วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

The Power of the Sea II


ราชนาวีไทยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
 ผู้เขียนเคยเขียนบทความ ‘The Power of the Sea’ หรือ 'โครงการบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ. 2478'  ไปเมื่อสมัยกาลครั้งหนึ่ง คิดว่าจบแล้วเพราะไม่มีประเด็นสำคัญเพิ่มเติม จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้อ่านหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย ) แล้วเจอข้อมูลที่ผู้บัญชาการทหารเรือบันทึกไว้ด้วยลายมือตัวเอง จึงอดไม่ได้ที่จะเขียนบทความกองทัพเรือไทยยุคนั้นอีกครั้ง
ก่อนอื่นขอออกตัวล้อฟรีว่า บทความไหนอ้างอิงข้อมูลต่างประเทศเป็นหลักจะใช้ปีค.. บทความไหนอ้างอิงข้อมูลในประเทศเป็นหลักจะใช้ปีพ.. ส่วนบทความแห่งจินตนาการแล้วแต่อารมณ์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ติดใช้ปีค..มาจากงานที่ทำ ใช้ตัวเลขอารบิกทั้งหมดเพื่อความสะดวกในการพิมพ์ เข้าใจตรงกันแล้วอ่านต่อได้เลยครับ

               
ภาพถ่ายเรือหลวงมัจฉานุในแม่น้ำเจ้าพระยาปี 1938 หรือพ..2486 มองเห็นพระปรางวัดอรุณเป็นภาพเบื้องหลัง ได้มาจาก NSA โดย gCaptain, United State ผลพวงจากโครงการบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ. 2478 นั่นเอง

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2476 รัฐบาลกำหนดให้นโยบายต่างประเทศและยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดรวมทั้งลับสุดยอดที่สุด กองทัพเรือได้รับนโยบายสำคัญมาสานต่อ ก่อนมีการนำเสนอแผนการเสริมกำลังถึง 4 โครงการใหญ่ ไล่เรียงกันไปตามลำดับประกอบไปด้วย
โครงการที่ 1 ขยายกองเรือ
โครงการจัดหาเรือเฟสแรกหรือสกรีมที่หนึ่ง ใช้งบประมาณ 18 ล้านบาทระยะเวลา 6 ปี เพื่อจัดหาเรือรบ เรือช่วยรบ เครื่องบินทะเล และอาวุธประจำเรือ นี่คือโครงการที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี รายละเอียดประกอบไปด้วย
-เรือปืนหนักหุ้มเกราะ 2 ลำ
                -เรือสลุป 2 ลำ
-เรือตอร์ปิโดใหญ่ 9 ลำ
-เรือตอร์ปิโดเล็ก 3 ลำ
-เรือวางทุ่นระเบิด 2 ลำ
-เรือลำเลียง 2 ลำ
-เรือดำน้ำ 4 ลำ
-เครื่องบินทะเล 6 เครื่อง และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆเช่น ปืนใหญ่ ทุ่นระเบิด ฯลฯ
ส่วนข้อมูลแบบเจาะลึกเรือรบทุกลำนั้น ทบทวนข้อมูลทั้งหมดได้จากบทความนี้ครับ


หลังจากได้รับเรือทั้งหมดเข้าประจำการ ราชนาวีไทยในเวลานั้นใหญ่โตขึ้นทันควัน นับเป็นอันดับสองในเอเชียเป็นรองแค่ญี่ปุ่น แต่ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่าการสร้างคน ใช้เวลาและเงินมากกว่าการสร้างเรือหรือเครื่องบิน อาวุธทันสมัยที่เพิ่งได้รับทหารเรือยังไม่คุ้นเคย ต้องใช้ครูฝึกจากต่างประเทศมาช่วยฝึกสอน แต่ฝึกสอนได้แค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ การฝึกฝนกองเรือให้มีความพร้อมรบรวดเร็วที่สุด คือภารกิจสำคัญของผู้นำทัพเรือในเวลานั้น
ลูกประดูไทยได้รับการฝึกซ้อมอย่างหนัก รายจ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่สำคัญถูกตัดทิ้งหมด เพื่อโยกมาลงกับการฝึกซ้อมและจัดหายุทโธปกรณ์ เพราะภัยคุกคามแวะมาเยือนถึงหน้าบ้าน ทหารเรือทุกนายอาจได้ร่วมสงครามเวลาไหนก็ได้ และภัยคุกคามที่แสดงตัวอย่างชัดเจนที่สุด ก็คือประเทศฝรั่งเศสเจ้าของดินแดนอาณานิคมติดกัน

