บทความนี้ผู้เขียนขอเล่าเรื่องราวเรือฟริเกตอันดับหนึ่งในดวงใจ
ในส่วนของการถือกำเนิดและเกิดใหม่อีกครั้งภายใต้ธงชาติประเทศอื่น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวสนุกน่าสนใจได้ความรู้เพิ่มเติมไม่มากก็น้อย
ไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้าสู่เนื้อหาบทความตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย
Type 22 Batch 1 Frigate
ปี 1966 กองทัพเรืออังกฤษจัดตั้งโครงการเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ใช้ชื่อว่า
CVA-01 Aircraft Carrier Programme ผลลัพธ์ตามมาคือการพัฒนาเรือรบรุ่นใหม่เพื่อใช้คุ้มกันเรือบรรทุกเครื่องบินราคาแพง
หนึ่งในนั้นคือโครงการเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทดแทนเรือฟริเกตชั้น Type 12 Leander
ต่อมาในภายหลังมีการปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น 2 แบบเรือประกอบไปด้วย
เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดอาวุธทันสมัยชั้น Type 22 และเรือฟริเกตอเนกประสงค์ชั้น
Type 21 ซึ่งจัดเป็นเรือรบรุ่นประหยัด
ต่อมาในปี 1972 บริษัท Yarrow Shipbuilders ได้รับสัญญาว่าจ้างสร้างเรือฟริเกต Type 22 Batch
1 จากกองทัพเรืออังกฤษจำนวน 4 ลำ เรือทุกลำเข้าประจำการระหว่างปี
1979 ถึง 1982 มีระวางขับน้ำประมาณ 4,400
ตัน ยาว 131 เมตร กว้าง 14.8 เมตร กินน้ำลึกสุดรวมโดมโซนาร์ 6.1 เมตร
ใช้ระบบขับเคลื่อน COGOG
เครื่องยนต์แก๊สรุ่นใหม่เทอร์ไบน์แทนที่เครื่องจักรไอน้ำ ความเร็วสูงสุด 30
นอต มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ Lynx มากถึง
2 ลำ
จุดเด่นเรือฟริเกต
Type 22 Batch 1 คือไม่ได้ติดตั้งปืนใหญ่ที่หัวเรือ
แต่เปลี่ยนเป็นแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38 Exocet จำนวน 4 นัด เป็นเรือฟริเกตรุ่นแรกของอังกฤษที่ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำตั้งแต่เข้าประจำการ
รวมทั้งติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Wolf จำนวน
2 แท่นยิงมากถึง 12 นัด
ระหว่างสงครามฟอล์กแลนด์ Sea Wolf ถูกใช้งานจำนวน 8 นัด
ยิงเครื่องบินอาเจนตินาตกจำนวน 3 ลำ
มีส่วนร่วมหรือคาดว่ายิงเครื่องบินอาเจนตินาตกอีก 2 ลำ ผลงานโดยรวมยิง
8 นัดถูกเป้าหมาย 5 นัดถือว่าดียอดเยี่ยมในระดับเอเกือบบวก
เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายเพราะเศรษฐกิจตกสะเก็ด ภัยคุกคามทางทะเลก็พลอยลดลงแบบฮวบฮาบตามกัน
รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจปลดประจำการเรือฟริเกต Type
22 Batch 1 ทุกลำ ต่อมาในวันที่ 18 ธันวาคม 1994 รัฐบาลอังกฤษขายเรือฟริเกต Type
22 Batch 1 ทั้ง 4 ลำให้กับบราซิลในราคา
116 ล้านปอนด์ และทยอยส่งมอบเรือครบทุกลำภายในวันที่ 30
กันยายน 1996
Brazilian Navy
เรือฟริเกต Type
22 Batch 1
ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ที่อเมริกาใต้
เหตุผลที่รัฐบาลอังกฤษขายเรือให้กับบราซิลนั้นมีอยู่ว่า บราซิลซื้อเรือฟริเกตชั้น Vosper
MK10 จากบริษัท Vosper Thornycroft มากถึง 7
ลำ ในเมื่อลูกค้าสำคัญอยากได้ Type 22 Batch
1 มีหรือที่อังกฤษจะไม่ยอมทำตาม
เท่ากับว่ากองทัพเรือบราซิลในยุค 90 ครึ่งหลัง มีเรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Sea Wolf จำนวน 4 กับเรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Aspide อีก 7 ลำ ผู้เขียนขออนุญาตใช้คำว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกรให้ดูเหมาะสมกับข้อเท็จจริง
