‘กำลังทางอากาศนาวี’ หมายถึงกำลังทางอากาศของกองทัพเรือ
หรือกำลังทางอากาศที่ได้รับมอบจากเหล่าทัพอื่น ตลอดจนหน่วยบินพลเรือนและอาสาสมัครแห่งรัฐ
ที่ขึ้นการควบคุมทางยุทธการกับกำลังทางเรือหรือกำลังนาวิกโยธินของกองทัพเรือ
ความคิดในการจัดตั้งกำลังทางอากาศนาวี
(Naval
Air Arm) นั้น ได้มีมาตั้ง พ.ศ. 2464 เมื่อพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
เสนาธิการกระทรวงทหารเรือ
เสนอความเห็นต่อที่ประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2464 ว่า
‘สมควรเริ่มตั้งกองบินทะเลขึ้นในพ.ศ. 2465 โดยใช้สัตหีบเป็นถาน (ฐานทัพ) และควรเริ่มตั้งต้นซื้อเครื่องบินทะเลเพียง
2 ลำก่อน กับควรให้นายนาวาเอก พระยาประดิยัตินาวาวุธ
(ต่อมาเป็นพลเรือโทร พระยาราชวังสัน)
ซึ่งกำลังดูงานอยู่ในยุโรปขณะนั้นดูระเบียบการจัดซื้อเครื่องบินทะเลไว้ด้วย สำหรับนักบินนั้นควรนายทหารที่เหมาะสมไปฝากฝึกหัดบินที่กรมอากาศยานทหารบก’
สภาพบัญชาการฯ
จึงมีมติอนุมัติข้อเสนอนี้ ในการประชุมครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.
2464 และมอบให้เสด็จในกรมฯ ทรงจัดทำโครงการ (Scheme) ในเรื่องนี้ต่อไป กองการบินทหารเรือจึงถือเอาวันที่ 7 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย
และชาวบินนาวีทุกคนได้ยึดถือว่า นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
เป็นองค์บิดาแห่งการบินนาวีด้วย
กำลังอากาศนาวีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการรบทางเรือทั้งการรุกและรับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่
2
และได้เพิ่มความสำคัญมากยิ่งขึ้นในสงครามยุคใหม่หลังจากวิวัฒนาการของระบบหาตำบลที่ของอากาศยานด้วยดาวเทียม
และระบบอาวุธนำวิถีที่มีความแม่นยำสูงประเภท Precision Guided Munition (PGM)
บทบาทของกำลังทางอากาศนาวีในปัจจุบันประกอบไปด้วย
-การลาดตระเวนตรวจการณ์ทางทะเล
-การชี้เป้าและการควบคุมอาวุธนำวิถีทำลายเรือรบผิวน้ำที่มีระยะยิงไกลกว่าขอบฟ้าเรดาร์ของเรือ
-การโจมตีเรือรบในทะเล/ในท่าเรือ และการโจมตีทางบก
-การป้องภัยทางอากาศให้กับกองเรือในทะเลโดยการเตือนภัยล่วงหน้าในอากาศ
และการสกัดกั้นเครื่องบินโจมตีของข้าศึก
-การยกพลขึ้นบก
-การปราบเรือดำน้ำ
-การวางทุ่นระเบิดและการต่อต้านทุ่นระเบิด
-การค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล
-การประเมินความเสียหายของกำลังรบข้าศึกจากการโจมตีของฝ่ายเรา
-การค้นหาและขจัดคราบน้ำมันในทะเล และภารกิจปลีกย่อยอื่นๆ
เนื่องจากการรบทางเรือในยุคปัจจุบันมีลักษณะรวดเร็ว
รุนแรง และเด็ดขาด โดยมักเกิดขึ้นเร็วและยุติลงภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ดังนั้นถ้ากำลังทางเรือไม่มีกำลังทางอากาศคอยสนับสนุนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
หรือมีกำลังทางอากาศอยู่บนเรือแต่ไม่ติดอาวุธและเชื้อเพลิงพร้อมอยู่บนดาดฟ้าบินแล้ว
กำลังทางอากาศก็จะไม่สามารถมาร่วมรบได้ทันเวลา
พลเรือเอก
ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ ตระหนักดีถึงความสำคัญของกำลังทางอากาศนาวีทั้งต่อความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจ
และความอยู่รอดของกองเรือในการรบยุคใหม่ ท่านจึงได้พยายามพัฒนาขีดความสามารถของกองการบินทหารเรือ
กองเรือยุทธการให้เพียงพอต่อภารกิจอันเป็นสิ่งสำคัญอย่างจริงจัง
โดยได้ริเริ่มโครงการต่างๆ ประกอบไปด้วย
การจัดหาเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะไกลแบบ
P-3
ORION
