วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Hamilton-class Cutter

 

        หลังสงครามโลกครั้งที่สองหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาขยายตัวใหญ่กว่าเดิม จากที่เคยมีเพียงเรือตรวจการณ์ลำเล็กลำน้อยคอยคุ้มครองชายฝั่ง ได้ถูกแทนที่ด้วยเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่โตกว่าเดิม ตัวเรือเป็นเหล็กเก๋งเรือเป็นอะลูมิเนียม ออกแบบให้มีความอเนกประสงค์มากกว่าเดิม มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์บริเวณท้ายเรือเพิ่มเติมความล้ำสมัย

        ทว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่ได้คาดหวังเพียงเท่านี้ เนื่องจากกองทัพเรือต้องเดินทางไปทำภารกิจนอกประเทศ บางภารกิจจำเป็นต้องใช้งานเรือขนาดใหญ่เป็นเวลานาน เพื่อลาดตระเวนตรวจการณ์ในเขตน้ำตื้นร่วมกับเรือขนาดเล็ก ไม่เหมาะสมกับเรือพิฆาตหรือเรือฟริเกตซึ่งถูกออกแบบให้ทำการรบในเขตน้ำลึก หน่วยยามฝั่งจึงขึ้นการขึ้นโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่สำหรับทำภารกิจนอกประเทศ

เรือตรวจการณ์ขนาด 378 ฟุต

        ปี 1963 บริษัท  Avondale Shipyards ได้รับสัญญาสร้างเรือตรวจการณ์ขนาด 378 ฟุตจากหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาจำนวน 12 ลำ เรือลำแรก USCGC Hamilton (WHEC-715) เข้าประจำการวันที่ 18 มีนาคม 1967 ส่วนเรือลำสุดท้าย USCGC John Midgett (WHEC-726) เข้าประจำการวันที่ 17 มีนาคม 1972 ส่งผลให้กองเรือหน่วยยามฝั่งออกปฏิบัติการทั่วโลกได้อย่างทัดเทียมกองทัพเรือ

        เรือตรวจการณ์ชั้น Hamilton มีระวางขับน้ำเต็มที่ 3,250 ตัน ยาว 116 เมตร กว้าง 13 เมตร กินน้ำลึก 4.6 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG เครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัวทำงานร่วมกับเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 29 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 14,000 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 45 วัน ใช้ลูกเรือ 167 นาย ถูกออกแบบให้เดินทางไปพร้อมเรือบรรทุกเครื่องบินเหมือนเรือฟริเกตหรือเรือพิฆาต มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่โตพอสมควรบริเวณท้ายเรือ

        ประสิทธิภาพเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่ชั้น Hamilton จากยุค 60 เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันทุกลำยังกินไม่ลง ทั้งเรื่องความเร็ว ระยะปฏิบัติการ และระยะเวลาออกทะเล เป็นของดีของเด็ดจากหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาอย่างแท้จริง

        ภาพประกอบที่หนึ่งคือเรือตรวจการณ์ USCGC Hamilton (WHEC-715) หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 5/38 นิ้ว รุ่น Mark 30 ทำงานร่วมกับเรดาร์ควบคุมการยิง Mark 56 GFCS มีปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอกข้างสะพานเดินเรือ หลังจุดรับส่งเรือเล็กติดตั้งแท่นยิงแฝดสามรุ่น Mark 32 สำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ มาพร้อมโซนาร์หัวเรือรุ่น AN/SQS-38 ประสิทธิภาพปานกลาง เท่ากับว่าเรือชั้นนี้คือเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

        ทำไมเรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งติดตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ?

        เหตุผลก็คือเรือไม่ได้อยู่เฝ้าบ้านเพียงอย่างเดียว ต้องออกมาทำภารกิจในพื้นที่ห่างไกลอาทิเช่นน่านน้ำประเทศเวียดนามใต้ แล้วในช่วงนั้นสหภาพโซเวียตมีเรือดำน้ำโจมตีดีเซล-ไฟฟ้าจำนวนมหาศาล ส่งผลให้เรือจำเป็นต้องมีอาวุธป้องกันตัวจากภัยคุกคาม

        ระบบเรดาร์บนเรือประกอบไปด้วย เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ AN/SPS-64v ที่เสากระโดงหลัก เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศ AN/SPS-29D ที่เสากระโดงรอง ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ AN/SLA-10B เสากระโดงทาสีดำสนิทตัดกับสีขาวบนตัวเรือดูน่าเกรงขามบวกงามสง่า

