โครงการจัดหาเรือฟริเกตกองทัพเรือชิลี
ปี
1997
กองทัพเรือชิลีเริ่มต้นโครงการใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
คือการจัดหารเรือฟริเกตรุ่นใหม่จำนวนมากถึง 8 ลำ
เข้าประจำการทดแทนเรือเดิมของตนเองทั้งหมด ‘Tridente Frigate Program’ หรือ ‘Project
Tridente’ คือชื่อเรียกโครงการสำคัญโครงการนี้ แบ่งออกเป็นสามเฟสโดยเฟสแรกต้องการสี่ลำ
เฟสที่สองจำนวนสองลำ โดยอาจมีเฟสสามอีกสองลำตามมาในอนาคต หนึ่งในความต้องการของกองทัพกับรัฐบาลก็คือ
เรือทุกลำต้องสร้างขึ้นเองภายในประเทศ
ข้อดีของโครงการนี้มีด้วยกันมากมาย หนึ่งได้เรือรุ่นเดียวกันใช้งานทั้งกองเรือ
แต่ติดตั้งอาวุธแตกต่างกันตามภารกิจ สองได้เรือใหม่ใช้งานได้อีกอย่างน้อยสี่สิบปี
ต่างจากของเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นเรือมือสอง ราคาถูกก็จริงแต่ต้องเสียเงินปรับปรุงเพิ่มเติม
อายุใช้งานต่อให้ลากอย่างไรก็ไม่เกินยี่สิบปี สามได้พัฒนาอุตสาหกรรมสร้างเรือในประเทศ
รองรับการซ่อมบำรุงทั้งน้อยและใหญ่ได้ด้วยตนเอง และสี่เป็นก้าวแรกในการสร้างเรือรบขึ้นเองในอนาคต
ปัญหาของโครงการนี้ย่อมมีเช่นกัน
นอกจากความพร้อมของอุตสาหกรรมสร้างเรือในประเทศ โครงการนี้ยังต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่มหาศาล
ประมาณการคร่าวๆ การสร้างเรือจำนวน 6 ถึง
8 ลำในเวลา 15 ปี ใช้งบประมาณอย่างน้อยๆ หนึ่งพันล้านดอลลาร์
หารออกมาได้เท่ากับลำละ 125 ล้านเหรียญถึง 166.6 ล้านเหรียญ
ผู้เขียนขอแทรกความเห็นส่วนตัวเล็กน้อย
นี่คือราคาที่คำนวณในปี 1997 นะครับ และค่อนข้างมองโลกในแง่ดีเกินไปสักหน่อย
อันเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดในโครงการใหญ่
สปอยล์เรื่องเสร็จเรากลับมาที่กองเรือผิวน้ำอีกครั้ง ในปีนั้นเองราชนาวีชิลีมีเรือรบหลักจำนวน
8 ลำประกอบไปด้วย
เรือ
4
ลำแรกเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Condell
ซึ่งก็คือเรือฟริเกตชั้น Leander หรือ Type 12I รุ่นส่งออกของอังกฤษ ชิลีสั่งซื้อมือหนึ่งจำนวนสองลำประกอบไปด้วย PFG-06 Condell และ PFG-07 Lynch มีระวางขับน้ำปรกติ 2,500 ตัน ยาว 113 เมตร กว้าง 12 เมตร กินน้ำลึก 5.5 เมตร ติดตั้งปืนใหญ่ 4.5 นิ้วลำกล้องแฝด 1 กระบอก ปืนกล 20 มม. 2 กระบอก อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seacat แฝดสี่ 1
แท่นยิง ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสาม 2 แท่นยิง
อาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38 Exocet จำนวน 4 นัดบริเวณท้ายเรือ โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ SA319B Alouette III ซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็ก
ต่อมาในปี
1990
กองทัพเรือชิลีซื้อเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง AS332 SuperPuma มาใช้งาน 4 ลำ ถัดมา 3 ปีเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์