จากแนวความคิดส่งกำลังทางเรือออกไปทำงานในทะเลลึกห่างจากฝั่งมากขึ้นจนเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะใกล้
และเฮลิคอปเตอร์ที่กองทัพเรือมีอยู่ไม่สามารถออกไปให้การสนับสนุนกองเรือได้อย่างต่อเนื่องในระยะไกลเพียงพอ
กองทัพเรือจึงมีความจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะไกลปฏิบัติการจากสนามบินบนบก
และเฮลิคอปเตอร์ที่ได้รับการออกแบบสร้างให้สามารถนำไปใช้งานในทะเลบนเรือฟริเกต
และเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์โดยเฉพาะในโอกาสแรก
กองทัพเรือได้เร่งศึกษารายละเอียดและคุณลักษณะของเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะไกลแบบต่างๆ
ที่มีใช้งานกันอยู่โดยทั่วไปพบว่าเครื่องบินแบบ P-3C ORION ของกองทัพเรือสหรัฐมีประสิทธิภาพสูงที่สุด และมีใช้งานแพร่หลายมากที่สุด
แต่เนื่องจากเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะไกลทุกแบบมีราคาแพงถึงลำละประมาณ 4-5,000
ล้านบาท ซึ่งเกินวิสัยที่กองทัพเรือจะจัดหามาได้ จึงได้หารือกับกองทัพเรือสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาการขาดขีดความสามารถด้านนี้
และตัดสินใจแก้ไขปัญหาในลักษณะเดียวกันกับกองทัพเรือหลายประเทศในยุโรปคือเครื่องใช้เครื่องบิน
P-3A ซึ่งลำตัวยังอยู่ในสภาพดีมีอายุการใช้งานเหลืออีกหลายสิบปี
แต่เปลี่ยนเครื่องยนต์ทั้ง 4 เครื่องใหม่เป็นแบบที่ใช้กับรุ่น
P-3C
กองทัพเรือได้ลงนามใน
Letter
of Offer and Acceptance FMS Case TH-P-SBV เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2534 เพื่อจัดซื้อเครื่องบิน P-3A ในวงเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐในลักษณะ As Is
Where Is จำนวน 5 เครื่องและอุปกรณ์อีกจำนวนหนึ่ง
โดยมีแนวความคิดที่จะนำมาปรับปรุงสภาพให้ใช้งานได้ 3 เครื่อง
ส่วนอีก 2 เครื่องจะนำมาถอดเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ และได้ลงนามใน
LOA FMS Case TH-P-LDP เมื่อ 28 มิถุนายน
2536 วงเงิน 76.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพื่อซ่อมปรับปรุงเครื่องบิน 3 เครื่องให้มีขีดความสามารถในการลาดตระเวนผิวน้ำ
การควบคุมและสั่งการ การลาดตระเวนค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย
การชี้เป้านอกระยะขอบฟ้าให้กับกองเรือ รวมทั้งการใช้อาวุธต่อต้านเรือดำน้ำ
จัดหาอะไหล่ และส่วนสนับสนุนภาคพื้นดินที่จำเป็นในการซ่อมบำรุง จัดเจ้าหน้าที่สนับสนุนทางเทคนิคในสาขาต่างๆ
มาประจำการที่กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ
เพื่อให้คำแนะนำต่อเจ้าหน้าที่กองทัพเรือ รวมทั้งฝึกนักบิน
และช่างซ่อมบำรุงในสาขาต่างๆ ประมาณ 60 นาย
เพื่อให้มีขีดความสามารถในการบินและการซ่อมบำรุง รวมค่าใช้จ่ายทั้งโครงการเป็นเงิน
86.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,200 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยลำละประมาณ 740 ล้านบาท
กองทัพเรือได้รับมอบเครื่องบินทั้งสามลำแล้วในปีงบประมาณ 2540 ทั้งนี้เครื่องบินลำที่สามจะมีขีดความสามารถในการลำเลียงบุคคลสำคัญด้วย
การจัดหาเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะปานกลางแบบดอร์เนียร์
228-212
เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะไกลที่กองทัพเรือจัดหามีจำนวนเพียง
3 เครื่อง และการใช้เครื่องบินมีความสิ้นเปลืองสูง
ไม่เหมาะสำหรับการปฏิบัติการในระยะใกล้หรือปานกลาง
กองทัพเรือจึงจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะปานกลางมาเสริมการปฏิบัติการให้มากเพียงพอ
