ก่อนปี
2021
จะผ่านพ้นไปในอีกไม่ถึง 20 วัน
ผู้เขียนขอนำบทความเล็กๆ หรือข่าวสารซึ่งเคยเผยแพรในเฟซบุ๊กส่วนตัว
มานำเสนอเป็นบทความปิดท้ายให้อ่านกันยาวๆ เป็นการทบทวนเนื้อ คัดเลือกมาจำนวน 10
เรื่องติดตามได้เลยครับ
Vol1
คืนนี้ก่อนนอนผู้เขียนมีของดีจากอู่ต่อเรือ
Navantia สเปนมาฝาก เรือคอร์เวต Navante 2200
ลำแรกของกองทัพเรือซาอุดิอาระเบีย เริ่มทดสอบเดินเรือในอ่าว Cádiz เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้เรียบร้อย
เรือคอร์เวตใหม่เอี่ยมชื่อ
NB 546 Al Jubail จะทดสอบเดินเรือเป็นเวลา 2
เดือนเต็ม เสร็จเรียบร้อยจึงนำกลับมาซ่อมบำรุงทาสีใหม่ให้เรียบร้อย
เตรียมส่งมอบให้กับลูกค้ากระเป๋าหนักที่ตะวันออกกลาง ซึ่งตามสัญญาคาดว่าจะครบทุกลำภายในปี
2024
กองทัพเรือซาอุดีอาระเบียเซ็นสัญญามูลค่า
1.8 พันล้านยูโร ซื้อเรือคอร์เวต Avante 2200 จำนวน
5 ลำจาก Navantia นำมาทดแทนเรือคอร์เวตเก่าซึ่งมีอายุใกล้ครบ
40 ปีแล้ว เรือถูกปรับปรุงเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับความต้องการ ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,470 ตัน ยาว 104 เมตร กว้าง 14
เมตร กินน้ำลึก 3.8 ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD เครื่องยนต์ดีเซล
4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ออกปฏิบัติการได้นานสุด 21 วัน
ระบบอาวุธและเรดาร์บนเรือสนุกสนานตื่นเต้นเร้าใจมาก
พลิกไปพลิกมาตลอดเวลาราวกับภาพยนตร์ทอง 2 ของอาฉลอง
ข้อมูลที่ชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีครับ ทว่าตอนนี้มีภาพที่ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ
เรามาไล่ตรวจสอบจากหัวเรือถึงท้ายไปพร้อมกัน
ปืนหลักเป็น
Oto 76/62 Super Rapid จากอิตาลี
มองเห็นแท่นยิงแนวดิ่งเรียงตัวแบบประหลาดนับได้ 16 ท่อยิง
สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA พลิกโผไปจาก
ESSM ซึ่งเป็นเต็งหนึ่งตลอดกาลหน้าตาเฉย บอกตามตรงผู้เขียนยังเกือบพลาดหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ
ใช้ระบบอำนวยการรบของ
Navantia เรดาร์ควบคุมการยิงหน้าตาเหมือน CEROS200 ของ SAAB แต่กลับกลายเป็น DORNA ของ Navantia เช่นกัน ระบสงครามอิเล็กทรอนิกส์มีทั้ง
ECM และ ESM ของ Indra จากสเปนเช่นกัน
เลยสะพานเดินเรือไปเล็กน้อยเห็นจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ RWS ขนาดไม่น่าเกิน 25 มม.แต่ไม่มีข้อมูลจริงๆ
เรดาร์ตรวจการณ์
3 มิติ
TRS-4D AESA ระยะทำการ 250 กิโลเมตร
ที่ว่างกลางเรือใส่เรือยางท้องแข็ง RHIB ขนาด 5.5
เมตรพร้อมเครน ที่ว่างข้างปล่องระบายความร้อนสำหรับแท่นยิงระบบเป้าลวง
(ยังไม่ได้ติดตั้ง) ถัดไปหน่อยเดียวเป็นแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
MM40 Exocet Block III ซาอุถีบเต็งจ๋า
Harpoon Block II ตกทะเลแดงอย่างสุดแสนโหดร้าย
บนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์คือระบบป้องกันตนเองระยะประชิด
Millenium Gun พร้อมออปทรอนิกส์ควบคุมการยิง DORNA (เดี๋ยวนี้ DORNA เริ่มส่งออกได้หลายประเทศแล้ว
อินโดนีเซียจัดหามาใช้งานเจ้าแรกในอาเซี่ยน)
ขนาบสองกราบเรือด้วยแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ เป็นอันว่าติดอาวุธครบทั้ง 3
มิติ
ทีนี้มาชมภาพประกอบที่สองกันต่อ
มองเห็นลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน มีห้องควบคุมอากาศยานที่กราบขวา
Avante 2200 มีโซนาร์ปราบเรือดำน้ำทั้งหัวเรือและท้ายเรือ
ในภาพมองเห็นช่องปล่อยตีโป่งเล็กน้อยอย่างชัดเจน ตามข่าวบอกว่าเป็น CAPTAS 2 ของ Thales ทำงานได้ทั้งโหมด Passive และ Active ขนาดกะทัดรัดแต่ประสิทธิภาพสุดเร้าใจ
แหม่...เรือคอร์เวตยุคนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
ถ้าซาอุจัดหา VL MICA NG ระยะยิง 40
กิโลเมตรมาใช้งาน จะช่วยป้องกันภัยทางอากาศได้ดีกว่าเดิม
https://twitter.com/Navanti.../status/1435211445499842560
Vol2
ผู้เขียนมีเรือสวยๆ
จากฝรั่งเศสมาให้ชม นี่คือเรือ Courbet F712
ผ่านการปรับปรุงใหม่เรียบร้อยแล้ว เธอเป็น 1 ใน 5 เรือฟริเกตชั้น Lafayatte
ที่คนทั่วโลกรู้จักดี ใช้แบบเรือ FL-3000
ลดการตรวจจับด้วยคลื่นเรดาร์หรือ Stealth รุ่นแรกๆ ของโลก
ขายดิบขายดีถึง 20 ลำประจำการอยู่ใน 4 ชาติ ช่วงปี 200x ใครไม่รู้จัก
Lafayatte ถือว่าเชยระเบิดระเบ้อ
แม้แบบเรือทันสมัยล้ำยุคจนหลายชาติตาค้าง
แต่กองทัพเรือฝรั่งเศสติดอาวุธเพียง 2 มิติเท่านั้น
ตัดระบบปราบเรือดำน้ำออกไปทั้งหมด ไม่มีระบบแท่นยิงแนวดิ่งทั้งๆ
ที่มีพื้นที่รองรับ ด้วยเหตุผลสั้นๆ ใช้ดูแลเขตเศรษฐกิจจำเพาะตัวเองเท่านั้น
ตอนซื้อเรือถูกกำหนดภารกิจไว้แบบนี้ก็จริง
แต่ที่ผู้เขียนเห็นภาพบ่อยครั้งในช่วงหลังๆ ก็คือ
