วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Thai Navy Missile Corvette

 โครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถี

คณะกรรมการพิจารณาจัดหาเรือคอร์เวต ตามคำสั่งกองทัพเรือ (เฉพาะ) ที่ 15/2525 ลงวันที่ 20 มกราคม 2525 ได้ดำเนินการตามหน้าที่ที่กองทัพเรือมอบหมายให้มาตามลำดับ โดยได้เริ่มส่งหนังสือเชิญชวน พร้อมทั้ง Staff-Requirement ให้สถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย 7 แห่ง และตัวแทนในประเทศไทยของบริษัทผู้สร้างเรือในต่างประเทศ 15 รายในวันที่ 24 ธันวาคม 2524 ในการนี้ได้มีบริษัทต่างๆ ยื่นเอกสารรายละเอียดและซองราคา 11 ราย

จากการพิจารณาข้อเสนอบริษัทต่างๆ โดยยังมิได้เปิดซองราคา ปรากฏว่ามีบริษัทที่เสนอแบบเรือที่ผ่านการพิจารณาขั้นแรก 3 บริษัทได้แก่ บริษัทซี.เอ็ม.อาร์จากอิตาลี บริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง จำกัดจากสหรัฐอเมริกา และบริษัทวอสเปอร์แห่งอังกฤษ  แต่เนื่องมาจากแบบเรือของทั้งสามบริษัทดังกล่าวมีข้อบกพร่องในเรื่องต่างๆ อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น กองทัพเรือจึงให้คณะกรรมการรวบรวมข้อบกพร่องทั้งหมดของแต่ละบริษัท แล้วส่งให้ทราบและแก้ไขและให้ทั้งสามบริษัทยื่นข้อเสนอมาใหม่ โดยให้ยื่นราคาถึงวันที่ 30 กันยายน 2525

เมื่อบริษัททั้งสามยื่นข้อเสนอมาใหม่ กองทัพเรือพิจารณาเห็นว่าราคาเรือของบริษัทวอสเปอร์สูงกว่าอีก 2 บริษัทมาก จึงได้ตกลงใจให้ตัดบริษัทวอสเปอร์ออกจากการพิจารณา คงเหลือไว้พิจารณาในขั้นสุดท้าย 2 บริษัท อย่างไรก็ตามจากการพิจารณาทบทวนแบบแปลนและรายละเอียดของเรือทั้งสองบริษัทแล้ว กองทัพเรือเห็นว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมความต้องการ ระบบอาวุธและลักษณะของเรือบางประการให้เหมาะสม ซึ่งได้ให้คณะกรรมการแจ้งให้บริษัทแก้ไขเพิ่มเติมตามความต้องการกองทัพเรือต่อไป

เมื่อบริษัทซี.เอ็นและบริษัททาโคม่ายื่นข้อเสนอเข้ามาใหม่ คณะกรรมการได้พิจารณาเปรียบบเทียบลักษณะของเรือ รวมทั้งเงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ ของทั้งสองบริษัทแล้วสรุปพิจารณา และเสนอแนะต่อกองทัพเรือเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2525 ที่ประชุมคณะกรรมการนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการ ประกอบกับข้อพิจารณาผู้บัญชาการทหารเรือเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2525 แล้วกองทัพเรือได้ตกลงใจให้คณะกรรมการเจรจากับผู้แทนบริษัททาโคม่าเป็นอันดับแรก รวมทั้งแจ้งให้บริษัททาโคม่าแก้ไขข้อบกพร่องอีกบางประการ แล้วเสนอแบบและราคาเรือมาใหม่

คณะกรรมการและอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ ได้เจรจาเงื่อนไขของสัญญาและรายละเอียดของผนวกแนบท้ายสัญญา กับบริษัททาโคม่าและสามารถเจรจาทำความตกลงกันได้ คณะกรรมการได้เจรจาต่อรองจนถึงขั้นที่คณะกรรมการเห็นว่า ในระดับกรรมการลู่ทางที่จะให้บริษัททาโคม่าลดราคาลงไปอีกน่าจะมีอยู่น้อยมาก แต่บริษัททาโคม่าน่าจะลดราคาเรือลงได้อีกในขั้นการต่อรองระดับกองทัพเรือ จึงนำเรียนผู้บัญชาการทหารเรือว่าควรจะต่อรองกับบริษัททาโคม่าให้ลดราคาเรือลงอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะยอมรับได้ ในการประชุมเจรจาขั้นสุดท้ายระหว่างผู้บัญชาการทหารเรือและคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ กับบริษัททาโคม่าเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2526 ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงราคาเรือกันได้ในราคา 143 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,296,150,000 บาท (สามพันสองร้อยเก้าสิบหกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท)  และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2526 ให้กองทัพเรือก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเพื่อเป็นค่าสร้างเรือดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2527 ถึงปีงบประมาณ 2530

บัดนี้คณะกรรมการและบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย ได้เตรียมสัญญาและผนวกแนบท้ายสัญญาไว้พร้อม ได้ตรวจสอบร่วมกันถูกต้องและลงนามกำกับทุกหน้าเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่จะลงนามทั้งในฐานะคู่สัญญาและในฐานะพยานตลอดจนผู้เข้าร่วมในพิธีทั้งสองฝ่ายได้มาพร้อมหน้ากันณ ที่นี้แล้ว จึงขออนุญาตกราบเรียนเชิญผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ลงนามในสัญญาและผนวกแนบท้ายสัญญารวมสองชุด ร่วมกับ Mr.Robert M Hill Vice President บริษัททาโคม่าซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบริษัท ให้เป็นผู้ลงนามในฐานะผู้รับจ้างต่อไป ทั้งนี้ได้มีเสนาธิการทหารเรือ และเจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารเรือลงนามในฐานะพยานฝ่ายกองทัพเรือ และมีเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทย และนายชัยยุทธ กรรณสูตรประธานกรรมการบริษัทอิตัลไทยมารีน จำกัด ลงนามในฐานะพยานฝ่ายบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ากองทัพเรือไทยจะมีเรือยามฝั่งเพิ่มขึ้นอีก 2 ลำพร้อมอาวุธเต็มอัตราศึก เช่น ฮาร์ปูน-อัลบราทรอส-ฟาแลงซ์-ปืน 76/62-40/70-ตอร์ปิโดปราบด.พร้อมอิเล็คทรอนิคที่ทันสมัยรวมราคามากกว่า 6 พันล้าน ในขณะที่อีก 2 เดือนข้างหน้าเรือปืนชุดชลบุรีจะถึงไทยจำนวน 3 ลำ จึงเป็นที่ไว้วางใจได้ว่ากองทัพเรือไทยไม่น้อยหน้าใครในภูมิภาคนี้เป็นแน่

เรื่องราวหลังจากนั้น

บทความช่วงแรกทั้งหมดผู้เขียนนำมาจากนิตยสารสงคราม หรือ ALL WARFARE ปีที่ 6 เล่มที่ 161 วันที่ 30 พฤษภาคม 2526 คัดลอกมาทั้งหมดรวมทั้งคำผิดหรือข้อมูลที่ตีกันเอง (บริษัทอิตาลีชื่อซี.เอ็ม.อาร์ หรือ ซี.เอ็นกันแน่งง) เพื่อเป็นการเผยแพร่ขั้นตอนรายละเอียดในการคัดเลือกแบบเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถี ซึ่งค่อนข้างวุ่นวายขายปลาช่อนมีการแก้ไขแบบเรือถึง 3 รอบ เสร็จเรียบร้อยยังมีการเจรจาเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกสักพักใหญ่ๆ แต่ถึงกระนั้นโครงการนี้กลับใช้เวลาค่อนข้างน้อย ส่งหนังสือเชิญชวนเดือนธันวาคม 2524 และมีพิธีลงนามสัญญาเดือนพฤษภาคม 2526 เท่ากับใช้เวลา 17 เดือนในการคัดเลือกแบบเรือคอร์เวตติดอาวุธทันสมัย