กองทัพเรือได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้จัดหาเครื่องบินแบบดอร์เนียร์
228-212 ของเยอรมันจำนวน 6 เครื่อง
แต่เนื่องจากสถานภาพของงบประมาณยังไม่เอื้ออำนวยกองทัพเรือจึงได้เสนอขอให้อนุมัติจัดหาเครื่องบินดอร์เนียร์
228-212 จำนวน 3 ลำ
พร้อมส่วนสนับสนุนในวงเงินประมาณ 660 ล้านบาท
โดยใช้งบประมาณปี 2535-2537 ก่อน เครื่องบินทั้ง 3 ลำซึ่มีราคาเฉลี่ยลำละ 220 ล้านบาท
เดินทางมาถึงกองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ
และได้มีการตรวจรับเรียบร้อยแล้วเมื่อ 15 พฤษภาคม 2534
ส่วนอีก 3 เครื่องนั้น พลเรือเอก ประพัฒน์
กฤษณจันทร์ ได้ส่งหน้าที่ไว้ว่าควรจัดหาต่อไปในโอกาสแรก
ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการจัดหาและรับมอบแล้วในปีงบประมาณ 2537
ในการรบสมัยใหม่ทั้งกำลังทางเรือและกำลังนาวิกโยธิน
จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากกำลังทางอากาศอย่างเพียงพอและต่อเนื่องตลอดเวลา
แต่กองทัพอากาศมีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบจำนวนมาก
โดยเฉพาะด้านการปฏิบัติการทางอากาศยุทธศาสตร์
กองทัพเรือจำได้กำหนดความต้องการเครื่องบินโจมตีไว้ในแผนโครงสร้างกองทัพไทยจำนวน 1
ฝูง (18 ลำ)
เพื่อใช้ในการสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพเรือทั้งในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้น
การป้องกันภัยทางอากาศให้กองเรือ และสนับสนุนกำลังนาวิกโยธิน
เนื่องจากเครื่องบินใหม่มีราคาสูง
และไม่อยู่ในวิสัยของงบประมาณกองทัพเรือในขณะนั้นจะสนับสนุนได้
กองทัพเรือจึงได้พิจารณาจัดหาเครื่องบินโจมตีแบบ A-7E ของกองทัพเรือสหรัฐ มาซ่อมปรับปรุงให้ใช้งานต่อไปได้อีกประมาณ 20 ปี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในการใช้งานในระยะหนึ่งก่อน ในการนี้กองทัพเรือได้จัดหาเครื่องบิน
A-7E ในลักษณะ As is Where is จำนวน 38
เครื่องในราคาลำละ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ
หรือประมาณ 765,000 บาท เมื่อ 30 เมษายน
2535 และได้ชำระเงินทั้งหมดเรียบร้อยแล้วโดยใช้งานในปีงบประมาณ
2535 ทั้งหมด
สหรัฐได้จัดเจ้าหน้าที่มาทำ Site
Survey เมื่อเดือนพฤษภาคม 2536 เพื่อจัดทำ LOA
สำหรับการดำเนินการต่อไปคือ การซ่อมปรับปรุงให้ใช้ราชการได้ 18
ลำ จัดหาอะไหล่และส่วนสนับสนุนในการซ่อมบำรุง
และฝึกเจ้าหน้าที่ของกองทัพเรือที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากกองทัพเรือสหรัฐกำลังซ่อมปรับปรุงสภาพเครื่องบิน
A-7E ให้กับกองทัพอากาศกรีซและจะเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2536 โรงงานที่ซ่อมบำรุงให้กรีซจะปิดดำเนินการ
และเมื่อกองทัพเรือจะนำเครื่องบินเข้าซ่อมในภายหลังจะต้องเปิดดำเนินการใหม่
ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในระดับโรงงานอีก
ดังนั้น
เพื่อให้การซ่อมปรับปรุงสภาพเครื่องบิน A-7E
ของกองทัพเรือมีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
ทางสหรัฐจึงเสนอให้ปรับลดจำนวนเครื่องบินที่จัดหาลดเหลือ 21 ลำ
และลดการจัดหาอุปกรณ์ที่ยังไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการบางรายการลง
เพื่อนำเงินที่ลดลงมาเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมปรับปรุงสภาพเครื่องบินจำนวน 1
เครื่องภายในเดือนตุลาคม 2536 ก่อนเพื่อดำรงสายการซ่อมทำไว้
ซึ่งการลดจำนวนการจัดหาลงนี้ไม่กระทบต่อแผนการจัดหาเครื่องบินแต่อย่างใด
