วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Project 2035

 

วันที่ 14 พฤษภาคม 2023 พรรคกว้างไกลภายใต้การนำนายพีต้าหัวหน้าพรรค ได้รับการเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎรเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนพรรคเพื่อนไทยภายใต้การนำนายโจนาธารหัวหน้าพรรค ได้รับการเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎรเป็นอันดับสอง หลังเซ็น MLU ร่วมกันสองพรรคการเมืองจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นมา นายพีต้าพรรคกว้างไกลขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายโจนาธารพรรคเพื่อนไทยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม

สองพรรคการเมืองมีนโยบายปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม เริ่มจากเปลี่ยนมาใช้วิธีรับสมัครทหารแบบมืออาชีพ ปรับปรุงโครงสร้างและการทำงานซ้ำซ้อนกันระหว่างสามเหล่าทัพ เปลี่ยนวิธีคิดท่านนายพลจากยุคสงครามเย็นก่อนโซเวียตแตก เป็นยุคสงครามไฮบริทที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งภารกิจสำคัญคือการเข้ามาแก้ไขโครงการจัดหาอาวุธที่ชุลมุนวุ่นวายตลอด 8 ปีที่ผ่านมา

หลังจัดตั้งรัฐบาลมีการจัดทำแผนการ ‘Project 2035’ ขึ้นมา เพื่อวางแผนการปรับปรุงและจัดหาอาวุธให้กับกองทัพระยะเวลา 12 ปี (ตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2035) เหตุผลที่กำหนดไว้ 12 ปีเนื่องจากสองพรรคการเมืองเซ็น MLU ร่วมกันโดยกำหนดไว้ว่า จะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งอีกสองครั้ง เมื่อระบบประชาธิปไตยกลับมาเต็มใบโดยสมบูรณ์แบบแล้ว พรรคกว้างไกลกับพรรคเพื่อนไทยจะแยกย้ายกันไปทำงานทางใครทางมัน

เป็นรัฐบาล 4 ปี + เลือกตั้งใหม่ 2 ครั้ง 8 ปี =12 ปี = 2035

นี่คือที่มาที่ไป Project 2035 ซึ่งมีการจัดทำร่วมกันระหว่างนายพีต้ากับนายโจนาธาร

โครงการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูง

          งานเร่งด่วนชิ้นหนึ่งของรัฐบาลพลเรือนเกี่ยวข้องกับกองทัพเรือ หนึ่งในหลายปัญหาคือจำนวนเรือผิวขนาดใหญ่ไม่เพียงพอกับการใช้งาน เรือหลวงตาปีปลดประจำการแล้ว เรือหลวงคีรีรัฐมีแผนปลดประจำการต้นปี 2024 เรือหลวงมกุฎราชกุมารอายุ 50 ปีอีกไม่นานต้องปลดประจำการเช่นกัน เรือหลวงสุโขทัยจม เรือหลวงรัตนโกสินทร์ซ่อมบำรุงไม่เต็มร้อยขาดแคลนอะไหล่ รวมทั้งเรือหลวงเจ้าพระยากับเรือหลวงบางปะกงปัจจุบันกลายเป็นเรือปืน

          การจัดหาเรือมือสองเข้ามาอุดช่องว่างคือหนึ่งในทางแก้ปัญหา ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมนายโจนาธารติดต่อไปยังรัฐบาลสหรัฐอเมริกาผ่านนายใหญ่ อยากให้อเมริกามหามิตรเก่ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรื่องนี้

เวลาเดียวกันรัฐบาลอเมริกามีแผนกระชับไมตรีรัฐบาลใหม่ประเทศไทย หลังจากความสัมพันธ์ตลอด 8 ปีหลังอยู่ในสถานะลุ่มๆ ดอนๆ เมื่อได้รับคำร้องขอประธานาธิบดีโจ ไบเดนเชิญนายโจนาธารมาพบที่ทำเนียบขาวระหว่างเดือนกันยายน 2023 หลังจากนั้นจึงมีการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างสองชาติว่า เดือนตุลาคม 2023 กองทัพอเมริกาจะปลดประจำการเรือจำนวนหนึ่งเพื่อลดค่าใช้จ่าย หนึ่งในนั้นคือ USS Detroit LCS-7 กับ USS Little Rock LCS-9 หลังปลดประจำการเรือจะถูกส่งมอบให้กับรัฐบาลไทย

เรือทั้งสองลำคือเรืออเนกประสงค์ Littoral Combat Ship หรือ LCS ชั้น Freedom อายุการใช้งานเพียง 7 ปีรับใช้ราชนาวีไทยได้อีก 20 กว่าปีขึ้นไป อเมริกาโอนเรือให้โดยคิดค่าใช้จ่ายไม่มีการเปิดเผยตัวเลข รวมทั้งให้การสนับสนุนอะไหล่การซ่อมบำรุงไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเช่นเดียวกัน สภาพเรือค่อนข้างสมบูรณ์เพียงแต่ถูกถอดปืนใหญ่ 57 มม.กับระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RAM รวมทั้งระบบสื่อสารทั้งหมดออก

เนื่องจากอเมริกาให้การสนับสนุนโครงการนี้แบบไม่เปิดเผย ได้เรือมาแล้วกองทัพเรือจึงปรับปรุงเพียงเล็กน้อยเรื่องอาวุธกับระบบสื่อสาร ระบบอำนวยการรบ ระบบเรดาร์ และอาวุธที่อเมริกาให้มาพร้อมเรือยังคงอยู่ต่อไป มูลค่าโครงการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงรวมทั้งอาวุธจึงไม่ถึง 200 ล้านเหรียญ


เรือต้นจากติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ที่หัวเรือ ยกสูงเล็กน้อยเพื่อให้ยิงมุมกดได้ดีกว่าเดิม หน้าสะพานเดินเรือติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Naval Strike Missile หรือ NSM จำนวน 8 ท่อยิงแบบทแยงมุม 40 องศา ต่อมามีการจัดหา NSM ลูกจริงกับลูกซ้อม Telemetry มาใช้งานจำนวนไม่เปิดเผย

กองทัพเรืออเมริกากำหนดให้เรือ LCS ชั้น Freedom ทำภารกิจปราบเรือผิวน้ำ (ส่วนเรือ LCS ชั้น Independence ทำภารกิจปราบทุ่นระเบิด) โดยการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Naval Strike Missile หรือ NSM จำนวน 8 ท่อยิงแบบทแยงมุมเหมือนกันแบบเป๊ะๆ การปรับปรุงเรือจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