ภาพประกอบที่หนึ่งเรือฟริเกต F Rademaker (F49) (ชื่อเดิมคือ F89 Battleaxe) เข้าประจำการครั้งที่สองในวันที่ 30
เมษายน 1997 หลังปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานให้เรือมีพร้อมรบอย่างเต็มที่
ระบบเรดาร์และอาวุธเกือบทั้งหมดยังคงเหมือนเดิม ปี 2003 เมื่ออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
MM38 Exocet หมดอายุการใช้งาน กองทัพเรือบราซิลจึงจัดหา
อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet
มาใช้งานทดแทนในตำแหน่งเดิม
เนื่องจากเรือฟริเกต
Type 22 Batch 1
ไม่ได้ติดปืนใหญ่เหมือนเรือฟริเกตรุ่นอื่น กองทัพเรืออังกฤษจึงติดปืนกลมากกว่าเรือฟริเกตรุ่นอื่น
โดยมีทั้งปืนกล 30 มม.ลำกล้องแฝดรุ่น GCM-A จำนวน 2 กระบอก และปืนกล 20 มม.รุ่น GAM-B01 อีก 2 กระบอก
บังเอิญตอนขายเรือกองทัพเรืออังกฤษถอด GCM-A ออกเหลือเพียง GAM-B01 บราซิลจำเป็นต้องปรับปรุงจุดนี้เพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยของเรือตัวเอง
MM40 Exocet
ภาพประกอบที่สองภาพบนซ้ายคือปืนกล 40 มม.รุ่น Bofors
40L70 ที่บราซิลนำมาทดแทนปืนกล 30 มม.ลำกล้องแฝด GCM-A ภาพประกอบที่สองภาพบนขวาคือปืนกล 20
มม.GAM-B01 ซึ่งมาพร้อมเรือ
ส่วนภาพใหญ่คือแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet นอกจากแท่นยิงกับท่อยิงยังมีการติดตั้งกล่องสี่เหลี่ยมเพิ่มเติมเข้ามา ช่วยในการลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ไม่มากก็น้อย
สังเกตนะครับแท่นยิง MM40
Exocet บนเรือตั้งทำมุมไม่เกิน 30 องศาเหมือน MM38
Exocet ต่างจากแท่นยิง MM40 Exocet รุ่นใหม่
(เช่น Block 2) ซึ่งจะตั้งทำมุมประมาณ 60 องศาคล้าย Harpoon ข้อเสียก็คือใช้พื้นที่บนเรือเยอะกว่ากัน
ส่วนข้อดีเมื่อ Exocet ถูกยิงออกไปจะบินขึ้นสูงไม่เกิน 50
เมตรก่อนลดระดับลงสู่ยอดคลื่น ต่างจาก Exocet Block
2 หรือ Harpoon เมื่อยิงออกไปจะบินขึ้นสูงประมาณ
100 เมตรก่อนลดระดับลงสู่ยอดคลื่น
เหตุผลที่แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบรุ่นใหม่ตั้งทำมุมประมาณ
60 องศา อาจเป็นเพราะระยะยิงเพิ่มจาก 70
กิโลเมตรเป็น 180 กิโลเมตร
โอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามจะตรวจพบด้วยสายตาหรือเรดาร์เป็นไปได้ยากมาก
ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อ Exocet
บินไต่ยอดคลื่นเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นกว่าเดิม เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AESA รุ่นใหม่ย่อมตรวจจับได้อยู่ดี
จนถึงปัจจุบันเรือฟริเกต F Rademaker (F49) ยังคงประจำการตามปรกติ
ภาพประกอบที่สามคือเรือฟริเกต Greenhalgh (F46) หรือ F88 Broadsword ซึ่งเคยยิงเครื่องบินขับไล่ Dagger
อาเจนตินาตก 1 ลำ ในสงครามฟอล์กแลนด์ (และโดน Dagger ยิงถล่มด้วยปืนกล 30 มม.จนเรือมีรูเยอะแยะไปหมด)
ปี 2003 เรือได้รับการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40
Exocet เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ท่อยิงไม่มีกล่องสี่เหลี่ยมครอบเหมือนเรือฟริเกต F Rademaker (F49) กลางเรือมองเห็นปืนกล 40 มม.Bofors 40L70 กับปืนกล 20 มม.GAM-B01
อย่างชัดเจน
นี่คือภาพถ่ายเรือฟริเกตอันดับหนึ่งในใจผู้เขียนตลอดกาล
ต้องเป็น Type 22 Batch 1 เท่านั้น Batch อื่นไม่เคยอยู่ในสายตา
เรือฟริเกต Greenhalgh