เนื่องจากยังสามารถซ่อมปรับปรุงสภาพให้ใช้งานได้ 18 ลำตามแผนโครงสร้าง
กองทัพเรือได้รับมอบเครื่องบินโจมตีทั้ง
18
เครื่องแล้วในปีงบประมาณ 2540 โดยประกอบด้วยเครื่องบินที่นั่งเดียว
14 ลำ และแบบสองที่นั่งสำหรับใช้ในการฝึกนักบิน 4 ลำ นับว่ากองทัพเรือได้ก้าวเข้าสู่ยุคเครื่องบินไอพ่นแล้ว
A-7 Corsair กองทัพเรือแบ่งเป็น A-7E หรือ 'เครื่องบินโจมตีแบบที่ 1 ก' หรือ 'บ.จต.1 ก’ จำนวน 14 ลำ และ TA-7C (ฝึก) หรือ 'เครื่องบินโจมตีแบบที่ 1 ข' หรือ 'บ.จต.1ข' จำนวน 4
ลำ
การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือฟริเกต
ในปีงบประมาณ 2535
กองทัพเรือได้พิจารณาการจัดหาเฮลิคอปเตอร์แบบ SH-2F Seasprite จากกองทัพเรือสหรัฐจำนวน 6 ลำ เพื่อเป็นเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา
และเรือหลวงนเรศวร แต่เนื่องจากสถานภาพทางด้านงบประมาณไม่เอื้ออำนวย
จึงต้องเลื่อนมาดำเนินการในปีงบประมาณ 2536 โดยได้ดำเนินการ Site
Survey เรียบร้อยแล้ว
สำหรับในปีงบประมาณ 2537 กองทัพเรือได้รับงบประมาณในการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวในวงเงิน 1,950
ล้านบาท แต่ไม่สามารถเจรจาตกลงเรื่องงวดการชำระเงินได้สำเร็จ
จึงต้องเลื่อนโครงการนี้ออกไปก่อนถูกยกเลิกในเวลาต่อไป
การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์แบบ
S-70B
SEA HAWK
เนื่องจากเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ไม่มีขีดความสามารถในการปฏิบัติงานด้วยตัวเอง
พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์
จึงได้ให้แนวความคิดว่าต้องจัดหาเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางสำหรับใช้งานทางทะเลมาก่อนเป็นลำดับแรก
โดยวางแผนให้ดำเนินการส่งมอบให้สอดคล้องกับการรับมอบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
ในขั้นต่อไปจึงค่อยพิจารณาจัดหาเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งตามแต่สภาพงบประมาณและโอกาสจะเอื้ออำนวย
ในการนี้
กองทัพเรือได้ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดหาเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
จำนวน 6
ลำ ในวงเงิน 3,600 ล้านบาท
โดยผูกพันงบประมาณตั้งแต่ปี 2536-2540 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้วเมื่อ
16 พฤศจิกายน 2535 พร้อมกับอนุมัติให้ผูกพันงบประมาณได้
กองทัพเรือได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อคัดเลือกแบบเฮลิคอปเตอร์ที่เหมาะสม
และอีกคณะหนึ่งเพื่อเจรจาในการจัดสร้าง ในการคัดเลือกแบบได้มีบริษัทต่างๆ
เสนอข้อมูลเฮลิคอปเตอร์ให้คัดเลือกรวม 5 แบบ
ผลการพิจารณา แบบ SEA
HAWK เป็นแบบที่เหมาะสมที่จะจัดหา เนื่องจากเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ Well
Proven จัดหาได้โดยวิธี FMS มีอุปกรณ์ติดตั้งทันสมัยใช้ได้ทั้งภารกิจทางทหารและบรรเทาสาธารณภัย
ส่วนเฮลิคอปเตอร์อื่นบางแบบไม่มีการป้องกันการกัดกร่อนของน้ำทะเลที่ดีเพียงพอ
บางแบบก็ยังไม่มีใช้ในกองทัพใดมาก่อน เนื่องจากเพิ่งวิจัยและพัฒนาสร้างขึ้นใหม่
จึงไม่สามารถมั่นใจในขีดความสามารถ และมีราคาสูงมาก บางแบบก็ใช้งานมานาน
อุปกรณ์ล้าสมัย จำนวนผลิตในปัจจุบันน้อยลง ทำให้มีราคาสูงขึ้น
กองทัพเรือจึงอนุมัติให้จัดหาเฮลิคอปเตอร์ SEA HAWK โดยวิธี FMS
ในวงเงิน 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,570
ล้านบาท และได้ลงนามใน LOA เมื่อ 28 กันยายน 2536
ส่วนสนับสนุนบางรายการยังมิได้ดำเนินการจัดหาในครั้งนี้
เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็น จนกว่าจะใกล้ช่วงเวลาที่จะได้รับเฮลิคอปเตอร์ เช่น
เครื่องมือตรวจจับเป้าใต้น้ำ การเดินสายไฟสำหรับระบบอาวุธเพิ่มเติม
และอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นดิน เป็นต้น จึงได้ชะลอการจัดหาไว้
และได้ดำเนินการในปีงบประมาณ 2538 ในวงเงินประมาณ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 816 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานภาพงบประมาณที่กองทัพเรือมีอยู่
กองทัพเรือได้รับมอบเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 6
ลำเรียบร้อยแล้วในปีงบประมาณ 2540
การจัดหาเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ
AV-8S/TAV-8S
จากการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อ
17
มีนาคม 2535 ให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์จำนวน
1 ลำ ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2540 และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2535
ให้กองทัพเรือจัดหาเฮลิคอปเตอร์จำนวน 6 ลำ
เพื่อใช้งานกับเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
ซึ่งจะช่วยให้เรือมีขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล
คุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศ เช่น การขุดก๊าซกลางทะเล
ตลอดจนสามารถตรวจตราได้จนถึงเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล
อนึ่ง
การจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ออกปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกลจากฝั่ง
หากไม่มีการป้องกันตัวเองที่ดีพอย่อมล่อแหลมต่อภัยคุกคามจากการโจมตีของเรือผิวน้ำ
เรือดำน้ำ การโจมตีทางอากาศ และอาวุธนำวิถี อีกทั้งการปฏิบัติภารกิจในระยะไกล
กำลังทางอากาศจากฐานบินบนฝั่งไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ตลอดเวลาและโดยต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีอาวุธป้องกันตนเอง
ซึ่งในหลายประเทศที่มีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อยู่จะใช้เครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งเป็นอาวุธประจำเรือ
เพื่อใช้เป็นอาวุธป้องกันตนเอง ให้ความคุ้มครองโดยใกล้ชิดแก่ขบวนเรือที่อยู่ห่างฝั่ง
คุ้มครองเรือประมง
และสามารถใช้เป็นเครื่องบินโจมตีเรือผิวน้ำฝ่ายตรงข้ามที่จะรบกวนเส้นทางคมนาคมทางทะเล
และการโจมตีเป้าหมายบนฝั่งได้อีกด้วย
นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว
ยังเป็นการประหยัดการใช้กำลังไปในตัว เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เรือคุ้มกันให้ความปลอดภัยอีกหลายลำ
จึงนับว่าสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้กองทัพเรือมีการพัฒนาและใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย
บนพื้นฐานของการประหยัด ทำให้ประหยัดการใช้กำลังส่วนอื่นลงได้ตามสมควร ดังนั้น
เพื่อให้เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือมีขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจได้โดยสมบูรณ์
จึงมีความจำเป็นต้องเริ่มจัดหาเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง
ซึ่งเป็นเครื่องบินโจมตีทางทะเลเข้าประจำการในโอกาสแรกที่สถานการณ์ด้านงบประมาณอำนวย
แต่เนื่องจากเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งรุ่นใหม่มีราคาลำละกว่า
1,500
ล้านบาท
ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่กองทัพเรือจะจัดหามาได้ พลเรือเอก ประพัฒน์