เรือทำหน้าที่ประกบเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบชั้น Mistral แล่นขนาบข้างไปไหนไปกันถึงตะวันออกกลางมาแล้วด้วยซ้ำ
โดยมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Exocet กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Crotale เป็นอาวุธหลักคู่กาย
Courbet
F712 เข้าประจำการ วันที่ 1 เมษายน 1997 ต่อมาในเดือนตุลาคม 2020
เรือถูกปรับปรุงใหญ่ครั้งแรก โดยเปลี่ยนระบบอำนวยการรบจาก Tativic เป็น Senit เหมือนเรือฟริเกตรุ่นใหม่
ติดตั้งออปทรอนิกส์ควบคุมการยิงปืนใหญ่ 100 มม.รุ่น Sea Eagle ใช้อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
Exocet MM40 Block 3C รุ่นใหม่ล่าสุด ติดตั้งโซนาร์ปราบเรือดำน้ำ
Thales Kingklip ที่หัวเรือ มาพร้อมระบบเป้าลวงตอร์ปิโด
Canto รุ่นใหม่
ไม่มีแท่นยิงตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำบนเรือ
แต่มีตอร์ปิโด MU 90 บนเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือ
อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Crotale หมดอายุแล้วถูกถอดออกไป
ใส่แท่นยิง Sadral ขนาด 6
ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral จำนวน 2
แท่นยิงเข้ามาแทน ระยะยิงหดลงมาจาก 15 กิโลเมตรเหลือเพียง 6 กิโลเมตร
แท่นยิง
Sadral เป็นของเก่าจากเรือฟริเกตชั้น Georges Leygues นำมาปรับปรุงใหม่ใส่ระบบตรวจจับเป้าหมายรุ่นใหม่ ทำงานร่วมกับ
Mistral 3 รุ่นล่าสุดยิงเรือยางพลีชีพหรือเรือตรวจการณ์ขนาดเล็กได้
เป็นทางเลือกที่ประหยัดเงินที่สุดแม้อาจไม่เหมาะสมที่สุด
เรือฟริเกตชั้น
Lafayatte เพียง 3 ลำเท่านั้นที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
เพื่อให้มีความทันสมัยประจำการไปอีกพักหนึ่ง Courbet F712
ปรับปรุงเสร็จปี 2021 และมีแผนปลดประจำการปี 2031 อายุการใช้งาน 34 ปีถือว่าสมควรกับเหตุและผล
ฝรั่งเศสไม่อยากเสียเงินปรับปรุงมากไปกว่านี้ นำเงินมาสร้างเรือฟริเกต FTI ประจำการแทนในอนาคตดีกว่า
ถ้าเป็นเรือไทยงานนี้ต้องมีชุดใหญ่ไฟกะพริบแน่นอน
https://www.seaforces.org/.../Frigat.../F-712-FS-Courbet.htm
Vol3
วันที่
11 สิงหาคม 2021 รายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งของเติร์กเมนิสถาน
ได้นำเสนอข่าวเรือคอร์เวตลำใหม่สร้างเองในประเทศทำการส่งมอบกับกองทัพเรือ
โดยมีพิธีเข้าประจำการเรืออย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดี
Kurbankulu Berdimuhammedov เป็นประธานในพิธีดังกล่าว
ย้อนเวลากลับไปวันที่
2 สิงหาคม 2019 กองทัพเรือเติร์กเมนิสถาน เซ็นสัญญากับบริษัท
Gulhan & Dearsan Business Partnership สั่งซื้อเรือคอร์เวตความยาว
65 เมตรจำนวน 1 ลำ ตามโครงการเรือคอร์เวตชั้น Turkmen ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่
เรือลำนี้จะสร้างเรือที่เมือง Turkmenbashi และเป็นเรือรบลำแรกที่เติร์กเมนิสถานสร้างเองในประเทศ โดยใช้แบบเรือจากอู่ต่อเรือ Dearsan ประเทศตุรกีซึ่งเป็นคู่ค้าบริษัท Gulhan นี่คือข้อมูลปลายปี
2019 ซึ่งผู้เขียนเขียนไว้ในบทความ "Tuzla Class Anti-Submarine
Patrol Boat"
ผ่านไป
2 ปีพอดิบพอดี เรือคอร์เวตสร้างเองของเติร์กเมนิสถานปรากฏโฉมอวดชาวโลกเป็นครั้งแรก
ทว่าแบบเรือกลับกลายเป็น Corvette C92จากบริษัท
Dearsan เจ้าเดิม โดนใช้สถานที่สร้างเรือในฐานทัพเรือ
Turkmenbashi จนแล้วเสร็จ
ติดระบบอาวุธและเรดาร์รุ่นใหม่ทันสมัยมากกว่าเรือฟริเกตแท้ๆ หลายชาติด้วยซ้ำ พอดีผู้เขียนไม่ได้ตามข่าวนี้ต่อจึงไม่ทราบเหตุผลที่เปลี่ยนแบบเรือ
แต่ประทานโทษ...เรือลำใหม่โหดกว่าเดิมหลายเท่าตัว
Corvette
C92 ระวางขับน้ำ 1,600 ตัน
(ใกล้เคียงเรือหลวงกระบี่) ยาว 91.4 เมตร กว้าง 13.3 เมตร กินน้ำลึก 3.5
เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ระบบขับเคลื่อนแบบ CODAD ใช้เครื่องยนต์
MAN 18VP185 จำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 26
นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,000 ไมล์ทะเล
ตัวเรือสร้างจากเหล็กเก๋งเรือเป็นอลูมีเนียมใช้ลูกเรือ 100 นาย
ระบบอาวุธไล่จากหัวเรือเป็นปืนใหญ่
Oto 76/62 Super Rapid รุ่นเดียวกับเรือหลวงภูมิพล
ต่อด้วยแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL-MICA จำนวน 2
ระบบ 16 นัด ซึ่งดูเหมือนว่าเติร์กเมนิสถานจะติดตั้งแค่เพียง 8 นัด
(ต้องรอนับท่อยิงของจริงก่อนผู้เขียนถึงกล้ายืนยัน) ต่อด้วยปืนกลอัตโนมัติ
STAMP RWS 12.7 มม.อีก 2 กระบอก ตุรกีผลิตเองรูปร่างหน้าตาคล้ายปืนกลอิตาลีเหลือเกิน
กลางเรือมีแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ OTOMAT Mk2 Bl 4 จำนวน 8 นัด เติร์กเมนิสถานใช้จรวดจากอิตาลีอยู่ก่อนแล้วแต่ในภาพกราฟิกผู้เขียนมองไม่เห็นแท่นยิง