หลังคาสะพานเดินเรือชั้นสองติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง CEROS 200 ทำงานร่วมกับระบบอำนวยการรบ COMBATSS-21 และเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ TRS-3D ได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะบริษัท Lockheed Martin กำหนดให้ใช้ CEROS 200 บนเรือที่ตัวเองเสนอขายให้กับซาอุดีอาระเบียและกรีซอยู่ก่อนแล้ว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงของเดิมยังอยู่ที่เดิม ใช้เป็นระบบควบคุมการยิงสำรองกับกล้องตรวจการณ์กลางคืน

เหตุผลที่กองทัพเรือติดเรดาร์ควบคุมการยิง CEROS 200 เพิ่ม เนื่องจากบนเรือมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ ต้องการอุปกรณ์ตรวจจับเป้าหมายมากกว่าเดิมเพื่อความมั่นใจก่อนการโจมตี ติดตั้งเรดาร์เดินเรือตัวที่ 3 เพิ่มบนสะพานเดินเรือชั้นแรก ระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ใช้รุ่นเดิม WBR-2000 ESM เหมือนอเมริกา

ระบบเป้าลวงใช้ของเดิมขนาด 130 มม.หกท่อยิงจำนวน 4 แท่นยิง กลางเรือมีปืนกลอัตโนมัติ 30 มม.Mk.46 จำนวน 2 กระบอก เป็นอาวุธปืนรุ่นมาตรฐานกองทัพเรืออเมริกา มีอะไหล่ใช้งานไปกระทั่งเรือปลดประจำการอย่างแน่นอน ประสิทธิภาพใกล้เคียง DS30M Mark 2 เพราะใช้กระบอกปืนรุ่นเดียวกัน

ปัญหามีเพียงเล็กน้อยเรื่องระบบป้องกันภัยทางอากาศ เนื่องจากงบประมาณไม่เพียงพอสำหรับระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RAM กองทัพเรือจึงมีแนวคิดอยากใช้อาวุธเหมือนเรือหลวงจักรีนฤเบศร เพียงแต่แท่นยิงแฝดหก Sadral ไม่มีขายแล้ว มีแต่แท่นยิงแฝด Simbad-RC ซึ่งบรรจุอาวุธน้อยเกินไป

รัฐมนตรีโจนาธารแก้ปัญหาไม่ได้ต้องขอความช่วยเหลือท่านนายกพีต้า ท่านนายกพีต้าขอความช่วยเหลือกุนซือตัวเอง กุนซือรีบติดต่อเพื่อนเก่าชาวฝรั่งเศสชื่อมาครงที่บังเอิญตอนนี้เป็นประธานาธิบดี ผ่านไปสองวันท่านประธานาธิบดีมาครงสั่งถอดแท่นยิง Sadral จากเรือบรรทุกเครื่องบินส่งให้เพื่อนชาวไทย หลังการปรับปรุงจึงนำมาติดตั้งบนเรือใหม่ทั้ง 2 ลำ ทำงานร่วมกับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 รุ่นใหม่ล่าสุดจากฝรั่งเศส ซึ่งเคยทดสอบยิงเป้าหมายระยะ 7 กิโลเมตรจำนวน 2 เป้าพร้อมกันได้อย่างสวยสดงดงามมาแล้ว

Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 6 นัดจะเข้ามาอุดช่องว่างระบบป้องกันภัยทางอากาศ

วันที่ 14 มกราคม 2024 เรือหลวงสุราษฎร์ธานี OPV 553 กับเรือหลวงชุมพร OPV 554 เข้าประจำการพร้อมกัน ชื่อเรือภาษาอังกฤษกำหนดให้เขียนแบบเดิมตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก อนาคตเมื่อมีงบประมาณจะมีการจัดหายานผิวน้ำไร้คนขับปราบทุ่นระเบิดจำนวน 2 ลำ นำมาใช้งานกับเรือหลวงสุราษฎร์ธานีและเรือหลวงชุมพรซึ่งมี Mission Bay ขนาดใหญ่มหึมาบริเวณท้ายเรือต่อไป

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงเพิ่งเข้าประจำการทั้งสองลำ กลายเป็นเรือชุดแรกของราชนาวีไทยที่มีการทำสีพรางตามสมัยนิยม และเป็นเรือชุดแรกที่เริ่มใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบยุคใหม่ รวมทั้งเป็นเรือชุดแรกของราชนาวีไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาโดยไม่เปิดเผยตัวเลข

โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง

           เมื่อการเจรจาเรื่องเรือ LCS กับอเมริกาสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2023 รัฐมนตรีโจนาธารกับท่านนายกพีต้าติดต่อผู้บัญชาการทหารเรือไทยคนใหม่ เพื่อพูดคุยเรื่องโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงต่อไป

          โครงการนี้กองทัพเรือต้องการซื้อเรือจำนวน 1 ลำในวงเงิน 16,000 ล้านบาท บังเอิญรัฐมนตรีกับท่านนายกคิดเห็นตรงกันอีกครั้งหนึ่งว่า ซื้อวันนี้ 1 ลำอีกไม่นานต้องซื้อเพิ่มอยู่ดี เนื่องจากเรือคอร์เวตจากอเมริกากับเรือฟริเกตจากจีนอายุมากแล้ว แล้วเหตุไฉนเราถึงไม่ซื้อครั้งเดียว 3 ลำแต่ทยอยสร้างให้จบครั้งเดียวไปเลย

          คิดได้ดังนั้นท่านนายกวิดีโอคอลมายังบริษัท DSME เต็งจ๋าจากเกาหลีใต้ เสนอความต้องการซื้อเรือฟริเกต 3 ลำ สร้างที่เกาหลีใต้ 1 ลำอีก 2 สร้างในไทย พร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยีสร้างเรือรบรุ่นใหม่แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย โครงการนี้บริษัท DSME จับมือกับบริษัทมาร์ซันอู่ต่อยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศ

การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นชื่นมื่นหัวใจ ซีอีโอบริษัท DSME เตรียมพาทุกคนไปกินหมูกระทะเกาหลีฉลองความสำเร็จ บังเอิญทีมงานคนหนึ่งของรัฐมนตรีโจนาธารดันปากเสียขึ้นมาว่า ข้าพเจ้าเคยเข้าไปส่องตามกลุ่มคนรักอาวุธและทหารในเฟสบุ๊ก กูรูหลายคนบอกว่าเกาหลีใต้โอนเทคโนโลยีให้อินโดนีเซียไม่ครบ ทำให้อินโดนีเซียสร้างเรือดำน้ำด้วยตัวเองไม่ได้ อินโดนีเซียจึงแกล้งสั่งซื้อเรือดำน้ำอีก 3 ลำแล้วชักดาบเสียเลย มีแต่คนเชียร์อินโดทั้งโลกบอกว่าคุณทำถูกแล้วทำถูกแล้ว ใครโกงเราเราต้องโกงกลับเรื่องอื่นช่างมันปะไร