กฤษณจันทร์ จึงได้เจรจาทาบทามขอซื้อเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งของกองทัพเรืออังกฤษ
และสเปน รวมทั้งนาวิกโยธินสหรัฐ
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในการใช้งานในระยะหนึ่งก่อน
โดยมีเป้าหมายที่จะรับมอบเครื่องบินในเวลาที่สอดคล้องกับการรับมอบเรือ กล่าวคือ
มีเป้าหมายในการจัดหาให้ครบ 10 ลำ ในปีงบประมาณ 2540 ซึ่งเครื่องบินชนิดนี้อยู่ในแผนโครงสร้างกองทัพไทยที่กระทรวงกลาโหมได้อนุมัติให้กองทัพเรือใช้เป็นเป้าหมายในการเสริมสร้างกำลังกองทัพเรืออยู่แล้ว
แต่ช่วงนั้นยังไม่มีประเทศใดยินดีขายเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งให้กับกองทัพเรือ
พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ จึงได้ส่งหน้าที่ให้ผู้บัญชาการกองทัพเรือท่านต่อๆ
ไปคอยติดตามเรื่องนี้ตลอดเวลา
ต่อมาโดยที่ประเทศไทยและประเทศสเปนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก
ประกอบกับกองทัพเรือได้ว่าจ้างบริษัทของสเปนเป็นผู้ต่อเรือให้อยู่แล้ว
รัฐบาลและกองทัพเรือสเปนจึงประสงค์ที่จะให้เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือไทย
มีขีดความสามารถโดยสมบูรณ์ในคราวเดียวกัน
รัฐบาลสเปนจึงได้เสนอขายเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ AV-8S
จำนวน 10 เครื่อง พร้อมอะไหล่ อุปกรณ์ภาคพื้น
อาวุธประจำเครื่องบิน และให้การฝึกทหารประจำเรือในการใช้งานเครื่องบินให้ด้วย
ในราคามิตรภาพ 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,950
ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินตามแต่กองทัพเรือจะสามารถชำระได้เท่าที่สถานการณ์ผูกพันทางงบประมาณจะเอื้ออำนวย
กองทัพเรือได้ประสานกับสำนักงบประมาณแล้ว
ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2538 เป็นต้นไป
ภาระของกองทัพเรือในด้านงบประมาณเริ่มลดลง จึงมีวงเงินที่สามารถดำเนินการได้ จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะสามารถจัดหาได้รวดเร็วและราคาถูก
รวมทั้งยังนำมาใช้งานได้อีกนานประมาณ 20 ปี
และเพื่อให้การรับมอบเครื่องบินดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยเร็ว
กองทัพเรือจึงได้มีหนังสือกราบเรียน นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เพื่อโปรดทราบและพิจารณาสนับสนุนให้กองทัพเรือจัดหาเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งไว้เป็นอาวุธประจำเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ไว้ชั้นหนึ่ง
ก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งนายกรัฐมนตรี
ได้แจ้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าเห็นควรให้การสนับสนุน
แต่ให้กระทรวงกลาโหมแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราคาและประสิทธิภาพของเครื่องบินโดยถี่ถ้วน
กองทัพเรือได้แต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย
ผู้ทรงคุณวุฒิและประสบการณ์ในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณา
และเจรจาในเรื่องดังกล่าวตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี
คณะกรรมการได้เดินทางไปกองการบินทหารเรือ ณ ฐานทัพเรือโรต้า
และกองบัญชาการกองทัพเรือที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 1-9
พฤษภาคม 2536 เพื่อรวบรวมรายละเอียดข้อมูลต่างๆ
เกี่ยวกับสภาพที่แท้จริงและชั่วโมงการใช้งานของเครื่องบิน AV-8S แต่ละเครื่อง ตลอดจนระบบการซ่อมบำรุง รวมทั้งส่วนสนับสนุนอื่นๆ
