บทความยาวบทความสุดท้ายประจำปี 2567 ค่อนข้างพิเศษ ผู้เขียนขอย้อนเวลากลับไปยังโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในประเทศลำแรก
โครงการนี้มีเรื่องราวน่าสนใจมากมายที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสรับรู้ เรื่องราวซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารถึงทุกคนก็คือ
‘เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งออกแบบโดยกรมอู่ทหารเรือ’
จุดเริ่มต้นโครงการ
ปลายปี 2549 ผู้บัญชาการทหารเรือโทรศัพท์สอบถามเจ้ากรมอู่ทหารเรือว่า
กรมอู่ทหารเรือสามารถสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้หรือไม่ หลังได้รับคำยืนยันว่าทำได้มีการสนทนารายละเอียดทั่วไปเล็กน้อย
ก่อนที่ผู้บัญชาการทหารเรือจะพูดปิดประเด็นให้ฝ่ายอำนวยการติดต่อกลับมาเพื่อขอประสานงาน
ต่อมาไม่นานกรมอู่ทหารเรือได้รับข้อมูลเรื่องคุณลักษณะเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
ผู้เกี่ยวข้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์และคำนวณการออกแบบในระดับหลักการ รวมทั้งปรับปรุงแบบเรือตามความต้องการซึ่งทยอยเพิ่มเติมเข้ามา
กระทั่งพอมองเห็นภาพจึงเริ่มเดินหน้าโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ลำใหญ่ที่สุดเท่าที่กรมอู่ทหารเรือเคยทำ
หัวหน้าคณะทำงานให้ความสนใจเรือชั้น SIGMA
9113 ของบริษัท Schelde Naval Shipbuilding ประเทศเนเธอร์แลนด์
และเรือชั้น Meko 100 ของบริษัท Thyssen Krupp Marine ประเทศเยอรมันค่อนข้างมาก โดยจะขอซื้อแบบเรือที่ได้จากการออกแบบเบื้องต้นหรือ
Basic Design จากบริษัทที่กองทัพเรือคัดเลือก นำมาให้นักออกแบบกรมอู่ทหารเรือจัดการรายละเอียดทั้งหมด
วิธีนี้จะช่วยให้นักออกแบบกรมอู่ทหารเรือได้รับประสบการณ์มากขึ้น
โดยใช้เวลาทำงานแบบเต็มตัวหรือ Full Time Designing ประมาณ 1
ปี
ปัญหาสำคัญ
อุปสรรคชิ้นใหญ่ส่งผลกระทบต่อคณะทำงานก็คือ
โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งยังไม่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงกลาโหม ขาดความชัดเจนเรื่องกองทัพเรือจะเริ่มต้นเดินหน้าโครงการตอนไหน ส่งผลให้การทำงานทั้งหมดเป็นไปอย่างตะกุกตะกัก
วันหนึ่งเจ้ากรมอู่ทหารเรือได้รับแจ้งข้อมูลสำคัญว่า
กองทัพเรือเสนอให้โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 84
พรรษา ดังนั้นเรือต้องเสร็จเรียบร้อยในปี 2554 เพื่อให้กองทัพเรือนำขึ้นน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายภายในเดือนธันวาคม
2554
ปัญหาสำคัญของวิธีซื้อแบบเรือเบื้องต้นจากบริษัทเอกชนก็คือ
นอกจากกรมอู่ทหารเรือจะต้องออกแบบเรือทั้งลำให้ตรงตามความต้องการ
ระยะเวลาในการสร้างตัวเรือหรือ Hull Structure ก็มีมากถึง 2 ปี 9 เดือน โอกาสที่เรือจะสร้างเสร็จทันเดือนธันวาคม
2554 เป็นไปอย่างฉิวเฉียด และมีแนวโน้มว่าโครงการอาจล้มเหลวไปไม่ถึงฝั่งฝัน
กรมอู่ทหารเรือจึงเสนอทางเลือกใหม่จำนวน 2 วิธีในการสร้างเรือประกอบไปด้วย
1.กรมอู่ทหารเรือจะจัดทำแบบเบื้องต้นหรือ
Preliminary Design ก่อนส่งมอบให้ผู้รับจ้างจัดทำแบบรายละเอียดหรือ
Construction Drawings จนเสร็จสมบูรณ์ ส่วนพัสดุสำหรับการสร้างเรือให้ผู้รับจ้างเป็นผู้ดำเนินการ
2.กองทัพเรือเลือกแบบเรือเสร็จสมบูรณ์จากบริษัทเอกชน
ส่วนพัสดุสำหรับสร้างเรือจัดหาโดยเจ้าหน้าที่กองทัพเรือ
เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีกองทัพเรือเลือกวิธีที่
1
กรมอู่ทหารเรือเดินหน้าทำแบบเบื้องต้นให้เสร็จเรียบร้อย กระทั่งได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งตามภาพประกอบที่หนึ่ง
และพร้อมส่งมอบให้ผู้รับจ้างจัดทำแบบรายละเอียดเพื่อสร้างเรือลำจริง
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสร้างโดยคนไทยมีความยาว
72
เมตร กว้างประมาณ 9.7 เมตร กินน้ำลึกสุดประมาณ