ยุทธนาวีที่เกาะช้าง
ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน 2483 ถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 ได้เกิดกรณีพิพาทระหว่างไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส มีการสู้รบอย่างเต็มรูปแบบระหว่างกองทัพไทย กับกองทัพร่วมของฝรั่งเศสในดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศส มีการรบจริงแบบเต็มรูปแบบทั้งบนน้ำ-ฟ้า-ฝั่ง สามารถหารายละเอียดได้จากทุกแหล่งข้อมูล
หลังประกาศสงครามทัพเรือไทยได้ส่งเรือรบหมวด 1 กองเรือที่ 1 จำนวน 7 ลำ ประกอบไปด้วย เรือหลวงศรีอยุธยา เรือหลวงภูเก็ต เรือหลวงสุราษฎร์ เรือหลวงมัจฉานุกับเรือหลวงสินสมุทรซึ่งเป็นเรือดำน้ำ และเรือหลวงครามกับเรือหลวงตระเวนวารีซึ่งเป็นเรือช่วยรบ เข้ามารักษาการณ์บริเวณเกาะช้าง อันเป็นชายแดนภาคตะวันออกติดกับดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศส เรามาดูภาพจำลองหมวดเรือที่ 1 ของทัพเรือไทยด้วยกัน



ผู้เขียนตัดเรือหลวงครามกับเรือหลวงตระเวนวารีซึ่งเป็นเรือช่วยรบออกไป เหลือแค่เพียงเรือรบแท้ๆ จำนวน 5 ลำ เรือหลวงศรีอยุธยาจะเป็นเรือรบหลัก มีเรือหลวงภูเก็ต เรือหลวงสุราษฎร์เป็นเรือสนับสนุน ใช้เรือดำน้ำจำนวน 2 ลำลาดตระเวนหาข่าว นี่คือแผนการที่ดีที่สุดของเราในตอนนั้น เสียเปรียบก็จริงแต่ไม่ถึงขนาดแพ้ขาดลอย เพราะทางนั้นไม่ทราบว่าเรือดำน้ำเราอยู่หนใด (ยกเว้นตรวจพบจากเครื่องบินได้ก่อน) จะบุกโจมตีหรือถอยทัพย่อมห่วงหน้าพะวงหลัง
ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2484 กองทัพเรือไทยได้ส่งเรือรบจากหมวด 2 กองเรือที่ 1 จำนวน 6 ลำ นำโดยเรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา เรือหลวงชลบุรี เรือหลวงระยอง และเรือหลวงหนองสาหร่ายกับเรือหลวงเทียวอุทกซึ่งเป็นเรือช่วยรบ  เข้ามาผลัดเปลี่ยนกับหมวดเดิมที่ประจำการมานาน เรามาดูภาพจำลองหมวดเรือที่ 2 ด้วยกันอีกครั้ง