ที่จำเป็นของเครื่องบินชนิดนี้
พร้อมกับเจรจาเรื่องราคาและหารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานตามโครงการจัดหาเครื่องบิน
AV-8S รวมทั้งการสนับสนุนต่างๆ จากกองทัพเรือสเปน
ซึ่งทำให้ทราบว่าเครื่องบินทั้ง
10
เครื่องพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ประจำเครื่องบินยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก
เนื่องจากอายุการใช้งานยังไม่มากนัก
โดยเครื่องบินแต่ละลำมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 2,000
ชั่วโมง ประกอบกับการบำรุงรักษา รวมทั้งการซ่อมบำรุงระดับต่างๆ
ได้กระทำมาอย่างต่อเนื่องโดเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้และประสบการณ์
จึงทำให้อายุการใช้งานของเครื่องบินแต่ละลำเพิ่มขึ้นจาก 6,000 ชั่วโมงเป็น 8,000 ชั่วโมง
ดังนั้นหากนำเครื่องบินดังกล่าวมาใช้งานปีละ 200 ชั่วโมงต่อลำ
จะใช้งานได้อีกประมาณ 30 ปี ประกอบกับเครื่องบิน AV-8S ของสเปนที่รัฐบาลสเปนเสนอขายให้กับกองทัพเรือไทยมีอายุการใช้งานน้อย
และดูแลบำรุงรักษาเป็นอย่างดีมาก
โดยกองทัพเรือสเปนใช้งบประมาณเพื่อการปรับปรุงสูงถึงปีละ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จึงทำให้เชื่อได้ว่าเครื่องบิน AV-8S
ของกองทัพเรือสเปนที่รัฐบาลสเปน โดยกระทรวงกลาโหมสเปนเสนอขายให้กับกองทัพเรือนั้น
มีสมรรถนะและสภาพที่สมบูรณ์
จากการประชุมหารือกับกองทัพเรือสเปน
โดยผู้บัญชาการและเสนาธิการทหารเรือสเปน ที่กองบัญชาการกองทัพเรือสเปน ทราบว่า
ในการส่งมอบเครื่องบิน AV-8S ให้กับกองทัพเรือ
ทางรัฐบาลสเปนจะดำเนินการแบบ Complete Package คือจะส่งมอบทั้งเครื่องบิน
พร้อมอะไหล่เครื่องยนต์ อุปกรณ์สนับสนุนพิเศษภาคพื้นดิน สรรพาวุธประจำเครื่องบิน
อะไหล่พิเศษต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรมนักบินและเจ้าหน้าที่เทคนิค
ทั้งนี้มีหลักกการว่าจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับการส่งมอบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
และการจัดหาเครื่องบิน Harrier II Plus ของกองทัพเรือสเปนมาทดแทน
AV-8S รวมทั้งความพร้อมของนักบินของกองทัพเรือไทยด้วย ซึ่งกองทัพเรือสเปนจะดำเนินการฝึกอบรมให้โดยมีเงื่อนไขว่า
นักบินของกองทัพเรือจะต้องได้รับการฝึกพื้นฐานนักบินไอพ่นมาก่อน
การฝึกนักบินจะต้องฝึกบินด้วยเครื่องบิน AV-8S ที่กองทัพเรือสเปนได้โอนให้กองทัพเรือไทยเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งคาดว่าจะสามารถฝึกนักบินได้ประมาณปี 2538 โดยจะฝึกนักบินจำนวน
3 ชุดๆ ละ 5 นาย
ตามที่กองทัพเรือต้องการ
ในการนี้ผู้แทนกองทัพเรือได้หารือเรื่องราคางวดการชำระเงิน
การทำ Site
Survey ที่กองการบินทหารเรือ
ตลอดจนการดำเนินการในข้อตกลงว่าจะกระทำในลักษณะเดียวกับการจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
กับขอให้กองทัพเรือสเปนจัดทำโครงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงในระดับต่างๆ
ให้สอดคล้องกับหลักการและเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น
รวมทั้งขอรับการสนับสนุนการช่วยเหลือทางเทคนิคเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้ยังขอให้กองทัพเรือสเปนจัดทำรายการอะไหล่ อุปกรณ์สนับสนุน และสรรพาวุธประจำเครื่องบิน
โดยแยกเป็นรายการพร้อมราคา รวมทั้งขอรับการสนับสนุนคู่มือและเอกสารทางเทคนิคต่างๆ
และขอให้ช่วยดำเนินการให้บริษัทที่สนับสนุนอะไหล่และอุปกรณ์ต่างๆ
ให้กับกองทัพเรือสเปน มาสนับสนุนให้กับกองทัพเรือด้วย