ต่อด้วยแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำอีก 2 แท่นยิงซึ่งผู้เขียนมองไม่เห็นเช่นกัน ติดตั้งระบบเป้าลวงตอร์ปิโด HIZIR ไว้กลางเรือ
ระบบเป้าลวงอาวุธนำวิถีไม่ทราบรุ่นตั้งอยู่ใกล้กับปืนกลอัตโนมัติ STOP RWS ขนาด 25 มม.อีก 2 กระบอก
เหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด
Gokdeniz ซึ่งใช้ปืนกล 35 มม.ลำกล้องแฝดสร้างโดยตุรกีเป็นอาวุธใหม่เอี่ยมอ่อง
ที่อยู่ด้านหลัง Gokdeniz คือจรวดปราบเรือดำน้ำ
Roketsan ขนาด 6 ท่อยิงระยะยิง 2 กิโลเมตร
เท่ากับว่าเรือคอร์เวตชั้น Corvette C92 ชื่อ Deniz
Han ของเติร์กเมนิสถาน มีอาวุธปราบเรือดำน้ำถึง 2 ชนิดด้วยกัน
ระบบตรวจจับมีทั้งเรดาร์ตรวจการณ์
3 มิติในโดมรูปกรวยบนสุดเสากระโดง เรดาร์ควบคุมการยิงอาวุธปืน 1ตัว
ออปทรอนิกส์ตรวจการณ์ 2 ตัวหน้าหลัง ระบบค้นหาและติดตามอินฟราเรด
ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง ECM และ
ESM รวมทั้งระบบดาต้าลิงก์ทันสมัยให้ลูกค้าเลือกใช้งาน แต่เรือ
Deniz Han ไม่ได้ติดอุปกรณ์แจมเรดาร์หรือ ECM เพราะมีราคาแพงเกินไป
รายละเอียดที่ชัดเจนทั้งหมดต้องรอในภายหลังนะครับ แต่ทว่าผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นอุปกรณ์ที่ตุรกีสร้างเองทั้งหมด
รวมทั้งระบบอำนวยการรบ G-MSYS หรือ GENESIS ต้องมาอย่างแน่นอน
ปากีสถานสั่งซื้อเรือคอร์เวตชั้น
MILGEM จากตุรกีจำนวน 4 ลำ สร้างเองในประเทศ 2 ลำโดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการต่อเรือรุ่นใหม่
(เรือคอร์เวตลำที่ 1 เพิ่งทำพิธีปล่อยเรือไปหมาดๆ เมื่อวานนี้ที่ตุรกี)
เติร์กเมนิสถานสั่งซื้อเรือคอร์เวตชั้น Corvette C92
จากตุรกีจำนวน 1 ลำ
สร้างเองในประเทศโดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการต่อเรือรุ่นใหม่ นี่คือวิธีการซื้อเรือรบที่สุดแสนคุ้มค่ายิ่งกว่าแฟลตปลาทองรังสิต
อ้างอิงจาก
https://en.defenceturk.net/dearsan-c92-corvette.../...
https://twitter.com/Barbaro.../status/142596607023030682
Vol4
ระหว่างปี 2011
กองทัพเรือมาเลเซียผุดโครงการใหญ่ที่สุดมูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญขึ้นมา
โดยใช้ชื่อว่า Second
Generation Patrol Vessel หรือ SGPV เพื่อจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยจำนวน 6 ลำเข้าประจำการ
มีบริษัทเอกชนต่างชาติเข้าร่วมชิงชัยจำนวน
6 ราย ผลการตัดสินผู้ชนะเลิศคือ DCNS จากฝรั่งเศส หรือ Naval Group ในปัจจุบัน ซึ่งเสนอแบบเรือ Gowind 2500 รุ่นใหม่ทันสมัยของตัวเอง
คัดเลือกแบบเรือได้แล้วเรื่องถัดไปคือการเจรจาต่อรอง มาเลเซียต้องการปรับปรุงขยายขนาดเรือใหญ่โตกว่าเดิม
และต้องการสร้างเรือทุกลำในประเทศด้วยตัวเอง
โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีกับทรัพย์ทางปัญญาจากฝรั่งเศส
การเจรจาต่อรองและปรับปรุงเรือกินเวลาจนถึงปลายปี 2014
ชื่อโครงการถูกเรียกใหม่สั้นกว่าเดิมว่า Littoral combat ships หรือ LCS มูลค่ารวมโครงการขยับขึ้นมาจบที่ 2.8 พันล้านเหรียญ
ขนาดเรือยาวขึ้นกลายเป็น 111 เมตร ระวางขับน้ำสูงขึ้นเช่นกันอยู่ที่ 3,100 ตัน
แบบเรือ LCS ลำนี้จึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า Gowind 3100 และใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าเรือฟริเกตชั้น Maharaja Lela
มีการก่อตั้งบริษัทย่อยของ Boustead Naval Shipyard หรือ BNS อู่ต่อเรือขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศขึ้นมา
รองรับการสร้างเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยจำนวน 6 ลำ
มีการปรับปรุงสถานที่รวมทั้งก่อสร้างจุดประกอบเรือในร่ม
เพิ่มเติมอุปกรณ์ทันสมัยสำหรับยกชิ้นส่วนเรือประกอบกัน ตอนนี้มาเลเซียพร้อมสร้างเรือฟริเกตแล้ว
เรือ LCS ลำที่หนึ่งกำหนดให้ใช้ชื่อ Maharaja Lela 2501 มีพิธีวางกระดูกงูวันที่ 8 มีนาคม 2016
มีพิธีปล่อยเรือลงน้ำเป็นข่าวโด่งดังทั่วโลกในวันที่ 24 สิงหาคม 2017
เรือจะสร้างแล้วเสร็จพร้อมทดสอบเดินเรือในปี 2018
ส่งมอบให้กับกองทัพเรือและเข้าประการจริงภายในปี 2019
เนื่องจากสถานที่กับอุปกรณ์ต่างๆ มีความพร้อมเต็มที่ เรือ LCS ลำที่สอง ลำที่สาม และลำที่สี่ทยอยสร้างเพิ่มเติมระหว่างปี 2017 ถึง 2018
ทุกสิ่งทุกอย่างดูสวยหรูงดงามเป็นไปตามแผนการทั้งหมด ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเค้าลางความวุ่นวายค่อยๆ
ปรากฏตัวขึ้นมา เนื่องจากเรือลำที่หนึ่งสร้างเท่าไรก็สร้างไม่เสร็จเสียที
ปี 2020
รัฐบาลมาเลเซียออกมาเปิดเผยว่าโครงการอภิมหาโพรเจ็คเกิดปัญหาใหญ่
การก่อสร้างไม่เป็นไปตามแผนการรวมทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาหลายอย่างรุมเร้าเข้ามา ทั้งเรื่องอู่ต่อเรือ BNS ทำงานล่าช้าติดขัดปัญหาโน่นนั่นนี่วุ่นวายไปหมด
เรื่องการเมืองภายในประเทศมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลและฟ้องร้องคดีทุจริต