ผู้เขียนตัดเรือหลวงหนองสาหร่ายกับเรือหลวงเทียวอุทกซึ่งเป็นเรือช่วยรบออกไป เหลือแค่เพียงเรือรบแท้ๆ จำนวน 4 ลำ เรือหลวงธนบุรีจะเป็นเรือรบหลัก มีเรือตอร์ปิโดใหญ่อีก 2 ลำเป็นเรือสนับสนุน โดยใช้เรือตอร์ปิโดใหญ่ 1 ลำลาดตระเวนหาข่าว อำนาจการยิงอาจสูงกว่าเดิมก็จริง แต่จำนวนเรือรบลดลงมา 1 ลำ และความน่ากลัวหายไปเลยครึ่งต่อครึ่ง เมื่อภัยคุกคามจากใต้น้ำไม่อยู่เสียแล้ว
การตั้งรับโดยมีเรือดำน้ำอยู่ด้วย ถือเป็นแผนการที่ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว แม้ว่าเรือชั้นเรือหลวงมัจฉานุจะเป็นเรือดำน้ำขนาดเล็ก มีน้ำมัน น้ำดื่ม และอาหารน้อยตามกัน พื้นที่ภายในค่อนข้างคับแคบและไม่มีห้องน้ำ ต้องมีเรือพี่เลี้ยงตามประกบเมื่อทำภารกิจนอกฐานทัพ แต่เรือดำน้ำเราไม่ได้ไปไกลจากชายฝั่ง และมีเรือถึง 2 ลำคอยสลับกันลาดตะเวน ฉะนั้นแล้วหมวด 2 กองเรือที่ 1 พร้อมรบเต็มตัว กระบี่มือหนึ่งของทัพเรือไทยพูดแบบนี้ก็คงไม่ผิด
ส่วนการใช้เรือปืนหนักหุ้มเกราะเพื่อตั้งรับ ถือว่าถูกต้องและเหมาะสมกับภารกิจที่สุด เราตั้งใจใช้เรือหลวงศรีอยุธยาเข้าปะทะ แต่ถึงสลับมาเป็นเรือหลวงธนบุรีก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าเราขาดบางสิ่งบางอย่างไป หนึ่งประสบการณ์ในการรบซึ่งหาไม่ได้จากการฝึก และสองดวงคนเราจะซวยอะไรก็ช่วยไม่ได้ ขนาดยิงถูกเรือข้าศึกในการยิงชุดที่ห้าหรือหก แต่กระสุนติดชนวนกระทบแตกที่เตรียมไว้หมดเสียก่อน เรือรบฝรั่งเศสจึงมีแค่รูไม่เสียหายจากแรงระเบิด
และลำสุดท้ายก็คือเรือตอร์ปิโดใหญ่ ลำนี้ไม่ถนัดกับการตั้งรับเป็นอย่างยิ่ง เปรียบได้กับนำแอนดี้ โคลมาเล่นกองหลัง เพราะเรือมีความเร็วสูงระดับจตุรเทพ และน่ากลัวมากเมื่อได้พาบอล (ตอร์ปิโด) ไปกับตัว ครั้นโดนจู่โจมสายฟ้าแลบไม่ทันติดเครื่องยนต์ ความเร็วซึ่งเป็นอาวุธหลักพลันหายต๋อมทันที กลายเป็นบอลโฉ่งฉ่างเอาแต่ยิงสะเปะสะปะ สุดท้ายต้องออกจากสนามแข่งในเวลาไม่กี่อึดใจ
เรื่องนี้โทษลูกเรืออย่างเดียวก็คงไม่ถูก ต่อให้ทัพเรืออังกฤษนำเรือตอร์ปิโดมาตั้งรับก็คงไม่แตกต่าง เพียงแต่ว่าเรามีทางเลือกแค่เพียงเท่านี้ เรือตอร์ปิโดใหญ่จำนวน 9 ลำถือเป็นเรืออเนกประสงค์ ทำหน้าที่ได้อย่างหลากหลายตั้งแต่ลาดตะเวน คุ้มกัน หรือบุกเข้าโจมตี แต่การถูกโจมตีเสียเองตั้งแต่รุ่งสางเรายังไม่พร้อม เรือหลวงระยองที่ออกลาดตระเวนก็ดันไม่เจอข้าศึก รวมทั้งได้ผูกเรือในแนวเดียวกันซวยซ้ำซ้อนอีก ประสบการณ์ในการรบจริงเหมือนเดิมนั่นเอง
ผู้อ่านอาจมีคำถามว่าเรือดำน้ำอีก 2 ลำอยู่ที่ไหน เรือหลวงวิรุณกับเรือหลวงพลายชุมพลอยู่กองเรือที่ 2 ครับ เราเอากองเรือที่ 1 ซึ่งมีอาวุธหนักที่สุดมารับมือ ส่วนกองเรือที่ 2 และกองเรือที่ 3 ทำภารกิจอื่น เมื่อเรือดำน้ำกลับฐานจึงไม่มีลำอื่นเข้ามาทดแทน ถ้าฝรั่งเศสบุกเร็วกว่าเดิมสัก 3 วันคงได้เจอของแข็ง

