อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
RUR-5
ASROC คือหมัดเด็ดใช้ในการเผด็จศึกเรือดำน้ำจากระยะไกล สามารถโจมตีเป้าหมายตั้งแต่ระยะทาง
10 กิโลเมตรขึ้นไป มีลักษณะผสมระหว่างอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบกับอาวุธปราบเรือดำน้ำ
โดยมีอุปกรณ์สำคัญๆ ที่จำเป็นต้องใช้งานประกอบไปด้วย
- อาวุธปล่อยนำวิถี
- แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถี
- ระบบโซนาร์สำหรับตรวจจับและพิสูจน์ทราบเป้าหมาย
เพื่อส่งข้อมูลไปยังเครื่องควบคุม
- ระบบควบคุมการยิง
มีหน้าที่ควบคุมการโคจรของอาวุธนำวิถี ให้เดินทางไปถึงยังจุดหมายที่กำหนด
ก่อนปลดอาวุธปราบเรือดำน้ำให้ตกสู่พื้นน้ำ
อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
RUR-5
ASROC ประกอบไปด้วย โครงลูกจรวดใช้บรรจุอาวุธปราบเรือดำน้ำ
มอเตอร์ขับเคลื่อนตัวจรวด และชุดกลไกปลดอาวุธปราบเรือดำน้ำให้ตกสู่พื้นน้ำ ASROC จะเดินทางสู่เป้าหมายด้วยระบบขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็ง ก่อนที่อาวุธปราบเรือดำน้ำจะลงสู่พื้นน้ำเหนือตำแหน่งที่ตั้งข้อมูลไว้ล่วงหน้า
ถ้าอาวุธปราบเรือดำน้ำเป็นตอร์ปิโด
ทันทีที่ตอร์ปิโดแยกตัวจากโครงจรวด ร่มหน่วงความเร็วท้ายตอร์ปิโดจะกางออก เพื่อลดอัตราความเร็วในการตกสู่พื้นน้ำ
และควบคุมการตกสู่พื้นน้ำให้มีความปลอดภัย
ร่มจะปลดออกโดยอัตโนมัติเมื่อตอร์ปิโดตกถึงพื้นน้ำ และแบตเตอรี่ตอร์ปิโดจะเริ่มทำงานเมื่อสัมผัสน้ำทะเล
ถ้าอาวุธปราบเรือดำน้ำเป็นระเบิดลึกนิวเคลียร์
ทันทีที่แยกตัวจากโครงจรวด ลูกระเบิดลึกจะยังคงโคจรต่อไปด้วยแรงเฉื่อย
โดยใช้ครีบหางรักษาเสถียรภาพการทรงตัว ซึ่งครีบหางจะกางออกโดยอัตโนมัติ
และหลุดออกเมื่อกระทบกับพื้นน้ำโดยแรง
ลูกระเบิดลึกจะจมลงและระเบิดตามความลึกที่กำหนดไว้
อเมริกาเริ่มต้นพัฒนา
RUR-5
ASROC ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 ตั้งใจนำมาประจำการทดแทน
RUR-4 Weapon Alpha ซึ่งล้าสมัยและมีระยะยิงค่อนข้างสั้น Weapon
Alpha รูปร่างหน้าตาคล้ายปืนใหญ่ขนาด 5.25 นิ้ว
ใช้ยิงระเบิดลึกขนาด 238 กิโลกรัมได้ไกลสุดเพียง 730 เมตร เมื่ออเมริกาพัฒนาตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ Mark 44 เข้าประจำการเป็นที่เรียบร้อย จึงได้ต่อยอดกลายเป็น RUR-5 ASROC ระยะยิงไกลสุด 10 กิโลเมตร
ราชนาวีไทยเคยมี
RUR-5
ASROC ใช้งานบนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 2
ลำ
เรือฟริเกตชุดเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
การจัดหาเรือฟริเกตที่มีขนาดใหญ่และสมรรถนะสูง
รวมทั้งติดตั้งอาวุธที่ทันสมัยนั้น จะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการที่สูงมาก
ดังนั้นแนวคิดที่จะหาเรื่องที่สร้างใหม่ให้ได้ครบตามความต้องการกองทัพเรือ
จึงมีความเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
ทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มพิจารณาการสะสมอาวุธลงเพื่อลดค่าใช้จ่ายในด้านการป้องกันประเทศ
โดยได้กำหนดแผนที่จะปลดเรือ เครื่องบิน
และอาวุธหลายประเภทออกจากการประจำการด้วยวิธีการขายหรือให้เช่าแก่ประเทศพันธมิตร
ในการนี้กองทัพเรือจึงมีความสนใจที่จะจัดหาเรือฟริเกตที่กองทัพเรือสหรัฐจะปลดระวางประจำการดังกล่าว