(F46) ปลดประจำการในปี 2021 ส่วนเรืออีก 2
ลำได้แก่เรือฟริเกต F Dodsworth (F47)
ปลดประจำการปี 2012 และเรือฟริเกต F Bosísio (F48)
ปลดประจำการปี 2015 เท่ากับว่าปัจจุบันกองทัพเรือบราซิลเหลือเรือฟริเกต Type
22 Batch 1 แค่ลำเดียว อายุประจำการมากถึง 44
ปีแซงหน้าเดอะแบกไทยแลนด์ไปไกลลิบลับ
Type 22 Batch 2 Frigate
ปี 1979 รัฐบาลอังกฤษสั่งซื้อเรือฟริเกต Type 22 Batch
2 จำนวน 6 ลำ บริษัท Yarrow
Shipbuilders ได้รับสัญญาว่าจ้างจำนวน 4 ลำ
และบริษัท Swan Hunter ได้รับสัญญาว่าจ้างอีก 2 ลำ เรือ Batch 2 ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นจาก 4,400
ตันเป็น 4,800 ตัน ความยาวเพิ่มขึ้นจาก 131
เมตรเป็น 146.5 เมตร ความกว้างเท่าเดิม กินน้ำลึกมากกว่าเดิมเล็กน้อย
ส่งผลให้เรือมีความยาวมากขึ้น 15.5
เมตรโดยมีความกว้างเท่าเดิม
เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์เปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
ระบบเรดาร์และอาวุธป้องกันตัวเหมือน Batch
1 ทั้งหมด แต่เปลี่ยนระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์เป็นรุ่นทันสมัยมากขึ้น
ระบบอำนวยการรบใช้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่กว่าประสิทธิภาพสูง
เรดาร์ควบคุมการยิงเปลี่ยนจากรุ่น Type 910 เป็น Type 911 (เฉพาะ 4
ลำหลัง) รวมทั้งเพิ่มโซนาร์ลากท้าย Type
2031 VLF Towed Sonar เข้ามา
ติดตั้งใกล้กับเป้าลวงลากท้าย Type 182 Towed Torpedo
Decoy บริเวณท้ายเรือ
โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ปรับเปลี่ยนจากรองรับเฮลิคอปเตอร์
Lynx จำนวน 2 ลำเป็น Sea King หรือ EH101 Merlin จำนวน 1 ลำ (เฉพาะ 3 ลำสุดท้าย) ขนาดเรือที่ใหญ่ขึ้นและเครื่องยนต์ใหม่จะช่วยให้เรือเงียบกว่าเดิม
แต่แล้วเมื่อใช้งานจริงปรากฏว่าเรือยังเงียบไม่พอสมความตั้งใจ
Romanian Naval Forces
เรือฟริเกต Type 22 Batch 2 จำนวน 6
ลำเข้าประจำการระหว่างปี 1983 ถึง 1988
เวลาผันผ่านถึงเดือนสิงหาคม 2002
รัฐบาลโรมาเนียขอซื้อต่อจำนวน 2 ลำในวงเงิน 116 ล้านปอนด์ ราคาต่อลำอยู่ที่ 58 ล้านปอนด์โดยมีรายละเอียดสัญญาตามนี้
1.โรมาเนียจะได้เรือฟริเกต Type 22 Batch 2 สภาพใหม่ที่สุดจำนวน 2 ลำ
2.เรือได้รับการซ่อมใหญ่ในอังกฤษใช้งานต่อได้อีก
20 ปี
3.เรือได้รับการปรับปรุงระบบอาวุธให้เหมาะสมกับความต้องการ
ผู้เขียนขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักเรือฟริเกต
Type 22 Batch 2
กองทัพเรือโรมาเนีย ภาพประกอบที่สี่ภาพบนคือเรือฟริเกต Regele Ferdinand (F221) (ชื่อเดิม HMS Coventry F98)
แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38 Exocet ที่หัวเรือถูกแทนที่ด้วยปืนใหญ่
OTO 76/62 Super Rapid แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Sea Wolf และเรดาร์ควบคุมการยิง Type 911 ถูกถอดออกทั้งหมด เพราะ Sea Wolf ยุติการผลิตไปแล้วส่วน
VL Sea Wolf ต้องใช้งานกับแท่นยิงแนวดิ่ง
โรมาเนียแค่ติดตั้งปืนกล 12.7 มม.เพิ่มอีก
4 กระบอกใช้เป็นปืนรองป้องกันตัวระยะประชิด
ดาดฟ้าโล่งคล้ายเรือหลวงช้างๆ
ผู้อ่านคงสงสัยเรือทำอะไรได้บ้าง โรมาเนียใช้ในภารกิจปราบเรือดำน้ำเป็นหลัก ภารกิจปราบเรือผิวน้ำปล่อยให้เป็นหน้าที่เรือฟริเกตลำอื่นกับเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี
จัดเป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดออกทะเลลึกได้ดีที่สุด