ยุทธการฮาเตียน
เมื่อยุทธนาวีที่เกาะช้างสิ้นสุดลง เวลาต่อมากองทัพเรือไทยได้ผุดแผนโต้ตอบ ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ยุทธการฮาเตียน ว่ากันว่าเราจะใช้เรือตอร์ปิโดใหญ่ 6 ลำขนทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ โดยมีเรือสลุป 2 ลำทำหน้าที่คุ้มกันและเป็นจ่าฝูง มีการแบ่งกำลังออกเป็น 2 หมวดเรือ เดินทางไปยังท่าเรือฮาเตียนประเทศกัมพูชา ตรงนั้นเองเรือหลวงศรีอยุธยาจะมาพบตามนัด เพื่อทำหน้าที่เป้าหลวงลวงใจให้เรือรบข้าศึกแล่นออกมาชนทุ่นระเบิด จากนั้นเรือทุกลำเริ่มระดมยิงโจมตีชายฝั่ง ก่อนที่นาวิกโยธินบนเรือหลวงศรีอยุธยาจะบุกเข้ายึดท่าเรือ ภาพจำลองกองเรือเฉพาะกิจน่าจะประมาณนี้


ตามแผนนี้ถือว่าแน่นมาก แน่นที่สุด ไม่มีอะไรจะแน่นกว่านี้แล้ว ถ้าเรือดำน้ำของเราใหญ่พอที่จะเดินทางมาด้วยกัน และมีเรือบินทะเลติดเรือสลุปไปด้วยสัก 2 ลำ (ไม่รู้ในภารกิจจริงไปด้วยไหม) แผนภาพจะสมบรูณ์แบบและสง่างามกว่านี้ เพื่อให้ผู้อ่านที่มีความเข้าใจมากกว่าเดิม ผู้เขียนขออธิบายยุทธวิธีการจู่โจมทีละขั้นตอน


เริ่มจากเรือตอร์ปิโดใหญ่ลอบเอาทุ่นระเบิดเข้ามาวาง ซึ่งน่าจะเป็นช่วงกลางคืนหรือเช้าตรู่ประมาณนี้ จากนั้นเรือหลวงเรือหลวงศรีอยุธยาจะลอยลำเข้าใกล้ เป็นเป้าล่อให้เรือรบข้าศึกแล่นเข้าสู่พื้นที่สังหาร


เมื่อจัดการกองเรือฝ่ายตรงข้ามสำเร็จ หลวงเรือหลวงศรีอยุธยาจะแล่นอ้อมพื้นที่สังหาร เปิดทางให้เรือรบ 8 ลำกับปืนใหญ่ 20 กระบอกได้เป็นพระเอก ด้วยการระดมยิงเป้าหมายบนชายฝั่งฮาเตียน (รวมทั้งเรือรบข้าศึกที่อาจหลงเหลือ) ซึ่งไม่น่าจะต้านทานอำนาจการยิงฝ่ายเราได้ เรือยิงถล่มมี 8 ลำแต่ในภาพใส่ได้ไม่หมด บังเอิญพื้นที่จำกัดไม่ว่ากันนะครับ


เมื่อจัดการปืนทุกกระบอกบนฝั่งสำเร็จ หลวงเรือหลวงศรีอยุธยาจะแล่นเข้ามาเทียบท่า เพื่อส่งกำลังนาวิกโยธินบุกเข้ายืดพื้นที่ ปฏิบัติการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันสิ้นสุดลง ส่วนจะทำอย่างไรต่อนั้นไม่ข้อมูลเสียแล้ว ภาพทั้งหมดทำขึ้นมาประกอบบทความ ไม่ได้สมจริงสมจังแค่พอได้เห็นได้เข้าใจ
ยุทธการฮาเตียนใช้จำนวนเรือรบเกือบทั้งหมด เดินทางไกลที่สุดเพื่อทำการรบใหญ่ที่สุด นี่คือการบุกโจมตีครั้งใหญ่ครั้งแรกและครั้งเดียวของราชนาวีไทย ตอนที่เราโดนบุกเรายังไม่พร้อม แต่ตอนนี้ทหารเรือทุกนายพร้อมแล้ว เสียดายมีคำสั่งให้หันหัวเรือกลับฐานทัพ เนื่องจากสงครามเดินทางเข้าสู่ช่วงเจรจาสงบศึก
อันที่จริงเรือหลวงศรีอยุธยาไม่เหมาะกับแผนบุก เพราะเป็นเรือ Monitoring Ship ใช้เล่นเกมรับสถานเดียว เปรียบได้กับนำเจมมี่ คาราเกอร์ มาเล่นกองหน้า เป็นนักบอลเท้าหนักยิงลูกเตะพญาเสือได้ก็จริง แต่ชักช้างุ่มง่ามกว่าจะง้างเท้าเขาแย่งบอลไปโน่นแล้ว รวมทั้งหนักเกราะจะเลี้ยวจะหลบทำได้ลำบาก ให้บังเอิญว่าเราไม่มีทางเลือกมากไปกว่านี้