3.3 เมตร รูปทรงโดยรวมมีความคล้ายคลึงเรือชั้น SIGMA
9113 โดยความตั้งใจ ตัวเรือมีคุณลักษณะลดการตรวจจับด้วยคลื่นเรดาร์ในระดับหนึ่ง
ความสวยงามผู้เขียนให้คะแนนสิบเต็มสิบโดยไม่ต้องคิดมาก
หัวเรือค่อนข้างสูงใช้ราวกันตกแบบทึบเพิ่มความแข็งแกร่ง
ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.เป็นปืนหลัก สะพานเดินเรือรูปทรงหกเหลี่ยมมาพร้อมเสากระโดงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
มีจุดติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ เรดาร์เดินเรือ และเรดาร์ควบคุมการยิง
พื้นที่ว่างกลางเรือคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 นัด ข้างปล่องระบายความร้อนขนาดใหญ่คือจุดติดตั้งแท่นยิงเป้าลวง
ถัดไปเล็กน้อยคือจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.ปิดท้ายด้วยลานจอดเฮลิคอปเตอร์น้ำหนักไม่เกิน 7 ตัน
สังเกตนะครับเรือลำนี้มีเรือยางท้องแข็งเพียง
1
ลำที่กราบขวา น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์ทั่วน่านน้ำไทย
เหตุผลที่เป็นไปได้ก็คือคนออกแบบจงใจใส่เรือเพียงลำเดียว
หรือใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์มีจุดจอดเรือยางท้องแข็งขนาดใหญ่อีก 1 ลำ ส่วนตัวผู้เขียนให้น้ำหนักเหตุผลข้อที่หนึ่งมากกว่า
ผู้อ่านเดาถูกหรือเปล่าว่า…เรือลำนี้มีต้นกำเนิดจากเรือประเทศไหน?
คำใบ้อยู่ที่ปล่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ยักษ์
คิดว่าเดากันถูกทุกคนนะครับ แต่ถ้าไม่ถูก…ผู้เขียนจะช่วยอธิบาย
ที่มาของเรือ
การออกแบบเบื้องต้นจะนำข้อมูลเรื่องเรือถูกนำไปใช้ในภารกิจอะไรเป็นหลัก
ซึ่งจะทำให้ทราบจำนวนกำลังพล จำนวนวันที่เรือต้องออกทะเล รวมทั้งลักษณะการทำงานของเครื่องจักรใหญ่
มาประมวลผลก่อนออกแบบเรือให้ตรงตามความต้องการ บังเอิญช่วงนั้นกองทัพเรือมีโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงหัวหินจำนวน
3
ลำ เรือชุดนี้กรมอู่ทหารเรือเป็นผู้ออกแบบก่อนส่งข้อมูลไปทำ Model
Test ที่สถาบัน WUXI ประเทศจีน คณะทำงานจึงตัดสินใจนำเรือหลวงหัวหินมาขยายความยาวเพิ่มขึ้น
15 เปอร์เซ็นต์หรือ 12 เมตร กลายเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำแรกสร้างโดยฝีมือคนไทย
ผู้เขียนขอสรุปง่ายๆ แต่เข้าใจค่อนข้างยากให้ตรงกันตามนี้
-เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด
72 เมตร ถูกปรับปรุงจากเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงหัวหิน
-เรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงหัวหิน
ถูกปรับปรุงจากเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ
-เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ
ถูกปรับปรุงจากเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Province
ของบริษัทวอสเปอร์ ธอร์นิครอพท์ประเทศอังกฤษ
แม้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 72
เมตรจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายเรือเนเธอร์แลนด์ ทว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงมาจากเรือประเทศอังกฤษเมืองผู้ดี
ภาพประกอบที่สองเป็นการเปรียบเทียบของใหม่กับของเก่า
กรมอู่ทหารเรือนำเรือหลวงหัวหินมาขยายความยาว 12 เมตร
สร้างหัวเรือให้สูงขึ้นเหมาะสมกับการเผชิญหน้าคลื่นลมแรง สร้างจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบหลังเสากระโดง
และสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือด้วยตัวเอง โดยนำโครงสร้างดาดฟ้าเรือหลวงจักรีนฤเบศรมาศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ก่อนย่อขนาดให้เล็กลงแต่รักษาอัตราส่วนความยาวต่อความกว้างให้คงที่
นำมาใช้เป็นโครงสร้างดาดฟ้าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้โดยไม่ขัดเขิน
ความเห็นส่วนตัว :
