วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

Next Generation Patrol Vessel

 

วันที่ 30 กันยายน 2567 กองทัพเรือประกอบพิธีปลดประจำการเรือหลวงท้ายเหมืองและเรือหลวงกันตัง ทั้งสองลำเป็นเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบซึ่งถูกจัดหามาใช้งานจำนวน 6 ลำ ส่งผลให้เรือตรวจการณ์ขนาดปานกลางราชนาวีไทยลดลงจาก 10 ลำเหลือ 8 ลำ และมีแนวโน้มจะลดเหลือเพียง 4 ลำภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เนื่องจากเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบที่เหลืออีก 4 ลำมีอายุราชการ 38 ปีขึ้นไป ใกล้ถึงเวลาปลดประจำการตามเรือสองลำแรกที่ล่วงหน้าไปก่อน

เวลาเดียวกันเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุจำนวน 3 ลำ อายุการใช้งานมากกว่า 33 ปีเหลือเวลาไม่นานเท่าไร ต้องปลดประจำการถัดจากเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบในอีกประมาณ 5 ปี ผู้เขียนจึงได้ริเริ่มโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่รุ่นใหม่หรือ Next Generation Patrol Vessel ใช้ชื่อย่อว่า NGPV เป็นทั้งชื่อโครงการและชื่อแบบเรือ นำมาประจำการทดแทนเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบและเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ โดยใช้แบบเรือเดียวกันติดอาวุธแตกต่างกันเล็กน้อยตามภารกิจเรือ กำหนดแบบเรือให้คณะกรรมการคัดสรรแบบเรือคัดเลือกจำนวน 3 รุ่นประกอบไปด้วย

1. NGPV 70

เป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ระวางขับน้ำ 1,000 ตัน ยาว 70.8 เมตร กว้าง 12.1 เมตร กินน้ำลึกสุด 3.2 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,200 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน

รูปทรงคล้ายเรือขนาดใหญ่มีความทนทะเลค่อนข้างสูง ข้างปล่องระบายความร้อนคือจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตรจำนวน 2 ลำ มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 5 ตันบริเวณท้ายเรือ และมีโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับจำนวน 1 ลำ ลานจอดสามารถปรับเปลี่ยนเป็นจุดวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ หรือใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับทำภารกิจช่วยเหลือประชาชน

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.เวอร์ชันตุร์เคียอัตรายิง 85 นัดต่อนาที กับปืนกลขนาด 12.7 มม.อีกจำนวน 2 กระบอก มีจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอกเหนือโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับ ทว่ายังไม่มีการจัดหามาใช้งานปล่อยว่างแบบนี้ไปก่อน หน้าสะพานเดินเรือคือจุดรับส่งสิ่งของทางทะเล สามารถติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงขนาด 130 มม.ได้จำนวน 2 แท่นยิง ระบบอำนวยการรบกับออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงจากประเทศสเปนเหมือนเรือหลวงช้าง ติดตั้งเรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัวพร้อมระบบสื่อสารตามมาตรฐานลูกประดู่ไทย

ส่วนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ NGPV 70 Batch 2 จะมีการติดตั้งโซนาร์หัวเรือขนาดเหมาะสมกับตัวเรือเพิ่มเติมเข้ามา พร้อมแท่นยิงแฝดสามตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 2 แท่นยิงที่ด้านข้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เรืออาจติดตั้งเรเดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X ระยะตรวจจับ 100 กิโลเมตร แท่นยิง SIMBAD-RC ขนาด 4 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรเหนือโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับจำนวน 1 แท่นยิง รวมทั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดขนาด 6 ท่อยิงหน้าสะพานเดินเรือจำนวน 2 แท่นยิง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เรือทำภารกิจในพื้นที่มีความเสี่ยงสุงได้ดีกว่า NGPV 70 Batch 1

NGPV 70 ขนาดใหญ่กว่าเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบประมาณ 20 เมตร ใหญ่กว่าเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุประมาณ 8 เมตร การใช้งานในทะเลลึกย่อมดีกว่ากันตามขนาดเรือ และด้วยเหตุนี้ราคาเรือย่อมสูงกว่าเดิมตามกันไปด้วย การจัดหาจึงแบ่งเป็น NGPV 70 Batch 1 จำนวน 4 ลำทดแทนเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 6 ลำ และ NGPV 70 Batch 2 จำนวน 2 ลำทดแทนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุจำนวน 3 ลำ นอกเสียจากรัฐบาลไทยบังเอิญเจอขุมทองโกโบริถึงอาจได้เรือจำนวนเท่าเดิม

2. NGPV 65

เป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ระวางขับน้ำ 880 ตัน ยาว 65.7 เมตร กว้าง 12.1 เมตร กินน้ำลึกสุด 3.2 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,200 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ระบบเรดาร์และระบบอาวุธเหมือน NGPV 70 ทั้งหมดเพราะอยู่ในโครงการเดียวกัน

คุณสมบัติโดยรวมเหมือน NGPV 70 ซึ่งใหญ่กว่ากันนิดหน่อย แต่ถูกออกแบบสไตล์อังกฤษหัวเรือสูงกว่า NGPV 70 ประมาณ 40 เซนติเมตร พลอยทำให้สะพานเดินเรือรูปทรงห้าเหลี่ยมความสูงลดลง ไม่มีการต่อเติมระเบียงยื่นยาวออกมานอกกราบเรือ การจัดวางเสากระโดง ปล่องระบายความร้อน จุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตร จุดติดตั้งปืนรอง และโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับใกล้เคียง NGPV 70 ลานจอดท้ายเรือสำหรับอากาศยานไร้คนขับ Camcopter S-100 หรือ MARCUS-B (ถ้าเป็นรุ่นพับปีกได้จะดีมาก) หรือใช้วางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ

NGPV 65 ขนาดเล็กกว่า NGPV 70 ประมาณ 5 เมตร แบบเรือมีความแตกต่างเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับกองทัพเรือ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นส่วนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำได้ โดยยังมีคุณลักษณะเหมือนเดิมรวมทั้งลานจอดอากาศยานขนาดเล็ก การจัดหาเรือยังเป็น NGPV 65 Batch 1 จำนวน 4 ลำกับBatch 2 จำนวน 2 ลำเหมือนเดิม เพียงแต่ด้วยราคาที่ถูกลงนิดหน่อยตามระวางขับน้ำ อาจจัดหาปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.เพื่อใช้เป็นปืนรองตั้งแต่เริ่มเข้าประจำการ

3. NGPV 60

เป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ที่มีความแตกต่างจาก NGPV 70 และ NGPV 65 ระวางขับน้ำ 700 ตัน ยาว 60.5 เมตร กว้าง 11.5 เมตร กินน้ำลึกสุด 3.0 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ระบบเรดาร์และระบบอาวุธเหมือน NGPV 70 ที่เป็นเรือใหญ่กว่า

รูปทรงเรือโดยรวมมีความคล้ายคลึงเรือหลวงกระบี่ไม่มากก็น้อย หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ตามปรกติ สะพานเดินเรือ เสากระโดง และปล่องระบายความร้อนรูปทรงใกล้เคียง NGPV 65 พื้นที่ว่างท้ายเรือนอกจากใช้เป็นจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตรจำนวน 2 ลำ ยังเหลือพื้นที่มากเพียงพอใช้เป็นลานจอดอากาศยานไร้คนขับ สามารถวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ หรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 แท่นยิงเพิ่มอำนาจการยิง หรือติดตั้งแท่นยิงแฝดสามตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 2 แท่นยิงกับรางปล่อยระเบิดลึก

NGPV 60 เป็นแบบเรือง่ายๆ ที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ยุ่งยากซับซ้อนทั้งการสร้าง การซ่อมบำรุง หรือการติดตั้งอาวุธเพิ่มเติม เพียงแต่ขนาดค่อนข้างเล็กสู้คลื่นลมได้น้อยกว่า NGPV 70 และ NGPV 65 และด้วยขนาดเรือจึงสามารถจัดหา NGPV 60 Batch 1 จำนวน 6 ลำกับ Batch 2 จำนวน 3 ลำได้อย่างพอดีกับเงินในกระเป๋า (ไม่รวมปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.) ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการคัดสรรแบบเรือชอบเรือเล็กราคาประหยัด หรือเรือใหญ่ราคาแพงกว่าที่สามารถใช้เป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้

และนี่ก็คือ 3 ทางเลือกจากโครงการ Next Generation Patrol Vessel แห่งราชนาวีไทย

บทสรุป

         เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์รุ่นใหม่จะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย สามารถทำภารกิจได้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง โดยมีค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงน้อยกว่าตามขนาดเรือ มีความคล่องตัวต่อการทำภารกิจมากมายในเขตน้ำตื้น ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.เวอร์ชันตุร์เคียกับปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอกมากเพียงพอในการป้องกันตัว ส่วนปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.ไว้สร้างเรือครบทุกลำค่อยจัดหามาใช้งานในภายหลังก็ยังทัน

หากเกิดสงครามทางทะเลเรือ NGPV จะอยู่ในแนวป้องกันที่สาม ต่อจากกองเรือฟริเกตอันแสนเกรียงไกร และกองเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งอันสุดแกร่งกล้า เท่ากับว่าโอกาสเข้าปะทะจริงในสนามรบจริงเกิดขึ้นค่อนข้างยาก ส่วนในภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์ไล่จับเรือประมงต่างชาติ ปืนหลักกับปืนรองบนเรือใช้ป้องกันตัวได้อย่างสบายไร้ความวิตกกังวล หากกองทัพเรือไม่พอใจอาจนำปืนกลขนาด 20 มม.จากเรือเก่ามาติดตั้งเพิ่ม

ต้องเข้าใจนะครับว่าเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ใช้ในยามสงบเป็นหลัก หากติดอาวุธราคาแพงมากเกินตัวจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม โอกาสจัดหาเรือครบทุกลำตามแผนการย่อมน้อยลง รวมทั้งอาวุธราคาแพงอาจถูกบั่นทอนประสิทธิภาพหรือเสียหาย อันเกิดจากการใช้งานเรือหนักเกินไปเพราะต้องลาดตระเวนตรวจการณ์บ่อยครั้ง ไม่เหมือนเรือคอร์เวตหรือเรือฟริเกตซึ่งออกทำภารกิจน้อยกว่า ขนาดเรือก็ใหญ่กว่าอาวุธบนเรือย่อมสัมผัสน้ำทะเลน้อยกว่าตามกันไปด้วย

โครงการ Next Generation Patrol Vessel เกิดขึ้นโดยฝีมือคนไทยได้อย่างแน่นอน บริษัทสร้างเรือในประเทศทุกรายสามารถสร้างเรือตระกูล NGPV ได้ด้วยตัวเอง หากกองทัพเรือต้องการสนับสนุนสินค้าไทยย่อมสามารถขึ้นโครงการได้ทันที

ภาพประกอบสร้างโดย : Google Gemini AI

หมายเหตุ : ภาพที่สร้างจาก Google Gemini AI ผู้เขียนนำมาปรับปรุงอีกครั้ง ให้มีความเหมาะสมมากขึ้นและตรงตามเนื้อหาบทความมากขึ้น รวมทั้งทำให้ภาพประกอบไม่ดูรกหูรกตามากเกินไป

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น