วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

HTMS Sukhothai 442

 

เรือหลวงสุโขทัยแห่งราชนาวีไทย

นี่คือบทความเฉพาะกิจที่ผู้เขียนไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่า วันใดวันหนึ่งตัวเองต้องทำภารกิจสุดแสนเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใด ในเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วเราจำเป็นต้องยอมรับความจริง เจอปัญหาก็แก้ไขกันไปดีไม่ดีใช่ไม่ใช่ค่อยว่ากันในภายหลัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้าสู่เนื้อหาบทความปิดท้ายปี 2565 กันได้เลย

Tacoma Boat Completes $143-Million Financing To Build Two Thai Corvettes

ย้อนกลับไปในปี 1983 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นิตยสาร MARITIME REPORTER AND ENGINEERING NEWS ประจำเดือนตุลาคมลงข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งว่า บริษัท Tacoma Boatbuilding Co ได้รับสัญญามูลค่า 143 ล้านเหรียญ ในการออกแบบและสร้างเรือคอร์เวตขนาด 252 ฟุตจำนวน 2 ลำให้กับกองทัพเรือไทย

นายบี.เจมส์ โลว์ ประธานบริษัท Tacoma ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สัญญาสร้างเรือคอร์เวตจำนวน 2 ลำได้รับการลงนามอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บริษัทได้รับใบอนุญาตส่งออกอาวุธเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1983 และได้รับตราสารเครดิตยืนยันการชำระเงินเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 1983

สำหรับแบบเรือคอร์เวตของไทยที่ทางบริษัทได้รับการคัดเลือก มีการออกแบบคล้ายคลึงแบบเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่ความยาว 245 ฟุต หรือ PATROL CHASER MISSILE (PCG) ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาตามหลักนิยมกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา และขายให้กับให้กับชาติพันธมิตรของอเมริกาไปแล้วจำนวน 4 ลำ

หมายเหตุ : ระหว่างปี 1983 ค่าเงินหนึ่งดอลลาร์เท่ากับ 23 บาท ฉะนั้น 143 ล้านดอลลาร์จึงเท่ากับ 3,289 ล้านบาท นี่คือราคาสร้างเรือคอร์เวตจำนวน 2 ลำโดยบริษัท Tacoma Boatbuilding Co

ข้อมูลช่วงแรกของบทความมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนมีข้อมูล โครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถี จากประเทศไทยมาเปรียบเทียบให้เห็นความชัดเจนมากกว่าเดิม

โครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถี

คณะกรรมการพิจารณาจัดหาเรือคอร์เวต ตามคำสั่งกองทัพเรือ (เฉพาะ) ที่ 15/2525 ลงวันที่ 20 มกราคม 2525 ได้ดำเนินการตามหน้าที่ที่กองทัพเรือมอบหมายให้มาตามลำดับ โดยได้เริ่มส่งหนังสือเชิญชวน พร้อมทั้ง Staff-Requirement ให้สถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย 7 แห่ง และตัวแทนในประเทศไทยของบริษัทผู้สร้างเรือในต่างประเทศ 15 รายในวันที่ 24 ธันวาคม 2524 ในการนี้ได้มีบริษัทต่างๆ ยื่นเอกสารรายละเอียดและซองราคา 11 ราย

จากการพิจารณาข้อเสนอบริษัทต่างๆ โดยยังมิได้เปิดซองราคา ปรากฏว่ามีบริษัทที่เสนอแบบเรือที่ผ่านการพิจารณาขั้นแรก 3 บริษัทได้แก่ บริษัทซี.เอ็ม.อาร์จากอิตาลี บริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัดจากสหรัฐอเมริกา และบริษัทวอสเปอร์แห่งอังกฤษ  แต่เนื่องมาจากแบบเรือของทั้งสามบริษัทดังกล่าวมีข้อบกพร่องในเรื่องต่างๆ อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น กองทัพเรือจึงให้คณะกรรมการรวบรวมข้อบกพร่องทั้งหมดของแต่ละบริษัท แล้วส่งให้ทราบและแก้ไขและให้ทั้งสามบริษัทยื่นข้อเสนอมาใหม่ โดยให้ยื่นราคาถึงวันที่ 30 กันยายน 2525

เมื่อบริษัททั้งสามยื่นข้อเสนอมาใหม่ กองทัพเรือพิจารณาเห็นว่าราคาเรือของบริษัทวอสเปอร์สูงกว่าอีก 2 บริษัทมาก จึงได้ตกลงใจให้ตัดบริษัทวอสเปอร์ออกจากการพิจารณา คงเหลือไว้พิจารณาในขั้นสุดท้าย 2 บริษัท อย่างไรก็ตามจากการพิจารณาทบทวนแบบแปลนและรายละเอียดของเรือทั้งสองบริษัทแล้ว กองทัพเรือเห็นว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมความต้องการ ระบบอาวุธและลักษณะของเรือบางประการให้เหมาะสม ซึ่งได้ให้คณะกรรมการแจ้งให้บริษัทแก้ไขเพิ่มเติมตามความต้องการกองทัพเรือต่อไป

เมื่อบริษัทซี.เอ็นและบริษัททาโคม่ายื่นข้อเสนอเข้ามาใหม่ คณะกรรมการได้พิจารณาเปรียบบเทียบลักษณะของเรือ รวมทั้งเงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ ของทั้งสองบริษัทแล้วสรุปพิจารณา และเสนอแนะต่อกองทัพเรือเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2525 ที่ประชุมคณะกรรมการนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการ ประกอบกับข้อพิจารณาผู้บัญชาการทหารเรือเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2525 แล้วกองทัพเรือได้ตกลงใจให้คณะกรรมการเจรจากับผู้แทนบริษัททาโคม่าเป็นอันดับแรก รวมทั้งแจ้งให้บริษัททาโคม่าแก้ไขข้อบกพร่องอีกบางประการ แล้วเสนอแบบและราคาเรือมาใหม่

คณะกรรมการและอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ ได้เจรจาเงื่อนไขของสัญญาและรายละเอียดของผนวกแนบท้ายสัญญา กับบริษัททาโคม่าและสามารถเจรจาทำความตกลงกันได้ คณะกรรมการได้เจรจาต่อรองจนถึงขั้นที่คณะกรรมการเห็นว่า ในระดับกรรมการลู่ทางที่จะให้บริษัททาโคม่าลดราคาลงไปอีกน่าจะมีอยู่น้อยมาก แต่บริษัททาโคม่าน่าจะลดราคาเรือลงได้อีกในขั้นการต่อรองระดับกองทัพเรือ จึงนำเรียนผู้บัญชาการทหารเรือว่าควรจะต่อรองกับบริษัททาโคม่าให้ลดราคาเรือลงอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะยอมรับได้ ในการประชุมเจรจาขั้นสุดท้ายระหว่างผู้บัญชาการทหารเรือและคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ กับบริษัททาโคม่าเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2526 ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงราคาเรือกันได้ในราคา 143 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,296,150,000 บาท (สามพันสองร้อยเก้าสิบหกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2526 ให้กองทัพเรือก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเพื่อเป็นค่าสร้างเรือดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2527 ถึงปีงบประมาณ 2530