AS532SC Cougar อีก 6 ลำก็ตามมา Cougar สามารถติดจรวด AM39 Exocet ติดได้ถึง 2 ลูก เรือฟริเกตทั้ง 2 ลำปรับปรุงท้ายเรือรอบรับเฮลิคอปเตอร์ใหม่ พร้อมถอดแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ
MM38 Exocet ออกไป แล้วติดจรวด MM40 Exocet รุ่นใหม่กว่าในตำแหน่งเดิมแท่นยิงตอร์ปิโดเบา
ส่วนแท่นยิงตอร์ปิโดเบาถูกโยกย้ายลงมาชั้นล่าง ติดระบบเป้าลวง Seagnat ขนาด 130 มม.จำนวน 4 ชุด ส่วนจรวด Seacat ใช้งานลากยาวมาจนถึงปี 1998
โน่น
ชิลียังขอซื้อเรือฟริเกต
Type
12I มือสองจากอังกฤษมาอีก 2 ลำ ประกอบไปด้วย PFG-08 Ministro Zenteno ในปี 1991 และ PF-09 Baquedano ในปี 1992 ทั้งสองลำเป็นเรือชั้น Leander Batch III ระวางขับน้ำมากกว่าเรือชิลีเล็กน้อย ใช้อาวุธเหมือนกันหมดยกเว้นได้ปืนกล 40
มม.แทนปืนกล 20 มม. การซ่อมบำรุงหรือจัดหาอาวุธจึงทำได้อย่างสะดวก
ผู้เขียนขอย้อนเวลากลับมาสู่ยุคกางเกงขาบาน
เนื่องจากเรือชั้นนี้มีอะไรน่าสนใจมากมาย ภาพซ้ายมือคือเรือ PFG-06 Condell ในปี 1978 ทำสีพรางคล้ายเรืออังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
สวยงามและแปลกตามากจนกลายเป็นจุดเด่น ส่วนภาพขวามือแสดงท้ายเรืออย่างชัดเจน
เห็นแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Seacat
ต่อด้วยเฮลิคอปเตอร์ SA319B Alouette III บินขึ้นจากลานจอด
ปิดท้ายด้วยแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM38 Exocet
สี่ท่อยิง
PFG-06 Condell และ PFG-07 Lynch เป็นเรือที่คนชิลีส่วนมากภูมิใจ เพราะเป็นเรือฟริเกตมือหนึ่งซึ่งนานๆ ครั้งรัฐบาลถึงจะอนุมัติ
เรือทั้งสองลำยังมีเรื่องราวน่าสนใจหลายเรื่อง
ติดตามได้ในท้ายบทความอีกไม่นานเกินรอ
ทีนี้เรามาชมเรือรบที่เหลืออีก
4
ลำ เป็นเรือพิฆาตอาวุธนำวิถีชั้น Country มือสองจากอังกฤษประกอบไปด้วย
1.DLG-11 Captain Prat เข้าประจำการปี 1982
2.DLH-12 Admiral Cochrane เข้าประจำการปี 1984
3.DLG-14 Almirante Latorre เข้าประจำการปี 1986
4.DLH-15 Blanco Encalada เข้าประจำการปี 1987
ในภาพคือเรือพิฆาตบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
DLH-15 Blanco Encalada ระวางขับน้ำ 6,200 ตัน ยาว 158.54 เมตร กว้าง 16 เมตร
กินน้ำลึก 6.4 เมตร ติดปืนใหญ่ขนาด 4.5 นิ้วลำกล้องแฝด 1 แท่นยิง
ถัดมาเป็นแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM-38 Exocet จำนวน
4 นัด กลางเรือมีปืนกล 20 มม.2 กระบอก แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสาม 2 แท่น
ติดระบบแท่นยิงแนวดิ่งของอิสราเอลจำนวน 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Barak 1 ติดเรดาร์ควบคุมการยิง ELM-2221 STGR ของอิสราเอล ระบบสื่อสารและระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ก็ของอิสราเอล ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือรองรับ
AS532SC Cougar หรือ AS332 SuperPuma ได้ถึงสองลำพร้อมกัน
เรืออังกฤษทั้ง
8
ลำมีอายุการใช้งานพอสมควร กองทัพเรือต้องการแทนที่ด้วยเรือใหม่ในอัตราหนึ่งต่อหนึ่ง
จึงเป็นที่มา Tridente Frigate Program อันเป็นเรื่องราวบทความนี้