ชมภาพประกอบที่หนึ่งกันก่อนนะครับ ภาพบนเป็นเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีตามแผนการจัดหาในปี 2525 ผู้เขียนวาดและปรับปรุงเพื่อใช้ประกอบบทความนี้โดยเฉพาะ ส่วนภาพล่างเป็นเรือคอร์เวตลำจริงเข้าประจำการสักพักหนึ่งแล้ว หลักฐานที่ชัดเจนก็คือยังไม่ได้เปลี่ยนหมายเลขเรือเป็นแบบสามหลัก ได้มาจากท่านจูดาสในกระดานถามตอบ www.thaifighterclub.org ซึ่งนำมาจากนิตยสารทางทหารต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูง

เรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีใช้แบบเรือ PFMM Mk.16 ของบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง ระวางขับน้ำปรกติ 840 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 960 ตัน ยาว 76.8 เมตรหรือ 252 ฟุต กว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.5 เมตร ติดปืนใหญ่ Oto 76/62 IROF อัตรายิง 100 นัดต่อนาทีลำแรกของราชนาวีไทย ติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ลำแรกของราชนาวีไทย ติดอาวุธปล่ยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE ลำแรกของราชนาวีไทย และติดระบบเป้าลวง Dagaie รุ่นใหม่ทันสมัยลำแรกของราชนาวีไทย เรือลำเล็กก็จริงแต่มีพิษสงน่ากลัวประมาทไม่ได้เลย

ความแตกต่างระหว่างเรือตามแผนการกับเรือจริงมีใหญ่ๆ  2 เรื่อง หนึ่งระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx หายไปจากท้ายเรือ สองระบบส่งสัญญาณรบกวนการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ECM รุ่น Elettronica ELT 318 หายไปจากเสากระโดง ไม่มีจานส่งสัญญาณรบกวน ELT 828 จำนวน 4 ใบทั้งๆ ที่ทำจุดติดตั้งรอไว้แล้ว

สาเหตุที่อุปกรณ์ไม่มาตามนัดคงเป็นเพราะเรื่องงบประมาณ การต่อรองราคาเรือให้ลดลงมาจนอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะยอมรับได้ ผู้เขียนคาดเดาว่าน่าจะมีการตัด Phalanx กับ Elettronica ELT 318 ECM ออกไป

ไม่มาก็ไม่มาเรามาเสาะหาข้อมูลจากฝั่งอเมริกากันบ้างดีกว่า นิตยสาร MARITIME REPORTER AND ENGINEERING NEWS ประจำเดือนตุลาคม 1983 หรือ พ..2526 ลงข่าวเรื่องนี้ในหน้าที่ห้าว่าบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง ได้รับสัญญาสร้างเรือคอร์เวตขนาด 252 ฟุตจำนวน 2 ลำให้กับกองทัพเรือไทย สัญญามูลค่า 143 ล้านเหรียญสำหรับการออกแบบและสร้างเรือคอร์เวต บริษัทได้ใบอนุญาตส่งออกอาวุธตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม และเรือไทยมีการออกแบบคล้ายคลึงเรือตรวจการณ์ขนาด 245 ฟุตซึ่งสร้างให้กับพันธมิตรอเมริกาจำนวน 4 ลำ

การปรับปรุงเรือ

เรือตรวจการณ์ขนาด 245 ฟุตสำหรับพันธมิตรอเมริกาคือเรืออะไร? คำตอบอยู่ในภาพประกอบที่สอง

ระหว่างปี 1981 ถึง 1983 กองทัพเรือซาอุดีอาระเบียเข้าประจำการเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถีขนาดใหญ่ (larger patrol chaser missile craft หรือ PCG) ชั้น Badr จำนวน 4 ลำ ต่อมาไม่นานจึงเปลี่ยนมาเรียกว่าเรือคอร์เวต เรือมีระวางขับน้ำเต็มที่ 1,038 ตัน ยาว 74.7 เมตรหรือ 245 ฟุต กว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึก 2.6 เมตร ติดปืนใหญ่ Oto 76/62 Compact ที่หัวเรือ 1 กระบอก ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx ท้ายเรือ 1 ระบบ อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 นัด รวมทั้งตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำอีก  2 แท่นยิง