บัดนี้คณะกรรมการและบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย ได้เตรียมสัญญาและผนวกแนบท้ายสัญญาไว้พร้อม ได้ตรวจสอบร่วมกันถูกต้องและลงนามกำกับทุกหน้าเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่จะลงนามทั้งในฐานะคู่สัญญาและในฐานะพยานตลอดจนผู้เข้าร่วมในพิธีทั้งสองฝ่ายได้มาพร้อมหน้ากันณ ที่นี้แล้ว จึงขออนุญาตกราบเรียนเชิญผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ลงนามในสัญญาและผนวกแนบท้ายสัญญารวมสองชุด ร่วมกับ Mr.Robert M Hill Vice President บริษัททาโคม่าซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบริษัท ให้เป็นผู้ลงนามในฐานะผู้รับจ้างต่อไป ทั้งนี้ได้มีเสนาธิการทหารเรือ และเจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารเรือลงนามในฐานะพยานฝ่ายกองทัพเรือ และมีเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทย และนายชัยยุทธ กรรณสูตรประธานกรรมการบริษัทอิตัลไทยมารีน จำกัด ลงนามในฐานะพยานฝ่ายบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง

การสร้างเรือโดยบริษัท Tacoma ประเทศสหรัฐอเมริกา

สรุปความได้ว่าข้อมูลของผู้เขียนทั้งจากอเมริกาและประเทศไทยตรงกัน เรือคอร์เวตสองลำราคา 143 ล้านเหรียญหรือ 3,296 ล้านบาท สูงกว่าราคาคูณด้วย 23 อันเป็นค่าเงินดอลลาร์หรือ 3,289 ล้านบาทเล็กน้อย

เรือหลวงสุโขทัยคือเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีสร้างโดยอเมริกาลำที่สอง ต่อจากเรือหลวงรัตนโกสินทร์ซึ่งถูกใช้ชื่อเป็นชั้นเรือตามหลักสากล ยึดตามสูจิบัตร ที่ระลึกปล่อยเรือหลวงสุโขทัย ในภาพประกอบที่หนึ่ง มีการประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำในวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 1986 นีคือเรือรบขนาดใหญ่ลำท้ายๆ ของบริษัททาโคม่าที่ได้รับการว่าจ้างจากลูกค้า หลังจากนั้นไม่นานบริษัทสร้างเรือแห่งนี้ถูกธนาคารฟ้องล้มละลาย ก่อนปิดตัวเองตลอดไประหว่างปี 1992 นับอายุรวมได้เท่ากับ 66 ปีพอดิบพอดี

ผู้เขียนคิดถึงบริษัทสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์หมายเลข 911 จากเยอรมันขึ้นมาทันทีฮา

อาถรรพ์ชื่อเรือไทยมีจริงหรือไม่ผู้เขียนไม่ทราบ ทว่าอาถรรพ์สร้างเรือไทยระดับไฮเอนด์ได้รับการพิสูจน์ทราบครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุดคือบริษัท DSME หลังสร้างเรือฟริเกตให้เราก็เกือบสูญหายตายจากเพราะเรื่องการเงิน

ภาพกราฟิกในสูจิบัตรลงรายละเอียดระบบเรดาร์และระบบอาวุธบนเรือตามแผนการ ทว่าเรือลำจริงของมาไม่ครบเพราะงบประมาณไม่เพียงพอ แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนขออนุญาตใช้คำว่าล้นหลามและล้นลำ เรียกว่าแบกจนหลังแอ่นตามฉายาที่ผู้เขียนแอบตั้งให้เมื่อนานมาแล้ว ส่วนจะแอ่นอย่างไรเดี๋ยวเรามาว่ากันอีกที

ภาพประกอบที่สองมาจากพิธีปล่อยเรือหลวงรัตนโกสินทร์ลงน้ำ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 1985 ที่อู่ต่อเรือ Tacoma ประเทศสหรัฐอเมริกา นี่คือเรือรบลำแรกของราชนาวีไทยที่ติดตั้งระบบอาวุธทันสมัยครบ 3 มิติ มองเห็นแท่นยิงแฝดแปด Albatross บริษัทอิตาลีที่ท้ายเรือ สำหรับติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE Mk.2 ซึ่งจัดว่าทันสมัยมากที่สุดในย่านอาเซียนและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนที่เห็นสีส้มแดงถัดไปอาจเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือเปล่าผู้เขียนไม่แน่ใจ ระบบเรดาร์ตรวจการณ์และเรดาร์ควบคุมการยิงติดตั้งมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ภาพประกอบที่สามมาจากพิธีปล่อยเรือหลวงสุโขทัยลงน้ำในวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 1986 สื่อมวลชนที่อเมริกาเรียกเรือเราว่า Gun Boat หรือเรือปืนอย่าไปโมโหเขาเลยเขาไม่รู้ข้อเท็จจริง ในภาพระบบเรดาร์ตรวจการณ์ถูกติดตั้งมาอย่างครบถ้วน ทว่าเรดาร์ควบคุมการยิงกับอาวุธชนิดต่างๆ ยังมาไม่ถึง ข้อมูลจากใต้ภาพถ่ายบ่งบอกสถานะบริษัทสร้างเรือได้เป็นอย่างดีว่า กำลังเจียนอยู่เจียนไปอาการโคม่าต้องการเงินก้อนใหญ่มาช่วยเยียวยา

และนี่ก็คือภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของบริษัท Tacoma Boatbuilding Co ก่อนล้มละลาย

เข้าประจำการ

          เมื่อบริษัท Tacoma ติดตั้งอาวุธและทดสอบเดินเรือเป็นที่เรียบร้อย เรือหลวงสุโขทัยจะคล้ายคลึงเรือรบทุกลำคือต้องเข้าประจำการ ข้อมูลจากกองทัพเรือไทยระบุว่าเป็นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1997 (หรือ 2530) ข้อมูลจากนิตยสาร Jane's Fighting Ships 20022003 ระบุว่าเป็นวันที่ 10 มิถุนายน 1997 ระยะเวลาแตกต่างกัน 3 ปี 20 วันโดยประมาณ

          ส่วนตัวผู้เขียนมีความเห็นว่า เรือหลวงสุโขทัยเข้าประจำการวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1997 ที่สหรัฐอเมริกา ใช้เวลาฝึกฝนลูกเรือให้เกิดความชำนิชำนาญประมาณ 2-3 เดือน ก่อนล่องเรือกลับสู่ประเทศและทำพิธีรับมอบเรืออย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 10 มิถุนายน 1997 นี่คือไทมไลน์ที่ค่อนข้างเหมาะสมมากที่สุด

          สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นผู้เขียนมีเหตุผลสำคัญสองข้อด้วยกัน

1.เรือหลวงสุโขทัยทำพิธีปล่อยลงน้ำวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 1986 โดยที่เรือยังติดตั้งระบบอาวุธไม่ครบถ้วน เวลาเพียง 7 เดือนในการติดตั้งระบบอาวุธ ทดลองเดินเรือหาข้อบกพร่อง ฝึกฝนลูกเรือให้เกิดความชำนิชำนาญ และล่องเรือกลับคืนสู่อ้อมกอดแผ่นดินแม่ ผู้เขียนพยายามคิดเข้าข้างทุกหนทางแต่คิดไม่ออกจริงๆ

2.ผู้เขียนมีหลักฐานยืนยันเป็นภาพถ่ายอย่างชัดเจน

ภาพประกอบที่สี่เรือหลวงสุโขทัยจอดอยู่ที่ Pearl Harbor หมู่เกาะฮาวาย เข้าใจว่าอยู่ระหว่างการฝึกฝนลูกเรือให้เกิดความชำนิชำนาญ หรืออยู่ระหว่างการเดินทางกลับคืนสู่อ้อมกอดแผ่นดินแม่ ภาพใบนี้ถ่ายทำในวันที่ 1 เมษายน 1987

ถ้าเรือหลวงสุโขทัยเข้าประจำการวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1997 ที่ประเทศไทยไปแล้ว

แล้วเรือหลวงสุโขทัยที่ Pearl Harbor คือเรือหลวงสุโขทัยลำไหนกันหรอกหรือ?

