ปีงบประมาณ 2569
กองทัพเรือต้องการจัดซื้อเรือฟริเกตจำนวน 2 ลำในวงเงิน
35,000 ล้านบาท หรือลำละ 17,500 ล้านบาท
เหตุผลก็คือราชนาวีไทยมีเรือฟริเกตติดอาวุธครบ 3 มิติเพียง 3
ลำ ส่วนเรือคอร์เวตติดอาวุธครบ 3 มิติอีก 1
ลำอายุค่อนข้างมากใกล้ปลดประจำการ กำหนดให้เรือฟริเกตทุกลำสร้างเองในประเทศโดยอู่ต่อเรือเอกชน
ผลกระทบจากเมกะโพรเจกต์ส่งผลกระทบต่องบประมาณประจำปี
โครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำเป็นต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
แต่ถึงกระนั้นเจ้ากรมอู่ทหารเรือกลับไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
เขามีคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องออกแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งราคาประหยัด
โดยนำเรือหลวงปัตตานีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดแรกที่จัดซื้อจากประเทศจีนมาปรับปรุงทั้งลำ
เพื่อลบจุดอ่อนทั้งหมด พัฒนาแบบเรือให้สมบูรณ์แบบ
และมีความเหมาะสมกับการรบในอนาคตซึ่งมีความแตกต่างไปจากเดิม
เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องใช้เวลา
11
เดือนในการออกแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่สองของอู่ทหารเรือ
ก่อนส่งแบบเรือให้เจ้ากรมส่งต่อไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสัญชาติไทยเชื้อชาติจีนมีรายละเอียดดังนี้
เรือต้นแบบ
ภาพประกอบที่หนึ่งคือเรือต้นแบบของโครงการ
ติดตั้งระบบอาวุธและเรดาร์เหมือนเรือชั้นเรือหลวงปัตตานี
เพื่อให้ผู้บัญชาการกองทัพเรือพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดซื้อ
มีการตั้งชื่อชั้นเรือว่าเรือหลวงชุมพรเป็นการชั่วคราว หากมีการสร้างจริงอาจเปลี่ยนชื่อเรือในภายหลังตามความเหมาะสม
รูปทรงโดยรวมคล้ายดีไซน์เรือจากยุค 90
ตอนต้น อาจไม่ทันสมัยเหมือนเรือตรวจการณ์ไกลฝังรุ่นใหม่ เพราะผู้ออกแบบเน้นความประหยัดเพื่อให้การสร้างเรือใช้เงินน้อยที่สุด
เรือแบ่งเป็นสามส่วนประกอบไปด้วย สะพานเดินเรือ ปล่องระบายความร้อน
และโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ กรมอู่ทหารเรือออกแบบเรือเหมือนเรือหลวงปัตตานีตลอดทั้งลำ จนได้รับชื่อเล่นเรียกกันเองว่า
‘ปัตตานีน้อยกลอยใจ’
แม้ในความเป็นจริงเรือได้รับการปรับปรุงข้อบกพร่องตั้งแต่หัวเรือจรดท้ายเรือ
เรือหลวงชุมพรมีระวางขับน้ำเต็มที่ 1,528
ตัน ยาว 86.5 เมตร กว้าง 12.8 เมตร กินน้ำลึก 3.2 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD
เครื่องยนต์ดีเซล MAN จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 23 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,500
ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต ออกทะเลนานสุด 21
วัน กำลังพลประจำเรือ 80 นาย
ระบบอาวุธประจำเรือมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เนื่องจากปืนใหญ่ OTO
76/62 Super Rapid ราคามากกว่า 400 ล้านบาทแพงเกินมือเอื้อม ผู้เกี่ยวข้องจึงแนะนำให้ใช้งานปืนใหญ่ขนาด
76/62 มม.จากบริษัท Hundai WIA ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีอัตรายิง
100 นัดต่อนาที ประสิทธิภาพเทียบเท่าปืนใหญ่ OTO 76/62 IROF บนเรือหลวงรัตนโกสินทร์
ส่วนปืนรองเป็นปืนกลขนาด 20 มม.รุ่น GI-2
จำนวน 2 กระบอก กับปืนกลขนาด 12.7 มม.รุ่น M2 ยอดนิยมอีก 2
กระบอก
ระบบเรดาร์บนเรือประกอบไปด้วย ระบบอำนวยการรบ
CATIZ