        ครับนี่คือเรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาในยุค 60

สงครามเวียดนาม

        ปี 1970 เรือตรวจการณ์  USCGC Sherman (WHEC-720) ถูกส่งมาประจำการในน่านน้ำประเทศเวียดนาม เพื่อขัดขวางการก่อความไม่สงบจากทางทะเลของฝ่ายตรงข้าม ขัดขวางการแทรกซึมเหล่าจารชนเข้าสู่เวียดนามใต้ รวมทั้งตัดเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทธปัจจัยโดยใช้เรือสินค้าติดอาวุธ USCGC Sherman จึงได้เข้าร่วมภารกิจ Operation Market Time ตามคำสั่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

        ภาพประกอบที่สองเรือมีการปรับปรุงระบบอาวุธปราบเรือดำน้ำ หน้าสะพานเดินเรือติดตั้งจรวดปราบเรือดำน้ำ Hedgehog จำนวน 2 แท่นยิงหรือ 48 นัด หน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาทยอยติดตั้ง Hedgehog บนเรือชั้นนี้จนครบทุกลำ ส่งผลให้หัวเรือหนักกว่าเดิมสิบกว่าตันอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนเมื่อคุณต้องการติดอาวุธเพิ่ม

        วันที่ 21 พฤศจิกายน 1970 USCGC Sherman ทำหน้าที่สกัดกั้นเรือฝ่ายตรงข้ามบริเวณชายฝั่ง และสามารถจมเรือสินค้าติดอาวุธของเวียดนามเหนือจำนวน 1 ลำบริเวณปากแม่น้ำแม่โขง โดยใช้ปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วที่หัวเรือยิงใส่จากระยะ 2,600 หลา เก็บแต้มแรกให้กับกองเรือหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

เรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งเอาชนะการดวลปืนที่ปากแม่น้ำ เป็นเรื่องเล่าขานที่เจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งรุ่นลูกรุ่นหลานจะได้รับฟังไปอีกยาวนานหลายสิบปี

FRAM Program

หลังเข้าประจำการรับใช้ชาติยาวนานถึง 20 ปีเต็ม จึงได้เวลาปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานเรือตรวจการณ์ชั้น Hamilton โครงการ Fleet Rehabilitation and Modernization  หรือ FRAM ใช้เวลาตั้งแต่ปี 1986 ถึงปี 1990 เรือจำนวน 12 ลำเข้ารับการปรับปรุงโดยใช้อู่ต่อเรือจำนวน 2 แห่ง โดยมีเรือจำนวน 5 ลำติดอาวุธหนักตามภาพประกอบที่สาม

หัวเรือสร้าง Superstructure ยื่นยาวมาเชื่อมต่อกับสะพานเดินเรือ (การปรับปรุงเรือหลวงตาปีกับเรือหลวงคีรีรัฐได้รับอิทธิพลจากเรือลำนี้) ปืนใหญ่ขนาด 5/38 นิ้ว รุ่น Mark 30 ถูกแทนที่ด้วยปืนใหญ่ขนาด 76 มม.รุ่น Mark 75 (OTO 76/62 Compact เวอร์ชันสหรัฐอเมริกา) ทำงานร่วมกับเรดาร์ควบคุมการยิง Mark 92 mod 1 GFCS (WM-25 เวอร์ชันสหรัฐอเมริกา) จรวดปราบเรือดำน้ำ Hedgehog ถูกแทนที่ด้วยแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ท้ายเรือติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศ AN/SPS-29D เปลี่ยนเป็นรุ่น  AN/SPS-40B ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ AN/SLA-10B เปลี่ยนเป็นรุ่น AN/WLR-1C รวมทั้งติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี SRBOC และเป้าลวงตอร์ปิโดรุ่นลากท้าย AN/SLQ-25 NIXIE

มีเรือเพียง 5 ลำที่ได้รับการติดตั้ง Harpoon และ Phalanx เหตุผลที่ติดตั้งเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียตและกลุ่มวอซอร์ ช่วงนั้นความตึงเครียดด้านการเมืองค่อนข้างสูงเป็นพิเศษ จึงมีข้อเสนอให้เพิ่มอำนาจการยิงต่อเรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่ง