กรมอู่ทหารเรือทำดีที่สุดเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้
นี่คือจุดสุดยอดของเรือตระกูล Province ไม่สามารถไปต่อได้มากกว่านี้ ในอนาคตถ้ามีการทำแบบรายละเอียดหรือ Construction
Drawings และสร้างเรือเข้าประจำการจริง
จะเป็นเรือที่ผู้เขียนภูมิใจมากที่สุดติดอันดับหนึ่งในสามตลอดกาล
ผู้ถูกคัดเลือก
เนื่องจากระยะเวลาในการส่งมอบเรือค่อนข้างกระชั้นชิด
คณะกรรมการตัดสินใจเลือกวิธีที่ 2 คือเลือกแบบเรือเสร็จสมบูรณ์จากบริษัทเอกชน
กำหนดให้เป็นเรือแบบ Well Proven หรือเคยสร้างใช้งานมาแล้ว โดยต้องส่งผลการทดสอบ
Model Test ของเรือมาพร้อมเอกสารเสนอราคา วิธีนี้จะใช้เวลาน้อยกว่าวิธีที่
1 ซึ่งการทำงานมีเรื่องจุกจิกมากกว่า
การประกวดราคาแบบเรือต้องทำถึง 3 ครั้งกว่าจะได้ผู้ชนะเลิศ ปรากฏว่าบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดซึ่งใช้แบบดัดแปลงจากเรือชั้น
River ของบริษัท BVT Surface Fleet ผ่านการคัดเลือกได้รับการเซ็นสัญญาตามภาพประกอบที่สาม
และด้วยเหตุผลนี้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 72 เมตรของกรมอู่ทหารเรือจึงไม่ได้ไปต่อ
มีเพียงแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design
ซึ่งยังไม่ผ่านการทำ Model Test
แบบเรือในวันนี้
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างปี
2550
หรือผ่านมาแล้ว 17 ปี
ถ้าวันนี้ผู้บัญชาการทหารเรืออยากนำแบบเรือกลับมาใช้งาน
กรมอู่ทหารเรือต้องปรับปรุงแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design ให้กลายเป็นแบบรายละเอียดหรือ Construction Drawings แล้วส่งข้อมูลไปทำ Model Test ที่สถาบัน WUXI
ประเทศจีนหรือที่ไหนก็ได้ การทำงานจนแล้วเสร็จน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1
ปีบวกลบ 1 เดือน
แบบเรือที่เสร็จสมบูรณ์กรมอู่ทหารเรือได้รับลิขสิทธิ์เต็มตัว
กองทัพเรือนำแบบเรือไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร ส่วนขั้นตอนการสร้างเรือให้บริษัทเอกชนจัดการแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ
กองทัพเรือแค่รับมอบเรือมาใช้งานเท่านั้นก็พอ
เราสามารถนำแบบเรือลำนี้ไปทำอะไรได้บ้าง
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสัก 4 เรื่อง
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
เรือได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยกว่าเดิมตามภาพประกอบที่สี่
โดยการติดตั้ง Bulbous Bow ที่หัวเรือช่วยลดแรงกระแทกจากคลื่น
มีทุกอย่างเหมือนเรือชั้นเรือหลวงปัตตานีหลังการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งาน แต่ติดอาวุธมากกว่าและทันสมัยกว่าสมความตั้งใจกองทัพเรือประกอบไปด้วย
หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ข้างสะพานเดินเรือคือปืนกลขนาด 12.7 มม.รุ่น M2 จำนวน 2 กระบอก
กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน
4 นัด หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30
มม.รุ่น Sentinel 30 จำนวน
1 กระบอก
ระบบตรวจจับบนเรือประกอบไปด้วย
ระบบอำนวยการรบ CATIZ เรดาร์ตรวจการณ์ 3
มิติ Sea Giraffe 1X เรดาร์ควบคุมการยิง
STIR 1.2 Mk2
(ย้ายมาติดบนหลังคาสะพานเดินเรือ) เรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว
กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS ระบบดาต้าลิงก์ Link
Y Mk2 ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ Vigile 100
Mk2 และแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12 ท่อยิงรุ่น
SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง
ข้อเสียของเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำนี้ก็คือขนาดเล็กเกินไป
ทหารเรืออาจไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งานเพราะเรือก็คือเรือ แต่บรรดามิตรรักแฟนเพลงจะบอกว่าไม่เหมาะสมอย่างโน้นอย่างนี้