รวมทั้งเรื่องงบประมาณที่ต้องจัดหาเพิ่มเติมในช่วงเวลาไม่มีเงิน
บวกกับเจอพิษร้ายโรคระบาดรุนแรงระดับ Global Panic คุกคาม
จนต้องปิดประเทศเป็นเวลายาวนานข้ามวันข้ามปี
ข่าวสารโครงการ Second Generation Patrol Vessel หรือ Littoral combat ships เงียบหายไปประมาณหนึ่งปีกว่าๆ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2021
รัฐบาลมาเลเซียออกมาเปิดเผยว่าจะเริ่มต้นเดินหน้าโครงการนี้อีกครั้ง ให้อู่ต่อเรือ BNS เจ้าปัญหาจัดการเหมือนเดิม ไม่ใช้บริการจาก Naval Group ตามแผนสอง หรือยกเลิกโครงการไปเลยตำแผนสาม กำหนดส่งมอบเรือลำที่หนึ่ง Maharaja Lela 2501 เลื่อนไปเป็นปี 2025
โครงการนี้มาเลเซียจ่ายเงินไปแล้วประมาณ 1.8 พันล้านเหรียญ
การสร้างเรือแล้วเสร็จประมาณ 55.7 เปอร์เซ็นต์จำเป็นต้องเดินหน้าต่อสานให้จบ
มูลค่ารวมโครงการสูงขึ้นแน่นอนมากน้อยแค่ไหนว่ากันอีกที
วันนี้ผู้เขียนมีภาพเรือ Maharaja Lela 2501 เพิ่งถ่ายได้ไม่กี่วันที่ผ่านมามาฝาก
รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงภาพเดิมในพิธีปล่อยเรือลงน้ำปี 2017 เพียงแต่ไม่มีเสากระโดงเรือ Integrated Mast คาดว่าถอดออกไปเก็บรักษาที่อื่น
จอดอยู่ในจุดประกอบเรือในร่มไล่เรียงไปกับเพื่อนๆ อีก 3 ลำ สภาพภายนอกทรุดโทรมเล็กน้อยตามกาลเวลานั่นแหละครับ
รอดูกันต่อไปว่าปี 2025
เรือฟริเกตสร้างเองในประเทศลำแรกของมาเลเซีย...จะมาตามนัดหรือไม่
อ้างอิงจาก
https://twitter.com/xaviervav/status/1460961330505129987...
https://adj.com.my/.../malaysia-to-go-ahead-with-delayed.../
https://en.wikipedia.org/wiki/Maharaja_Lela-class_frigate
https://www.malaysiandefence.com/run-for-your-lives/
Vol
5
คิดว่าเพื่อนๆ
สมาชิกอาจเบื่อเรือเก่ากันแล้ว ผู้เขียนขอพาทุกคนมาที่งานแสดงอาวุธ Defence
Exhibition Athens 2021 หรือ DEFEA 2021 จัดขึ้นระหว่างวันที่
13-15 กรกฎาคม 2021 ที่กรุงเอเธนประเทศกรีซ บริษัท Fincantieri จากอิตาลีนำแบบเรือฟริเกต FREMM ของตัวเองมาจัดแสดงในงานนี้ด้วย
นี่คือแบบเรือ 1 ใน 6 ที่เข้าร่วมชิงชัยโครงการ Hellenic Navy's Future
Frigate ของกรีซที่กำลังเข้มข้นดุเดือดเร้าใจ และเป็นแบบเรือที่ผู้เขียนชื่นชอบเพราะเต็มไปด้วยปืนจำนวนมาก
เรือฟริเกตชั้น
FREMM เวอร์ชันอิตาลีขายดิบขายดีพอสมควร
นอกจากอียีปต์ขอซื้อเรือต่อไปจากกองทัพเรือตัวเองจำนวน 2 ลำแล้ว
ยังถูกคัดเลือกในโครงการจัดหาเรือฟริเกต FFG(X) ของอเมริกา อันมีมูลค่าค่อนข้างสูงเพราะมีจำนวนรวมมากถึง
15 ลำ ต่อด้วยทัพเรืออินโดนีเซียต้องการจัดหามากถึง 6 ลำ ยอดขายรวมมีโอกาสแซงหน้า
Type 26 ของอังกฤษอย่างแน่นอน
มาชมข้อมูลโมเดลเรือที่ถูกนำมาจัดแสดง
เรือฟริเกตชั้น FREMM เวอร์ชันกรีซหรือเปล่าไม่แน่ใจ
มีระวางขับน้ำเต็มที่ประมาณ 6,500 ตัน ยาว 144 เมตร กว้าง
19.7 เมตร บริเวณหัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ Oto 127/64 Vulcano
ยิงกระสุนต่อระยะโจมตีชายฝั่งได้ไกลสุดถึง 100 กิโลเมตร
ถัดไปหน่อยเดียวเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง SYLVER 50จำนวน 32 ท่อยิง
สำหรับอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aster-15 กับ Aster-30 (ใส่ได้ท่อยิงละ 1 นัด) หรือ Albatros NG (ใส่ได้ท่อยิงละ
2 นัด) รวมทั้งอาวุธนำวิถีโจมตีชายฝั่งระยะไกล
หลังคาสะพานเดินเรือติดเรดาร์ตรวจการณ์
2 มิติ
Selex RAN-30X/I ทำงานได้มาถึง 4
โหมดรวมทั้งตรวจจับเป้าหมายผิวน้ำระยะเกินขอบฟ้า สูงขึ้นมาหน่อยเดียวเป็นเรดาร์ควบคุมการยิง
Selex NA-25X บนสุดเสากระโดงคือเรดาร์ตรวจการณ์
3 มิติ Selex SPY-790
EMPAR มาพร้อมอุปกรณ์ตรวจจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์และระบบเรดาร์พิสูจน์ฝ่าย
360 องศา โคนเสากระโดงติดอุปกรณ์รบกวนคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ NETTUN0 4100 นี่คือแจมเมอร์ตัวเจ๋งที่สุดของฝั่งยุโรปอิตาลีไม่ยอมขายให้ใครง่ายๆ
ต่ำลงมาจาก
NETTUN0 4100 เพียงเล็กน้อยคือปืนกลอัตโนมัติ Oto KBA25 ขนาด 25 มม.อาวุธมาตรฐานกองทัพเรืออิตาลีในปัจจุบัน
พื้นที่กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ Otomat/Teseo Mk2 จำนวน 8 นัด สลับกับปืนกลอัตโนมัติ Oto Single Fast Forty ขนาด 40 มม. บริษัท Fincantieri ระบุว่าเป็นปืนรอง (
ส่วน KBA25 เป็นปืนรองของปืนรองอีกทีสินะ)
Oto
Single Fast Forty ในภาพเป็นเวอร์ชันเก่าหาได้ยากมาก
ถ้ารุ่นใหม่ล่าสุดป้อมปืนทรงเหลี่ยมเหมือนบนเรือยกพลขึ้นบกของตุรกีหาได้ยากเช่นกัน
(ที่ขายดีจะเป็นรุ่นลำกล้องแฝด) อัตรายิงถูกปรับปรุงให้ยิงเร็วสุดถึง 450
นัดต่อนาที บรรจุกระสุนในป้อมปืน 144 นัดไม่ต้องใช้งานพื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือ
KBA25 มีอุปกรณ์ควบคุมการยิงมาพร้อมสรรพ