ชิลีเดินหน้าโครงการอย่างเต็มที่ปลายปี 1999 ต้องการประกาศผลการคัดเลือกกลางปี
2001 ในโครงการนี้มีผู้เข้าร่วมหลายทีมด้วยกัน
โชคร้ายข้อมูลโครงการนี้ไม่มีการเผยแพร่
ผู้เขียนไม่กล้ายืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนโครงการกองทัพเรือแอฟริกาใต้
แต่พอรวมรวบรายละเอียดที่น่าสนใจได้ดังนี้
มาพบกับทีมแรกคือทีมแคนาดาก่อนนะครับ
ปลายปี 1999
พวกเขาได้นำเสนอรายละเอียดโครงการ โดยใช้เรือฟริเกตชั้น Halifax
ของตัวเองเป็นภาพปก แคนาดาแบ่งชนิดเรือออกเป็น 3 ประเภทประกอบไปด้วย
1.เรือฟริเกตใช้งานทั่วไปหรือ
General Porpose Frigate หรือ GP
2.เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ
หรือ Anti-Submarine Frigate หรือ ASW
3.เรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศ
หรือ Air-Defence Frigate หรือ AAW
เรือทั้ง
3
ประเภทผู้อ่านคงคุ้นชื่อเป็นอย่างยิ่ง ทราบไหมครับว่ารายละเอียดแตกต่างกันตรงไหน
นักสืบจิ๋วโคนันจะช่วยเฉลยในบทความนี้ แต่ขอวงเล็บปิดท้ายว่า…เป็นหลักนิยมในปี 1999 สำหรับกองทัพเรือชิลีเสนอโดยทีมแคนาดา
ภาพแรกเป็นรายละเอียดระบบเรดาร์ต่างๆ
รวมมาถึงระบบอำนวยการรบ ข้อแตกต่างมีนิดเดียวก็คือเรือ AAW
ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกล ส่วน GP กับ
ASW ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะกลาง
สีเทากับสีเขียวเป็นรายละเอียดปลีกย่อยในการติดตั้ง ไม่มีอะไรแตกต่างกันเป็นนัยยะสำคัญ
ส่วนภาพสองจะเป็นเรื่องอาวุธปืน
อาวุธนำวิถี ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเป้าลวง
รวมทั้งระบบป้องกันตนเองระยะประชิด เรือ AAW เท่านั้นที่ติดเรดาร์ควบคุมการยิงแท้ๆ
เรืออีกสองชนิดใช้แค่ Electro-Optics ซึ่งมีราคาถูกกว่า เรือ
AAW มีอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะไกลด้วย อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ก็มีเช่นเดียวกับเรืออีกสองประเภท
(เข้าใจว่านำวิถีด้วยอินฟาเรดไม่ต้องใช้เรดาร์ควบคุม) และมีเพียงเรือ GP เท่านั้นที่ติดอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ
มาชมระบบปราบเรือดำน้ำเป็นการปิดท้าย
เรือทุกลำมีโซนาร์หัวเรือ โซโนปุยสำหรับเฮลิคอปเตอร์ ระบบสื่อสารใต้น้ำ
ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ และระบบเป้าลวงตอร์ปิโด แต่เรือ ASW
มีระบบโซนาร์ลากท้าย Towed Array Sonar เพิ่มเติมเข้ามา
ทำงานในโหมด Passive ตรวจจับได้ค่อนข้างไกล
อันเป็นไอเท่มลับที่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำต้องมี
ถัดจากทีมแคนาดาย้ายไปฝั่งยุโรปกัน
ทีมเนเธอร์แลนด์นำเสนอแบบเรือ Next Generation M Frigate โดยการนำเรือฟริเกต Type M ของตัวเองมาปรับปรุงใหญ่
ใช้ระบบอำนวยการรบและระบบเรดาร์ของ Thomson-CSF (ซึ่งในปี 2000
ได้เปลี่ยนมาเป็น Thales Nederland)
แต่ใส่อาวุธอเมริกาไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว
อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ Mk-46
อาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon Block II
และระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RAM
รายละเอียดเรือเนเธอร์แลนด์หาไม่ได้เลย
รู้แค่เพียงเรือลำนี้ถูกพัฒนาต่อเป็นแบบเรือฟริเกตรุ่นใหม่ในปี 2016
แต่แล้วกลับโดนถีบตกโครงการจากแบบเรือใหม่กว่า
อันเป็นแบบเรือที่ประเทศเยอรมันแท้ๆ ยังขอซื้อไปใช้งาน ผู้เขียนขออนุญาติข้ามไปสู่ทีมที่สามนะครับ
นี่คือทีมเต็งหามนอนมาพระสวดที่แท้จริง ต้นปี 2000 ทีมอเมริกาได้เข้ามานำเสนอรายละเอียด
อันเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจที่สุดในสามโลก ข้อเสนอที่ว่าเป็นอย่างไรรับโปรดติดตามได้ทันที
ทีมอเมริกาจะผลักดันการสร้างเรือภายในประเทศ
โดยใช้แบบเรือ Meko 200 รุ่นลดการตรวจจับด้วยเรดาร์
อันเป็นรุ่นพัฒนาปรับปรุงจากแบบเรือ Meko 200 ที่ขายได้ระเบิดระเบ้อในช่วงก่อนหน้า
อารมณ์ประมาณแปลงร่างเรือพิฆาต KDX-I มาเป็นเรือฟริเกต DW3000F
นั่นแหละครับ ระบบอาวุธต่างๆ ลูงแซมใส่พานถวายให้อย่างดี
ประกอบไปด้วย อาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon Block II อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะไกล
SM-2 Block IIIA อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะกลาง ESSM
ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RAM Block I
รวมทั้งระบบโซนาร์ลากท้าย AN/SQR-18A
เรือเยอรมันจับคู่กับอาวุธอเมริกา
แม่เจ้าโว้ย! แค่นี้ก็ฮือฮาทั่วทั้งทวีปอเมริกาใต้
แต่ช้าก่อน…เรื่องนี้ยังไม่จบ! เพราะเป็น
Big Deal ขนาดใหญ่มหึมา อเมริกาเปิดไฟเขียวยอมขายระบบเรดาร์ SPY-1
ที่ตนเองหวงนักหวงหนา เพื่อให้ชิลีใช้งานจรวด SM-2 Block
IIIA ได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ทว่า…แต่ทว่า…แต่ทว่า ระบบอำนวยการรบ Aegis ดันไม่มาตามนัด
รัฐบาลอเมริกาไม่อนุมัติการขายระบบ
Aegis ทำให้ Lockheed Martinต้องหาพาร์ทเนอร์รายอื่นเข้ามาช่วยโครงการ
พวกเขาเลือก SAAB บริษัทดาวรุ่งจากสวีเดนมาจอยกัน เรือจะใช้ระบบอำนวยการรบ
9LV เรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe AMB
เรดาร์ควบคุมการยิง CEROS 200 บนเรือเฟสแรกจำนวน 4 ลำ ส่วนอีก 2-4 ลำจะติดตั้งระบบเรดาร์ SPY-1 พร้อมเรดาร์ควบคุมการยิงขนาดใหญ่กว่าเดิม
ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยว่าใช้อเมริกาเลย (แผนง่าย) หรือพัฒนาของสวีเดนต่อ (แผนยาก)
Lockheed Martin จะถ่ายทอดเทคโนโลยีบางส่วนมายัง SAAB เพื่อให้ระบบอำนวยการรบ
9LV ทำงานกับระบบเรดาร์ SPY-1 และจรวด SM-2
Block IIIA ได้ แต่ประสิทธิภาพคงไม่เทียบเท่าระบบ Aegis แผนนี้นอกจากขายอาวุธให้ชิลีได้แล้ว ยังสามารถขายประเทศอื่นที่ไม่อยากปล่อยระบบ
Aegis อาทิเช่นไต้หวัน พม่า ไทย ฮ่องกง ศรีลังกา หรือเลบานอน
ผู้เขียนขออนุญาตนำเสนอภาพวาดเรือทีมอเมริกา
อันเป็นเฟสแรกทำภารกิจปราบเรือดำน้ำ ใช้ระบบอาวุธและเรดาร์ตามที่ได้เอื้อนเอ่ย จะมีรูปร่างหน้าตาประมาณนี้เลยครับ
นี่คือแบบเรือจากโครงการเรือคอร์เวตประเทศแอฟริกาใต้
อันเป็นแบบเรือ Meko 200 Stealth ลดการตรวจจับด้วยเรดาร์