เรือซาอุมีขนาดใหญ่เคียงกับเรือไทย ความยาวต่างกันเพียง 7 ฟุต ระวางขับน้ำสูงสุดต่างกันแค่ 78 ตัน เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนกว่าเดิม ผู้เขียนนำเรือทั้งสองลำมาเปรียบเทียบกันในภาพประกอบที่สาม

หัวเรือรูปทรงเหมือนกันติดปืนใหญ่ตำแหน่งเดียวกัน พื้นที่ว่างระหว่างปืนใหญ่กับสะพานเดินเรือของเรือซาอุ เรือไทยสร้าง Superstructure ขึ้นมาเพื่อติดปืนกล 40L70 ลำกล้องแฝดจากอิตาลี สะพานเดินเรือรูปทรงคล้ายกันแต่เรือไทยทรงห้าเหลี่ยมเรือซาอุทรงสี่เหลี่ยม เสากระโดงหลักตำแหน่งใกล้เคียงกันรูปทางแตกต่างกัน ปล่องระบายความร้อนห่างกันก็จริงแต่ท่อระบายความร้อนหน้าตาเหมือนกัน แท่นยิงตอร์ปิโดเบากับ Harpoon ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ท้ายเรือกดให้เตี้ยใกล้น้ำเหมือนกันมีจุดติดอาวุธใกล้เคียงกัน

          เรือรบยุค 80 มักออกแบบให้หัวเรือค่อนข้างสูงใช้ฝ่าคลื่นลมพายุ แล้วค่อยๆ ลดต่ำลงมาจนถึงบริเวณสะพานเดินเรือ จากนั้นดาดฟ้าเรือจะสูงใกล้เคียงกันยาวไปจรดท้ายเรือ ทว่าเรือชั้น Badr กับเรือคอร์เวตไทยหัวเรือไม่สูงสักเท่าไร สันเรือขีดเป็นเส้นยาวจรดสะพานเดินเรือ (ถ้าเป็นรถกระบะนี่คือการตีโป่งออกมาคลุมล้อ) ครั้นพอถึงเสากระโดงดาดฟ้าเรือจะค่อยๆ ลดต่ำลง นี่คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวบ่งบอกถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจน

ก่อนซื้อเรือราชนาวีให้บริษัททาโคม่าแก้แบบเรือถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งได้เรือหน้าตาเปลี่ยนไปจากของเดิมแทบจำไม่ได้ ผู้เขียนเดาว่าต้องการติดตั้งระบบเรดาร์เหมือนเรือยุโรป โดยติดเรดาร์ควบคุมการยิงกับเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำบนเสากระโดงหลัก ส่วนเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศแยกมาติดบนเสากระโดงรอง คล้ายกับเรือหลวงมกุฎราชกุมารซึ่งเราซื้อมาจากบริษัทยาร์โรว์ประเทศอังกฤษ

บังเอิญเรือชั้น Badr ติดเรดาร์ทั้งหมดบนเสากระโดงหลัก  แล้วแยกเรดาร์ควบคุมการยิงมาไว้บนหลังคาสะพานเดินเรือ เหมือนเรือฟริเกตชั้น Knox ชั้น Garcia หรือชั้น Brook อาจไม่โดนใจลูกประดู่ไทยพูดแบบนี้ก็คงไม่ผิด แต่ขอโทษทีเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ  AN/SPS-40 ระยะทำการ 200 ไมล์ทะเลเชียวนะครับ

เรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีต่างจากเรือต้นแบบพอสมควร จะเกิดปัญหาในการใช้งานจริงหรือไม่?