แต่ Single Fast Forty ไม่มีจำเป็นต้องจัดหาเพิ่มเติม
ในภาพอาจอยู่ขนาบสองข้างเสากระโดงรองก็เป็นได้
บนเสากระโดงรองมีเรดาร์เดินเรือสำหรับควบคุมเฮลิคอปเตอร์ลงจอด
กับเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ Selex RAN-21S ระยะทำการไกลสุด 120 กิโลเมตร เข้ามาช่วยเสริมการทำงานให้กับ EMPAR
เรดาร์หลักรุ่นใหม่ทันสมัย
ทั้งปืนกล
Single Fast Forty และเรดาร์ Selex RAN-21S
มาจากยุค 80 โน่น ทำไมถึงมาโผล่บนเรือยุค 2021 ผู้เขียนไม่เข้าใจเหมือนกัน
แต่ก็เอาเถอะเรามาว่ากันต่อดีกว่าเนอะ
ข้างปล่องระบายความร้อนติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงอาวุธนำวิถี SCLAR-H สามารถกระดกปรับทิศทางได้ บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์คือปืนใหญ่ Oto76/62 STRALES กับเรดาร์ควบคุมการยิง Selex
NA-25X ลำกล้องปืนขนาดใหญ่โตกว่า
Single Fast Forty ก็จริง
บังเอิญถูกจัดให้เป็นอาวุธป้องกันตนเองระยะประชิดหรือ CIWS
มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์รองรับ
NH90 NFE หรือ AW101 Merlin
ฝั่งขวามือ ส่วนฝั่งซ้ายเป็นโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับขนาดพอสมควร
ท้ายเรือมีจุดติดตั้งโซนาร์ทันสมัยรุ่น CAPTAS-4 เพียงแต่ผู้เขียนเข้าใจว่าไม่ได้ติดตั้ง
เพราะเป็นแบบเรือฟริเกตอเนกประสงค์จึงตัดออกไปพร้อมระบบเป้าลวงตอร์ปิโด
โซนาร์ปราบเรือดำน้ำหัวเรือเป็นรุ่น
Thales USM 4110 ทำงานคู่กับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mu 90 บังเอิญไม่ได้ติดตั้งโซนาร์ CAPTAS-4
ประสิทธิภาพในการตรวจจับน้อยลงกว่าเดิม ข้อมูลระบบปราบเรือดำน้ำผู้เขียนขอเปรียบเทียบกับเรือฟริเกต
FREMM ของอิตาลี ลูกค้าอยากติด CAPTAS-4
เพิ่มบนเรือเวอร์ชันนี้ย่อมทำได้ แต่อาจต้องตัด Single Fast Forty ออกไปเพื่อติดระบบเป้าลวงตอร์ปิโด
เป็นการอธิบายที่ค่อนข้างยาวพอสมควร
เนื่องจากเรือมีอาวุธปืนชนิดต่างๆ ถึง 6 กระบอกรอบลำ
แล้วยังเหลือพื้นที่ว่างติดปืนกล 12.7 มม.เพิ่มเติมได้อีก 4-6 กระบอก
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับแบบเรือรุ่นใหม่ ส่งผลให้เรือสามารถติดอาวุธแบบ
Heavyweight ได้ตามความต้องการลูกค้า
อ้างอิงจาก
https://twitter.com/D__Mitch/status/1414855299073196032
Vol
6
วันที่
13 สิงหาคม 2021 เรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบ ITS Trieste (L 9890) ของกองทัพเรืออิตาลี
เริ่มทดสอบเดินเรืออย่างเป็นทางการบริเวณท่าเรือเมืองเนเปิ้ล
โดยได้ติดตั้งระบบต่างๆ เพิ่มเติมมากกว่าเดิม ประกอบไปด้วย
เรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลาง
Leonardo Kronos Star Fire AESA แปะอยู่เหนือสะพานเดินเรือมองเห็นชัดเจน
ส่วนเรดาร์ตรวจการณ์ระยะไกล Leonardo Kronos Power Shield AESA ซึ่งตัองแปะคู่กันตอนนี้ของยังไม่มา
อุปกรณ์สำคัญอีกหนึ่งชนิดคือระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Elettronica Neptune 4100 ECM เป็นโดมกลมๆ
ติดที่ปลายหัวเรือในภาพถ่ายจะอยู่เหนือเรือลากจูง
ประสิทธิภาพสูงมากแจมอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบตกน้ำได้อย่างสบาย
อุปกรณ์ชิ้นนี้อิตาลีค่อนข้างหวงเป็นพิเศษ
ถึงขนาดไม่ยอมขายให้อียิปต์ที่ซื้อต่อเรือฟริเกต FREMM ของตัวเองไปใช้งานจำนวน 2 ลำ แต่กลับมีติดบนเรือคอร์เวตต่อสู้อากาศยานของกาตาร์ซึ่งสร้างในอิตาลีเช่นกัน
ITS
Trieste ขนาดใหญ่โตกว่าเรือบรรทุกเครื่องบินแท้ๆ ของอิตาลีด้วยซ้ำ
ระวางขับน้ำเต็มที่ 33,000 ตัน ยาว 245 เมตร กว้าง 47 เมตร
กินน้ำลึก 6.1 เมตร นอกจากระบบเรดาร์ซึ่งจัดแน่นจัดเต็มแล้ว
ระบบอาวุธป้องกันตัวเองยังไม่น้อยหน้าเรือลำไหน โดยมีทั้งปืนใหญ่ 76/62 มม.รุ่น
STRALES ยิงกระสุนนำวิถีต่อสู้อากาศยานรุ่น DART ได้ใช้เป็น CIWS จำนวน 3 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติ 25
มม.ไว้ยิงเรือเล็กอีก 3 กระบอก และแท่นยิงแนวดิ่ง SYLVER-50
จำนวน 2 ระบบ 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ASTER-30 ระยะยิง 100 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด หรือ Albators NG ( CAMM ER) ระยะยิง 40 กิโลเมตรจำนวน 32 นัด
ลานบินขนาดใหญ่โตยาวถึง
230 เมตร กว้าง 36 เมตร ในภาพถ่ายติดตั้งสกีจัมป์เรียบร้อยแล้วที่กราบซ้าย
เป็นอุปกรณ์สำคัญอีกหนึ่งอย่างเพิ่มเข้ามาหลังพิธีปล่อยเรือลงน้ำ
ITS Trieste รองรับอากาศยานได้มากสุดถึง 30 ลำ
มีจุดขึ้นลงสำหรับเฮลิคอปเตอร์ถึง 9 จุด มีลิฟต์ขนาด 40 ตันอีก 2 ตัว
โรงเก็บอากาศยานใต้ดาดฟ้าเรือชั้นสองยาว 107 เมตร กว้าง 21 เมตร
บรรจุอากาศยานชนิดต่างๆ ได้จำนวน 14 ลำ
หรืออาจผสมยานพาหนะน้ำหนักเบาอาทิเช่นรถลำเลียงพล รถบรรทุก รถหุ้มเกราะเข้ามาจำนวนหนึ่ง