เนื่องจากมีราคาถูก และยังคงมีอายุใช้งานได้อีกนาน
อีกทั้งสมรรถนะและระบบอาวุธก็มีความสามารถสูงตามมาตรฐานกองทัพเรือสหรัฐ
ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการทางยุทธการและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางเรือของกองทัพเรือได้เป็นอย่างดี
เพื่อเป็นการจัดหาขีดความสามารถด้านการป้องกันภัยทางอากาศเป็นพื้นที่
(Area
Air Defence) ให้แก่กองเรือในทะเล
รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการรบพื้นน้ำ และปราบเรือดำน้ำ
กองทัพเรือจึงได้แสดงความจำนงที่จะจัดหาเรือพิฆาตชั้น Charles F. Adam
(DDG-2) ซึ่งมีขนาด สมรรถนะ และขีดความสามารถ รวมทั้งระบบอาวุธเช่นเดียวกับเรือฟริเกตแบบที่กองทัพเรือต้องการ
โดยมีอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะปานกลางแบบ Standard Missile SM-1 ระยะยิง 25 ไมล์ทะเลเป็นอาวุธหลัก
แต่กองทัพเรือสหรัฐได้ชี้แจงว่า เรือพิฆาตชั้น Charles F. Adam มีอายุมากถึง 30 ปีแล้ว
จะต้องใช้งบประมาณในการบำรุงรักษาสูงมาก อีกทั้งระบบต่างๆ
ก็มีความสลับซับซ้อนและยุ่งยากต่อการบำรุงรักษา จึงได้เสนอแนะเรือฟริเกตชั้น Knox
ซึ่งมีอายุน้อยกว่าถึง 10 ปี
มีระบบอุปกรณ์ต่างๆ ทันสมัยและยุ่งยากน้อยกว่า
โดยที่ขีดความสามารถและสมรรถนะรวมทั้งระบบอาวุธอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และเนื่องจาก
เรือฟริเกตชั้น Knox นี้
กองทัพเรือสหรัฐได้ทยอยส่งมอบให้กับกองทัพเรือของประเทศพันธมิตร
ทั้งในลักษณะการขายและให้เช่าในราคาถูกแล้วหลายประเทศ ได้แก่ กรีซ ไต้หวัน อียิปต์
และตุรกี เป็นต้น
จึงมีประสบการณ์ในการปรับปรุงเรือและฝึกอบรมกำลังพลให้สามารถใช้เรือได้เป็นอย่างดี
ซึ่งหากกองทัพเรือจัดหาเรือฟริเกตชั้น Knox ดังกล่าว
ก็เชื่อถือได้ว่าจะสามารถรับมอบเรือมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
เมื่อพิจารณาว่าเรือฟริเกตชั้น
Knox
ยังมีอายุไม่มากนัก
การซ่อมบำรุงและจัดหาอะไหล่ยังดำเนินการได้โดยสะดวก เพราะยังคงมีเรือดังกล่าวประจำการอยู่ในกองทัพเรือสหรัฐ
และกองทัพเรือของประเทศพันธมิตรหลายประเทศ มีเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือพร้อมโรงเก็บ
อีกทั้งระบบอาวุธก็คล้ายคลึงกับแบบที่กองทัพเรือจัดหามาติดตั้งบนเรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร
ซึ่งจะช่วยทำให้การส่งกำลังบำรุงให้กับเรือดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด
เพราะสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์บางอย่างร่วมกันได้
กองทัพเรือจึงตกลงใจที่จะพิจารณาดำเนินการจัดหาเรือดังกล่าวมาใช้ราชการจำนวน 4
ลำ
ในขั้นแรกกองทัพเรือสหรัฐ
สามารถจัดหาเรือฟริเกตชุดนี้ให้กองทัพเรือไทยได้เพียง 2
ลำ แต่เมื่อพลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์
เดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาตามคำเชิญของผู้บัญ๙การทหารเรือสหรัฐ
ท่านได้ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นของกองทัพเรือในการจัดหาเรือฟริเกตชั้น Knox
จำนวน 4 ลำ
จนสหรัฐเข้าใจและยอมเลื่อนความต้องการของไทยไว้เป็นลำดับแรก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่กองทัพเรือสามารถจัดหาเรือชุดนี้ได้เพียง