บังเอิญท่านนายกพีต้าไม่รู้จักกูรูเหล่านี้ ปรกติตัวเองเข้าไปปั่นทวิตเตอร์อย่างเดียว ท่านผู้นำรีบสอบถามเจ้าถิ่นทันที ซีอีโอบริษัท DSME แก้ตัวเสียงสั่นว่าคนมันมีปากก็พูดไปเรื่อย กูรูพวกนี้ถ้าเก่งจริงคงมีคนจ้างไปทำงานเงินเดือนแปดสิบล้านนานแล้ว เจอตัวเมื่อไหร่จะกระโดดถีบสองขาคู่ตามด้วยตบล้างน้ำให้สาแก่ใจ

บังเอิญท่านนายกพีต้าไม่เชื่อคำแก้ตัว เขารีบวิดีโอคอลประชุมก่อนได้ข้อสรุปในภายหลัง คณะกรรมการคัดเลือกแบบเรือ 14 นายจาก 17 นายโหวตให้ DSME ไม่ได้ไปต่อ เต็งจ๋านอนมาพระสวดตกรอบแบบช็อกโลก

เมื่อเต็งจ๋าตกรอบมีการประกาศรับบริษัทอื่นเข้าร่วมโครงการ กุนซือท่านนายกติดต่อเพื่อนเก่าชาวฝรั่งเศสอีกครั้ง แล้วบริษัท Naval Group ก็ส่งแบบเรือ FDI เข้าร่วมชิงชัย ผู้ช่วยท่านนายกติดต่อลุงตัวเองบ้าง กองเชียร์นิวคาสเซิลติดต่อบริษัท Babcock ต้องการให้ส่งแบบเรือ Arrowhead 140 มาช่วยตบเด็กให้สาแก่ใจ ทว่าบริษัท Babcock กลับส่งแบบเรือ Arrowhead 120 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเข้าร่วมชิงชัย

ผลการคัดเลือกในเดือนมิถุนายน 2024 แบบเรือ FDI บริษัท Naval Group จากฝรั่งเศสกินนิ่ม

เนื่องจากบริษัท Naval Group กำลังสร้างเรือฟริเกต FDI ให้กับกองทัพเรือฝรั่งเศสและกรีซ การเพิ่มเรือฟริเกต FDI รุ่น Low Cost เข้ามาอีก 1 ลำไม่ใช่ปัญหา เรือหลวงศรีอยุธยา FFG-472 จะทำพิธีตัดเหล็กเดือนกันยายน 2024 พร้อมส่งมอบกองทัพเรือไทยต้นปี 2027 และเข้าประจำการไม่เกินต้นปี 2028

บริษัทพรเทพ มาเรีย อู่ต่อเรืออันดับสองของประเทศส่งคนไปช่วยสร้างเรือที่ฝรั่งเศส ก่อนกลับมาสร้างเรือด้วยตัวเองตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 เรือหลวงธนบุรี FFG-473 จะถูกส่งมอบภายในปี 2029 เข้าประจำการภายในปี 2030 ส่วนเรือหลวงสุโขทัย FFG-473 จะถูกส่งมอบภายในปี 2031 และเข้าประจำการภายในปี 2032

เท่ากับว่าปี 2033 เรือฟริเกตฝั่งสมรรถนะสูงจากฝรั่งเศสทั้ง 3 ลำจะพร้อมรบเต็มที่

เท่ากับว่าตั้งแต่เริ่มตัดเหล็กจนจบโครงการ ทหารไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างเรือสักนิดเดียว

เวลาเดียวกันมีการทยอยปลดประจำการเรือเก่าไปพร้อมกัน

-ปี 2028 เรือหลวงศรีอยุธยา FFG-472 เข้าประจำการ เรือหลวงรัตนโกสินทร์ปลดประจำการ

-ปี 2030 เรือหลวงธนบุรี FFG-473 เข้าประจำการ เรือหลวงเจ้าพระยากับเรือหลวงบางปะกงปลดประจำการ

-ปี 2032 เรือหลวงสุโขทัย FFG-474 เข้าประจำการ เรือหลวงกระบุรีกับเรือหลวงสายบุรีปลดประจำการชั่วคราว และปลดประจำการถาวรหลังปี 2037 เท่ากับว่าเรือเจียงหู 2 ลำนี้รับใช้ชาติเป็นเวลา 45 ปี

เรือฟริเกต FDI มีระวางขับน้ำ 4,460 ตัน ยาว 122 เมตร กว้าง 17.7 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD เครื่องยนต์ดีเซลล้วน ความเร็วสูงสุด 27 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต เรือต้นแบบถูกปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการราชนาวีไทย โดยการติดตั้งอาวุธและเรดาร์เหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชให้มากที่สุด และมีการปรับปรุงเล็กน้อยไม่ให้ราคาเรือพุ่งทะยานสูงเกินไป

หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid รุ่นปรกติ ถัดไปเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM และ ESSM Block 2 มีพื้นที่ว่างติดตั้งเพิ่มเติมได้อีก 8 ท่อยิง ส่วนออปชันเสริมจำนวน 16 ท่อยิงเหมือนเรือฟริเกตกรีซลำสุดท้ายถูกตัดทิ้งเพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาใส่

ระบบเรดาร์ยกจาก SAAB มาใส่ทั้งลำ ใช้อำนวยการรบ 9LV Mk4 เรดาร์ควบคุมการยิง CEROS 200 จำนวน 2 ตัว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง EOS 500 อยู่เหนือ CEROS 200 หัวเรือ โดมเสากระโดงชั้นล่างติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะไกล Sea Giraffe 4A โดมเสากระโดงชั้นบนติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะใกล้ Sea Giraffe 1X แทนที่ SEA GIRAFFE AMB ที่ราคาแพงกว่าแต่ทำงานร่วมกับ Sea Giraffe 4A สู้กันไม่ได้

Sea Giraffe 4A + Sea Giraffe 1X คือคู่ขาทองคำที่ SAAB พัฒนาขึ้นมาพร้อมกัน กองทัพเรือเยอรมันเลือกใช้งานบนเรือฟริเกตชั้น F123 จำนวน 4 ลำ กองทัพเรือฟินแลนด์เลือกใช้งานบนเรือคอร์เวตโครงการ Squadron 2020 จำนวน 4 ลำเช่นกัน การเปลี่ยนมาใช้ Sea Giraffe 1X แทน Sea Giraffe 4A ถือว่าเหมาะสมที่สุด

          พื้นที่กลางเรือสำหรับแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 ท่อยิง แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk.54 อยู่ข้างช่องปล่อยเรือเล็ก เหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดตั้งระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalank Block 1B หัวเรือติดตั้งโซนาร์ DSQS-24 จากเยอรมัน ท้ายเรือติดตั้งโซนาร์ ACTAS จากเยอรมันเช่นกัน ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์กับระบบเป้าลวงใช้รุ่นเดียวกับเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช

ตามแผนการปืนกลอัตโนมัติ DS30M Mark 2 ถูกตัดทิ้งเพราะเกินงบประมาณ กองทัพเรือตั้งใจนำปืนกล 20 มม.ของเก่ามาใช้บนเรือชั่วคราวไปก่อน บังเอิญบริษัท Nexter ประเทศฝรั่งเศสต้องการบุกตลาดใหม่ พวกเขาเสนอโพรโมชันซื้อ 1 แถม 1 ปืนกลอัตโนมัติ Nexter Narwhal ขนาด 20 มม.ให้กับลูกค้าใหม่ ท่านนายกพีต้าจึงยอมจ่ายเงินเพิ่มซื้อปืนกลอัตโนมัติฝรั่งเศสจำนวน 6 กระบอกในราคา 3 กระบอก

          เมื่อโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงสิ้นสุดลง ราชนาวีไทยประจำการเรือฟริเกตจำนวน 6 ลำประกอบไปด้วย

1.เรือหลวงนเรศวร FFG-421 เรือชั้น F25T ยิง ESSM ได้ ไม่มีโซนาร์ลากท้าย

2.เรือหลวงตากสิน FFG-422 เรือชั้น F25T ยิง ESSM ได้ ไม่มีโซนาร์ลากท้าย

เรือสองลำนี้ต้องเข้าประจำการถึงปี 2045 หรือเท่ากับ 50 ปี ฉะนั้นต้องมีการปรับปรุงใหญ่อีกครั้งในปี 2030 เพื่อยืดอายุเรือ โดยไม่มีการปรับปรุงระบบอาวุธหรือระบบเรดาร์แต่อย่างใด

3.เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช FFG-472 เรือชั้น DW3000F ยิง ESSM ได้ มีโซนาร์ลากท้าย

4.เรือหลวงศรีอยุธยา FFG-472 เรือชั้น FDI ยิง ESSM ได้ มีโซนาร์ลากท้าย

5.เรือหลวงธนบุรี FFG-473 เรือชั้น FDI ยิง ESSM ได้ มีโซนาร์ลากท้าย

6.เรือหลวงสุโขทัย FFG-474 เรือชั้น FDI ยิง ESSM ได้ มีโซนาร์ลากท้าย

หมายเหตุ : เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ฝรั่งเศสขายเรือฟริเกตให้ไทยสำเร็จ ประธานาธิบดีมาครงรู้สึกดีใจและอิ่มเอมหัวใจ ท่านผู้นำตัดสินใจแจกของขวัญล้ำค่าแทนคำขอบคุณจากใจ ของขวัญชื้นนี้ก็คืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Exocet จำนวน 8 นัด

ปัญหาใหญ่กองทัพอากาศ

          เมื่อตัวเองเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม นายโจนาธารหัวหน้าพรรคเพื่อนไทยเดินทางมาเยี่ยมเยียนกองทัพอากาศ เพื่อพูดคุยถึงโครงสร้างกองทัพ โครงการในอนาคต และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต ขณะที่ท่านรัฐมนตรีเข้าห้องน้ำใครคนหนึ่งแหกด่านผู้คุ้มกันตามเข้ามาเพื่อพูดคุยด้วย

          แหล่งข่าวไม่เปิดเผยข้อมูลรายงานปัญหาเครื่องบินขับไล่กับท่านรัฐมนตรี เรื่องแรกฝูงบิน 102 ประจำการ F-16 ADF ตอนนี้ปลดประจำการหมดแล้ว เรื่องสองฝูงบิน 103 ประจำการ F-16 A/B ใกล้ปลดประจำการเช่นกัน เรื่องสามเครื่องบิน F-5TH ซึ่งถูกปรับปรุงใหม่จะถูกปลดประจำการเป็นฝูงถัดไป ส่งผลให้เหลือ F-16 MLU กับ Gripen เพียงสองฝูงเท่านั้น กองทัพอากาศต้องการ F-35A จากอเมริกาจำนวน 12 ลำเข้าประจำการแทนเครื่องบินเก่า 3 ฝูง ยื่นเรื่องขอซื้อ 2 ลำแรกนานมากแล้วทำเนียบขาวยังเงียบเฉยราวกับป่าช้าวัดดอน

          ท่านรัฐมนตรีเดินหน้าหงิกกลับมาสอบถามปัญหาความล่าช้าโครงการ F-35A ได้รับคำตอบปีนี้มาแน่ไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด เนื่องจากช่วงนั้นรัฐบาลพลเรือนมีปัญหาวุ่นวายอยู่กับบรรดาท่านสูงวัยจากสภาบน นายโจนาธารต้องปล่อยเลยตามเลยร้องเพลงไกลแค่ไหนคือใกล้วง Getsunova ไปพลางๆ ก่อน

          เดือนตุลาคม 2023 กองทัพอากาศเปลี่ยนหัวเรือใหม่ ท่านรัฐมนตรีเดินทางมาทักทายและสอบถามเรื่องความล่าช้าโครงการ F-35A อีกครั้ง ได้รับคำตอบปีนี้มาแน่ไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใดเหมือนเดิม โชคร้ายเรดาร์เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้า Saab 340 AEW ของเราทั้งสองลำหมดอายุแล้ว ข้าพเจ้าของบประมาณเพิ่ม 5,000 ล้านเพื่อเปลี่ยนเรดาร์ ท่านรัฐมนตรีสอบถามเรดาร์มีอายุใช้งานเท่าไหร่ ได้รับคำตอบ 10 ปีพาลหมดเรี่ยวแรงทันที

คืนนั้นท่านรัฐมนตรีไม่ร้องเพลงร้องเพลงไกลแค่ไหนคือใกล้อีกต่อไป นายโจนาธารตามทีมงานคนที่ชอบเข้าไปส่องตามกลุ่มคนรักอาวุธและทหารในเฟสบุ๊กมาปรึกษา แล้วรีบวิดีโอคอลหาซีอีโอบริษัท SAAB ที่สวีเดนเพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญสองเรื่อง หนึ่งข้าพเจ้าอยากได้เรดาร์ Erieye ใหม่เอารุ่นที่มีอายุใช้งานมากกว่า 10 ปีได้ไหม สองข้าพเจ้าอยากได้เครื่องบิน Gripen เพิ่มจำนวน 3 ลำทำให้ยอดรวมฝูงบินเท่ากับ 14 ลำ มากเพียงพอในการแบ่งมาช่วยงาน F-5TH ได้สัก 4-6 ลำ ในกรณีกุนขแมร์ใช้กำลังบุกเข้ามาเคลมร้านชายสี่หมี่เกี๊ยวเป็นของตัวเอง