บริเวณชั้นล่างสุดท้ายเรือเป็นอู่ลอยหรือ
well deck ความยาว 50 เมตร กว้าง 15 เมตร บรรจุเรือระบายพลขนาด 23
เมตรได้จำนวน 4 ลำ ที่อยู่ถัดไปเป็นโรงจอดยานพาหนะน้ำหนักมากอาทิเช่นรถถัง ยาว 55
เมตร กว้าง 18 เมตรอยู่สูงกว่าอู่ลอยขึ้นมาเล็กน้อย เรือลำนค้มีห้องพักรองรับนาวิกโยธินจำนวน
605 นาย มากเพียงที่จะทำภารกิจสำคัญๆ ตามคำสั่งกองทัพเรือ
ด้วยคุณสมบัติต่างๆ
ซึ่งผู้เขียนพิมพ์เสียจนปวดนิ้ว ส่งผลให้เรือทำภารกิจได้อย่างหลากหลาย
ตั้งแต่ช่วยเหลือประเทศเล็กๆ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไปจนถึงทำลายประเทศเล็กๆ
ด้วยอาวุธและกำลังทหารบนเรือ แต่เนื่องมาจากราคาเรือค่อนข้างแพงโหดเลือดสาด
อิตาลีมีกำลังสร้างขึ้นมาใช้งานแค่เพียงลำเดียว โดยมีกำหนดเข้าประจำการจริงในปี
2022 นับเป็นเรือลำใหญ่ที่สุดของตัวเองหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
https://twitter.com/WarshipCam/status/1426233654846558210
https://www.seaforces.org/.../Amph.../L-9890-ITS-Trieste.htm
Vol
7
วันที่
22 พฤศจิกายน 2021 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกองทัพประเทศฝรั่งเศส
แสดงความยินดีต่อการพร้อมปฏิบัติการจริงของเรือ Alsace D656 ซึ่งเป็นเรือฟริเกตชั้น FREMM ลำที่ 7 จากจำนวน
8 ลำ โดยเป็นเพียง 2 ลำที่ถูกกำหนดให้ทำภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ
และมีอีกหนึ่งลำชื่อ Lorraine D657 ตอนนี้กำลังทดสอบเดินเรือพร้อมประจำการปีหน้า
Alsace
D656 เข้าประจำการวันที่ 16 เมษายน 2021
ลูกเรือใช้เวลาฝึกซ้อมครึ่งปีจนพร้อมออกสนามรบจริง
ติดตั้งอาวุธและเรดาร์เหมือนรุ่นปราบเรือดำน้ำจำนวน 6 ลำแรก
ระบบโซนาร์และอาวุธปราบเรือดำน้ำมาครบถ้วน ระบบป้องภัยจากเรือดำน้ำมาครบถ้วนเช่นกัน
ไม่เหมือนเรือฟริเกตชั้น FREMM ของอิตาลีรุ่นปราบเรือผิวน้ำถูกตัดโซนาร์ลากท้ายกับเป้าลวงตอร์ปิโดออกไป
สิ่งที่แตกต่างสำคัญๆ
มีเพียงเรื่องระบบแท่นยิงแนวดิ่ง VLS หน้าสะพานเดินเรือ
รุ่นปราบเรือดำน้ำใช้แท่นยิง Sylver A43 จำนวน 16
ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aster-15
ระยะยิง 30 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด กับแท่นยิง Sylver A70
จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่ง Storm Shadow ระยะยิง 1,000 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด ทว่า
Alsace D656 ติดตั้งแท่นยิง Sylver A50 จำนวน
32 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aster-15
ระยะยิง 30 กิโลเมตร และหรือ Aster-30 ระยะยิง 120 กิโลเมตรจำนวน
32 นัด
สิ่งที่แตกต่างมากกว่านี้ก็คือมีการปรับปรุงระบบอำนวยการรบ
SETIS ให้ดีกว่าเดิม คอนโซนควบคุมและสั่งการเพิ่มขึ้นเป็น 20 หน้าจอ
มีการปรับปรุงระบบเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Herakles ระยะทำการ
300 กิโลเมตรให้ตรวจจับเป้าหมายดียิ่งขึ้น ใช้เรดาร์ควบการยิงปืนใหญ่รุ่น
Thales STIR EO MK 2 ทดแทนของเก่าซึ่งเป็นออปโทรนิกส์รุ่น
Sagem Najir ปรับปรุงระบบสื่อสารให้รองรับภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ
รวมทั้งมีการเสริมโครงสร้างสะพานเรือรองรับน้ำหนักซึ่งเพิ่มเติมขึ้นมา
Alsace
D656 กับ Lorraine D657
ถูกเรียกชื่อชั้นย่อยว่า FREMM-DA เข้ามาเสริมทัพการป้องกันภัยทางอากาศให้กับกองเรือ
แต่ยังคงสามารถทำภารกิจอื่นๆ ได้ดีเหมือนเดิม
สมกับเป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ยุคใหม่ที่แท้จริง ทั้งคู่จะเป็นตัวช่วยเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศแท้ๆ
ชั้น Horizon ซึ่งฝรั่งเศสมีเพียง 2 ลำเท่านั้น
เนื่องจากเรือฟริเกตชั้น Cassard ติด SM-1 ปลดประจำการครบถ้วนแล้วทั้ง 2 ลำ
https://twitter.com/.../status/1462745032281178119/photo/1
https://www.mbda-systems.com/.../the-alsace-the-french.../
Vol
8
วันที่
30 กรกฎาคม 2021 บริษัท Saab ประเทศสวีเดนได้เซ็นสัญญากับ
German Federal Office of Bundeswehr Equipment, Information Technology and
In-Service Support หรือ BAAINBw อันเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมประเทศเยอรมัน
จัดตั้งขึ้นมาในปี 2012 เพื่อดูแลการจัดหาและปรับปรุงอาวุธให้กับทหารทุกเหล่าทัพ
สัญญามูลค่า
4.6 พันล้านโครนสวีเดนเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเรือฟริเกตชั้น
Brandenburg หรือ F123 กองทัพเรือเยอรมัน
ประกอบไปด้วยติดตั้งระบบอำนวยการรบ 9LV เรดาร์ตรวจการณ์ 3
มิติระยะไกล Sea Giraffe 4A เรดาร์ตรวจการณ์
3 มิติระยะใกล้ Sea Giraffe 1X และเรดาร์ควบคุมการยิง
Ceros 200 ซึ่งมาพร้อมเสาอากาศช่วยนำวิถีอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานและระบบพิสูจน์ฝ่ายจากบริษัทคู่ค้า
