rMCM
Programme
วันที่
30 พฤศจิกายน 2021 บริษัท Naval Group ทำพิธีวางกระดูกงูเรือกวาดทุ่นระเบิดลำแรกของกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม
ตามโครงการ rMCM Programme ซึ่งมียอดรวมจำนวนเรือเท่ากับ 12
ลำ แบ่งเป็นกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จำนวน 6 ลำกับกองทัพเรือเบลเยียมจำนวน
6 ลำ
เรือลำแรกพร้อมส่งมอบภายในปี
2024
ส่วนเรือลำสุดท้ายพร้อมส่งมอบภายในปี 2030 เรือกวาดทุ่นระเบิดตามโครงการ
rMCM Programme มีระวางขับน้ำ 2800 ตัน ยาว 82.6
เมตร กว้าง 17 เมตร ความเร็วสูงสุด 15.3
นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3500 ไมล์ทะเล
มีพื้นที่รองรับลูกเรือ 63 นาย อาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย
ปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40mm Mk4 ขนาด 40 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติ
Oto Melara Hitrole NT ขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลเบา FN MAG ขนาด 7.62 มม.อีก 2 กระบอก
แบบเรือรุ่นใหม่จากฝรั่งเศสทำหน้าที่ประหนึ่งยานแม่หรือ
Mother
Ship ท้ายเรือวางตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 3 ตู้ มาพร้อมเครนขนาด 15 ตันสำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์และอุปกรณ์อื่นๆ
กลางเรือเป็นจุดติดตั้งยานผิวน้ำไร้คนขับปราบทุ่นระเบิดรุ่น Inspector 125 จำนวน 2 ลำ
สามารถติดตั้งโซนาร์ตรวจจับทุ่นระเบิด โซนาร์ลากท้าย
และยานใต้น้ำปราบทุ่นระเบิดได้หลายรุ่นตามความต้องการ
เรือกวาดทุ่นระเบิด
rMCM ช่วยให้กองเรือปราบทุ่นระเบิดเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมแข็งแกร่งกว่าเดิม
ชมภาพประกอบที่สองกันต่อ
นี่คือภาพกราฟิกเรือกวาดทุ่นระเบิด rMCM
ซึ่งถูกเผยแพร่ในปี 2020 เรือติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 2
มิติ Terma Scanter 4100 และติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ
Oto Melara Marlin 30 ขนาด 30 มม. เมื่อมีการสร้างเรือจริงปรากฏว่า Scanter
4100 กับ Marlin 30
ถูกปรับเปลี่ยนเป็นเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ AESA
Thales NS50 กับปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40mm Mk4 ขนาด 40 มม.
Marlin 30 เป็นอาวุธมาตรฐานกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์
มีใช้งานบนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งกับเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์จำนวนหลายลำ แล้วเหตุใดเล่าเรือกวาดทุ่นระเบิดลำใหม่ถึงล่วงละเมิดความเป็น
Common Fleet มิตรแฟนเพลงชาวไทยหลายคนพร้อมลงคอมเมนต์ว่านี่คือหายนะของการซ่อมบำรุงและความพร้อมรบ
เป็นภาระให้กับลูกหลานไปอีกหลายสิบปีทีเดียวเชียว เนเธอร์แลนด์รวมทั้งเบลเยียมไม่มีความคิดกันบ้างเลยหรือไร
ผู้เขียนขอเก็บเรื่อง
Common
Fleet ไว้พูดคุยตอนจบบทความ
เหตุผลที่เนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมเปลี่ยนมาใช้งาน
Bofors
40mm Mk4 เพราะเรื่องประสิทธิภาพ
ก่อนปี
2000
เรือรบจำนวนมากใช้งานปืนกลต่อสู้อากาศยานขนาด 30 มม.อัตรายิงสูงสุด 600 นัดต่อนาที
ต่อมาไม่นานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานประสิทธิภาพสูงขึ้นและเข้าถึงง่ายกว่าเดิม
ประกอบกับมีภัยคุกคามรูปแบบใหม่นั่นคือเรือยางท้องแข็งติดระเบิด
จึงได้มีการพัฒนานำปืนกลอเนกประสงค์ขนาด 30 มม.อัตรายิง 200 นัดต่อนาที
มาใช้งานบนเรือทดแทนปืนกลต่อสู้อากาศยานซึ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป
อัตรายิงลดลงแลกกับอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม ดูแลซ่อมบำรุงสะดวกกว่าเดิม รวมทั้งมีความเหมาะสมกับเป้าหมายผิวน้ำมากกว่าเดิม
นับจากนั้นเป็นต้นมาปืนกลอัตโนมัติขนาด
30
มม.ก็เข้ามาแทนที่ปืนกลต่อสู้อากาศยานขนาด 30
มม.