2 ลำเท่านั้น โดยกองทัพเรือได้รับมอบเรือลำแรก คือ
เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 461 แล้ว เมื่อ 30 กรกฎาคม 2537 ส่วนเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย 462
ได้รับมอบจากสหรัฐเมื่อ 27 พฤศจิกายน
2541
โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง
เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกับเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย
คือเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำทันสมัยที่สุดในย่านอาเซียน แต่เนื่องมาจากเป็นเรือเก่าเหลืออายุการใช้งานเพียง
20
กว่าปี ฉะนั้นในปี 2556 รัฐบาลจึงได้อนุมัติให้กองทัพเรือจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่จากประเทศเกาหลีใต้จำนวน
1 ลำในวงเงิน 14,600 ล้านบาท
ลดจากแผนเดิมจำนวน 2 ลำในวงเงิน 30,000 ล้านบาทตามความต้องการกองทัพเรือ ใช้งบผูกพันระหว่างปี 2556-2561 ระยะเวลาสร้าง 1,800 วัน
ระหว่างสร้างเรือกองทัพเรือได้จัดส่งกำลังพลไปเรียนรู้ระบบเรือ (Platform System) และระบบการรบ (Combat System) ที่ประเทศเกาหลีใต้เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต
เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
(FFG-471) เข้าประจำการวันที่ 7 มกราคม 2562 เป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยจัดเต็มเรื่องระบบปราบเรือดำน้ำจากเยอรมัน
หัวเรือติดตั้งโซนาร์ Atlas Elektronik DSQS-24C ทำงานในย่านความถี่ปานกลาง
ค้นหาเป้าหมายได้ทั้งโหมด Active ที่ความถี่ 6 ถึง 9 KHz และโหมด Passive ที่ความถี่
1 ถึง 11 KHz ตรวจจับได้ทั้งเรือผิวน้ำ
เรือดำน้ำ หรือวัตถุขนาดเล็กอาทิเช่นยานใต้น้ำไร้คนขับหรือทุ่นระเบิด สามารถแจ้งเตือนภัยเมื่อตรวจพบตอร์ปิโด
รวมทั้งใช้สื่อสารกับเรือดำน้ำฝ่ายเดียวกัน สามารถเลือกส่งความถี่ได้ไกลสุด
40 กิโลเมตร และมีระยะตรวจจับหวังผลอยู่ที่ประมาณ 15 กิโลเมตร
ท้ายเรือติดตั้งโซนาร์ลากท้าย
Atlas
Electronics ACTAS (Active Towed Array Sonar) รุ่นใหม่ทันสมัยดีที่สุดจากเยอรมัน
ค้นหาเป้าหมายได้ทั้งโหมด Active ด้วยระบบ Active
Variable-Depth Towed Body ติดตั้ง Transducer จำนวน 2 ชุดพร้อมสายเคเบิลยาว 400 เมตร และค้นหาเป้าหมายในโหมด Passive ด้วยระบบ Dependent
Passive Towed Array จำนวน 2 ชุด
พร้อมสายเคเบิลยาว 500 เมตร ซึ่งต่อพว่งจาก Active
Variable-Depth Towed Body ระยะตรวจจับตั้งแต่ 2 ถึง 60 กิโลเมตร ใช้ระบบอำนวยการรบปราบเรือดำน้ำ ATLAS
Modular ASW Combat System (AMACS) ควบคุมโซนาร์ DSQS-24C และ ACTAS ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เทียบกับเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกถือว่าดีขึ้นตามระดับเทคโนโลยี
เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชประสิทธิภาพสูงกว่าเรือฟริเกตรุ่นเก่าก็จริง
โชคร้ายไม่สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ RUM-139 VL-ASROC จากท่อยิงแนวดิ่ง Mk.41 Vertical
Launching System ได้ เหตุผลก็คือระบบอำนวยการรบจากสวีเดน กับระบบอำนวยการรบปราบเรือดำน้ำจากเยอรมัน
ไม่เคยทำงานร่วมกับ VL-ASROC จากสหรัฐอเมริกา