ซึ่งกองทัพเรือสเปนแจ้งว่าจะดำเนินการให้ได้ตามที่กองทัพเรือต้องการ
และต่อมาได้แจ้งผลการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ดังกล่าวให้กองทัพเรือรับทราบ
นอกจากนี้กองทัพเรือสเปนได้ส่งเจ้าหน้าที่มาทำ
Site
Survey ระหว่าง 23 พฤษภาคม 2536 ถึง 1 มิถุนายน 2536 ที่กองการบินทหารเรือ
กองเรือยุทธการ เพื่อให้การสนับสนุนพร้อมให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ที่จำเป็น โดยให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างแท้จริง
และได้จัดทำผลการสำรวจซึ่งประกอบด้วยสิ่งที่กองทัพเรือจะต้องเตรียมการหรือปรับปรุงเพิ่มเติม
รวมทั้งแจ้งรายละเอียดโครงการฝึกอบรมนักบินและเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงเทคนิค
และแนวทางการจัดฝูงบิน AV-8S ให้กองทัพเรือทราบด้วยแล้ว
และต่อมาเมื่อ 16 กรกฎาคม 2536 กระทรวงกลาโหมสเปนได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักยุทโธปกรณ์
กระทรวงกลาโหมสเปน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Defense Export (DEFEX) จำนวน 5 นาย
มาหาเรือกองทัพเรือเกี่ยวกับราคาเครื่องบิน พร้อมส่วนสนับสนุนอื่นๆ แบบ Complete
Package
ในการนี้กองทัพเรือได้เจรจาต่อรองราคาตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้กรุณาให้ไว้อย่างถึงที่สุด
ทำให้ฝ่ายสเปนยอมลดราคาลง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เหลือ 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,900 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับเครื่องบินพร้อมระบบสนับสนุนมีราคาเฉลี่ยลำละประมาณ 290
ล้านบาท
ซึ่งถูกกว่าการจัดหาเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งใหม่ที่มีราคาลำละกว่า 1,500 ล้านบาท คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กองทัพเรือจัดหาเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งเมื่อ
29 กันยายน 2536 กองทัพเรือได้รับมอบเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแล้วในปีงบประมาณ
2540
Harrier (AV-8S) มีจำนวน 9 ลำ แบ่งเป็นประเภท
AV-8S จำนวน 7 ลำ และ TAV-8S (ฝึก) จำนวน 2 ลำ
บทสรุป
ระหว่างปี 2530 ถึง 2540 กำลังทางอากาศนาวีราชนาวีไทยเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด
แต่แล้วด้วยพิษต้มยำกุ้งทำให้งบประมาณประจำปีกองทัพเรือลดน้อยแบบฮวบฮาบ
เครื่องบินมือสองที่จัดหาจากสหรัฐและสเปนจึงไม่ได้รับการดูแลซ่อมบำรุงตามที่สมควร
รวมทั้งเครื่องบินบางรุ่นหาอะไหล่ไม่ได้ไม่ตรงตามข้อมูลคณะกรรมการคัดเลือกแบบอากาศยาน
ส่งผลให้เครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ AV-8S เครื่องบินโจมตีแบบ A-7E และ เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะไกลแบบ
P-3 ORION ต้องปลดประจำการ เหลือเพียงเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะปานกลางแบบดอร์เนียร์
228-212 กับเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์แบบ S-70B
SEA HAWK ซึ่งเป็นเครื่องบินใหม่ยังคงบินได้ทำภารกิจได้ตามปรกติจนปัจจุบัน
++++++++++++++++++++
อ้างอิงจาก
:
หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์
หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอก
กิตติ นาคะเกศ
ภาพประกอบจาก
:
https://web.facebook.com/photo/?fbid=1103331357093521&set=pcb.1103331540426836
https://www.jetphotos.com/photo/3201
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น