ชมภาพประกอบกันสักนิด
เสากระโดงหลักกับเสากระโดงรองเหมือนเรือหลวงภูมิพลของเราเลยแฮะ
เพียงแต่ในโดมเสากระโดงหลักเป็นเรดาร์ Sea Giraffe 1X ไม่ใช่ Sea Giraffe AMB โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
เรดาร์ 1X กับ 4A เปิดตัวใกล้เคียงกันเพื่อทำงานร่วมกัน
ช่วยเติมเต็มให้กันและกันเสริมจุดอ่อนลบจุดด้อย ต่อไปในอนาคตจะเห็นเรือติดเรดาร์คู่นี้ทั้งหมดอย่างแน่นอน
เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น
Brandenburg หรือ F123 เยอรมันมีจำนวน 4 ลำ ทยอยเข้าประจำการตั้งแต่ปี 1994 ถึง 1996
ใช้ระบบอำนวยการรบ Atlas Elektronik ของเยอรมันทำงานคู่กับระบบเรดาร์
Thales ของเนเธอร์แลนด์ ต่อมาในปี 2005
ได้มีการปรับปรุงเรือครั้งแรก โดยเปลี่ยนมาใช้ระบบอำนวยการรบ TACTICOS ของเนเธอร์แลนด์พร้อมเรือฟริเกต F122 จำนวน 8 ลำ
(หมายความว่าใครซื้อ F122 ไปจะได้ระบบอำนวยการรบ TACTICOS สินะ)
การปรับปรุงเรือครั้งที่สอง F123 ย้ายค่ายมาอยู่ Saab
แบบล้างบาง ไม่เกรงใจบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปทั้งสองรายสักนิด
เรื่องราวที่เยอรมันแปลกประหลาดพิกล
เรือฟริเกตรุ่นใหม่ F125
ยังใช้ระบบอำนวยการรบประเทศตัวเองอยู่เลย ทำไม F123 ถึงพลิกโผมาเลือก
Saab ผู้เขียนไม่มีความเห็นจริงๆ
มันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านี้ แต่ทว่าเรื่องราวที่สวีเดนแปลกประหลาดยิ่งกว่า
ในรอบหลายปีมานี้
Saab ขายเครื่องบิน Gripen ไม่ได้เลย
ล่าสุดก็พ่ายแพ้ยับเยินที่สวิสเซอร์แลนด์ซึ่งเคยเลือกซื้อ Gripen E ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่สินค้าใช้งานทางทะเลกลับขายดีเทน้ำเทท่า
ดีลที่ได้รับจากฟินแลนด์และเยอรมันช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ขนาดอเมริกาซึ่งผลิตได้ทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
ยังขอซื้อเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB ไปติดบนเรือตัวเอง
ซื้อเรดาร์ควบคุมการยิง Ceros 200
ไปติดบนเรือส่งออกขายให้ซาอุดีอาระเบียกับกรีซ กินน้อยแต่กินนานแล้วยังได้กินต่อไปเรื่อยๆ
การปรับปรุงเรือฟริเกตจำนวน
4 ลำ
Saab ได้รับสัญญาแค่ระบบอำนวยการรบกับระบบเรดาร์
จึงไม่มีข้อมูลการปรับปรุงระบบอาวุธซึ่งบางอย่างล้าสมัยไปแล้ว ผู้เขียนคาดเดาว่าปืนใหญ่
76/62 มม. ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RAM ปืนกลอัตโนมัติขนาด
27 มม. รวมทั้งระบบเป้าลวง MASS จะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Sparrow อาจได้
ESSM มาแทนที่ ส่วนอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38
Exocet ในภาพประกอบ เยอรมันนำ Harpoon มาใช้งานแทนสักพักใหญ่ๆ
แล้ว ถ้ายังไม่หมดอายุคงใช้งานไปก่อนดีกว่าเสียเงินซื้อใหม่
https://www.saab.com/.../saab-receives-order-to-modernise
Vol
9
เพื่อนๆ
สมาชิกทุกคนรู้จักเดอะแบกทัพเรืออียิปต์กันหมดแล้ว วันนี้ผู้เขียนขอพามาพบ
‘เดอะภาระ’ หรือ ‘เดอะถ่วง’
ปี
1984 ถึง 1985 กองทัพเรืออียิปต์เข้าประจำการเรือฟริเกตซื้อจากจีนจำนวน 2 ลำ
Type 053 HE ของพวกเขามีความแตกต่างจากต้นฉบับหลายจุดด้วยกัน
เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 1,425 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,700 ตัน ยาว 103.2 เมตร กว้าง 10.2 เมตร กินน้ำลึก 3.05 เมตร
ใช้เครื่องยนต์ดีเซล SEMT-Pielstick จำนวน 2 เครื่อง
ทำความเร็วสูงสุด 25.5 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,000
ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต
ระบบอาวุธป้องกันตนเองประกอบไปด้วย
จรวดปราบเรือดำน้ำ Type 86 หรือ
RBU-1200 จำนวน 4 แท่นยิง (รวมทั้งหมด 20 ท่อยิง) ปืนใหญ่ขนาด 57
มม.ลำกล้องแฝดจำนวน 2 แท่นยิง ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 37 มม.ลำกล้องแฝดจำนวน 6
แท่นยิง ปิดท้ายด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ SY-1 Silkworm
จำนวน 4 นัด
ที่ผู้เขียนใช้คำว่าเดอะภาระอาจดูรุนแรงไปบ้าง
เนื่องจากเรือมีแต่อาวุธเก่าโซเวียตยุคสงครามเย็นช่วงแรกๆ
อียิปต์ไม่เคยปรับปรุงให้ทันสมัยมีแบบไหนก็ใช้แบบนั้น
เกิดการปะทะกับเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยจากชาติใดก็ตาม
นอกจากทำอะไรเขาไม่ได้ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด
จำเป็นเหลือเกินที่เรือลำอื่นจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
ผู้เขียนขอนำเรือหลวงเจ้าพระยาของไทยมาเปรียบเทียบ
เนื่องจากในปัจจุบันกลายเป็นเดอะภาระทร.ไทยไปเสียแล้ว
เริ่มต้นจากหัวเรือมาถึงท้ายเรือเข้าใจง่ายดี จรวดปราบเรือดำน้ำ
Type 86 เขามี 4 แท่นยิงส่วนเรามีแค่ 2 แท่นยิง ปืนใหญ่เรือเราขนาด
100 มม.อำนาจทำลายล้างดีกว่าเขาซึ่งมีขนาดเพียง 57 มม.