เรือฟริเกตสมรรถนะสูงจึงมีสมรรถนะสูงแค่เพียงนามปากกา จนถึงปัจจุบันกองทัพเรือยังไม่มีวิธีอุดช่องว่างจากการขาดหายไปของ
RUR-5 ASROC เรือหลวงพุทธทั้งสองลำ
โชคดีในโชคร้ายสินค้าจากประเทศจีนสามารถแก้ปัญหาใหญ่ให้กับกองทัพเรือ
อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
Yu-8E/ET-80
จีนพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำมานานพอสมควร
รุ่นใหม่ล่าสุดคือ YU-8 ใช้งานร่วมกับแท่นยิงแนวดิ่งพัฒนาขึ้นมาเอง
ระยะยิงไกลสุดไม่รวมระยะยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเท่ากับ 50 กิโลเมตร มีใช้งานบนเรือฟริเกต Type 054A เรือฟริเกต
Type 054B (เมื่อเรือเข้าประจำการ)
เรือพิฆาต Type 052D และเรือพิฆาต Type 055 ขนาดหนึ่งหมื่นตัน
นอกจากพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำเพื่อใช้งานเองแล้ว
จีนยังได้ต่อยอดพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำรุ่นส่งออกใช้ชื่อว่า YU-8E
(E ย่อมาจากคำว่า Export) ใช้งานร่วมกับแท่นยิงแนวดิ่งพัฒนาขึ้นมาเอง
ระยะยิงไกลสุดไม่รวมระยะยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเท่ากับ 30 กิโลเมตร สามารถใช้งานบนเรือฟริเกต Type 054AE และเรือพิฆาต
Type 052DE ซึ่งเป็นเรือรบรุ่นส่งออกทั้งสองรุ่น
ต่อมาไม่นานบริษัทผู้ผลิตได้กำหนดชื่อใหม่จาก
YU-8E เป็น ET-80 แต่ถึงกระนั้นจะเรียกชื่อไหนก็คือสินค้าชนิดเดียวกัน
แม้ ET-80 จะถูกลดประสิทธิภาพยิงได้ไกลสุดแค่ 30 กิโลเมตร แต่ถึงกระนั้นเมื่อเทียบกับ RUM-139 VL-ASROC ซึ่งยิงได้ไกลสุด 22 กิโลเมตร
ยังถือว่าสินค้าจากประเทศจีนนำหน้าอยู่สองเสาไฟ
ติ๊งต่างว่า…กองทัพเรือขอเปลี่ยนเรือดำน้ำ S26T เป็นเรือฟริเกต ผู้เขียนแนะนำว่ารัฐบาลสมควรต่อรองให้จีนยอมขายเรือฟริเกตชั้น
Type 054A Flight 3 แทนที่จะเอารุ่นส่งออกเหมือนกองทัพเรือปากีสถาน
เรือต้องมาพร้อมโซนาร์ลากท้ายรุ่นส่งออก TLAS-1 (Towed
Line Array Sonar) ซึ่งจีนนำโซนาร์ลากท้าย H/SJG-206 ของตัวเองมาตัดออปชันออกเล็กน้อย ทำงานร่วมกับโซนาร์ลากจูงรุ่นส่งออก TVDS-1 (Towed Variable-Depth Sonar)
ซึ่งถูกปรับปรุงจากโซนาร์ลากจูง H/SJG-311 ของจีนให้มีประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจีนพัฒนาโซนาร์ลากจูงรุ่นส่งออก
TVDS-1 เสร็จหรือยัง แต่ถึงกระนั้นถ้ากองทัพเรือสั่งซื้อเรือฟริเกต Type 054A/T
ปลายปี 2023 กว่าเรือจะสร้างเสร็จพร้อมประจำการก็อีก
3 ปีเต็ม ถึงตอนนั้น TVDS-1
ต้องพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าเงินหนา เผลอๆ
ไทยแลนด์นี่แหละคือลูกค้ารายแรกตัดหน้าปากีสถาน
ภาพประกอบที่ห้าคือเรือหลวงแม่กลองลำที่สอง
481
เรือฟริเกต Type 054A/T ลำแรกของราชนาวีไทย
แท่นยิงแนวดิ่งหัวเรือบรรจุอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน LY-80N (หรือ HQ-16 รุ่นส่งออก) ระยะยิงไกลสุด 40 กิโลเมตรจำนวน 24 นัด กับอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำ
ET-80 ระยะยิง 30+ กิโลเมตรจำนวน 8
นัด หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ H/PJ-26 ขนาด 76
มม. กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A จำนวน 8 ท่อยิง ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type