เหตุผลสำคัญสองข้อทำให้ผู้เขียนมีความเห็นตามที่ชี้แจงก่อนหน้านี้

เรื่องเข้าประจำการก็ตามนี้แหละครับ เรามาชมภาพภาพประกอบที่สี่ให้ชัดเจนกันอีกครั้ง ภาพนี้สำคัญที่สุดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะอาวุธและเรดาร์ทั้งหมดยังใหม่เอี่ยมไม่ผ่านการใช้งานหนัก ยังไม่มีการปรับปรุงซ่อมแซมเรือสักจุด นับเป็นเรือป้ายแดงเพิ่งออกมาจากอู่ต่อเรือยังไงยังงั้น

ระบบอาวุธและเรดาร์บนเรือ

เรือหลวงสุโขทัยใช้แบบเรือ PFMM Mk.16 ของบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง ระวางขับน้ำปรกติ 840 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 960 ตัน ยาว 76.8 เมตรหรือ 252 ฟุต กว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.5 เมตร ปืนหลักที่หัวเรือคือปืนใหญ่ OTO 76/62 IROF อัตรายิง 100 นัดต่อนาทีทันสมัยที่สุดในยุคนั้น ปืนรองที่อยู่ถัดไปคือปืนกล OtoBreda 40L70 DARDO ลำกล้องแฝด อัตรายิง 600 นัดต่อนาทีบรรจุกระสุนอัตโนมัติ ถือเป็นระบบป้องกันตนเองระยะประชิดรุ่นมาตรฐานกองทัพเรืออิตาลี เพียงแต่ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติเหมือน Phalanx ของสหรัฐอเมริกา ประสิทธิภาพน้อยกว่ากันในเรื่องจัดการอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ

ปืนกล 40L70 DARDO ทำงานร่วมกับเรดาร์ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง LIROD-8 ของบริษัท Signaalประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อจัดการเป้าหมายบนอากาศโดยเฉพาะ คู่หู 40L70 DARDO+LIROD-8 คือคอมโบเซตที่มีประสิทธิภาพสูงอันดับต้นๆ ในช่วงเวลานั้น บนเรือหลวงสุโขทัยยังมีเรดาร์ควบคุมการยิง Signaal WM-25 รูปร่างเหมือนไข่บนเสากระโดงหลัก สำหรับควบคุมปืนใหญ่กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ใช้คำว่าจัดเต็มเรื่องระบบควบคุมการยิงเห็นไม่ผิดไปจากนี้สักเท่าไร

ระบบตรวจหน้าเสากระโดงหลักประกอบไปด้วย เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำระยะใกล้ ZW-06 รุ่นดีที่สุดของ Signaal เรดาร์เดินเรือ Decca 1226 ไว้ช่วยเสริมทัพอีก 1 ตัว ส่วนโซนาร์ตรวจจับเรือดำน้ำที่หัวเรือคือ DSQS-21C มาจากบริษัท Atlas ประเทศเยอรมันตะวันตก ตรวจจับเป้าหมายใต้น้ำได้ครบ 360 องศา สามารถเลือกส่งความถี่ได้ไกลสุด 29 กิโลเมตร โดยมีระยะตรวจจับหวังผลอยู่ที่ประมาณ 12 กิโลเมตร

เป็นที่ชัดเจนนะครับว่าราชนาวีไทยใช้สิ่งที่ดีที่สุดในเวลานั้นบนเรือหลวงสุโขทัย

บังเอิญงบประมาณในการสร้างเรือค่อนข้างสูงเกินไป รวมทั้งต้องจัดหาอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยที่สุดมาใช้งาน กองทัพเรือจำเป็นต้องตัดอุปกรณ์บางอย่างทิ้งไป และผู้โชคร้ายก็คือระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์จากอิตาลี ระบบส่งสัญญาณรบกวนการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ECM รุ่น Elettronica ELT 318 หายไปจากเสากระโดง ไม่มีจานส่งสัญญาณรบกวน ELT 828 จำนวน 2-4 ใบทั้งที่สร้างจุดติดตั้งรอไว้แล้ว เหลือแค่เพียงระบบตรวจการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ESM รุ่น Elettronica ELT 211 ติดอยู่บนเสาสูงเหนือเรดาร์ควบคุมการยิง WM-25 รูปไข่

ภาพประกอบที่ห้าจาก Pearl Harbor วันที่ 1 เมษายน 1987 เช่นเดียวกัน

จากภาพนี้จะเห็นดีไซน์หลังแอ่นอย่างชัดเจน อันเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเคยเขียนถึงไปก่อนหน้าว่าเรือแบกอาวุธจนหลังแอ่น ปรกติเรือโดยทั่วไปจะลดระดับความสูงตัวเรือหรือ Hull ตั้งแต่หัวเรือ ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงสะพานเดินเรือหรือไกลสุดไม่เกินกลางเรือ ทว่าเรือหลวงสุโขทัยมีการลดระดับความสูงตัวเรือบริเวณกลางเรือค่อนมาทางท้ายเรือด้วย สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรือต้นแบบ PATROL CHASER MISSILE (PCG) ถูกออกแบบไว้เช่นนี้ เมื่อบริษัท Tacoma นำมาปรับปรุงโดยการสร้าง Superstructure ยาวมากขึ้นกว่าเดิม ดีไซน์หลังแอ่นจึงมีความชัดเจนตามกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่มีปัญหาอะไรนะครับสามารถใช้งานเรือได้ตามปรกติ

ดีไซน์หลังแอ่นปรากฏบนเรือเร็วโจมตีปืนชั้นเรือหลวงชลบุรีจากอิตาลีเช่นกัน เพียงแต่ไม่มากเท่าไรผู้เขียนวาดภาพใช้เวลาไม่นาน ไม่เหมือนเรือชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์ที่ต้องแก้แล้วแก้อีกหลายวัน ดีไซน์ทั้งหมดเกิดจากความต้องการกองทัพเรือไทยอย่างแท้จริง บริษัท Tacoma ต้องปรับปรุงแบบเรือถึง 3 ครั้งก่อนได้รับการคัดเลือกในโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถี จึงเป็นแบบเรือที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร The Special One