ซีอีโอบริษัท SAAB ตอบว่าเรดาร์ Erieye ของท่านเป็นรุ่นเก่าก็วุ่นวายแบบนี้แหละ ทำไมไม่เปลี่ยนเป็น GlobalEye ไปเลยราคาเพิ่มขึ้นแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเรื่องซื้อเครื่องบิน Gripen จำนวน 3 ลำอยากให้ท่านใจเย็นกว่านี้สักหน่อย ข้าพเจ้าต้องรอให้ฟิลิปปินส์สั่งซื้อ 12 ลำเสียก่อนถึงจะสอดแทรกออเดอร์ท่านเข้ามาได้

หลังวิดีโอคอลนายโจนาธารซัดแอสไพริน 4 เม็ดตั้งใจว่าไปไม่กลับหลับไม่ตื่น แต่แล้วไม่น่าเช้าวันรุ่งขึ้นเขาตื่นนอนก่อนทีมงานที่ชอบส่องเฟสบุ๊ก ทั้งคู่เดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรวมกลุ่มกับนายกพิต้า เดินทางด้วยสายการบิน Korean Air มาเจรจาโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงกับซีอีโอบริษัท DSME

ผลการเจรจาประสบความล้มเหลวตามข้อมูลเบื้องต้น ตัวแทนรัฐบาลไทยพากันปวดไมเกรนไม่ออกไปหม่ำต็อกบกกิตามความตั้งใจ ให้บังเอิญซีอีโอบริษัท KAI ทราบข่าวจากทีมงานตัวเอง วันรุ่งขึ้นแกชวนตัวแทนรัฐบาลไทยชมคอนเสิร์ตวงแบล็กพิงก์ร่วมกัน เสร็จสมอารมณ์หมายจึงพาทุกคนมากินซันนักจีหรือปลาหมึกสดยังไม่ตายแกล้มเหล้าโชจู ระหว่างเติมเหล้าท่านซีอีโอหยิบโบรชัวร์สินค้าตัวเองออกมามอบให้ตัวแทนรัฐบาลไทย ในใจลึกๆ ต้องการขายเครื่องบินฝึก T-50TH จำนวน 2 เครื่องสุดท้ายที่ถูกโรคเลื่อนเล่นงาน

ตอนนั้นเองรัฐมนตรีโจนาธารพูดลอยๆ เรื่องปัญหาเครื่องบินขับไล่ ซีอีโอบริษัท KAI ได้ยินรีบพลิกโบรชัวร์มาที่หน้าเครื่องบินขับไล่โจมตีเบา FA-50 Golden Eagle แล้วเริ่มโม้แหลก ลำนี้ติดตั้งเรดาร์ PhantomStrike AESA รุ่นใหม่จากอเมริกา ยิงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ-สู่-อากาศ AMRAAM ระยะยิง 120 กิโลเมตรได้ ราคาถูกกว่า F-16 Block 70/72 หรือ Gripren ใช้อะไหล่ร่วมกับ T-50TH ได้มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์

ท่านนายกพีต้ากำลังติดลมสอบถามทันทีท่านมีรุ่นอื่นอีกหรือไม่ ซีอีโอบริษัท KAI รีบพลิกโบรชัวร์มาที่หน้าเครื่องบินขับไล่ KF-21 Boramae แล้วเริ่มโม้แหลกอีกครั้ง ลำนี้ติดตั้งเรดาร์ AESA รุ่นใหม่เกาหลีใต้พัฒนาเอง ยิงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ-สู่-อากาศ Meteor ระยะยิง 180 กิโลเมตรได้ เครื่องต้นแบบบินกันให้ว่อนอีกไม่นานจะเริ่มสร้างเครื่องบินลำจริง คาดว่าจะสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้ภายในปี 2032 หรืออีก 9 ปี

 ท่านนายกรู้สึกประทับใจโพล่งขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าจะเอา FA-50 จำนวน 12 เข้าประจำการฝูงบิน 102 ท่านซีอีโอตอบกลับทันควันข้าพเจ้าพร้อมส่งมอบระหว่างปี 2026 ถึง 2027 ปีละ 6 ลำไม่มีปัญหา

ท่านนายกโพล่งขึ้นมาอีกครั้งข้าพเจ้าจะเอา KF-21 จำนวน 12 เข้าประจำการฝูงบิน 103 ท่านซีอีโอตอบกลับทันควันข้าพเจ้าพร้อมส่งมอบระหว่างปี 2032 ถึง 2034 ปีละ 4 ลำไม่มีปัญหา ข้าพเจ้าตัดออเดอร์อิเหนาเจ้าเล่ห์ทิ้งให้ท่านเสียบแทนเพราะข้าพเจ้าหมั่นไส้ ซื้อเรือดำน้ำไม่จ่ายเงินแล้วยังปล่อยข่าวลือให้กูรูเซ่อซ่าช่วยเผยแพร่

ปัญหาเรื่องฝูงบิน 102 กับ 103 จบสิ้นลงในร้านอาหารริมทางที่มีชื่อเสียงเรื่องซันนักจี


ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้อยู่ในระดับดีมาก เมื่อท่านประธานาธิบดีทราบข่าวรู้สึกดีใจและอิ่มเอมหัวใจ ท่านผู้นำตัดสินใจแจกของขวัญล้ำค่าแทนคำขอบคุณจากใจ ของขวัญชื้นนี้ก็คือรถถัง K1A1 ใช้ปืนใหญ่ขนาด 120 มม. ให้นายกพีต้ากับรัฐมนตรีโจนาธารเอาไปดริฟเล่นจำนวน 54 คันโดยมีค่าขนส่งเล็กน้อย

การเซ็นสัญญาล่วงหน้าระหว่างสองชาติเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2024 ยอดสั่งซื้อ FA-50TH เพิ่มขึ้นอีก 4 ลำเป็น 16 ลำ ทั้งนี้เนื่องมาจากประธานาธิบดีมาครงเพื่อนรักกุนซือนายกพีต้า แถมอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Exocet จำนวน 8 นัดให้กับลูกประดู่ไทย นายกพีต้ามีแนวคิดฟื้นฟูฝูงบิน 104 ฉลามขาวแห่งราชนาวีไทยขึ้นมาใหม่ จึงเป็นที่มาโครงการ FA-50TH เฟสสองซึ่งมีความแตกต่างเฟสหนึ่งเล็กน้อย

เครื่องบินถูกปรับปรุงให้สามารถใช้งาน AM39 Exocet  B2 Mod 2 ระยะยิง 70 กิโลเมตรได้ เหตุผลที่ประธานาธิบดีมาครงแถม Exocet ให้รัฐบาลไทย เพราะตัวเองไม่รู้ว่าไทยเซ็นสัญญาซื้อ KF-21 จากเกาหลีใต้แบบเงียบๆ แล้ว ทราบแต่ข่าวจัดหา FA-50TH พาลคิดไปเองว่าไทยไม่เอา F-35A แน่นอน ฉะนั้นเราต้องส่ง Exocet มายั่วน้ำลายเสียก่อน แล้วค่อยเสนอขาย Rafale F4.1 Standard ราคาแพงเป็นพิเศษในภายหลัง