1130 ใช้ปืนกล 30 มม.สิบเอ็ดลำกล้องจำนวน
2 ระบบ แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ YU-7 รุ่นแฝดสามจำนวน 6 ท่อยิง แท่นยิงเป้าลวง Type
726-4 ขนาด 24 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง ทำงานร่วมกับระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ HZ-100
ESM
เห็นเสากระโดงรองเหนือปล่องระบายความร้อนหรือเปล่าครับ
ในโดมทรงกลมติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Type 362 หรือชื่อรุ่นส่งออก MR-36A ระยะตรวจจับไกลสุด 100
กิโลเมตร รบกวนผู้อ่านทุกคนกรุณาทด MR-36A
ไว้ในใจสักครู่หนึ่ง
อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
Yu-11E/ET-81
เรือหลวงแม่กลอง
481 เข้ามาปิดจุดอ่อน ASROC Frigate ได้อย่างดีเยี่ยมก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่า เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 461
กับเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย 462 แบก RUR-5
ASROC รวมกันมากสุดถึง 48 นัด
(ถ้าจำเป็นต้องทำ) เท่ากับว่าลูกประดู่ไทยยังเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไม่ครบถ้วนทุกระบวนท่า
ผู้เขียนขอริอ่านปรับปรุงเรือหลวงเจ้าพระยา
455
กับเรือหลวงบางปะกง 456 ให้กลายเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวหรือ
ASROC Frigate กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี
2025 สามารถประจำการต่อได้อีก 20 ปีหรือถึงปี
2045 เท่ากับว่าเรือทั้งสองลำมีอายุราชการมากกว่า 50 ปีไปโดยปริยาย
หมัดเด็ดของเรือหลวงเจ้าพระยาคืออาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำรุ่นส่งออก
YU-11E
ซึ่งมีชื่อใหม่ว่า ET-81 ใช้งานร่วมกับแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
C-802A โดยมีการปรับปรุงเล็กน้อย ET-81 ใช้ระบบขับเคลื่อนเทอร์โบเจ๊ตมีบูตเตอร์ช่วยเร่งความเร็วที่ด้านท้าย ระยะยิงไกลสุดไม่รวมระยะยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำมากถึง
60 กิโลเมตร ยิงจากแท่นยิงบนฝั่งได้ด้วยเป็นอีกหนึ่งออปชันที่น่าสนใจมาก
บริษัทผู้ผลิตระบุว่า ET-81 สามารถใช้งานบนเรือคอร์เวต Type 056 เรือคอร์เวต C28A
เรือฟริเกต F-22P และเรือฟริเกต Type
054AE สังเกตนะครับว่าเรือบางรุ่นไม่มีโซนาร์ลากท้ายก็ยังสามารถใช้งานได้
โดยใช้เป็นฐานยิงเคลื่อนที่เดินทางไปพร้อมกองเรือ หน้าที่ตรวจจับและกำหนดเป้าหมายมอบให้กับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ
เมื่อได้พิกัดจากเฮลิคอปเตอร์ผู้การเรือจะสั่งยิง ET-81 มายังตำแหน่งต้องสงสัย
ปล่อยให้ระบบตรวจจับในตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำทำหน้าที่ค้นหาและตีต่อเป้าหมายด้วยตัวเอง
การปรับปรุงเรือหลวงเจ้าพระยา 455
กับเรือหลวงบางปะกง 456 ให้มีอายุใช้งานถึงปี 2045
ผู้เขียนขอเปลี่ยนมาใช้อาวุธ เรดาร์ และอุปกรณ์ต่างๆ
เหมือนเรือฟริเกต Type 054A/T ประกอบไปด้วย
-ระบบอำนวยการรบ ZKJ-5
-ปืนใหญ่ H/PJ-26 ขนาด 76 มม.แทนที่ปืนใหญ่ขนาด 100
มม.หัวเรือ
-เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Type 362
-เรดาร์ควบคุมการยิงรุ่นส่งออก TR47C
-ระบบดาต้าลิงก์
-ระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ HZ-100 ESM
-อาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ ET-81 จำนวน 7
นัด
-อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A จำนวน 1
นัด (กันผีหลอก)
-แท่นยิงเป้าลวง Type 726-4 ขนาด 24 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง แทนที่ปืนกล 37 มม.ลำกล้องแฝดท้ายเรือ
-ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 จำนวน 1
ระบบ
-สร้าง Superstructure สำหรับคลังแสงกระสุนปืนกลขนาด 30
มม.ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type
1130 และจัดเก็บเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีกับเป้าลวงตอร์ปิโด
-สร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์แทนที่ปืนใหญ่ขนาด 100 มม.ท้ายเรือ
-ท้ายเรือติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นส่งออก TLAS-1 (Towed
Line Array Sonar)
-เรดาร์เดินเรือ โซนาร์หัวเรือ
และอาวุธเก่าบางชนิดยังคงติดตั้งและใช้งานตามเดิม
โซนาร์ลากท้าย
TLAS-1 ใช้ตรวจจับเรือดำน้ำจากระยะไกล ก่อนส่งพิกัดอย่างคร่าวๆ ให้เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำช่วยค้นหาเป้าหมายใต้น้ำต่อไป
รวมทั้งใช้เป็นโซนาร์เตือนภัยตอร์ปิโดทำงานร่วมกับระบบเป้าลวงตอร์ปิโดจากจีน
ส่วนโซนาร์ลากจูงรุ่นส่งออก TVDS-1 ไม่จำเป็นต้องซื้อมาติดให้เสียเงิน
ไม่ว่าอย่างไรเราคงไม่นำเรือฟริเกตทั้งสองลำเข้าใกล้เรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามแน่นอน
ภาพประกอบที่เจ็ดคือเรือหลวงเจ้าพระยา
455 หลังการปรับปรุงใหญ่ในปี 2025
เนื่องจากบนเรือมีแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีจำนวน 8 ท่อยิง
ในภารกิจปราบเรือดำน้ำผู้เขียนกำหนดให้ติดตั้ง ET-81 จำนวน 7
นัดกับ C-802A จำนวน 1 นัด
ถ้าเป็นภารกิจปราบเรือผิวน้ำอาจเปลี่ยนเป็น ET-81 จำนวน 1
นัดกับ C-802A จำนวน 7 นัดอะไรทำนองนี้
การป้องกันภัยทางอากาศดีขึ้นกว่าเดิมเพราะได้ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type
1130 มาช่วยคุมท้าย ส่วนเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำตามภาพประกอบอาจมาหรือไม่มาก็ได้โปรดจงทำใจ
หลังการปรับปรุงเรือหลวงเจ้าพระยา
455 จะอยู่รับใช้ชาติได้อีก 20 ปีเต็ม
ของฝากนักกอล์ฟ
เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวหรือ
ASROC Frigate จำนวน 3 ลำอาจมากเพียงพอในการป้องกันกองเรือ
ทว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเรายังมีเรือฟริเกตติด C-802A อีก 2
ลำนี่นา ผู้เขียนจึงอยากปรับปรุงเรือหลวงกระบุรี 457 กับเรือหลวงสายบุรี 458 ให้สามารถแบกอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
ET-81 ไปกับเรือได้ ใช้เป็นฐานยิงเคลื่อนที่โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโซนาร์ลากท้าย
TLAS-1 ให้เปลืองเงิน
โครงการนี้แค่ปรับปรุงแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีให้รองรับ
ET-81 เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ทำก็ดีไม่ทำก็ได้ไม่ส่งผลกระทบต่อกองเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวแต่อย่างใด
เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวหรือมีความสำคัญอย่างไร?
อันที่จริงถ้ากองทัพเรือมีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำจำนวนมากเพียงพอ
ลูกยาวจากจีนหรือสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นส่วนเกินไม่มีใครต้องการ
บังเอิญเรามีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำเพียง 6 ลำ
มีโซนาร์ชักหย่อนแค่เพียง 3 ระบบ
เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำทุกลำอายุมากกว่า 25 ปี
และเรามีเรือฟริเกตรองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด 10
ตันแค่เพียง 1 ลำ
เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวจะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ
S-70B
ตรวจจับเป้าหมายใต้น้ำได้อย่างชัดเจน ทว่าตัวเองไม่มีตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำเฮลิคอปเตอร์ลำอื่นก็ดันอยู่อีกฟากของขอบฟ้า
เรือหลวงสายบุรี 458 ซึ่งอยู่ห่างออกไป 50 กิโลเมตรจะส่ง ET-81 ลอยละล่องขึ้นสู่เวหาเข้ามาช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ET-81 อาจยิงไม่ถูกในนัดเดียว (ส่วนใหญ่ก็ยิงกันไม่ค่อยถูก)
แต่ยังสามารถผลักดันเรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามให้ยอมล่าถอยออกจากน่านน้ำเขตหวงห้าม
ติ๊งต่างว่า…เรามีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำใหม่เอี่ยมจำนวน 12 ลำกับโซนาร์ชักหย่อนจำนวน
6 ชุด เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาวคงไม่จำเป็นแม้แต่ลำเดียว
ใช้เฮลิคอปเตอร์นี่แหละครับแทนอาวุธปล่อยนำวิถี
เวลาเดียวกันเรือหลวงช้างลำที่สาม
792
จะได้รับการปรับปรุงไม่ให้เป็นเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าโล่ง ใช้วิธีเดียวกับเรือหลวงเจ้าพระยาคือยกอาวุธและเรดาร์จากเรือฟริเกต
Type 054A/T มาใช้งานประกอบไปด้วย
-ระบบอำนวยการรบ ZKJ-5 (อาจยังไม่ติดก็ได้ถ้างบประมาณไม่เพียงพอ)
-เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Type 362
-ระบบดาต้าลิงก์
-ระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ HZ-100 ESM
-แท่นยิงเป้าลวง Type 726-4 ขนาด 24 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง
-ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 จำนวน 1
ระบบที่หัวเรือ แทนที่ปืนใหญ่ H/PJ-26 ขนาด 76
มม.เพราะไม่รู้จะติดไปเพื่ออะไร
-นำปืนกลขนาด 20 มม. GAM-BO1 จากคลังแสงกองทัพเรือจำนวน
4 กระบอกมาติดตั้งรอบลำเรือ
ได้ของเพียงเท่านี้ผู้เขียนคิดว่ามากเพียงพอแล้ว
โดยเฉพาะระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Type 1130 สำคัญมากที่สุด อนาคตถ้างบประมาณประเทศเกินดุลมากๆ ค่อยหา RAM เมืองจีนมาใช้งาน
บทสรุป
ขณะที่ทุกคนรุมประณามหยามเหยียดเรือฟริเกตจีนอย่างน่าเกลียดมากจนถึงมากที่สุด
ผู้เขียนกลับมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มองเห็นวิธีแก้ไขปัญหาขนาดใหญ่ที่ถูกละเลย
มองเห็นวิธีอุดช่องโหว่อันเกิดจากเรือฟริเกตสมถรรนะสูงไม่สูงจริงเหมือนชื่อ
รวมทั้งมองเห็นวิธีปรับปรุงเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งให้กลับมาเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำติดลูกยาว
เหตุผลที่ผู้เขียนมองเห็นโอกาสมากมายเพราะราชนาวีไทยมีเรือจีนถึง 10
ลำ!
ผู้อ่านละครับ…มองเห็นอะไรบ้าง??
++++++++++++++++++++
อ้างอิงจาก
:
หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์
https://thaimilitary.blogspot.com/2016/11/royal-thai-navy-anti-submarine-weapon.html
https://thaimilitary.blogspot.com/2023/07/the-off-shore-navy.html
https://twitter.com/andavamas/status/1595768085847629825
https://web.facebook.com/groups/586945348127017/posts/2305473479607520/
https://www.sohu.com/a/721579764_100185604
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น