มีระวางขับน้ำ 3,580 ตัน ยาว 118 เมตร
กว้าง 15 เมตร ติดระบบแท่นยิงแนวดิ่งได้มากถึง 32 ท่อยิง ใช้ปืนใหญ่ 5 นิ้วรุ่นใหม่ของอเมริกา อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
ESSM ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ Mk-46 อาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ
Harpoon Block II และระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx
เพียงเท่านี้ก็เยอะเกินพอในการป้องกันตนเอง
ส่วนภาพนี้เป็นเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศ
(งานหยาบภาพไม่สวยโปรดให้อภัย) ใช้ระบบเรดาร์ SPY-1F เหมือนนอร์เวย์เล็กและเบากว่ารุ่นปรกติ
ติดจรวด SM-2 Block IIIA เพิ่มเติมเข้ามา
ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดเปลี่ยนเป็น RAM แต่โซนาร์ลากท้ายหายไปเพื่อกดราคาเรือ
ใช้ระบบอำนวยการรบ 9LV ในการควบคุมการทำงาน
นี่คือความฝันบนหอแดงของชิลี+อเมริกา+สวีเดน
ที่จะตีตลาดเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศในราคาย่อมเยาว์
เรือเยอรมันจับคู่กับอาวุธอเมริกาใช้ระบบอำนวยการรบสวีเดน
เข้าตากรรมการและเขี่ยคู่แข่งรายอื่นทิ้งทั้งหมด กองทัพเรือชิลีให้ความสนใจเป็นพิเศษ
แต่ข้อสรุปจากทีมอเมริกาทำให้จิตใจไหวหวั่น เรือเฟสแรกจำนวน 4 ลำสร้างเองในประเทศ มูลค่ารวมทั้งโครงการอยู่ที่ 1.3 พันล้านหรือลำละ 325 ล้านเหรียญ
นี่คือกระสุนนัดแรกวิ่งทะลุขั้วหัวใจ
จริงอยู่ว่าการประเมินราคาต่ำกว่าความเป็นจริง แต่ราคาที่เคาะออกมาก็สูงเกินเหตุเช่นกัน
ทั้งนี้เนื่องมาจากช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แอฟริกาใต้ซื้อเรือฟริเกต Meko
A200 จากเยอรมัน 4 ลำวงเงินหนึ่งพันล้านเหรียญหรือลำละ
250 ล้านเหรียญ โดยไม่มีอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานกับระบบป้องกันตนเองระยะประชิด
นำราคาสองอย่างที่ว่ามาบวกเพิ่มยังถูกกว่ากันอยู่ดี ทั้งที่แบบเรือ Meko A200
ใหม่กว่าทันสมัยกว่าแบบเรือ Meko 200 Stealth
กระสุนนัดที่สองย้อนกลับไปในปี
1997
กองทัพอากาศชิลีต้องการเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์จำนวน 24 ลำ โดยตั้งวงเงินไว้ที่ 1 พันล้านเหรียญเช่นกัน รายชื่อเครื่องบินที่ส่งเข้าชิงชัยประกอบไปด้วย
Mirage 2000 ของฝรั่งเศส JAS-39 Gripen ของสวีเดน และ F-16 C/D ของอเมริกา
สิ่งนี้เองคือปัญหาใหญ่สำหรับ Tridente Frigate Program
ปัญหาก็คือปี
2000
รัฐบาลชิลีเกิดถังแตก ไม่สามารถหาเงินมาประเคนให้กับสองโครงการใหญ่
พวกเขาจำเป็นต้องเลือกข้าง ไม่อาจอยู่นิ่งเป็นไทยเฉยให้เด็กมัธยมปีนเกลียว
เดือนธันวาคม 2000 รัฐบาลชิลีประกาศซื้อเครื่องบิน F-16
Block50 จำนวน 10 ลำในวงเงิน 500 ล้านเหรียญ แบ่งเป็นรุ่น C ที่นั่งเดี่ยว 6 ลำ และรุ่น D สองที่นั่งอีก 4 ลำ
เครื่องบินมาพร้อมอาวุธและอุปกรณ์ช่วยรบครบครัน รวมทั้งประกาศยุติโครงการจัดหาเรือฟริเกตกองทัพเรือ
สัญญาซื้อเครื่องบินเซ็นในปี
2002
เครื่องบินเข้าประจำการระหว่างปี 2006 ทว่า F-16