เหตุผลที่ผู้เขียนเรียกเรือลำนี้ว่า เดอะแบกเพราะดีไซน์หลังแอ่นข้อหนึ่ง อีกข้อหนึ่งก็คือเรือติดอาวุธทันสมัยมากที่สุดของกองทัพเรือ วันใดวันหนึ่งหากมีสงครามทางทะเลเกิดขึ้นในอ่าวไทย เดอะแบกทั้งสองลำต้องทำหน้าที่เสี่ยงอันตรายในแนวหน้า เป็นตัวเปิดเข้าไปปะฉะดะด้วยอาวุธทันสมัยทุกชนิดบนเรือ

และด้วยเหตุผลนี้เรือย่อมโอกาสถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีกลับคืนตอนไหนก็ได้

ฉะนั้นเรือหลวงสุโขทัยกับเรือหลวงรัตนโกสินทร์ คือเรือที่มีความเสี่ยงถูกยิงจมอันดับหนึ่งในบรรดาเรือรบทั้งหมดของยุคนั้น เรือทั้งสองลำอาจจมเพราะภารกิจปกป้องน่านน้ำไทยหาใช่ชื่อเรือ ไม่ใช่อาถรรพ์ชื่อเรือไทยที่ถูกตั้งตามชื่อเมืองหลวงประเทศ รวมทั้งไม่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาโน่นนั่นนี่นุ่นแน่แต่อย่างใด

บนเรือหลวงสุโขทัยมีแท่นยิงเป้าลวงอาวุธนำวิถี Dagaie รุ่นใหม่ทันสมัยจำนวน 1 แท่นยิง  ติดอยู่หลังเสากระโดงรูปร่างคล้ายหีบเพลงสามารถหมุนได้รอบตัว และนับจนถึงปัจจุบันมีเพียงเรือชั้นนี้สองลำที่ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงแบบหมุนได้รอบตัว ขนาดเรือหลวงภูมิพลอดุลเดชลำใหม่ล่าสุดราคา 15,000 ล้านบาท ยังใช้แท่นยิงเป้าลวงทั้งอาวุธนำวิถีและตอร์ปิโดแบบตายตัวหมุนไม่ได้ นี่คือตลกร้ายที่ผู้เขียนบังเอิญค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถัดจากปล่องระบายความร้อนคือเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะกลาง Signaal DA-05 ทาสีดำสนิท ขนาบสองฝั่งด้วยแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสามสำหรับตอร์ปิโด Sting Ray จากอังกฤษ เพราะดีไซน์เรือทำให้ความสูงแท่นยิงตอร์ปิโดฝั่งหัวกับฝั่งท้ายไม่เท่ากัน ดีไซน์แบบนี้มีแค่เพียงเรือหลวงสุโขทัยกับเรือหลวงรัตนโกสินทร์เท่านั้น

ที่เห็นเป็นท่อกลมขนาดใหญ่คือแท่นยิง Mk.141 ลำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง ผู้เขียนมั่นใจว่าเป็นของแท้ทั้งหมดเพราะเรือยังมาไม่ถึงประเทศไทย ยังไม่มีการถอดแท่นยิงจริงออกไปเก็บในคลังแสงแล้วใส่มอกอัพเข้ามาแทนที่ นี่คือภาพประวัติศาสตร์อีกภาพหนึ่งของเรือหลวงสุโขทัยและราชนาวีไทย

ถัดจากแท่นยิง Mk.141 มีที่ว่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป กองทัพเรือต้องการติดตั้งระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx CIWS รุ่นใหม่ล่าสุดทำงานอัตโนมัติ บังเอิญงบประมาณไม่พอจึงถูกตัดออกตามระเบียบ ท้ายเรือติดตั้งแท่นยิงแฝดแปด Albatross ที่อิตาลีซื้อลิขสิทธิ์แท่นยิง Mk.29 จากสหรัฐอเมริกามาสร้างเอง สำหรับใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE Mk.2 ที่อิตาลีซื้อลิขสิทธิ์อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Sparrow จากสหรัฐอเมริกามาสร้างเองเช่นเดียวกัน

เราซื้อเรือหลวงสุโขทัยจากสหรัฐอเมริกามาใช้งานก็จริง ทว่าสหรัฐอเมริกาไม่ขายอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Sparrow ให้กับเรา จำเป็นต้องหันมาใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE Mk.2 จากอิตาลี เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะยังอยู่ในยุคสงครามเย็นกับโซเวียตและกลุ่มวอซอร์ ตอนนั้น Sea Sparrow มีความสำคัญกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาค่อนข้างสูงมาก มีประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินทุกลำ เรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบทุกลำ เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Knox รวมทั้งเรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำชั้น Spruance รัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่อยากปล่อย Sea Sparrow ออกไปนอกสมาชิกนาโต้ยกเว้นชาติใหญ่เท่านั้น

ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ที่ยอมขายให้เราเหตุผลต่างกัน  Harpoon ใช้ในการโจมตีเทคโนโลยีหลุดไปไม่เสียหายมากนัก ทว่า Sea Sparrow ใช้ในการตั้งรับฝ่ายตรงข้ามรู้จุดอ่อนเข้าไม่แย่หรอกหรือ

ผู้เขียนหาภาพประกอบทั้งสองใบได้นานหลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบจริงๆ ว่าจะนำมาลงในบทความไหน ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าตัวเองจะได้ใช้งานในภารกิจสุดท้ายของเรือ

เรือหลวงสุโขทัยเข้าประจำการรับใช้ชาติยาวนานเกือบ 36 ปี ต่อมาในวันที่ 18 ธันวาคม 2022 (หรือ 2565) เรือออกเดินทางไปยังจังหวัดชุมพร เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายจนเรืออับปางจมลงในช่วงค่ำคืน เป็นความสูญเสียครั้งสำคัญมากที่สุดของกองทัพเรือไทย ด้วยรักและอาลัยเราจะคิดถึงคุณทุกคนตลอดกาล

ใครบางคนตั้งคำถามกับผู้เขียนว่า เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับต่างประเทศหรือไม่ คำตอบก็คือมีครับเรือลอยอยู่บนน้ำย่อมมีโอกาสจมน้ำทุกลำ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือที่ไม่มีวันจมอย่างไททานิก

การเกิดอุบัติเหตุจนอาจทำให้เรือจมมีเหตุผลมากมาย ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพสัก 3 กรณี

1.เครื่องยนต์ดับ

          เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศนอร์เวย์

          ทันทีที่พูดชื่อนี้ผู้อ่านทุกคนคงนึกถึงเรือฟริเกตระบบเอจิส HNoMS Helge Ingstad (F313)

คำตอบก็คือผิดคุณไม่ได้ไปต่อ!