จากบริษัท Navantia เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X จากบริษัท
Saab เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 Mk2 จากบริษัท Thales ระบบดาต้าลิงก์ Link Y Mk2 จากบริษัท Thales นอกจากนี้ยังมีเรดาร์เดินเรือ Furuno
จำนวน 3 ตัว กับกล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D
CoMPASS อีก 1 ตัวตามมาตรฐานเรือรบลูกประดู่ไทย
กระทบไหล่เรือจีน
ภาพประกอบที่สองภาพบนคือเรือหลวงปัตตานีหลังการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งาน
เรือมีความยาว 95.5 เมตร กว้าง 11.8 เมตร กินน้ำลึก 3.3 เมตร นำมาเปรียบเทียบกับเรือหลวงชุมพรภาพล่างผลปรากฏว่า
เรือหลวงชุมพรสั้นกว่า 9 เมตรแต่กว้างกว่า 1 เมตร กินน้ำลึกน้อยกว่า 0.1 เมตร เท่ากับว่าเรือมีรูปทรงเรือรบยุคใหม่มากกว่าเดิม
ความสูงหัวเรือใกล้เคียงกันมากจนถือว่าไม่แตกต่าง
สะพานเดินเรือเรือหลวงชุมพรเตี้ยกว่าประมาณ 1 เมตร
(วัดจากดาดฟ้าเรือชั้นล่าง) จุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบหายไป ปล่องระบายความร้อนเรือหลวงชุมพรใหญ่กว่านิดหน่อย
โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ความยาวเท่ากัน ลานจอดเฮลิคอปเตอร์เรือหลวงชุมพรยาวกว่าเล็กน้อยและเตี้ยกว่าประมาณ
1.5 เมตร (วัดจากระดับน้ำทะเล) ไม่เจาะช่องสำหรับผูกเชือกเรือในดาดฟ้าเรือชั้นล่าง
ท้ายเรือจึงปิดสนิทน้ำทะเลไม่อาจซัดสาดทะลุเข้าสู่ด้านใน ส่วนจุดผูกเชือกเรือย้ายไปอยู่ข้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์เหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
ระบบอาวุธและเรดาร์เรือสองลำเหมือนกันเกือบทั้งหมด
ยกเว้นแค่เพียงเรือหลวงชุมพรเปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่ขนาด 76/62
มม.จากเกาหลีใต้ กับยังไม่ได้ติดตั้งระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์
Vigile 100 Mk2 จากบริษัท Thales
มาตรวจสอบรูปร่างใต้น้ำของเรือหรือที่เรียกว่า
Hull Form กันบ้าง เรือหลวงชุมพรติดตั้ง Bulbous Bow ที่หัวเรือช่วยลดแรงกระแทกจากคลื่น และใช้ครีบลดอาการโคลงรุ่นเดียวกับเรือฟริเกต
Meko A-100 ประเทศเยอรมัน ผลจากการปรับปรุงทั้งลำส่งผลให้เรือทรงตัวดีขึ้น
อาการโคลงเพราะคลื่นลูกใหญ่ลดลง ลูกเรือใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กินอาหารหรือนอนหลับพักผ่อนได้ตามปรกติ
การทำภารกิจย่อมดีกว่ากันไปด้วย
ภารกิจปราบเรือผิวน้ำ/โจมตีชายฝั่ง
นอกจากใช้ลาดตระเวนตรวจการณ์ตามปรกติ เจ้ากรมอู่ทหารเรือยังต้องการให้เรือหลวงชุมพรทำภารกิจอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เกี่ยวข้องจึงออกแบบให้หลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์แข็งแรงกว่าเรือหลวงปัตตานี
รองรับการติดตั้งอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยชนิดต่างๆ น้ำหนักรวมไม่เกิน 4
ตัน รวมทั้งมีการสร้าง Superstructure ยาว 3.2 เมตร กว้าง 4.2 เมตร สูง 1.7 เมตรเหนือห้องพักลูกเรือที่อยู่ติดโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์
ด้านบนเป็นจุดติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิงตัวที่สองหรือเสารับสัญญาณดาวเทียมทางทหารขนาดใหญ่
ส่วนด้านล่างเป็นห้องเก็บอาวุธติดแอร์พร้อมฉนวนป้องกันความร้อน
สำหรับภารกิจปราบเรือผิวน้ำ/โจมตีชายฝั่งต่อเป้าหมายขนาดเล็กถึงปานกลาง เรือหลวงชุมพรติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้น Spike NLOS