นี่คือที่มาที่ไปของ Cutters with Missiles

ทดสอบยิง Harpoon

        วันที่ 16 มกราคม 1990 เรือตรวจการณ์ USCGC Mellon (WHEC-717) ทดสอบยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon นอกเมือง Oxnard รัฐ California นับเป็นครั้งแรกของโลกที่ตรวจการณ์สามารถยิงอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยเผด็จศึกเป้าหมายผิวน้ำ

        อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon พัฒนาโดยบริษัท McDonnell Douglas ปัจจุบันคือ Boeing Defense, Space & Security ปี 1965 กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเห็นสหภาพโซเวียตมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ P-15 Termit ใช้งาน และนำเรือเร็วอาวุธนำวิถีมาข่มขู่กองเรือตัวเองในวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา จึงได้ขึ้นโครงการพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบรุ่นใหม่ กำหนดให้ทันสมัยกว่าระยะยิงไกลกว่า P-15 Termit โดยการติดตั้งระบบนำวิถีในหัวรบไม่ต้องพึ่งพาเรดาร์ควบคุมการยิงจากเรือ ระยะยิงไกลสุดมากกว่า 24 ไมล์ทะเลหรือ 45 กิโลเมตร ใช้งานกับเรือดำน้ำได้โดยใช้ท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533 มม.

        อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon นัดแรกถูกส่งมอบในปี 1977 ระยะยิงไกลสุดเพิ่มเป็น 75 ไมล์ทะเลหรือ 139 กิโลเมตร USCGC Mellon (WHEC-717) คือเรือลำแรกและลำเดียวที่ได้ทดสอบยิง Harpoon ใส่เป้าหมายกลางทะเล

        กลับมาที่การปรับปรุงเรือตามโครงการ FRAM กันอีกครั้ง อย่างที่ทราบกันดีมีการติดตั้งอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนวณให้ละเอียดถี่ถ้วนก็คือน้ำหนัก เพราะส่งกระทบค่อนข้างมากต่อประสิทธิภาพเรือ อาทิเช่นการปรับปรุงเรือหลวงตาปีกับเรือหลวงคีรีรัฐ น้ำหนักเรือที่เพิ่มขึ้นบวกปัญหาเรื่องการถ่วงดุลส่งผลให้เรือไม่เหมือนเดิม

บังเอิญเรือตรวจการณ์ชั้น Hamilton หลังการปรับปรุงติดอาวุธน้ำหนักเบากว่าเดิม

เรามาคำนวณด้วยคณิตศาสตร์อนุบาลหมีน้อยกันสักนิด

อาวุธที่ถูกถอดออกประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 5/38 นิ้ว รุ่น Mark 30 หนัก 20.5 ตัน จรวดปราบเรือดำน้ำ Hedgehog จำนวน 2 แท่นยิงหนัก 14.4 ตัน (รวมทุกอย่าง) น้ำหนักรวมอาวุธอยู่ที่ประมาณ 34.9 ตัน

อาวุธที่ถูกติดตั้งประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.รุ่น Mark 75 หนัก 8.2 ตัน แท่นยิง MK141 จำนวน 2 แท่นยิงหนัก 11.8 ตัน อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 นัดหนัก 6 ตัน ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx หนัก 6.8 ตัน น้ำหนักรวมอาวุธอยู่ที่ประมาณ 32.8 ตัน

เท่ากับว่าเรือตรวจการณ์ชั้น Hamilton ติดอาวุธเบากว่าเดิม 2.1 ตัน บวก Superstructure ที่หัวเรือกับเพิ่มโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์แบบพับได้ น้ำหนักเรือหลังการปรับปรุงมากกว่าเดิมเล็กน้อยส่งผลกระทบต่อเรือค่อนข้างน้อยนิด

ถอด Harpoon

ตามแผนการเรือตรวจการณ์ชั้น Hamilton ทุกลำจะได้รับการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ทว่าในความเป็นจริงแผนการติดตั้งสำเร็จเรียบร้อยเพียง 5 ลำ ต่อมาในปี 1992 แท่นยิง MK141 ถูกถอดออกจากเรือทุกลำตามมติในที่ประชุมของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา เหตุผลก็คือสหภาพโซเวียตและกลุ่มวอซอร์ล่มสลายไปแล้ว ไม่มีภัยคุกคามแล้วเรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งไม่จำเป็นต้องใช้งาน Harpoon