          ย้อนเวลากลับไปในยุค 60 หรือประมาณ 60 ปีที่แล้ว กองทัพเรือนอร์เวย์ต้องการเรือรบรุ่นใหม่ทันสมัยจำนวน 5 ลำ เข้าประจำการแทนเรือเก่าจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเป็นที่มาของเรือฟริเกตชั้น Oslo ที่นำแบบเรือพิฆาตคุ้มกันชั้น Dealey ของสหรัฐอเมริกามาปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการ

          เรือฟริเกตชั้น Oslo มีระวางขับน้ำเต็มที่ 2,100 ตัน ยาว 96.6 เมตร กว้าง 11.2 เมตร กินน้ำลึก 5.5 เมตร เรือลำแรก HNoMS Oslo (F300) เข้าประจำการวันที่ 28 มกราคม 1968 ระบบอาวุธป้องกันตนเองประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ Mk.33 ขนาด 3"/50 นิ้วลำกล้องแฝดจำนวน 2 กระบอก จรวดปราบเรือดำน้ำ Terne ASW นอร์เวย์พัฒนาเองยิงได้ไกลสุด 1,600 เมตร (หน่วยยามฝั่งอเมริกาสั่งซื้อไปใช้งานกับเรือตัวเองจำนวนหนึ่ง)  จำนวน 1 แท่นยิง ปืนกล 20 มม.จำนวน 2 กระบอก และแท่นยิงแฝดสาม Mk.32 สำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk.46 อีก 2 แท่นยิง โดยมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดกะทัดรัดอยู่ที่กลางเรือ

          ประจำการได้ประมาณ 10 ปีมีการติดตั้งอาวุธเพิ่มเติม เริ่มจากอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Penguin จำนวน 6 นัดท้ายเรือ บนลานจอดเฮลิคอปเตอร์สร้าง Superstructure เกือบเต็มพื้นที่ ใช้เป็นฐานเสากระโดงรองสำหรับเรดาร์ควบคุมการยิงอาวุธปล่อยนำวิถี Mk.95  ที่ว่างถัดไปเล็กน้อยติดตั้งแท่นยิงแฝดแปด Mk.29 สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน RIM-7M Sea Sparrow จำนวน 8 นัดตามมาตรฐานนาโต้

          เท่ากับว่าเรือฟริเกตชั้น Oslo ติดอาวุธป้องกันตัวครบ 3 มิติ ทำหน้าที่เดอะแบกนอร์เวย์ได้อย่างสมบูรณ์ ภาพประกอบที่หกคือเรือ HNoMS Oslo หลังการปรับปรุงใหม่ มองเห็นเรดาร์ควบคุมการยิง Mk.95  ที่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างชัดเจน ส่วน Sea Sparrow กับ Penguin ต้องใช้สายตาเพ่งมองกันสักเล็กน้อย

          ต่อมาในวันที่ 24 มกราคม 1994 เรือฟริเกต HNoMS Oslo ออกเรือไปลาดตระเวนตามปรกติ ที่ไม่ปรกติคือเรือดันแล่นมาเจอพายุโจมตีกลางทะเลอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เกิดปัญหาระบบสูบน้ำป้อนหม้อน้ำเครื่องยนต์ใช้งานไม่ได้ ผลลัพธ์ก็คือเครื่องยนต์ Steam Turbine ดับสนิทไร้พลังงานขับเคลื่อน ต้องลอยเคว้งคว้างกลางท้องนภาฝากความหวังไว้กับโชคชะตา โชคร้ายเหลือเกินพายุซัด HNoMS Oslo เข้ามาเกยตื้นใกล้ประภาคารมาร์สเตนอันอเต็มไปด้วยโขดหินอย่างรุนแรง ท้องเรือฝั่งซ้ายเกิดความเสียหายตั้งแต่ส่วนหัวถึงกลางเรือ ส่งผลให้มีน้ำเข้าเรือทุกคนบนเรือต้องรีบช่วยกันแก้ไข อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 1 นายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง

          เรือฟริเกต HNoMS Oslo ผจญพายุคลื่นลมอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาหนึ่งวัน กองทัพเรือนอร์เวย์จึงส่งเรือลากจูงมาช่วยลากเรือกลับคืนสู่ฝั่ง โดยไม่ลืมขนถ่ายลูกเรือทั้งหมดไปยังเรือลำอื่น การลากเรือออกจากโขดหินทำให้ท้องเรือเสียหายมากขึ้น ระหว่างเดินทางมีน้ำเข้าเรือมากขึ้นต้องทำงานแข่งกับเวลา แม้ว่าขบวนเรือจะแล่นเกือบถึงท่าเรือเหลืออีกแค่เพียงเล็กน้อย แต่เรือฟริเกต HNoMS Oslo ทำท่าจะไม่ไหวเรือลากจูงจะพลอยลำบากไปด้วย กองทัพเรือนอร์เวยจึงตัดสินใจปล่อยให้เรือจมในเขตน้ำตื้น

          ภาพประกอบที่เจ็ดเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสภาพเรือค่อนข้างดี เรือจมไม่ถึงสะพานเดินเรือเสียด้วยซ้ำ ทว่าหลังจากยกเรือขึ้นฝั่งพบว่าท้องเรือมีสภาพหนักหนาสาหัส กองทัพเรือนอร์เวย์จึงถอดอาวุธทุกอย่างออกนำไปเก็บไว้ในคลังแสง และปลดประจำการเรือขายให้บริษัทเอกชนนำไปรีไซเคิ่ลนำเหล็กกลับมาใช้งานต่อไป

          สังเกตนะครับว่ากองทัพเรือนอร์เวย์กำหนดให้มีเรือฟริเกต 5 ลำมาโดยตลอด และตัวเองจะเหลือเรือฟริเกตเพียง 4 ลำมาโดยตลอด ไม่ทราบเหมือนกันว่าเคยทำบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรบ้างหรือเปล่าเฮ้อ

2.น้ำเข้าเรือ

HMS Endurance (A171) คือเรือสำรวจที่สามารถแล่นผ่านทะเลน้ำแข็งได้ ตัวเรือค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าเรือทั่วไปรวมทั้งเรือรบปรกติทุกลำ เรือมีระวางขับน้ำมากถึง 6,100 ตัน ยาว 91 เมตร กว้าง 19.6 เมตร กินน้ำลึกสุด 8.5 เมตร เข้าประจำการกองทัพเรืออังกฤษระหว่างปี 1992 มีพี่น้องฝาแฝดจำนวน 3 ลำโดยที่ HMS Endurance อายุน้อยที่สุดได้เป็นน้องสาม

ภาพประกอบที่แปดคือเรือสำรวจ HMS Endurance (A171) ในทะเลน้ำแข็งแอนตาร์กติค

ต่อมาในวันที่ 16 ธันวาคม 2008 ขณะที่ HMS Endurance แล่นเรืออยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้บริเวณน่านน้ำประเทศชิลี อยู่ดีๆ เกิดน้ำท่วมชั้นห้องเครื่องยนต์ส่งผลให้เรือแล่นต่อไม่ได้ น้ำทะเลยังคงขึ้นสูงท่วมชั้นถัดไปอันเป็นห้องพักลูกเรือกับเจ้าหน้าที่สำรวจ และมีแนวโน้มว่าเรือจะจมลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้อย่างรวดเร็ว

          โชคดีเหลือเกินเรือแล่นอยู่ในเขตน้ำทิ้งสมอได้ กัปตันเรือตัดสินใจจอดเรือทันทีไม่ให้ลอยเคว้งคว้างไปกับคลื่นลม และสั่งให้ลูกเรือทุกคนช่วยกันต่อสู้กับน้ำทะเลเป็นเวลา 24 ชั่วโมงติดต่อกัน ถัดมาหนึ่งวันกองทัพเรือชิลีส่งเรือลากจูงเดินทางมาช่วยเหลือ HMS Endurance ถูกลากมาที่ท่าเรือเมือง Punta Arenas ของชิลี แล้วกองทัพเรืออังกฤษก็ส่งเรือขนาดใหญ่มาขน HMS Endurance กลับคืนสู่ดินแดนแม่เพื่อตรวจสอบสภาพเรือต่อไป