ระยะยิงไกลสุด 32 กิโลเมตรจำนวน 8 ท่อยิง
มาพร้อมระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ Vigile 100 Mk2 จากบริษัท Thales และแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12
ท่อยิงรุ่น SKWS DL-12T
อีก 2 แท่นยิง ตามภาพประกอบที่สาม
การปรับปรุงช่วยเสริมอำนาจการยิงมากขึ้นกว่าเดิม
Spike
NLOS นัดละ 7.7 ล้านบาทยิงได้ทั้งเรือผิวน้ำทุกชนิด
ยานผิวน้ำไร้คนขับทุกชนิด ยานกึ่งดำน้ำไร้คนขับทุกชนิด เป้าหมายบนฝั่ง รถหุ้มเกราะ
รถถัง เฮลิคอปเตอร์ และอากาศยานไร้คนขับทุกชนิด
เข้ามาแทนที่อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon Block 2
ซึ่งมีราคานัดละ 145.3 ล้านบาทได้อย่างเต็มภาคภูมิ
โดยเฉพาะภารกิจเล็กภารกิจน้อยที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานเรือฟริเกต
และมีระบบป้องกันตัวเองแบบ Soft Kill ดีเทียบเท่าเรือฟริเกต
เวอร์ชันนี้ผู้เขียนค่อนข้างชอบเป็นพิเศษ
ภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ
(อาวุธปล่อยนำวิถี)
ปัจจุบันภัยคุกคามทางอากาศไม่ได้มีแค่เพียงเครื่องบิน
เฮลิคอปเตอร์ หรืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
อาวุธที่มาแรงแซงทุกทางโค้งคืออากาศยานไร้คนขับทุกชนิด
ซึ่งอาจโบยบินเข้ามาโจมตีจากทิศทางไหนก็ได้เวลาไหนก็ได้
จะรอพึ่งพาอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ราคาแพงก็คงไม่ทันกาล
หนำซ้ำกองทัพเรือยังจัดหามาใช้งานจำนวนจำกัด ส่วนปืนใหญ่ 76/62 มม.กับปืนกล 30 มม.มีใช้งานอย่างแพร่หลายก็จริง แต่ไม่มีระบบนำวิถีความน่าเชื่อถือไม่เต็มร้อย
บางครั้งอาจยิงถูกบางครั้งอาจยิงพลาดไปตามประสา
กรมอู่ทหารเรือจึงแนะนำให้ติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
9K38 IGLA-S ขนาด 6 ท่อยิง
โดยเลือกใช้งานแท่นยิงรุ่นเดียวกับกองทัพเรือพม่า
(พม่าซื้อจากที่ไหนเราก็ซื้อจากที่นั่น) ตามภาพประกอบที่สี่ เหตุผลที่เลือกแท่นยิงรุ่นนี้เพราะติดตั้ง
IGLA-S ได้ถึง 6 นัด
มากเพียงพอต่อการรับมือภัยคุกคามรูปใหม่จากสงครามอสมมาตร
IGLA-S สร้างโดยรัสเซียมีใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก
ใช้ระบบนำวิถีคลื่นความร้อน ระยะยิงไกลสุด 6 กิโลเมตร
มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง ราคาไม่ถูกไม่แพงกำลังเหมาะสม
หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งหรือ สอ.รฝ. มีใช้งานอยู่ก่อนแล้ว การจัดหามาติดตั้งบนเรือหลวงชุมพรจะสามารถใช้งาน IGLA-S ร่วมกันได้ระหว่างสองหน่วยงาน
ภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ
(อาวุธปืน)
ทางเลือกที่สองในการทำภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ
คือการติดตั้งแท่นยิงระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium gun ตามภาพประกอบที่ห้า ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 35
มม.อัตรายิงสูงสุด 1,000 นัดต่อนาที จะทำงานร่วมกับกระสุนฉลาด
AHEAD ซึ่งมีบรรจุพร้อมใช้งานจำนวน 252 นัดในแท่นยิง ชนวนระเบิดแตกอากาศรุ่นใหม่ทำลายเป้าหมายได้ทั้งเครื่องบิน
เฮลิคอปเตอร์ อากาศยานไร้คนขับทุกชนิด และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบที่ระยะไกลสุด
3.5 ถึง 5 กิโลเมตร โดยต้องติดตั้งออปโทรนิสก์ควบคุมการยิง
Mirador จากบริษัท Thales เพิ่มอีก 1
ตัว