แค่ 10 ลำไม่เพียงพอต่อความต้องการ
เพราะเครื่องบิน Mirage 50/5M ของตัวเองนั้นไม่ไหวจะเคลียร์
เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน 2004 รัฐบาลชิลีประกาศซื้อเครื่องบิน
F-16 MLU จากเนเธอร์แลนด์จำนวน 18 ลำในวงเงิน
150 ล้านเหรียญ แบ่งเป็นรุ่น A ที่นั่งเดี่ยว 11 ลำ รุ่น B สองที่นั่งอีก 7 ลำ ถัดมาอีก 4 ปีชิลีขอซื้อ F-16 MLU รุ่น A ที่นั่งเดี่ยวอีก 18 ลำจากเนเธอร์แลนด์เจ้าเดิม
เพียงแต่คราวนี้ไม่ทราบวงเงินในการจัดหา ระยะเวลาแค่เพียง 6 ปีพวกเขาสั่งซื้อ
F-16 ถึง 46 ลำ
ภาพสวยๆ ภาพนี้คือเครื่องบิน
F-16 C ชิลีเพิ่งสร้างเสร็จกลางปี 2005 ติดกระเปาะชี้เป้า
AN/AAQ-28 (V) Litening Targeting Pod มาพร้อมหมวก
Joint Helmet-Mounted Cueing System หรือ JHMCS ทำงานร่วมกับอาวุธนำวิถีอินฟาเรด Python
4 ในภาพยังมีอาวุธนำวิถีเรดาร์ Derby ของอิสราเอล
กับระเบิดนำวิถี JDAM ขนาด 500 ปอนด์ ขณะที่เครื่องบิน
F-16 MLU ได้รับการปรับปรุงครึ่งอายุ แม้ไม่เทียบเท่าของใหม่ล่าสุดก็ตาม
ทว่าทำงานได้ทัดเทียมกันใช้อาวุธต่างๆ ร่วมกัน
ต้องบอกว่าชิลีโชคดีค่อนข้างมาก
ตัวเองได้เครื่องบินมือสองราคาไม่แพงถึงสองฝูง
ทั้งนี้เนื่องมาจากการล่มสลายของโซเวียต ทำให้หลายชาติในนาโต้รวมทั้งอเมริกา
ต้องลดกำลังทหารและอาวุธราคาแพงลงตามกัน นี่คือสาเหตุที่เนเธอร์แลนด์ขาย F-16
MLU ให้ชิลี และเป็นสาเหตุที่เยอรมันขาย Alphajet ให้ไทยแลนด์ ในราคามิตรภาพยิ่งกว่าถนนแถวบ้านผู้เขียนเสียอีก ให้บังเอิญโชคร้ายเราได้มาเพียง
25 จาก 50 ลำ
โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเองกับคนใกล้ตัว
กองทัพอากาศชิลีสุขสมอารมณ์หมาย
ส่วนกองทัพเรือได้มาก็แต่แห้วกระป๋อง Tridente Frigate Program ล้มเหลวไม่เป็นท่า โครงการจบบทความต้องจบตามด้วยใช่หรือไม่ คำตอบคือยังครับ…ยังไม่จบ โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้
-------------------------------
อ้างอิงจาก
https://base.mforos.com/730111-escuadra-nacional/
http://www.shipspotting.com/gallery/search.php?query=CNS+Almirante+Williams+FF19&x=0&y=0
https://en.wikipedia.org/wiki/Spruance-class_destroyer
https://en.wikipedia.org/wiki/Oliver_Hazard_Perry-class_frigate
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_active_ships_of_the_Chilean_Navy
https://www.forecastinternational.com/notable/defdaily.htm
https://en.mercopress.com/2002/05/08/chilean-navy-ready-to-shop
https://www.lockheedmartin.com/en-ca/chile.html
http://www.f-16.net/f-16_users_article9.html
http://navalphotos.blogspot.com/2011/06/cs-almirante-williams-ff-19.html?m=1
http://navalphotos.blogspot.com/2011/08/cns-almirante-condell-ff06.html?m=1
รายงานเรื่อง
: Navy/Industry
International Dialog 15 February 2000
เอกสาร
: TEAM
CANADA PRESENTATION TO THE CHILEAN NAVY DECEMBER, 20 1999
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น