ต่อมาในปี
2020
กองเรือน้อยใหญ่ทั่วโลกมีการปรับปรุงตัวเอง เพื่อรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่นั่นคืออากาศยานไร้คนขับติดอาวุธกับอากาศยานไร้คนขับติดระเบิด
เนื่องจากเรือกวาดทุ่นระเบิด rMCM มีอ่าวุธหลักเป็นปืนกลอัตโนมัติขนาดใหญ่จำนวน
1 กระบอก เนเธอร์แลนด์มองว่าไม่เพียงพอในการรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่
จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้งาน Bofors 40mm Mk4 ขนาด 40 มม.เพราะมีอัตรายิงสูงกว่า ระยะยิงไกลกว่า
ประสิทธิภาพในการทำลายเป้าหมายมากกว่า รวมทั้งใช้งานกระสุนฉลาด 3P ซึ่งสามารถตั้งชนวนแบบอัตโนมัติได้ถึง 6 รูปแบบ
มากเพียงพอในการรับมือทั้งเป้าหมายผิวน้ำและเป้าหมายกลางอากาศ
ASWF
Programme
วันที่
29
มิถุนายน 2023 บริษัท Damen กับ Thales Netherlands เซ็นสัญญาร่วมกับกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม
ในการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่จำนวน 4 ลำ
แบ่งเป็นกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จำนวน 2 ลำกับกองทัพเรือเบลเยียมจำนวน
2 ลำ กำหนดส่งมอบเรือฟริเกตลำแรกภายในปี 2029 ส่วนเรืออีกสามลำจะทยอยส่งมอบห่างกันประมาณปีละหนึ่งลำ
เรือฟริเกตตามโครงการ
ASWF
Programme มีระวางขับน้ำ 5,865 ตัน ยาว 134.5
เมตร กว้าง 17.5 เมตร กินน้ำลึก 5.45 เมตร เป็นเรือฟริเกตทันสมัยที่สุดในยุโรปมาพร้อมออปชันครบถ้วน หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่
Oto Melara 76/62 Sovraponte
ทำงานร่วมกับกระสุนนำวิถีต่อสู้อากาศยาน DART ถัดไปเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง
Mk.41 จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
ESSM Block 2 ต่อด้วยปืนกลอัตโนมัติ Oto Melara
Marlin 40 ขนาด 40 มม.ที่ว่างกลางเรือติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 นัด มีพื้นที่ว่างสำหรับคอนเทนเนอร์ขนาด 20
ฟุตจำนวน 2 ตู้หรือติด NSM เพิ่มได้อีก 8 นัด ถัดไปคือแท่นยิงเป้าลวง NGDS
จำนวน 4 แท่นยิง ปืนกลอัตโนมัติ Oto
Melara Marlin 40 กระบอกที่สอง
และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM Block 2 ขนาด 21 ท่อยิง ส่วนแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk-54 ซ่อนอยู่ที่สองกราบเรือ
ระบบตรวจจับเรือฟริเกตลำนี้ไม่น้อยหน้าใคร
ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales APAR Block 2.0
จำนวน 4 ตัว ในการตรวจจับระยะกลางและควบคุมอาวุธปล่อยนำวิถี ESSM
Block 2 ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales SM400 block 2 จำนวน 4 ตัวในการตรวจจับระยะไกล ใช้ออปโทรนิกส์/เรดาร์ควบคุมการยิง Thales PHAROS ทำงานร่วมกับปืนใหญ่
Oto Melara 76/62 Sovraponte
และใช้ใช้ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Thales Mirador จำนวน 2
ตัวทำงานร่วมกับปืนกลอัตโนมัติ Oto Melara Marlin 40 จำนวน 2 กระบอก
Mirador ตัวแรกติดอยู่หน้าเสากระโดงหลัก ส่วน Mirador
ตัวที่สองติดอยู่กราบขวาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ (อยู่ด้านล่างแท่นยิง RAM
Block 2) ไม่ทราบเหมือนกันว่ามุมซ้ายของปืนจะถูกตัวเรือบดบังหรือไม่
ดูเหมือนว่ากองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จะสร้างปัญหาให้กับลูกหลานอีกแล้ว
แทนที่จะใช้งาน
Bofors
40mm Mk4 เหมือนเรือกวาดทุ่นระเบิด
คุณพรี่กลับเลือกสินค้าใหม่เอี่ยมจากอิตาลีนั่นคือ Marlin 40 ผู้เขียนคาดเดาว่าภารกิจหลักของ Marlin 40 คือจัดการเป้าหมายผิวน้ำ ส่วนเป้าหมายกลางอากาศปล่อยให้ ESSM
Block 2 กับ RAM Block 2 รวมทั้ง Sovraponte ได้แสดงฝีมือบ้าง เหตุผลที่ไม่เลือกใช้งาน Marlin 30
เหมือนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง อาจเป็นเพราะเผื่อเหลือเผื่อขาดในกรณีอากาศยานไร้คนขับเล็ดลอดสามทหารเสือเข้ามา
ถึงอย่างไรปืนกล 40 มม.อัตรายิง 300
นัดต่อนาทีย่อมดีกว่าปืนกล 30 มม.อัตรายิง 200 นัดต่อนาที
มิตรรักแฟนเพลงชาวไทยอาจมีคำถามแล้วภารกิจระดมยิงชายฝั่งล่ะ?
