายดายถือเป็นปืนเรือในตำนานกระบอกหนึ่ง

ราชนาวีไทยมีใช้งานทั้งแท่นเดี่ยวและแท่นคู่ โดยนำมาแทนที่ปืนกลแมดเสน 20 มม.ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันเหลือประจำการแค่เพียงรุ่นลำกล้องเดียวบนเรือช่วยรบหลายลำเช่น เรือหลวงจันทร เรือหลวงศุกร์ หรือเรือหลวงสุริยะ รวมทั้งเรือำตรวจน้ำอีกส่วนหนึ่งด้วย ยังมีอีกหลายประเทศที่ประจำการเจ้าคุณปู่ Mk.4 อยู่ กองทัพเรือโปรตุเกสยังคงใช้เป็นปืนรองบนเรือฟริเกตติดอาวุธนำวิถีรุ่นใหม่ของตัวเอง



Oerlikon GAM-BO1 ขนาด 20 มม./95 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
นี่คือปืนกล 20 มม.รุ่นใหม่รุ่นแรกๆของยุโรปตะวันตกหลังจากใช้งาน Oerlikon Mk.4 มาหลายสิบปี GAM-BO1 เริ่มเข้าประจำการในช่วงปี 1980 และได้รับความนิยมทันที ขนาดลำกล้องปืนที่ยาวขึ้้นจึงยิงได้ไกลกว่าเดิมใช้กระสุนรุ่นใหม่ได้มีประสิทธิภาพสุงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงมีหลายสิบประเทศเร่งจัดหาเข้าประจำการ กองทัพเรือไทยได้ใช้งาน GAM-BO1 อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ปัจจุบันยังคงประจำการอยู่บนเรือจำนวนมาก เช่นชั้นเรือหลวงตาปีจำนวน 2 ลำ เรือชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 6 ลำ เรือชั้นเรือต.213 จำนวน 14 ลำ เป็นต้น



Rheinmetall Mk.20 DM6 ขนาด 20 มม./85 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
ปืนกลขนาด 20 มม.ของ Rheinmetal เริ่มเข้าประจำการในปี 1980 พร้อมๆกับ Oerlikon GAM-BO1 โดยนำเอาปืนกลต่อสู้อากาศยานประจำภาคพื้นดินรุ่นใหม่มาปรับปรุงเพื่อใช้งานทางทะเล มีใช้งานอยู่ในหลายประเทศรวมทั้งประเทศผู้ผลิตคือเยอรมันที่ติดบนเรือรบเกือบทุกลำ กองทัพเรือไทยมีประจำการบนเรือหลวงจักรีนฤเบศจำนวน 4 ระบบ และเรือชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์จำนวน 2 ลำ 4 ระบบ



Denel Land Systems GI-2 ขนาด 20 มม./93 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว
ปืนกลขนาด 20 มม.รุ่นใหม่ล่าสุดของกองทัพเรือไทย แอฟริกาใต้พัฒนาปรับปรุงมาจากปืนGIAT modèle F2 ของฝรั่งเศส มีขนาดกระทัดรัดพร้อมกล่องกระสุนปืนอยู่หลังเกาะกำบังเล็กๆ อัตรายิง 750 นัดต่อนาทีมากเพียงพอสำหรับเป้าหมายบนภาคพื้นและบนอากาศ เป็นปืนกล 20 มม.รุ่นมาตราฐานของกองทัพเรือไทยในปัจจุบันนี้ ด้วยราคาที่ไม่แพงมากประมาณระบบละ11ล้านบาทจึงสามารถจัดหาได้โดยง่าย เข้าประจำการอยู่บนเรือชั้นเรือต.111 จำนวน 3 ลำ เรือชั้นเรือต.228 จำนวน 3 ลำ เรือชั้นเรือหลวงปัตตานีจำนวน 2 ลำ เรือหลวงพฤหัสบดี เรือหลวงมาตรา กองทัพเรือมีแผนจะติดตั้งปืนรุ่นนี้บนเรือรบและเรือช่วยรบรุ่นใหม่อีกเป็นจำนวนพอสมควร อินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่จัดหาไปใช้งานในปริมาณค่อนข้างสุง จึงนับเป็นระบบปืนที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่ง



        ---------------------------------------------------------------



ปืนกล

U.S. Ordnance M2HB ขนาด 12.7 มม. แท่นเดี่ยว
ปืนกลขนาด 12.7มม.ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก พัฒนาต่อจากรุ่นเก่าที่ยังต้องใช้น้ำเป็นระบบหล่อความเย็น มีใช้งานมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบันก็ยังคงใช้งานอยู่โดยไม่มีตัวแทนเสียที ปืนรุ่นนี้ถูกใช้งานกับอาวุธทุกชนิดที่มันสามารถติดตั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นเรือลำเล็กไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง ยานเกราะ รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ ไปจนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขับไล่ กองทัพเรือไทยมีประจำการในเรือเกือบทุกลำ



OTO Melara/U.S. Ordnance Hitrole NT-M2HB ขนาด 12.7 มม. แท่นเดี่ยว
ปืนกล 12.7มมรุ่นใหม่เอี่ยมจากอิตาลี ป้อมปืนมีขนาดเล็กมากควบคุมผ่านจอยสติ๊ก มีอุปกรณ์ควบคุมการยิงติดตั้งอยู่ด้านบน ปืนรุ่นนี้กับตลาดโลกได้รับความนิยมพอประมาณ เนื่องจากมีคู่แข่งเยอะทั้งขนาดลำกล้องเท่ากันและลำกล้องใหญ่กว่า ประสิทธิภาพดีไว้ใจได้ทำงานได้ทุกสภาพอากาศ แต่ราคาดูจะสุงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับปืนกล M2 ในตำนาน  ราชนาวีไทยมีใช้งานบนเรือชั้นเรือต.994 จำนวน 3 ลำ ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะจัดหาเพิ่มแต่ประการใด

U.S. Ordnance M60 ขนาด 7.62 มม. แท่นเดี่ยว
ปืนกลขนาดเล็กสุดและทหารราบคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผ่านการรบมาแล้วทุกสมรภูมิจึงให้ความไว้วางใจได้ กองทัพเรือใช้งานกับเรือที่มีขนาดเล็กมากๆ อาทิเช่นเรือกวาดทุ่นระเบิดน้ำตื้น เรือเร็วตรวจการณ์ลำน้ำ แและเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชั้นเรือต.21 แต่กับเรือมีมีขนาดใหญ่มากกว่านั้นจะใช้งานปืนกล M2HB ขนาด 12.7 มม.แทน



เครื่องยิงลูกระเบิด Mk 81 mod 2 ขนาด 81 มม.
อาวุธจากสมัยสงครามเกาหลีที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ใช้งานอยู่กับเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง อาทิเช่น เรือชั้นเรือต.228 และเรือชั้นเรือต.21 มีทั้งรุ่นแท่นเดียวแยกต่างหากและติดตั้งคู่กับปืนกล 12.7มม M2HB







          ---------------------------------------------

อ้างอิงจาก

http://www.thaiarmedforce.com/inventory/34-thailand-inventory/129-rtn-inventory.html
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_equipment_in_Royal_Thai_Navy


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น