เรดาร์ตรวจการณ์ใช้รุ่นเดียวกันฉะนั้นคะแนนเท่ากัน ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 37
มม.เขามี 6 แท่นยิงเหนือกว่าเราซึ่งมี 4 แท่นยิง อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
C-801 จำนวน 8 นัดของเราเหนือกว่า SY-1 Silkworm
จำนวน 4 นัดของเขา
สรุปคะแนนได้ฝั่งละ
2 แต้มเท่ากันพอดี ไม่มีผลแพ้ชนะไปวัดกันที่เดอะแบกต่อไป
เนื้อหาบทความ
Egyptian Navy Air Defence System ครึ่งแรกบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า
เรือคอร์เวตชั้น Descubierta ก็ดี เรือฟริเกตชั้น
Knox ก็ดี หรือเรือฟริเกตชั้น Oliver Hazard Perry ก็ดี อายุการใช้งานมากกว่า 30 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น จำเป็นต้องหาเรือใหม่ทันสมัยเข้ามาประจำการทดแทน
ที่อียิปต์ซื้อเรือรบแบบรัวๆ
มีเหตุผลที่ดีรองรับ เมื่อพวกเขาได้เรือใหม่ต้องปลดประจำการเรือเก่าตามวาระ
เรือฟริเกต Type 053 HE อวดโฉมชาวโลกครั้งสุดท้ายระหว่างปี
2019 คือการเข้าร่วมฝึกซ้อมกับเรือฟริเกตชั้น Floreal แห่งกองทัพเรือฝรั่งเศส
หลังจากนั้นก็หายไปเลยน่าจะปลดประจำการในปี 2020
ภาพประกอบจาก
https://commons.wikimedia.org/.../File:Egyptian_frigate
Vol
10
เช้าวันพุธผู้เขียนพาไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้าน
ในภาพถ่ายคือเฮลิคอปเตอร์ AW159 Wildcat กองทัพเรือฟิลิปปินส์ มองเห็นทั้งเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ AESA จากอิตาลีรุ่น Seaspray multi-mode electronically-scanning
(E-scan) ที่ใต้คาง และกล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ทันสมัยที่ปลายจมูก
มาพร้อมโซนาร์ชักหย่อนหรือ Dipping Sonar รุ่น
Compact FLASH (Folding Light Acoustic System for Helicopters) จาก
THALES ทำภารกิจปราบเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำได้เป็นอย่างดี
ในภาพ
Wlidcat ติดตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ K745 Chung
Sang Eo หรือ Blue Shark จากเกาหลีใต้
ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตบอกว่ายิงได้ไกลสุดถึง 19 กิโลเมตร ฟิลิปปินส์สั่งซื้อ
Wildcat จำนวน 2 ลำมูลค่า 100 ล้านเหรียญกว่าๆ
นำมาประจำการบนเรือฟริเกตใหม่ 2 ลำซื้อมาจากเกาหลีใต้
ซึ่งมีราคาค่อนข้างเป็นมิตรภาพกับกระเป๋าสตางค์
แต่สามารถติดอาวุธทันสมัยเพิ่มเติมได้เพราะมีพื้นที่ว่างสำหรับแท่นยิงแนวดิ่ง
VLS จำนวน 8 ท่อยิง กับจุดติดตั้งระบบป้องกันตนเองระยะประชิดหรือ
CIWS อีก 1 ระบบ
AW159 Wildcat น้ำหนักบินขึ้นสูงสุดประมาณ 6 ตัน
มีใช้งานกับกองทัพเรืออังกฤษ 28 ลำ กองทัพบกอังกฤษ 34 ลำ กองทัพเรือเกาหลีใต้ 8 ลำ
และกองทัพเรือฟิลิปปินส์ล่าสุดอีก 2 ลำ บริษัทผู้ผลิตนำเฮลิคอปเตอร์
Westland Super Lynx มาพัฒนาเพิ่มเติมให้ทันสมัยมากขึ้น
นอกจากตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำชนิดต่างๆ แล้ว ยังสามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ-สู่-พื้น
Martlet ระยะยิง 8 กิโลเมตร และ Sea Venom ระยะยิง
20 กิโลเมตร สำหรับจัดการเป้าหมายผิวน้ำและบนชายฝั่งได้ด้วย
เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำประจำเรือฟริเกตคือสิ่งที่ราชนาวีไทยขาดหายไป
การทำภารกิจในปัจจุบันจะนำเรือหลวงจักรีนฤเบศรออกทะเล
โดยมีเรือรบจำนวนหนึ่งตามไปช่วยคุ้มกันผิวน้ำใต้น้ำอีกหนึ่งทอด
หากเรือหลวงจักรีติดขัดปัญหาออกทะเลไม่ได้จริงๆ กองเรือฟริเกตที่ 1 และ 2
มีเพียงเรือหลวงภูมิพลลำเดียวที่สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ
S-70B อาจเป็นเพราะเหตุนี้กองทัพเรือจึงกำหนดให้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำใหม่ที่กำลังจะจัดหาในอนาคต ต้องมีลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน
อ่านทบทวนอีกครั้งรู้สึกแปลกดีเหมือนกัน
ทำไมไม่จัดหาเรือฟริเกตแท้ๆ มาใช้งานเหมือนชาวบ้านชาวช่อง แต่ก็อย่างว่าผู้เขียนอาจเข้าใจผิดไปเองก็ได้
กลับมาพูดถึงเฮลิคอปเตอร์กับแผนเสริมทัพฟิลิปปินส์กันต่อดีกว่าเนอะ
อย่างที่ผู้เขียนเคยเขียนบทความถึงพวกเขากำลังจะซื้อเรือคอร์เวตเพิ่มอีก
2 ลำ ขนาดใหญ่กว่าติดอาวุธเยอะกว่าเรือฟริเกตลำใหม่ด้วยซ้ำ
ในอนาคตหากฟิลิปปินส์ซื้อ Wildcat มาเพิ่มอีก 2
ลำ ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าค่อนข้างดีมากเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้งาน
มีเรือผิวน้ำดีๆ 4 ลำแล้วสามารถนำเงินมาทุ่มซื้อเรือดำน้ำสัก 2 ลำเพิ่มเติมได้
หวังว่าพรรคพวกจะไม่ยางแตกไปเสียก่อนเหมือนเพื่อนบ้านตัวเองเน่อ
เครดิตภาพถ่ายจาก
บทความ
Philippine Navy Corvette Acquisition Project
https://thaimilitary.blogspot.com/.../philippine-navy
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น