คำตอบก็คือเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น
De
Zeven Provinciën จำนวน 4 ลำได้รับมอบภารกิจนี้
กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์อยู่ระหว่างการจัดหาปืนใหญ่
Oto
Melara 127/64 ขนาด 127 มม.จำนวน 4 กระบอกพร้อมกระสุนต่อระยะยิงได้ไกลสุด 100
กิโลเมตร มาติดตั้งบนเรือฟริเกตชั้น De Zeven Provinciën ซึ่งคนเนเธอร์แลนด์เรียกว่าเรือ LCF ในช่วงกลางปี 2024
(ทยอยติดตั้งไปเรื่อยๆ จนครบทุกลำ) รวมทั้งอยู่ระหว่างการคัดเลือกอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่งระยะไกลมาใช้งานบนเรือ
(คาดว่าจะเป็น Tomahawk) เท่ากับว่าอีกไม่ช้าไม่นานเรือ LCF
จะกลายเป็นเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศ/โจมตีชายฝั่งระยะไกล
Future
Netherlands Navy
ปี 2028 หรือถัดจากนี้ประมาณ 5 ปี เรือผิวน้ำสำคัญๆ กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จะประกอบไปด้วย
1.เรือฟริเกตชั้น
De Zeven Provinciën ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales
APAR กับ Thales Smart-L อาวุธป้องกันตัวคือปืนใหญ่
Oto Melara 127/64 กับระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด
Goalkeeper
2.เรือฟริเกตชั้น ASWF ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales
APAR Block 2.0 กับ Thales SM400 block
2 อาวุธป้องกันตัวคือปืนใหญ่ Oto Melara 76/62 Sovraponte กับปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40
3.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น
Holland ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ I-MAST 400 อาวุธป้องกันตัวคือปืนใหญ่ Oto Melara 76/62 Super Rapid กับปืนกลอัตโนมัติ Marlin 30
4.เรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น
rMCM ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales NS50 อาวุธป้องกันตัวคือปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40mm Mk4
เรือ 4 แบบของเนเธอร์แลนด์ติดตั้งเรดาร์และอาวุธปืนไม่เหมือนกันเลย
ถ้าเป็นประเทศไทยผู้หลงใหล Common Fleet รับรอง Marlin 40 กับ Bofors 40mm Mk4 รวมทั้ง
Sovraponte ไม่ได้เกิดแน่นอน
แท้จริงแล้วกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ติดตั้งเรดาร์และอาวุธปืนตามความเหมาะสมชนิดเรือ
ทว่าพวกเขาคิดถึงเรื่อง Common Fleet
เช่นเดียวกัน โดยการจัดหาเรือฟริเกตกับเรือกวาดทุ่นระเบิดรุ่นเดียวกับกองทัพเรือเบลเยียม
จำนวนเรือที่สั่งซื้อเพิ่มขึ้นสองเท่า ราคาสร้างเรือลดลงไม่มากก็น้อย
การสั่งซื้ออาวุธเพิ่มขึ้นสองเท่า ราคาอาวุธลดลงไม่มากก็น้อย การซ่อมบำรุงและจัดหาอะไหล่เพิ่มขึ้นสองเท่า
ราคาอะไหล่ลดลงไม่มากก็น้อย การปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นสองเท่า
ราคาปรับปรุงเรือลดลงไม่มากก็น้อย ซึ่งมันเห็นผลชัดเจนกว่าการซื้อเรือทีละหนึ่งลำแต่ติดอาวุธเหมือนเรือชนิดอื่นโดยไม่คำนึงถึงภารกิจ
ประสิทธิภาพ และภัยคุกคาม
นี่แหละ Common Fleet ของกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม
++++++++++++++++++++
อ้างอิงจาก
:
https://web.facebook.com/photo?fbid=742678807863213&set=pcb.742678831196544
https://www.seaforces.org/marint/Netherlands-Navy/Offshore-Patrol-Vessel/Holland-class.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น