ฝูงบิน 104 ฉลามขาวประจำการกองบินทหารเรือก็จริง ทว่าทั้งเครื่องบินและนักบินเป็นคนกองทัพอากาศย้ายมาสังกัดหน่วยงานใหม่ การฝึกอบรมนักบินและเจ้าหน้าที่ใช้ร่วมกับกองทัพอากาศไม่จำเป็นต้องจัดตั้งขึ้นใหม่ หน้าที่หลักของฝูงบินฉลามขาวคือโจมตีทางทะเล ลาดตระเวนตรวจการณ์ คุ้มกันกองเรือ รวมทั้งขับไล่สกัดกั้นในกรณีเครื่องบินกองทัพอากาศไม่มาตามนัด อนาคตจะมีการปรับปรุง FA-50TH เพิ่มอีก 4 ลำให้ใช้งาน Exocet ได้

นี่คือนโยบายบูรณาการกำลังรบสามเหล่าทัพ ที่รัฐบาลพลเรือนต้องการผลักดันให้ประสบความสำเร็จภายในปี 2035

โครงการกองทัพอากาศที่ถูกปัดตก

          หลังทราบข่าวร้ายกองทัพอากาศไทยเซ็นสัญญาล่วงหน้าซื้อ KF-21 จากเกาหลีใต้จำนวน 12 ลำ ประธานาธิบดีมาครงผู้มุ่งมั่นไม่คิดยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้ ระหว่างทำพิธีตัดเหล็กเรือหลวงศรีอยุธยา FFG-472 ในเดือนกันยายน 2024 นายกพีต้ากับรัฐมนตรีโจนาธารมาร่วมงานที่อู่ต่อเรือในร่มบริษัท Naval Group ตอนนั้นเองท่านประธานาธิบดีเสนอขายโครงการเครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้ารุ่นใหม่ Falcon 750X ที่กองทัพอากาศฝรั่งเศสจะนำมาเสริมทัพร่วมกับ E-3 Sentry ในอนาคตข้างหน้า


          Falcon 750X ใช้เครื่องบินลำเลียง Falcon 7X มาปรับปรุงเพิ่มเติม ตัดเครื่องยนต์ไอพ่นที่แพนหางทิ้งเหลือแค่เพียง 2 เครื่องยนต์ ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/APY-9 AESA ของอเมริกาไว้บนหลังคาเครื่อง ใช้ระบบดาต้าลิงก์ Link 16 รุ่นใหม่ทำงานร่วมกับ F-16 MLU Gripen FA-50 และ KF-21 ได้อย่างดีเยี่ยม

          นายกพีต้ากับรัฐมนตรีโจนาธารติดใจอยากได้ Falcon 750X มาใช้งานสักสองลำ รู้ว่าเรดาร์ AN/APY-9 อายุใช้งานมากกว่า 10 ปียิ่งชอบใจไปกันใหญ่ โชคร้ายไม่มีเงินติดกระเป๋าสักบาทจำเป็นต้องบอกปัดทั้งน้ำตา

ปัญหาเรือดำน้ำจีน

          รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมได้เพียงสัปดาห์เดียว นายโจนาธารหัวหน้าพรรคเพื่อนไทยเดินทางมาเยี่ยมเยียนกองทัพเรือ เพื่อพูดคุยถึงโครงสร้างกองทัพ โครงการในอนาคต และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเครื่องยนต์เรือดำน้ำ S26T จากประเทศจีน ซึ่งจ่ายเงินไปแล้วจำนวนมากทว่ายังไม่เห็นแม้แต่เงาเรือ และโครงการนี้มีกำหนดจ่ายเงินครบในปีงบประมาณ 2024 ที่กำลังจะมาถึง

ผลลัพธ์ก็คือไม่มีใครกล้าตอบคำถามเอาแต่อ้ำอึ้งทั้งหอประชุม

          ปัญหาเรือดำน้ำจีนทั้งนายกพีต้าและรัฐมนตรีโจนาธารทราบดีว่า ไม่สามารถแก้ไขด้วยความเห็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง แต่ต้องพิจารณาผลกระทบต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบ เนื่องจากประเทศที่เรากำลังแหย่หนวดเสือคือประเทศจีน เจ้าของประโยคเด็ด รบเถิดอรชุน ที่โด่งดังทั่วโลกตัวจริงเสียงจริง

          วันเวลาล่วงเลยเข้าสู่ปลายเดือนมิถุนายน 2024 หลังประกาศผลผู้ชนะโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงสัปดาห์เดียว นายกพีต้าและรัฐมนตรีโจนาธารพร้อมทีมงานออกเดินทางอีกครั้ง จุดหมายปลายทางตัวแทนรัฐบาลพลเรือนแห่งประเทศไทยคือกรุงปักกิ่ง เพื่อพูดคุยกับบริษัทสร้างเรือดำน้ำ S26T และตัวแทนท่านผู้นำสี

          การประชุมผ่านพ้นไปครึ่งวันตัวแทนรัฐบาลไทยได้รับรู้ว่า โอกาสยกเลิกโครงการเรือดำน้ำระยะที่ 1 รับเงินที่จ่ายไปแล้วกลับคืน เทียบกับการส่งยานอพอลโล 13 ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ โครงการหลังมีความเป็นไปได้มากกว่าหลายเท่าตัว จำเป็นเหลือเกินที่เราจะต้องรับเรือดำน้ำตามสัญญา แต่ถึงกระนั้นนายกพีต้าและรัฐมนตรีโจนาธารยังไม่คงลดละความพยายาม ควักสาลิกาลิ้นทองออกมาเจรจาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุด

          ผลการเจรจาตัวแทนบริษัทสร้างเรือดำน้ำยื่นข้อเสนอดังนี้

1.กองทัพเรือไทยรับเรือดำน้ำ S26T ติดตั้งเครื่องยนต์ CHD620 ตามระยะเวลาที่ถูกแก้ไขใหม่

2.รัฐบาลจีนสนับสนุนตอร์ปิโดขนาด 533 มม.กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบเพิ่มจำนวน xx นัด

3.บริษัท CSOC สนับสนุนการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำฟรีระยะเวลา 10 ปี รวมทั้งการเปลี่ยนแบตเตอรี่ 2 ครั้งที่ระยะเวลา 5 ปีกับ 10 ปี

4.บริษัท CSOC รับประกันเครื่องยนต์ CHD620 ระยะเวลา 20 ปี

5.รัฐบาลจีนจะโอนเรือคอร์เวต Type 056 ให้กับรัฐบาลไทยจำนวน 1 ลำ (หมายเลข 511)

          ตัวแทนรัฐบาลไทยเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นทันที ท่านนายกกับท่านรัฐมนตรีใช้เวลาพิจารณาร่วมกันสองสัปดาห์ ก่อนให้คำตอบกลับคืนรัฐบาลจีนกับบริษัทสร้างเรือดำน้ำใจความตามนี้

ข้าพเจ้ายอมรับข้อเสนอโดยมีข้อแม้ว่า

1.ต้องการเปลี่ยนเรือคอร์เวต Type 056 มือสองจำนวน 1 ลำ เป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้นปัตตานีจำนวน 2 ลำ กำหนดให้สร้างเรือเฉพาะเรือไม่รวมอาวุธ ติดอุปกรณ์ยิบย่อยทั้งหมดเหมือนเรือเฟสแรก

2.โครงการเรือดำน้ำข้าพเจ้าขอจบแค่เรือลำเดียว

          จดหมายจากเมืองไทยจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้

การเปลี่ยนเรือคอร์เวต Type 056 เป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้นปัตตานี มีประโยชน์กับกองทัพเรือเทียบได้กับกินหมากสองต่อแล้วเข้าฮอส ให้บังเอิญรัฐบาลและกองทัพเรือไม่ได้เตรียมแผนการล่วงหน้า การจัดสรรงบประมาณสำหรับเรดาร์และอาวุธจึงไม่อาจเทียบเท่าโครงการเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์

          หลังเซ็นสัญญาร่วมกันบริษัท CSOC เดินหน้าสร้างเรืออย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 11 เดือนสามารถปล่อยเรือลงน้ำ และส่งมอบให้กับกองทัพเรือไทยต้นปี 2026 มีการประกวดราคาหาบริษัทเข้ามาปรับปรุงเรือ ปรากฏว่าบริษัท SAAB กับอู่ต่อเรืออิตัลไทยมารีน เอาชนะบริษัท Thales กับอู่ต่อเรือมาร์ซันได้เซ็นสัญญาโครงการนี้

          เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้นปัตตานี Batch 2 ประกอบไปด้วย

1.เรือหลวงสมุทรสาคร OPV 513

2.เรือหลวงสมุทรสงคราม OPV 514

ความแตกต่างระหว่างเรือ Batch 2 กับ Batch 2 มีเพียงสองเรื่อง หนึ่งราวกับตกบริเวณหัวเรือเปลี่ยนเป็นแบบทึบเต็มพื้นที่ การออกแบบใหม่ทำให้หัวเรือดูสูงกว่าเดิมเล็กน้อย รวมทั้งป้องกันน้ำทะเลซัดใส่ระบบอาวุธดีขึ้นเล็กน้อย และสองเรือช่วยชีวิต Lifeboat ที่กราบขวาเรือเปลี่ยนเป็นเรือยางท้องแข็งรุ่นธรรมดา

หลังการส่งมอบเรือต้นปี 2026 บริษัท SAAB กับอู่ต่อเรืออิตัลไทยมารีนเดินหน้างานตัวเองทันที เรือหลวงสมุทรสาครกับเรือหลวงสมุทรสงครามติดตั้งระบบอำนวยการรบ 9LV Mk4 มีเรดาร์เดินเรือจำนวน 3 ตัวเสากระโดงติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X ระยะตรวจจับไกลสุด 100 กิโลเมตร ระบบควบคุมการยิงใช้ออปโทรนิกส์ EOS 500 ท้ายเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Nexter Narwhal ขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก

รัฐมนตรีโจนาธารใจดีซื้อ Nexter Narwhal มาติดตั้งบนเรือ Batch 1 ทั้งสองลำ ส่งผลให้บริษัท Nexter ขายปืนกลอัตโนมัติขนาด 20 มม.ให้ไทยได้มากถึง 8+6-3=11 กระบอก บวกแถมให้อีก 3 กระบอก

การมาของ Nexter Narwhal ส่งผลให้ DS30M Mark 2 ขายไม่ออกแม้แต่กระบอกเดียว

การติดตั้งอาวุธปืนหลักประสบปัญหาสำคัญ ปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ของใหม่ราคาแพงสู้ไม่ไหว ปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact มือสองสภาพดีหาไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องซื้อปืนรุ่นใหม่มาใช้งาน บริษัท SAAB เสนอปืนใหญ่ 76 มม.สร้างโดยเกาหลีใต้ แต่นายกพีต้าและรัฐมนตรีโจนาธารไม่เห็นด้วยทันที เหตุผลก็คือไทยซื้อเครื่องบินจากเกาหลีใต้ตั้ง 24 ลำแล้ว สมควรจัดหาอาวุธจากประเทศที่เรายังไม่ได้อุดหนุน

และประเทศดังกล่าวก็คืออังกฤษ ดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกที่เคยรุ่งเรืองในอดีต

ซื้อ DS30M Mark 2 มาติดบนเรือคือทางเลือกที่เหมาะสม เพียงแต่ DS30M Mark 2 ขนาดเล็กเกินไปที่จะเป็นปืนหลัก ตอนนั้นเองทีมงานรัฐมนตรีกลาโหมเสนอปืนกล Bofors 40 Mk4  ขึ้นมา บอกว่าตัวเองเคยอ่านเว็บเพจหนึ่งไม่ค่อยมีคนติดตามสักเท่าไร แอดมินเว็บเพจนี้พูดกล่อมทุกวันว่า ปืนกล 40 มม.กำลังจะกลับมา โดยเพราะรุ่น Bofors 40 Mk4  น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะใช้กระสุน 3P ปรับเปลี่ยนการโจมตีได้ถึง 6 รูปแบบ

นายกพีต้าได้ยินคำว่าสามพีรู้สึกชอบใจคล้ายชื่อตัวเอง การจัดหาปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 Mk4  เป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น เดือนตุลาคม 2026เรือหลวงสมุทรสาครกับเรือหลวงสมุทรสงครามเข้าประจำการพร้อมกัน ส่งผลให้ราชนาวีไทยมีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มขึ้นถึง 4 ลำรวมทั้งหมดเท่ากับ 8 ลำ

ซื้ออาวุธเพื่อการค้า

          แม้รัฐบาลไทยอุดหนุนปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 Mk4  ไปแล้ว 2 กระบอก แต่ยังไม่เพียงพอในการซื้อใจรัฐบาลอังกฤษเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า จำเป็นต้องซื้ออะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่และเป็นของอังกฤษแท้ๆ โครงการจัดหาเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาทันที

          เดือนมิถุนายน 2026 รัฐมนตรีโจนาธารติดต่อมายังบริษัท BMT ประเทศอังกฤษ แสดงความสนใจอยากซื้อแบบเรืออเนกประสงค์ VENARI-94 รุ่นใหม่ล่าสุดเพิ่งพัฒนาเสร็จ มาสร้างเองในประเทศโดยบริษัท SAAB กับอู่ต่อเรืออิตัลไทยมารีน การเจรจาเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่นไม่พบข้อติดขัด เพราะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษที่กลับมาคืนดีกันอีกครั้ง หลังงอนอย่างหนักจนไม่ยอมคุยด้วยตั้งแต่ฝรั่งเศสขายเรือฟริเกตให้ไทย

มีพิธีตัดแผ่นเหล็กเดือนธันวาคม 2026 พิธีปล่อยเรือลงน้ำเดือนพฤศจิกายน 2028 และเข้าประจำการราชนาวีไทยเดือนธันวาคม 2028 เรือหลวงสิงขรเข้ามารับไม้แทนเรือหลวงถลางสังกัดกองเรือทุ่นระเบิด

เรือมีระวางขับน้ำ 1,980 ตัน ยาว 94.2 เมตร กว้าง 15.3 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD เครื่องยนต์ดีเซลล้วน บริษัท BMT พัฒนาจากแบบเรือ VENARI-85 ที่เคยเสนอให้กับกองทัพเรือไทยเมื่อกาลครั้งหนึ่ง วิศวกรช่วยกันปรับปรุงแบบเรือให้มีความอเนกประสงค์มากกว่าเดิม

หัวเรือสร้างราวกันตกแบบทืบทรงสูงทำมุมเอียงขึ้น ลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ได้ดีในระดับหนึ่ง ติดปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 Mk4  จำนวน 1 กระบอกที่หัวเรือ กับปืนกล 20 มม. GAM-BO2 ของเก่าอีก 2 กระบอกบริเวณกลางเรือ สะพานเดินเรือตีโป่งออกจากสองกราบเรือเล็กน้อย ติดตั้งระบบอำนวยการรบ 9LV Mk4 มีเรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะใกล้ Sea Giraffe 1X จำนวน 1 ตัว และออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง EOS500 อีก 1 ตัว และมีโซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิด SA9520 MOAS บริษัท KONGSBERG ใต้ท้องเรือ

สองกราบเรือมีเรือยางท้องแข็งขนาด 7 เมตรจำนวน 2 ลำ ลานจอดรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน เพิ่มโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 5  ตันเข้ามาระหว่างปล่อยระบายความร้อน จอด Super Lynx 300 หรือ Wildcat ได้อย่างเหมาะเหม็ง ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์มีพื้นที่อเนกประสงค์ยาว 41.5 เมตร กว้าง 14.8 เมตร พร้อมเครนขนาด 10 ตันที่กราบขวาหลังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ติดรางปล่อยทุ่นระเบิดได้มากสุดถึง 4 ราง บรรทุกทุ่นระเบิดได้มากสุด 180 ลูก ทำภารกิจวางทุ่นระเบิดแล้วแล่นเรือกลับได้อย่างรวดเร็ว

ใต้ดาดฟ้าเรือบริเวณท้ายเรืออันเป็นพื้นที่บรรทุกทุ่นระเบิด มีพื้นที่ว่างปรกติที่โดยปรกติใช้เป็นจุดผูกเชือกเรือ สามารถปรับปรุงเป็นพื้นที่บรรทุกทุ่นระเบิดปราบเรือดำน้ำเพิ่มเติมได้ประมาณ 40 ลูก

เรือหลวงสิงขรสลับมาทำภารกิจปราบทุ่นระเบิดได้เช่นกัน โดยการติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์จำนวน 2 ตู้ใต้ลานจอด มีพื้นที่ว่างสำหรับอุปกรณ์ใต้น้ำจำนวนมหาศาล โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ใช้เป็นห้องทำงานแบบชั่วคราวได้อย่างสบาย อนาคตหากมีการจัดหายานผิวน้ำไร้คนขับปราบทุ่นระเบิดขนาดไม่เกิน 13 เมตร สามารถบรรทุกบนเรือได้ 1 ลำบริเวณกราบซ้าย ถ้าต้องการบรรทุก 2 ลำให้ถอดเครนขนาด 10 ตันออกเสียก่อน

เรือหลวงสิงขรทำภารกิจเรือพี่เลี้ยงเรือกวาดทุ่นระเบิดได้ ทำภารกิจเรือพี่เลี้ยงเรือดำน้ำได้ ทำภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยกลางทะเลได้ ทำภารกิจอพยพผู้ประสบภัยหรือพลเรือนได้ ทำภาจกิจลำเลียงทหารได้ ใช้เป็นจุดจอดกลางทะเลเพื่อเติมเชื้อเพลิงให้กับเฮลิคอปเตอร์กองทัพเรือได้ทุกรุ่น

เรืออเนกประสงค์ลำนี้เข้ามาเติมเต็มความต้องการกองเรือทุ่นระเบิดและกองทัพเรือ

บทสรุป

          หลังการจัดซื้อเรือหลวงสิงขรซึ่งเป็นโครงการสุดท้าย ภาพรวมกองเรือที่ถูกปรับปรุงใหม่ในปี 2035 เป็นไปตามภาพประกอบ

          -แถวบนสุดคือเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 4 ลำ แบ่งเป็นเรือชั้น DW3000F จำนวน 1 ลำกับเรือชั้น FDI จำนวน 3 ลำ ยิง ESSM ได้ มีโซนาร์ลากท้ายทุกลำ เป็นเรือรบแถวแรกสำคัญที่สุดประสิทธิภาพสูงสุด

          -แถวสองคือเรือฟริเกตชั้นเรือหลวงนเรศวรจำนวน 2 ลำ ยิง ESSM ได้ ไม่มีโซนาร์ลากท้าย กับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงชั้น Freedom จำนวน 2 ลำ ยิง Mistal 3 ได้ มี NSM ถึง 8 นัด เป็นเรือรบแถวสองทำการรบจริงได้ทุกลำ

          -แถวสามคือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้นปัตตานีจำนวน 4 ลำแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย

          -แถวสี่คือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 2 จำนวน 2 ลำ เรือเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์จำนวน 1 ลำ ส่วนลำสุดท้ายที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง คือโครงการเรือฟริเกตทดแทนเรือฟริเกตชั้นเรือหลวงนเรศวร ซึ่งจะเริ่มต้นโครงการในปี 2040 เข้าประจำการปี 2045 ทดแทนเรือเดิม

          ผู้เขียนขอจบบทความ What If ประจำปีนี้ไว้เพียงเท่านี้ ไม่มีภาพประกอบแล้วไม่มีเวลาทำแล้วด้วย นายกพีต้ากับรัฐมนตรีโจนาธารจะมาพบทุกคนอีกครั้งในช่วงเวลาที่เหมาะสม

                    +++++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

          http://www.shipbucket.com

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น