          ผลการสอบสวนอุบัติเหตุสรุปว่ากัปตันเรือตัดสินใจถูกต้อง หากเขาพยายามบังคับเรือกลับฝั่งหรือล้มเลิกความพยายามต่อสู้น้ำท่วม มีโอกาสสูงมากที่กองทัพเรืออังกฤษจะสูญเสียเรือลำนี้ให้กับมหาสมุทรแปซิฟิกใต้

ผู้อ่านทุกคนคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือสำรวจ Icebreaker ขนาด 6,100 ตันอายุเพียง 16 ปี

          ต้นตออุบัติเหตุเกิดจากการทำความสะอาดระบบผลิตน้ำดื่มจากน้ำทะเล ใช้ระบบอัตโนมัติไม่จำเป็นต้องมีลูกเรือคอยดูแลทุกขั้นตอน ขณะทำความสะอาดระบบวาล์วควบคุมการเปิดปิดใช้งานไม่ได้ น้ำทะเลจึงไหลเข้ามาท่วมห้องเครื่องยนต์ทั้งชั้นภายในเวลา 30 นาที

          HMS Endurance มีพื้นที่สำหรับเจ้าหน้าที่มากกว่า 100 นายก็จริง แต่ด้วยระบบอัตโนมัติทันสมัยจึงมีลูกเรือเพียง 38 นาย ขณะทำความสะอาดระบบผลิตน้ำดื่มไม่มีคนคอยดูแลทุกขั้นตอน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเรือสร้างความเสียหายระดับร้ายแรง อุบัติเหตุครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่าเกิดจากจำนวนลูกเรือน้อยเกินไป

          เพื่อนๆ สมาชิกหลายคนเข้าใจว่าแค่น้ำเข้าเรือซ่อมแซมไม่ยาก เอาเข้าจริงผลการประเมินเบื้องต้นการซ่อม HMS Endurance กลับคืนสภาพต้องใช้เงิน 30 ล้านปอนด์ ทว่าในปี 2013 หลังจากเรือลำนี้จอดคาอู่แห้งเป็นเวลาเกือบๆ 5 ปี เรือถูกขายให้บริษัทเอกนำไปรีไซเคิ่ลเพื่อนำเหล็กกลับมาใช้งานต่อไป

          กรณีที่ 1 กับ 2 มีความเกี่ยวข้องกันตามนี้

          1.เครื่องยนต์ดับบลาบลาบลาน้ำเข้าเรือเรือจม

          2.น้ำเข้าเรือบลาบลาบลาเครื่องยนต์ดับเรือจม

          ส่วนใหญ่แล้วการจมของเรือจะวนเวียนอยู่กับ 2 กรณีนี้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันที่ 18 ธันวาคม 2022 เรือหลวงสุโขทัยเข้าข่ายกรณีไหนกันแน่ หรืออาจจะเป็นเครื่องยนต์ดับ+น้ำเข้าเรือพร้อมกันก็เป็นได้

          เรามาพบกรณีสุดท้ายที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นง่ายๆ กันต่อเลยครับ

3.ไฟไหม้

เรือพิฆาต Otvazhny หมายเลข 530 แห่งกองทัพเรือสหภาพโซเวียต คือเรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำชั้น Project 61 หรือเรือชั้น Kashin ลำที่ 6 เรือทำพิธีวางกระดูกงูในวันที่ 10 สิงหาคม 1963 ทำพิธีปล่อยลงน้ำวันที่ 17 พฤศจิกายน 1964 และเข้าประจำการกองเรือทะเลดำในวันที่ 31 ธันวาคม 1965

Otvazhny มีระวางขับน้ำเต็มที่ 4,290 ตัน ยาว 144 เมตร กว้าง 15.8 เมตร กินน้ำลึก 4.66 เมตร ใช้เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ 2 ตัวให้กำลัง 72,000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 34 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 นอต ใช้ลูกเรือรวมกันจำนวน 266 นาย

เรือพิฆาตลำนี้ค่อนข้างทันสมัยมากในยุคนั้น นอกจากติดตั้งปืนใหญ่ AK-726 ขนาด 76 มม.ลำกล้องแฝด 2 แท่นยิงที่หัวเรือท้ายเรือ จรวดปราบเรือดำน้ำ RBU-1000 ขนาด 6 ลำกล้อง 2 แท่นยิง จรวดปราบเรือดำน้ำ RBU-6000 ขนาด 12 ลำกล้อง 2 แท่นยิง และตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำขนาด 533 มม.ขนาด 6 ท่อยิงแล้ว ยังมีแท่นยิงแฝดสองอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SA-N-1 Goa จำนวน 2 แท่นยิงที่หัวเรือท้ายเรือ บรรจุ SA-N-1 Goa ในคลังแสงใต้ดาดฟ้าเรือรวมกันเท่ากับ 16+16 = 32 นัด

เรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน 32 นัดในปี 1965 ทันสมัยกว่าเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศสมาชิกนาโต้หลายชาติด้วยซ้ำไป

Otvazhny เข้าประจำการในทะเลดำตามปรกติ ระหว่างนั้นได้เดินทางไปเยือนอียิปต์ในวันที่ 10-14 กรกฎาคม 1967 และได้มาเยือนอิตาลีวันที่ 15-22 ตุลาคม 1973 ตอนนั้นไม่มีใครในโซเวียตสักรายแอบคิดในใจว่า นี่คือการเดินทางมาเยือนต่างประเทศครั้งสุดท้ายของเรือลำนี้

ถัดมาเพียงปีเดียวในวันที่ 30 สิงหาคม 1974 กองเรือทะเลดำฝึกซ้อมประจำปีมีเรือรบเข้าร่วมจำนวนหนึ่ง ระหว่างการฝึก Otvazhny ได้รับภารกิจยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SA-N-1 Goa เพื่อทำลายเป้าหมายกลางอากาศที่ถูกสมมุติว่าเป็นเครื่องบินรบของนาโต้

หลังจากแท่นยิงแฝดสอง ZIF-101 ท้ายเรือยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศ SA-N-1 ออกไปจำนวน 1 นัด ความร้อนจากไอพ่นส่งผลให้ SA-N-1 ที่เหลือในคลังแสงเกิดการระเบิดติดต่อกัน ตามติดมาด้วยไฟไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์กองเรือ

ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจากคลังแสงใต้ดาดฟ้าท้ายเรือ เมื่อไฟลุกลามมาถึงปล่องระบายความร้อนอันที่สองนั่นคือหายนะ ลูกเรือรวมทั้งเรือพิฆาตชั้น Kashin ลำอื่นพยายามควบคุมเพลิงอย่างเต็มที่ ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ Otvazhny ต้องจมลงสู่ใต้ท้องทะเลตลอดกาล โดยมีลูกเรือ 19 รายกับนักเรียนนายเรือ 5 รายต้องจากไปพร้อมเรือ

ภาพประกอบที่เก้าคือการสูญเสียเรือพิฆาต Otvazhny ให้กับทะเลดำเพราะอุบัติเหตุไฟไหม้