ภาพประกอบที่สี่ภาพล่างคือเรือฟริเกต Regina Maria (F222) (ชื่อเดิมHMS
London F95) หัวเรือแหลมกว่าเดิมยาวขึ้นอีกหลายเมตร
มีการยืดความยาวระหว่างสะพานเดินเรือกับเสากระโดงหลัก
ระเบียงสองกราบเรือยาวเสียจนผู้เขียนคิดถึงโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมปลาย
ท้ายเรือเห็นเฮลิคอปเตอร์ SA 330 Puma จอดได้อย่างเหมาะเหม็ง
จากเรือฟริเกตสวยที่สุดตลอดกาลใน Batch 1 กลายเป็นเรือฟริเกตดาดฟ้าโล่งขี้เหร่ตลอดกาลใน
Batch 2
ไม่มีเรือรบลำไหนแย่งถ้วยบู้บี้คัพจากเรือโรมาเนียไปครอบครอง
Chilean Navy
เมษายน 2003 รัฐบาลชิลีขอซื้อเรือฟริเกต Type
22 Batch 2 จำนวน 1 ลำในวงเงิน
27 ล้านปอนด์ ราคาค่อนข้างถูกเพราะเป็นการซื้อแบบ Hot
Transfer ปลดประจำการแล้วส่งมอบเรือทันที
ชิลีใช้งานสักพักหนึ่งจึงปรับปรุงใหญ่โดยใช้บริการบริษัท IAI จากอิสราเอล กลายเป็นเรือฟริเกตน่าเกรงขามชื่อ Almirante Williams
(FF-19) (ชื่อเดิม HMS Sheffield F96) ในภาพประกอบที่ห้า
หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่
OTO 76/62 Super Rapid
บนระเบียงใกล้เสากระโดงหลักติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon
จำนวน 4 นัด (มากกว่านี้ระเบียงอาจหักได้)
เรดาร์ควบคุมการยิงเปลี่ยนเป็น EL/M-2221 จำนวน 2 ตัว โดมทรงกลมเสากระโดงรองคือเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ
EL/M-2238 ระยะตรวจจับ 350 กิโลเมตร
กล่องสี่เหลี่ยมคล้ายถังน้ำข้างปล่องระบายความร้อนคือแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Barak 1 จำนวน 16 ท่อยิง ระยะยิงไกลสุด
12 กิโลเมตรเทียบกับ Sea Wolf ระยะยิง 5
กิโลเมตรถือว่าเพิ่มขึ้น 140 เปอร์เซ็นต์ ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเปลี่ยนมาใช้งาน
Mk46 ของอเมริกา ส่วนเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือคือ AS532 Cougar ซึ่งสามารถติดอาวุธได้อย่างหลากหลาย
Almirante Williams (FF-19) คือเรือฟริเกต Type
22 Batch 2 ที่ทรงพลานุภาพที่สุดในโลก
ราคาปรับปรุงเรือย่อมโหดตามกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อนำมาติดตั้งระบบเรดาร์และอาวุธอย่างครบครันเรือก็สวยขึ้นมาทันที Almirante
Williams สวยทุกมุมมองยกเว้นปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ดูจะเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับขนาดเรือ
Type 22 Batch 3 Frigate
ปี 1982 รัฐบาลอังกฤษสั่งซื้อเรือฟริเกต Type 22 Batch
3 จำนวน 4 ลำ บริษัท Yarrow
Shipbuilders ได้รับสัญญาว่าจ้างจำนวน 2 ลำ
บริษัท Swan Hunter ได้รับสัญญาว่าจ้างจำนวน 1 ลำ และอีก 1 ลำเป็นของบริษัท Cammell Laird ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นจาก 4,800 ตันเป็น 4,900
ตัน ความยาวเพิ่มขึ้นจาก 146.5 เมตรเป็น 148.1
เมตร ระบบเรดาร์ยังคงเหมือนเดิมทว่าได้รับการติดตั้งอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยประกอบไปด้วย
หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 4.5 นิ้วรุ่น Mk8 พื้นที่ว่างหน้าปล่องระบายความร้อนถูกเฉือนออกส่วนหนึ่ง
เพื่อติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน
8 นัด (ปืนกล 30 มม.ลำกล้องแฝดรุ่น GCM-A ถูกถอดออกไป)
พื้นที่ว่างส่วนที่เหลือติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Goalkeeper เป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีและเป้าลวงตอร์ปิโดเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่
ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงบนหลังคาสะพานเดินเรือเพิ่มจาก 1 ตัวเป็น
2 ตัว ระบบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECM เปลี่ยนเป็นรุ่น Type 675(2) Jammer
เรือฟริเกต Type 22 Batch 3 มีทุกอย่างครบถ้วนตามที่สมควรมี จุดอ่อนเพียงจุดเดียวซึ่งเคยเป็นจุดแข็งในอดีตก็คืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Wolf เรือทั้ง 4 ลำเข้าประจำการระหว่างปี 1988 ถึง 1990 และปลดประจำการในปี 2011 ทุกลำเพื่อประหยัดงบประมาณ โดยไม่การขายต่อให้กับชาติพันธมิตรแม้แต่ลำเดียว
เรือฟริเกตอายุ
21-24 ปีขายต่อไม่ได้สักลำ
เหตุผลมีด้วยกันหลายประการ
1.ลูกค้าคนสำคัญไม่ได้อยู่ในสถานะพร้อมซื้อ
ลูกค้าคนสำคัญของอังกฤษมีด้วยกันสามชาติ
หนึ่งบราซิลได้เรือฟริเกต Type 22 Batch 1 ไปแล้ว 4 ลำไม่เหลือเงินแล้ว
สองชิลีได้เรือฟริเกต Type 22 Batch 2 จำนวน
1 ลำกับเรือฟริเกต Type 23 อีก 3
ลำ ถ้าอยากซื้อเรือเพิ่มต้องเป็น Type 23
เท่านั้น และสามบังกลาเทศซึ่งซื้อเรือมือสองจากอังกฤษมากที่สุด
บังเอิญบังกลาเทศกำลังเล็งเรือฟริเกต Type 053 จากจีนก่อนจัดหามาใช้งานจำนวน
2 ลำ ส่งผลให้ไม่มีชาติไหนสนใจเรือฟริเกต Type 22 Batch 3 อย่างจริงๆ จังๆ
2.ชาติที่ต้องการซื้อเรือฟริเกต Type 22 Batch 3 จะไม่มี Sea Wolf
ใช้งาน
ปัญหาไม่มี Sea Wolf ใช้งานถือว่าค่อนข้างใหญ่ในปี 2003
อยากยิงเครื่องบินได้ต้องปรับปรุงใหญ่เหมือนเรือชิลี บังเอิญในปี 2011
การแก้ปัญหาง่ายกว่าชนิดหน้ามือหลังมือ
ยกตัวอย่างเช่นถ้ากองทัพเรือไทยซื้อเรือฟริเกต Type 22 Batch
3 มาใช้งานจำนวน 2 ลำ แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Sea Wolf กับเรดาร์ควบคุมการยิง Type 911 ถอดออกไปเลย หัวเรือติดตั้งแท่นยิง Mk 49 สำหรับระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด
RAM ขนาด 21 ท่อยิง
ท้ายเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ DS30M Mark 2 จำนวน 1-2 กระบอก ส่วน Goalkeeper ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานเรือได้อีก 20 ปีแบบสบายๆ
ปัญหาเรื่องไม่มี Sea
Wolf ใช้งานจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อเทียบกับปัญหาข้อสุดท้าย
3.เรือมีขนาดใหญ่เกินไป
ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติภารกิจสูงเกินไป ระบบขับเคลื่อนผลาญเชื้อเพลิงมากเกินไป
ไม่เหมาะสมกับชาติเล็กชาติน้อยซึ่งมีงบประมาณจำกัด
ก่อนจากกัน
ปัจจุบันเรือฟริเกต Type
22 เหลือประจำการเพียง 4 ลำจาก 14 ลำ ประกอบไปด้วย Type 22 Batch
1 ของบราซิลจำนวน 1 ลำ Type 22 Batch 2 ของโรมาเนียจำนวน 2
ลำ และ Type 22 Batch 2 ของชิลีอีก 1 ลำ โดยมีเพียงเรือบราซิลลำเดียวที่ไม่ได้ติดตั้งปืนใหญ่หัวเรือ
จัดเป็นเรือสภาพเดิมจากโรงงานแค่เปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่เท่านั้น
อ้างอิงจาก
https://www.naval.com.br/ngb/D/D025/D025.htm
https://www.naval.com.br/blog/2013/05/31/fragata-rademaker-pronta-para-receber-misseis-exocet-mm-40
https://www.hazegray.org/navhist/rn/frigates/t22/
https://en.wikipedia.org/wiki/Type_22_frigate
https://x.com/Armada_Chile/status/1302350890184200196
https://www.seaforces.org/marint/Royal-Navy/Frigate/F-85-HMS-Cumberland.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น