เหตุการณ์คล้ายคลึงกัน

ขอมาทุกคนมาที่โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำในปี 2530 หรืออีก 5 ปีถัดมา บริษัทอิตัลไทย มารีนจำกัด นำแบบเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Province ของบริษัทวอสเปอร์ ธอร์นิครอพท์แห่งประเทศอังกฤษ มาดัดแปลงยืดเฉพาะความยาวไปอีก 9 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ได้ความยาวตลอดลำใหม่เป็น 62 เมตร จากนั้นจึงใส่อาวุธปราบเรือดำน้ำเข้ามาอย่างพร้อมสรรพ เพื่อเข้าร่วมชิงชัยโครงการสำคัญมากอีกโครงการหนึ่ง

บริษัทได้ยื่นซองประกวดราคาและรายละเอียดทั้งหมดในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2530 ใช้เวลา 7 เดือนจึงมีการลงนามสัญญาในวันที่ 24 กันยายน 2530 เรือต้นฉบับกับเรือที่ได้รับการคัดเลือกหน้าตาตามภาพประกอบที่สี่

กองทัพเรือไทยเล่นท่ายากอีกแล้ว คราวเป็นการตีลังกลับหลังสามครั้งติดกัน

แบบเรือจากบริษัทวอสเปอร์ ธอร์นิครอพท์ถูกปรับปรุงจนแทบจำไม่ได้ หัวเรือคล้ายกัน จุดติดปืนใหญ่ 76/62 มม.ที่เดียวกัน สะพานเดินเรือรูปทรงเดียวกันแต่เรือไทยยื่นยาวมาจนสุดไม่เหลือทางเดิน เสากระโดงรูปร่างเหมือนกันจุดติดตั้งใกล้เคียงกัน แต่ทว่าครึ่งลำเรือส่วนหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

มีการสร้างปล่องระบายความร้อนขนาดใหญ่สไตล์อังกฤษ  อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบหายไป ใส่อาวุธปราบเรือดำน้ำเข้ามาแทนที่ 3 ชนิด (ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ เครื่องยิงระเบิดลึก และรางปล่อยระเบิดลึก) มีปืนกล 30 มม.ลำกล้องแฝดจากเยอรมันไว้ป้องกันภัยทางอากาศ กราบเรือสองฝั่งไม่ทาสีดำเหมือนเรือต้นแบบ

การปรับปรุงใหญ่ส่งผลเสียต่อการใช้งานหรือไม่?

ถ้าปรับปรุงกันเองโดยโรงงานห้องแถวมีผลแน่นอน บังเอิญบริษัทอิตัลไทย มารีนทำข้อตกลงกับบริษัทวอสเปอร์ ให้ออกแบบโครงสร้างตัวเรือใหม่ทั้งหมดตามกฎของลอยด์ และให้สถาบันลอยด์แห่งอังกฤษตรวจรับรองแบบโครงสร้างใหม่ทั้งหมด เท่ากับเป็นการสร้างแบบเรือขึ้นมาใหม่อย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ผ่านการคัดเลือกได้รับการสร้างจริงจำนวน 7 ลำ ประกอบไปด้วยเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ เรือตรวจการณ์ปืนจำนวน 3 ลำ และเรือตรวจการณ์ตำรวจน้ำอีก  1 ลำ

แบบเรือตรวจการณ์ขนาด 62 เมตรจากบริษัทวอสเปอร์ มียอดผลิตมากกว่าแบบเรือ PSMM Mk-5 หรือ Patrol Ship Multi-Mission ของบริษัททาโคม่า ซึ่งบริษัทอิตัลไทย มารีนนำมาสร้างเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงคลองใหญ่จำนวน 6 ลำ จนถึงปัจจุบันยังคงเป็นอันดับหนึ่งเรือตรวจการณ์ขนาด 50-60 เมตรของไทย แต่ถ้านับรวมทั้งโลกจำต้องพ่ายแพ้ให้กับ PSMM Mk-5 ซึ่งมีใช้งานกับ 4 ประเทศจำนวนเรือที่สร้างมากถึง 20 ลำ

เรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีในปัจจุบัน

เบื้องหลังการจัดหาเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ กองทัพเรือไทยได้เรือรบติดอาวุธ 3 มิติจำนวน 2 ลำชื่อเรือหลวงรัตนโกสินทร์ลำที่สองกับเรือเรือหลวงสุขโขทัยลำที่สอง เข้าประจำการมาอย่างยาวนานจนถึงปัจุบัน เป็นกำลังรบหลักโดยเฉพาะเรื่องต่อสู้อากาศยาน จนกระทั่งเรือหลวงนเรศวรกับเรือตากสินได้รับการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ภาระอันแสนหนักอึ้งของเรือลดลงอย่างฮวบฮาบทันตาเห็น

ภาพประกอบที่ห้าคือเรือหลวงสุโขทัยถ่ายเมื่อเดือนที่แล้ว สภาพโดยรวมมีการปรับปรุงค่อนข้างน้อยมาก (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเรือฟริเกตจากประเทศจีน) มีการติดเรดาร์เดินเรือเพิ่มเติมบนหลังคาสะพานเดินเรือ เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ ZW06 ถูกแทนที่ด้วยของใหม่อย่าง Scout Mk3 ระบบตรวจการแพร่คลื่นเรดาร์หรือ ESM รุ่น Elettronica ELT 211 ถูกแทนที่ด้วย ES-3601 อันเป็นรุ่นมาตรฐานทัพเรือไทย

บริเวณท้ายเรือแทบมองความเปลี่ยนแปลงไม่เห็น มีการติด SATCOM สื่อสารผ่านดาวเทียมในจุดที่เตรียมไว้ให้ Phalanx ซึ่งไม่มาตามนัดหมาย อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASPIDE Mk1 มีข้อมูลว่าถูกแทนที่ด้วย ASPIDE 2000 รุ่นใหม่ระยะยิงเพิ่มเป็น 25 กิโลเมตร โชคร้ายอย่างถึงที่สุดผู้เขียนไม่เคยเห็นของจริงสักครั้ง

แม้ไม่มีภาพถ่ายอาวุธทันสมัยจากอิตาลี บังเอิญผู้เขียนมีข้อมูลจากจัดซื้อจัดจ้างกองทัพเรือมาฝาก มีการตั้งงบประมาณจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถี ASPIDE จำนวน 10 นัดในเดือนกันยายน 2556 โดยใช้งบประมาณปี 2557 วงเงิน 256 ล้านบาทหรือเท่ากับราคานัดละ 25.6 ล้านบาท ภาพประกอบสุดท้ายแสดงข้อมูลหนึ่งเดียวที่พอจะช่วยยืนยันเรื่องนี้ ราคาซื้อจริงอาจคลาดเคลื่อนเล็กน้อย 10 ถึง 15 ล้านประมาณนี้

นี่คือการจัดหา ASPIDE 2000 มาใช้งานบนเรือหลวงรัตนโกสินทร์กับเรือหลวงสุโขทัย ยังเหลือแค่เพียงทดลองยิงจริงให้ผู้เขียนได้เห็นเป็นบุญตา จำนวน 10 นัดน่าจะมากเพียงพอกับการใช้งาน 10 ถึง 15 ปี

บทความโครงการเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีเดินทางมาถึงตอนจบ ภาพประกอบออกแนวเศร้าๆ เก่าๆ หมองๆ หม่นๆ อย่าว่ากันเลยเน่อ ไว้แก้ตัวในครั้งถัดไปวันนี้ขอกล่าวคำอำลาสวัสดีครับ J

++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

นิตยสารสงคราม หรือ ALL WARFARE WARFARE ปีที่ 6 เล่มที่ 161 วันที่ 30 พฤษภาคม 2526

นิตยสาร MARITIME REPORTER AND ENGINEERING NEWS ประจำเดือนตุลาคม 1983       

http://magazines.marinelink.com/Magazines/MaritimeReporter/198310/content/completes-143million-financing-204109

http://www.supplyonline.navy.mi.th/pdf2/8365.pdf

https://en.wikipedia.org/wiki/Badr-class_corvette

https://thaimilitary.blogspot.com/2019/12/htms-khamronsin.html

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2129742613833636&id=169697976504786

http://www.shipspotting.com/gallery/photo.php?lid=792682

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น