ถ้าดันทุรังสร้างเข้าประจำการอาจทำให้เกิดโน่นนุ่นนี่นั่นแน่
ข้อดีของเรือลำนี้ก็คือขนาดเรือและแบบเรือ
เราไม่ต้องจ่ายค่าแบบเรือให้กับบริษัทเอกชนเหมือนเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์
ราคาสร้างเรือย่อมถูกกว่าเดิมมากไปกันใหญ่ และด้วยความยาว 72
เมตรบริษัทเอกชนทุกแห่งสร้างเรือลำนี้ได้อย่างสบาย
กองทัพเรือแบ่งให้บริษัทมาร์ซันกับเอเชียนมารีน เซอร์วิส สร้างเรือบริษัทละ 1 ลำพร้อมกันก็ยังได้ ภายใน 4 ปีกองทัพเรือจะได้รับมอบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งพัฒนาโดยฝีมือคนไทยพร้อมกันจำนวน
2 ลำ
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเป็นทางเลือกที่ดี…แต่ยังไม่ดีที่สุดและเหมาะสมมากที่สุด
เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์
ทางเลือกที่ดีที่สุดและเหมาะสมมากที่สุดก็คือ
โครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์หรือเรือตรวจการณ์ขนาดปานกลาง ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ขนาดปานกลางราชนาวีไทยลดจำนวนลงจาก
10
ลำเหลือ 8 ลำ และมีแนวโน้มจะลดเหลือ 4 ลำภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
แบบเรือพัฒนาโดยกรมอู่ทหารเรือจะเข้ามาอุดช่องว่างตามภาพประกอบที่ห้า
การติดตั้งอาวุธและเรดาร์ลดลงจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
หัวเรือเปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จากบริษัท
Hundai WIA ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีอัตรายิง 100 นัดต่อนาที (ราคาถูกกว่า OTO 76/62 Super
Rapid พอสมควร) ส่วนปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอกกับปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอกถอดออกมาจากเรือเก่า
ซ่อมคืนสภาพให้พร้อมใช้งานแล้วนำมาติดตั้งบนเรือใหม่
ส่วนจุดติดอาวุธหลังปล่องระบายความร้อนปล่อยว่างไปก่อน อนาคตภายภาคหน้าหากมีงบประมาณมากพอค่อยว่ากันอีกที
เรือใช้ระบบอำนวยการรบ CATIZ มีเรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง
Mirador จำนวน 1 ตัว และกล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์
D CoMPASS อีก 1 ตัว ลานจอดเฮลิคอปเตอร์วางตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด
20 ฟุตจำนวน 2 ใบได้
โดยใช้เครนเรือยางท้องแข็งในการยกยานใต้น้ำชนิดต่างๆ ขึ้น/ลงจากผิวน้ำ
เหมาะสมกับการทำภารกิจเสริมอาทิเช่นปราบทุ่นระเบิดหรือสำรวจอุทกศาสตร์
โครงการนี้สร้างเรือเฟสละ 2
ลำโดยใช้บริษัทเอกชนจำนวน 2 แห่งได้ ยกเว้นกรณีมีงบประมาณมากเพียงพอจึงสร้างเฟสละ
3 ลำ สร้างไปเรื่อยๆ เมื่อยเราก็พักไม่ต้องคิดอะไรมาก
ในเมื่อแบบเรือเป็นของกรมอู่ทหารเรือจึงไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
ราคาอาจแพงกว่าเรือตรวจการณ์ขนาด 60 เมตรนิดหน่อย
แต่มีความอเนกประสงค์มากกว่าและมีอนาคตที่ดีกว่า
ที่สำคัญต้องไม่จ่ายเงินค่าแบบเรือให้กับบริษัทเอกชนช่วยประหยัดงบประมาณกองทัพเรือ
เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ
ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุอายุมากกว่า
30
ปี ฉะนั้นภายในไม่เกิน 10 ปีต้องมีการจัดหาเรือตรวจการณ์รุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน
เราก็แค่ต่อยอดจากโครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ให้กลายเป็นภาพประกอบที่หก
โดยการติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X และระบบดาต้าลิงก์ Link Y Mk2 เพิ่มเติมเข้ามา แล้วนำปืนกลอัตโนมัติ DS3OM Mk2 จากเรือเก่ามาติดตั้งหลังปล่องระบายความร้อน
ช่วยประหยัดงบประมาณเรื่องการจัดซื้ออาวุธได้ประมาณ 132 ล้านบาท
ระบบปราบเรือดำน้ำที่ติดตั้งเพิ่มเติมประกอบไปด้วย
โซนาร์หัวเรือ HUMSA HMS-X จากอินเดีย
แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Shyena ขนาดสามท่อยิงจำนวน 2
แท่นยิง จากอินเดียเช่นเดียวกัน และแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดขนาด 6 ท่อยิงรุ่น Mk137 จำนวน 2 แท่นยิง
เนื่องจากเรือต้องทำงานร่วมกับอากาศยานไร้คนขับปราบเรือดำน้ำรุ่น MQ-8C
Fire Scout จากสหรัฐอเมริกา จำเป็นต้องติดตั้งจานรับสัญญาณเพิ่มหน้าปล่องระบายความร้อน
นี่คือออปชันเสริมที่ผู้เขียนเพิ่มเติมเข้ามาและคาดหวังว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นจริงเข้าสักวัน
เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขนาด 72 เมตรถือว่ากำลังเหมาะสม
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นส่งออก
ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ขนาด 60
เมตรขึ้นไปมักถือเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง โดยที่เรือต้องบรรทุกเชื้อเพลิง
อาหาร และน้ำดื่มมากเพียงพอในการออกทะเลมากกว่าเรือตรวจการณ์รุ่นเก่า เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาดเล็กได้รับความนิยมไม่แตกต่างจากเรือขนาดใหญ่
โดยเฉพาะประเทศน้อยใหญ่ในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง รวมทั้งเอเชียกลาง
ถ้ากรมอู่ทหารเรือจับมือกับบริษัทเอกชนอาทิเช่นมาร์ซันหรือเอเชียนมารีน
เซอร์วิส ผลึกกำลังเป็นดิ อเวนเจอร์ไล่ล่าลูกค้าซึ่งต้องการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาดไม่ใหญ่เกินไป
ราคาไม่แพงเกินไป มีรูปทรงทันสมัยสวยงาม ติดตั้งอาวุธได้มากกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งทั่วไป
อุตสาหกรรมสร้างเรือในประเทศไทยอาจโชติช่วงชัชวาลมากกว่านี้ก็เป็นได้
ภาพประกอบที่เจ็ดคือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งที่บริษัทมาร์ซันนำเสนอให้กับกองทัพเรือเติร์กเมนิสถาน
โดยจ่ายเงินค่าแบบเรือให้กับกรมอู่ทหารเรือตามสมควร
หัวเรือติดปืนกลอัตโนมัติขนาด 40
มม.ลำกล้องแฝดรุ่น OTO DARDO ถัดไปเล็กน้อยคือแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan
ขนาด 6 ท่อยิง ทำงานร่วมกับโซนาร์ Simrad SP92MKII ข้างปล่องระบายความร้อนติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด
12.7 มม.รุ่น STAMP จำนวน 2 กระบอก
หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้น Spike NLOS ขนาด 8 ท่อยิง
ระบบอำนวยการรบและระบบเรดาร์ยกมาจากประเทศทูร์เคีย ตามความต้องการกองทัพเรือเติร์กเมนิสถานซึ่งเป็นเจ้าของเรือตัวจริง
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นส่งออกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ค่อนข้างเหมาะสม
บทสรุป
กรมอู่ทหารเรือเคยออกแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำแรกของประเทศไทย
และน่าจะเป็นลำสุดท้ายเนื่องจากแนวคิดเปลี่ยนแปลงไป กองทัพเรือสร้างเรือเองประสบปัญหาเยอะแยะมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบเรือค่อนข้างล่าช้า ไม่มีสถานที่สร้างเรือขนาดใหญ่ที่เหมาะสม
หรือเรื่องปวดหัวกับบรรดาลูกจ้างซึ่งมีร้อยพ่อพันแม่
ปัจจุบันกองทัพเรือต้องการสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างเรือในประเทศมากกว่าเดิม
อนาคตเราอาจเห็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสัญชาติไทยเชื้อชาติเยอรมันหรือเนเธอร์แลนด์
แต่จะไม่มีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งออกแบบโดยกรมอู่ทหารเรืออีกต่อไป
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 72
เมตรลำนี้จึงเปรียบได้กับอดีตอันหอมหวานที่ไม่อาจหวนคืน
อ้างอิงจาก
นาวิกศาสตร์
ปีที่ 99 เล่มที่ 6 เดือนมิถุนายน 2559
http://www.theopv.com/index.php ปัจจุบันเข้าไม่ได้แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น