การยิงสกัดเป้าหมายแต่ละครั้งจะใช้กระสุน AHEAD ประมาณ 30 นัด เท่ากับว่า Millennium gun สามารถจัดการ Harpoonsky
ได้ถึง 8 ครั้งโดยไม่ต้องเติมกระสุนเพิ่ม
เหตุผลที่กรมอู่ทหารเรือเลือกใช้งานเนื่องจากราคาอยู่ในระดับเอื้อมถึง
ปี 2015 กองทัพเรืออินโดนีเซียจัดซื้อ
Millennium gun จำนวน 2 ระบบในราคา 12 ล้านยูโร ฉะนั้น 1 ระบบจึงเท่ากับ 6 ล้านยูโรหรือ 213.8 ล้านบาท
ย้อนเวลากลับไปในปี 2013
กองทัพเรือไทยจัดซื้อ Phalanx จำนวน 1 ระบบในราคา 16 ล้านเหรียญหรือ 540.2 ล้านบาท
ฉะนั้น Phalanx จำนวน 1 ระบบมีค่าเท่ากับ Millennium gun จำนวน 2.5 ระบบ
ผู้เขียนถึงชูรักแร้สนับสนุนให้ราชนาวีไทยจัดหามาใช้งานบนเรือฟริเกตรุ่นใหม่
เหตุผลที่ Millennium gun ราคาถูกกว่า Phalanx
นั้นมีอยู่ว่า ระบบ CIWS จากเดนมาร์กจะใช้งานเรดาร์ตรวจการณ์
เรดาร์ควบคุมการยิง และออบโทรนิกส์ควบคุมการยิงบนเรือ ส่วน Phalanx ติดตั้งทุกอย่างครบถ้วนและทำงานเป็นเอกเทศ หลักการทำงานอาจแตกต่างกันชนิดหน้ามือหลังมือ
ทว่าประสิทธิภาพในการทำลายเป้าหมายไม่แตกต่างกัน
ภารกิจกวาดทุ่นระเบิด
สำหรับภารกิจนี้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งอาวุธหรือเรดาร์เพิ่มเติม
แค่นำตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20 ฟุตจำนวน
2 ใบมาวางบนลานจอดเฮลิคอปเตอร์ แล้วติดเครนแบบพับเก็บได้อีก 1
ตัวสำหรับยกยานใต้น้ำชนิดต่างๆ ขึ้น/ลงจากผิวน้ำ
โดยยังเหลือพื้นที่ว่างให้อากาศยานไร้คนขับแบบปีกหมุนบินขึ้นลงได้ตามภาพประกอบที่หก
เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเปลี่ยนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งพัฒนาโดยคนไทย
ให้กลายเป็นเรือกวาดทุ่นระเบิดอย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้งได้โดยไม่ขัดเขิน
เป็นออปชันเสริมที่กองทัพเรือทุกชาติพยายามสรรหามาใช้งาน
รวมทั้งกองทัพเรือไทยซึ่งได้ก่อตั้งชุดต่อต้านทุ่นระเบิดเคลื่อนที่เร็วหรือ Mobile
MCM Team ขึ้นมา โดยมียานล่าทำลายทุ่นระเบิดรุ่น Seafox เป็นไอเทมลับในการเผด็จศึกทุ่นระเบิดชนิดต่างๆ
Mobile MCM
Team กับเรือหลวงชุมพรจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าของกันและกัน
การปรับปรุงเรือเก่า
นอกจากเสนอแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งพัฒนาเองต่อกองทัพเรือ
เจ้ากรมอู่ทหารเรือยังได้แนะนำให้เรือหลวงปัตตานีและเรือหลวงนราธิวาส ซึ่งกำลังจะเข้ารับการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานในปี
2569
หรือ 2025 ให้ติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้น Spike NLOS ขนาด 8
ท่อยิง กับแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12 ท่อยิงรุ่น SKWS
DL-12T อีก 2 แท่นยิงตามภาพประกอบที่เจ็ด
พื้นที่ว่างหลังสะพานเดินเรือถูกนำมาใช้งานเช่นกัน
โดยการตั้งตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20
ฟุตจำนวน 1 ใบ (ตั้งขวาง) สำหรับจัดเก็บยานใต้น้ำชนิดต่างๆ
ตามความเหมาะสม โดยใช้เครนยกเรือยางท้องแข็งที่อยู่กราบซ้ายในการยกขึ้น/ลงจากผิวน้ำ เป็นการดัดแปลงเพื่อทำภารกิจเสริมโดยไม่สูญเสียพื้นที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์
การปรับปรุงจะช่วยให้เรือเรือหลวงปัตตานีและเรือหลวงนราธิวาสมีอำนาจการยิงสูงสุด
มีความอเนกประสงค์มากขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายไม่แพงเกินไปสามารถยอมรับได้
+++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น