เรือรบทุกชนิดติดตั้งอาวุธและเรดาร์ทันสมัยบนเรือ จำนวนมากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไปแล้วแต่ลำ ในกรณีเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง ความแข็งแรงทนทานจากการออกแบบและสร้างด้วยมาตรฐานทางทหาร จะช่วยให้เรือมีความปลอดภัยมากกว่าเรือสินค้าหรือเรือตังเก แต่เมื่อไรก็ตามที่อุบัติเหตุลุกลามบานปลายขยายตัวกลายเป็นเรื่องใหญ่ โอกาสที่เรือรบจะจมทะเลอย่างรวดเร็วย่อมสูงกว่าเรือสินค้าหรือเรือตังเก และมีโอกาสระเบิดลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่ตอนไหนก็ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอเพราะบนเรือติดตั้งอาวุธล้นลำยังไงล่ะครับ

ผู้เขียนหวังใจว่าเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยจะช่วยให้ทุกคนมองเห็นภาพชัดเจนกว่าเดิม

เรือรบไม่ได้แข็งแรงทนทานจมไม่ได้เหมือนเรือสินค้าหรือเรือตังเก

เรือรบแค่จมช้ากว่าเรือสินค้าหรือเรือตังเกนิดหน่อยเท่านั้น

โครงการจัดหาเรือทดแทนเรือหลวงสุโขทัยจากประเทศเยอรมัน

 ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในคืนวันที่ 18 ธันวาคม 2022 ส่งผลให้เรือรบติดอาวุธครบ 3 มิติลูกประดู่ไทยลดลงเหลือเพียง 4 ลำ ประกอบไปด้วย เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช 471 เรือหลวงนเรศวร 421 เรือหลวงตากสิน 422 และเรือหลวงรัตนโกสินทร์ 441 ซึ่งมีอายุ 36 ปี 3 เดือนใกล้ปลดประจำการเต็มที

ผู้เขียนขอเสนอทางเลือกในการจัดหาเรือฟริเกตมือสองให้พิจารณาตามใจชอบ

เริ่มจากลำแรกเรือฟริเกต F122 หรือเรือฟริเกตชั้น Bremen ของกองทัพเรือเยอรมัน เรือลำสุดท้าย Lübeck (F214) เพิ่งทำพิธีปลดประจำการวันที่ 15 ธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา เรืออายุ 32 ปีลำนี้เรานำมาอุดช่องว่างแค่ 10 ปี จากนั้นค่อยขึ้นโครงการเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัย นำมาทดแทนพร้อมเรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน เรือหลวงกระบุรี และเรือหลวงสายบุรี จำนวนเรือประมาณ 4 ลำแบ่งเป็นสองเฟสในภายหลัง

Lübeck (F214) ใช้อาวุธส่วนใหญ่ตามมาตรฐานราชนาวีไทย เรือมีระวางขับ 3,680 ตัน ยาว 130.5 เมตร กว้าง 14.6 เมตร กินน้ำลึก 6.30 เมตร ปืนใหญ่หัวเรือ OTO 76/62 mm Compact เรานำกระสุนปืนเรือหลวงสุโขทัยมาใช้งานได้ กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง เรานำ Harpoon เรือหลวงสุโขทัยมาใช้งานได้ ก่อนถึงโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์มีห้องยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk.46 จำนวนรวม 4 ท่อยิง เรานำ Mk.46 เรือหลวงสุโขทัยมาใช้งานได้ เรือมีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตันจำนวน 2 ลำ ค่อนข้างใหญ่โตโออ่าสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง รวมทั้งลำเลียงเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินกับสอ.รฝ

ภาพประกอบที่สิบคือเรือฟริเกต Lübeck (F214) ในช่วงที่ยังเป็นกระดูกสันหลังทัพเรือเยอรมัน

สิ่งที่ต้องปรับปรุงคือระบบป้องกันภัยทางอากาศ ผู้เขียนมีแผนการรองรับจำนวน 3 แผนประกอบไปด้วย

1.ในกรณีต้องการใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้ต่อสู้อากาศยาน ให้กองทัพเรือจัดหา RIM-7M Sea Sparrow มือสองจากอเมริกา เยอรมัน ญี่ปุ่น หรือเนเธอร์แลนด์ชาติไหนก็ได้จำนวน 6 นัด ทดสอบยิง 1 นัดเก็บไว้ใช้งานกันผีหลอก 5 นัด เมื่อเรือปลดประจำการ Sea Sparrow จะหมดอายุการใช้งานช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

หากใช้แผนนี้ให้เยอรมันถอดแท่นยิง Mk.49 บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ออกไปทั้งหมด หาปืนกลอัตโนมัติ DS30M Mk.2 มาติดตั้งแทนจำนวน 2 กระบอก เมื่อเรือปลดประจำการเราสามารถนำปืนไปใช้งานบนเรือลำอื่นได้

 2.ในกรณีต้องการใช้งานระบบป้องกันระยะประชิด CIWS ให้เยอรมันถอดแท่นยิง Mk.49 บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ออกไป 1 แท่นยิง เหลือเพียง 1 แท่นยิง ให้กองทัพเรือจัดหา RAM Block 1 มือสองจากเยอรมันนี่แหละจำนวน 8 นัด ทดสอบยิง 1 นัดเก็บไว้ใช้งานกันผีหลอกอีก 7 นัด เมื่อเรือปลดประจำการ RAM Block 1 จะหมดอายุการใช้งานช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

แท่นยิง Mk.29 ที่หัวเรือสำหรับ Sea Sparrow ถอดออกไปเลย แล้วหาปืนกลอัตโนมัติ DS30M Mk.2 มาติดตั้งแทนจำนวน 1 กระบอก เมื่อเรือปลดประจำการเราสามารถนำปืนไปใช้งานบนเรือลำอื่นได้

 3.ในกรณีต้องการใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้ต่อสู้อากาศยานและระบบป้องกันระยะประชิด ถ้าต้องการแผนนี้ให้เยอรมันถอดแท่นยิง Mk.49 บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ออกไป 1 แท่นยิง ให้กองทัพเรือจัดหา RIM-7M Sea Sparrow มือสองจำนวน 6 นัดกับ RAM Block 1 มือสองอีก 8 นัดมาใช้งาน ส่วนจะทดสอบยิงแบบไหนหรืออย่างไรตามใจชอบได้เลย

Lübeck (F214) จะมาช่วยอุดช่องว่างประมาณ 10 ปีเท่านั้น ผู้เขียนคาดว่าใช้งบประมาณไม่มากนัก

โครงการจัดหาเรือทดแทนเรือหลวงสุโขทัยจากประเทศจีน

 นี่คือการกลับมาอีกครั้งของท่านเทพเจียงเว่ยที่เราคุ้นชื่อเป็นอย่างดี การกลับมาครั้งนี้เป็นแผนที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้เขียนหาได้ กองทัพเรือจะใช้ความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมซื้อต่อเรือฟริเกตชั้น Type 053H3 จำนวน 2 ลำ กำหนดให้เป็นสองลำสุดท้ายเข้าประจำการระหว่างปี 2005 พร้อมกัน ได้แก่เรือฟริเกต Luoyang 527 กับเรือฟริเกต Mianyang 528