มีการปรับปรุงเรืออีกครั้งโดยการถอดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำและโซนาร์หัวเรือ ถอดเป้าลวงตอร์ปิโดรุ่นลากท้าย AN/SLQ-25 NIXIE จากนั้นจึงติดตั้งปืนกลขนาด 25 มม.แทนที่แท่นยิงตอร์ปิโดเบา และติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx เพิ่มเติมจนครบทุกลำ

ภาพประกอบที่ห้าเรือตรวจการณ์ USCGC Mellon (WHEC-717) หลังการปรับปรุงในปี 1992 แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบถูกถอดออกไปพร้อมกับแท่นยิงตอร์ปิโดเบา มองเห็นโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์แบบพับอย่างชัดเจน ส่วนระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ที่บั้นท้ายเรือน่าจะอยู่ในโหมดหยุดทำงานชั่วคราว

ปลดประจำการ

        หลังรับใช้ชาติมาอย่างยาวนานเรือทุกลำต้องปลดประจำการ ปรกติเรือรบกองทัพเรือสหรัฐอเมริกามักปลดประจำการในปีที่ 30 ทว่าเรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งกลับพลิกผันชนิดหน้ามือหลังมือ เรือตรวจการณ์ USCGC Hamilton (WHEC-715) ปลดประจำการลำแรกในวันที่ 28 มีนาคม 2011 อายุราชการ 44 ปี และเรือตรวจการณ์ USCGC Douglas Munro (WHEC-724) ปลดประจำการลำสุดท้ายในวันที่ 27 เมษายน 2021 อายุราชการมากถึง 50 ปี

        หน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาใช้งานเรือโหดยิ่งกว่ากองทัพเรือไทย

สิ่งที่แตกต่างก็คือเรือตรวจการณ์ชั้น Hamilton ได้รับการซ่อมบำรุงอย่างดีเยี่ยม แม้ปลดประจำการแล้วก็ยังสามารถปรับปรุงยืดอายุเรือใช้งานได้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงมีแนวคิดโอนเรือทุกลำให้กับประเทศพันธมิตร โดยมีค่าใช้งานปรับปรุงเรือลำละประมาณ 10 ล้านเหรียญ ผู้โชคดีได้รับแจกเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่ฟรีประกอบไปด้วย

-ฟิลิปปินส์จำนวน 3 ลำ

-เวียดนามจำนวน 3 ลำ

-ศรีลังกาจำนวน 2 ลำ

-บังกลาเทศจำนวน 2 ลำ

-ไนจีเรียจำนวน 2 ลำ

        ภาพประกอบที่หกคือเรือตรวจการณ์ USCGC John Midgett (WHEC-726) ถูกส่งต่อให้กับหน่วยยามฝั่งเวียดนามโดยใช้ชื่อว่า CSB 8021 ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.รุ่น Mark 75 กับเรดาร์ควบคุมการยิง Mark 92 mod 1 GFCS ยังอยู่เหมือนเดิม ส่วนเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศ AN/SPS-40B ปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.รุ่น Mk 38 Mod 2 และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ถูกถอดออก สภาพเรือหลังการปรับปรุงยังคงดีเยี่ยมใช้งานต่ออีก 15-20 ปีได้อย่างสบาย

บทสรุปปิดท้าย

        จนถึงปัจจุบันเรือตรวจการณ์ชั้น Hamilton ยังคงประจำการครบถ้วนทุกลำ

เรือลำแรก USCGC Hamilton (WHEC-715) ซึ่งมีชื่อใหม่ว่า BRP Gregorio del Pilar (PS-15) อายุ 57 ปี ส่วนเรือลำสุดท้าย USCGC John Midgett (WHEC-726) ซึ่งมีชื่อใหม่ว่า CSB 8021 อายุ 52 ปี นี่คือเรือตรวจการณ์ขนาด 378 ฟุตที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่โลกมนุษย์เคยสร้างมา

อ้างอิงจาก

https://thetidesofhistory.com/2023/12/17/that-time-they-put-anti-ship-missiles-on-coast-guard-cutters-and-could-again/

https://thetidesofhistory.com/2023/10/22/378s-hamilton-class-coast-guard-cutters/

https://en.wikipedia.org/wiki/Hamilton-class_cutter

https://www.flickr.com/photos/upnorthmemories/6952902660

https://chuckhillscgblog.net/tag/whec/

https://web.facebook.com/photo/?fbid=2056453144398204&set=a.193627974014073

https://www.usni.org/magazines/naval-history-magazine/2017/december/coast-guard-war-cutter-sherman-vietnam

https://www.maritimehawaii.com/2021/07/csb-8021/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น