 ภาพประกอบที่สิบเอ็ดคือเรือฟริเกต Mianyang 528 หลังการปรับปรุงใหม่ เฉพาะ 527 กับ 528 เท่านั้นคือเป้าหมายที่กองทัพเรือไทยต้องพุ่งชน ที่ซื้อ 2 ลำเพราะต้องการทดแทนเรือหลวงรัตนโกสินทร์ 441 ในอนาคต

Mianyang 528 มีระวางขับน้ำ 2,393 ตัน ยาว 112 เมตร กว้าง 12.4 เมตร กินน้ำลึก 4.3 เมตร หัวเรือติดตั้งจรวดปราบเรือดำน้ำ Type 87 ขนาด 240 มม.หกลำกล้องจำนวน 2 แท่นยิง ทำงานร่วมกับโซนาร์หัวเรือ SJD-7A ระยะตรวจจับ 9.3 กิโลเมตร ที่เรือหลวงนเรศวรและเรือหลวงตากสินเคยติดตั้งช่วงเข้าประจำการใหม่ๆ ถ้ากองทัพเรือไม่อยากใช้งาน Type 87 ให้จีนเอาออกไปเลยเหลือเพียงโซนาร์อย่างเดียว

ปืนใหญ่หัวเรือ Type 79A ขนาด 100 มม.ลำกล้องแฝดเรามีใช้งานอยู่แล้ว ถัดไปหน้าสะพานเดินเรือคือระบบป้องกันตนเองระยะประชิด FL-3000N จำนวน 8 ท่อยิง อาวุธใหม่ชิ้นนี้ต้องจัดหามาใช้งานเพราะมีประสิทธิภาพสูง เรือบรรทุกเครื่องบินกับเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบประเทศจีนมีใช้งานทุกลำ

 กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A จำนวน 8 ท่อยิงเรามีใช้งานอยู่แล้ว บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ 30 มม.หกลำกล้องรวบจำนวน 2 กระบอก สั่งให้จีนถอดออกติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Type 76A ขนาด 37 มม.ลำกล้องแฝดกลับคืนดังเดิม จะได้เหมือนกับที่ใช้งานบนเรือหลวงกระบุรีและเรือหลวงสายบุรี ส่วนระบบเรดาร์กับระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นของจีนทั้งหมด ตอนนี้ใช้ๆ ไปก่อนไว้พอมีเงินอยากโมดิฟายค่อยว่ากันใหม่ในภายหลัง

 ได้เรือมาแล้วต้องปรับปรุงเฉพาะสิ่งที่สำคัญ โดยการติดตั้งโซนาร์ลากท้าย H/SJG-206 Towed Line Array Sonar (TLAS) ที่บั้นท้ายเรือ ทำได้แน่นอนเพราะตอนที่จีนพัฒนาโซนาร์ใช้เรือฟริเกต Type 053H3 นี่แหละเป็นหนูทดลองยา จากนั้นให้จัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำรุ่นส่งออก LQ-008 (ร่างทรง YU-8) ระยะยิง 30 กิโลเมตร มาใช้งานร่วมกับแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A ที่มีอยู่ 8 ท่อยิง อาจแบ่งเป็น C-802A จำนวน 4 นัดกับ LQ-008 อีก 4 นัดสลับฟันปลาฝั่งล่ะ 2 นัดแบบนี้ก็ได้

 อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ LQ-008 จะเข้ามาเสริมทัพการป้องกันภัยใต้น้ำ ในกรณีเรือฟริเกตมือสองจากจีนตรวจสอบด้วยโซนาร์ลากท้าย H/SJG-206 แล้วพบอะไรบางอย่าง จึงติดต่อมายังเฮลิอปเตอร์ S-70B ให้บินมาที่ตำแหน่งดังกล่าว เพื่อใช้โซนาร์ชักหย่อน HELRAS ประจำเฮลคอปเตอร์ตรวจสอบอย่างละเอียด

เมื่อเจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์สามารถตรวจพบว่า มีวัตถุต้องสงสัยดำน้ำอยู่ที่พิกัดxxx ห่างออกไป 23 กิโลเมตร ทิศ 10 นาฬิกา จึงร้องขอให้เรือฟริเกตมือสองจากจีนยิงลูกยาวมายังทิศทางดังกล่าว เพื่อกดดันหรือทำลายเป้าหมายหรือบังคับให้เป้าหมายเปิดเผยตัวก็ว่ากันไป

 เรือฟริเกต Luoyang 527 และเรือ Mianyang 528 ไม่ว่าใช้ชื่อไทยว่าอะไร จะใช้เวลาไม่เกิน 90 วินาทีในการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ LQ-008 มาที่พิกัดxxx ห่างออกไป 23 กิโลเมตร ทิศ 10 นาฬิกา

อ่านทบทวนดูแล้วพอได้อยู่นะ ส่วนตัวไม่ว่าอาวุธชาติไหนถ้าใช้งานได้และใช้งานดีผู้เขียนไม่มีปัญหา อาวุธก็อาวุธจีนซีไม่เห็นเป็นไร….ขอแค่ใช้งานได้จริงตามโบรชัวร์เท่านั้นพอ

 เรือฟริเกต Luoyang 527 และเรือ Mianyang 528 เพิ่งมีอายุเพียง 17 ปี นำมาปรับปรุงแล้วประจำการไปอีก 20 ปี แล้วปลดประจำการ ถึงตอนนั้นบรรดาลูกยาวปราบเรือดำน้ำจะหมดอายุการใช้งานใกล้เคียงกัน

 เรือฟริเกตจากสองชาตินี้สามารถซื้อมาใช้งานได้ทันที อาจไม่ได้ที่สุดเหมาะสมที่สุด แต่เร็วที่สุดและมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด ขนาดกำลังเหมาะสมราคากำลังเหมาะเหม็ง ส่วนเรือคอร์เวต Type 056 ไม่เหมาะสมสักเท่าไร เพราะมีขนาดเล็กเกินไปติดอาวุธน้อยเกินไป ขนาดกองทัพเรือจีนเองยังมีปัญหาเรื่องการใช้งาน

ไว้มีโอกาสผู้เขียนจะเขียนบทความถึงเรือคอร์เวตแยกต่างหาก เนื่องจากยุคนี้สมัยนี้กลายเป็นยุคเรือคอร์เวตครองเมืองไปเสียแล้ว สำหรับบทความนี้ถึงเวลาต้องอำลาจากกันเสียที จนกว่าจะพบกันใหม่สวัสดีครับ ^_*       

                                            +++++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

https://www.bannakarn.com/product/dcus1986-00001/

https://catalog.archives.gov/id/6476239

https://catalog.archives.gov/id/6476238

https://www.seaforces.org/marint/German-Navy/Frigate/F-214-FGS-Lubeck.htm

https://www.reddit.com/r/WarshipPorn/comments/uwmqux/plan_type_53h3_frigate_527_luoyang_with_type_056a/

https://thaimilitary.blogspot.com/2021/08/thai-navy-missile-corvette.html

http://shipbucket.com/forums/viewtopic.php?t=2859&fbclid=IwAR230pcEE2oTseQWmnDgxXedK_cQLhSQ2xJN1CHya1TdcZ4_fsLCckybzTA

https://twitter.com/TheSubHunter1/status/1514646836853678090

https://wavellroom.com/2019/07/23/mayday-in-the-magellan-part-iii-what-caused-the-flood

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น