ยุทธการฮาเตียนมีเวอร์ชันที่สองเช่นกัน เวอร์ชันนี้ใช้เรือวางทุ่นระเบิดเดินทางไปกับกองเรือ ฉะนั้นแล้วจะขนทุ่นระเบิดไปด้วยมากกว่า และมีบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ติดตัวมา 2 บ่อ ถ้าโดนกองเรือฝรั่งเศสซ้อนแผนคงดูกันไม่จืด ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพียงแต่อยากนำมาลงให้ครบถ้วนทุกเวอร์ชัน
ข้อสงสัยทั้งหมดของยุทธการผู้เขียนขอข้าม ไม่รู้จะหาหลักฐานตรงไหนมานั่งวิเคราะห์ แต่ถ้าให้ลองคาดเดาเอาเอง (เรื่องคิดไปเองถนัดอยู่แล้ว) ถ้ามีการรบจริงเราคงชนะได้อย่างไม่ยาก เพราะท่าเรือฮาเตียนไม่มีเรือรบลำใหญ่ เผลอๆ ทุ่นระเบิดอาจไม่จำเป็นต้องใช้ ถ้าเราบุกไปเอาคืนถึงไซ่ง่อนก็ว่าไปอย่าง ตรงนั้นเป็นฐานทัพกองเรือขนาดใหญ่ของฝรั่งเศส

โครงการที่ 2 ขยายกองทัพ
                กลับมาสู่การพัฒนากองทัพเรือกันต่อ เมื่อได้รับเรือที่สั่งซื้อจำนวนทั้งหมดแล้ว กองทัพเรือจึงได้เดินหน้าโครงการที่ 2 นั่นคือการปรับปรุงพื้นที่สัตหีบให้เป็นสถานีและฐานทัพ มีการสร้างป้อมปราการตามแนวชายฝั่ง ซื้อปืนใหญ่รักษาชายฝั่งขนาด 203/45 มม. จากสวีเดน 6 กระบอก ปืนใหญ่ขนาด 150/50 มม.จากสวีเดนอีก 10 กระบอก (สั่งซื้อจริง 9 กระบอก) ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 40 มม.จากอังกฤษ 20 กระบอก ทุ่นระเบิดจากเดนมาร์กมากถึง 400 ลูก
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกองบินทหารเรือ ช่วงแรกให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกกับกองทัพอากาศ รวมทั้งขยายกำลังนาวิกโยธินเป็น 1 กองพล ประจำการที่กรุงเทพ 1 กรมใหญ่ และสัตหับกับจันทบุรีอีก 2 กรม


ในภาพคือปืนใหญ่ขนาด 150 มม.รุ่น M31 ของ Bofors ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับรุ่นที่กองทัพเรือสั่งซื้อ จากภาพถ่ายตัวปืนยังคงดูดีมาก แต่ดอกยางไปหมดแล้วอายเขาไหมนั่น
โครงการที่ 2 ไม่สำเร็จไปตามแผน โดยเฉพาะปืนใหญ่รักษาชายฝั่งที่จ่ายเงินไปแล้วบางส่วน โชคร้ายเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมาเสียก่อน รัฐบาลสวีเดนได้ระงับคำสั่งขายอาวุธกับทุกประเทศ ส่วนปืนต่อสู้อากาศยานของอังกฤษเปลี่ยนมาเป็นปืนขนาด 75/41 มม.ของญี่ปุ่นจำนวน 12 กระบอก มีเครื่องควบคุมการยิงจำนวน 3 ชุดเพิ่มเติมให้ด้วย
ทุ่นระเบิดเดนมาร์กผู้เขียนไม่มีข้อมูล ส่วนนาวิกโยธินก็ไม่ใหญ่โตถึงระดับกองพล กำหนดให้ใช้อาวุธต่างๆ เหมือนกับกองทัพบก จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการฝึกสอนหรือซ่อมบำรุง (Common Fleet มีมานานแล้วนะเออ) ฐานทัพเรือที่สัตหีบก่อสร้างแค่เพียงบางส่วน แต่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือกองบินทหารเรือ
พ.ศ.2481 กองทัพเรือจัดตั้งหมวดบินทะเลสังกัดกองเรือรบ แล้วซื้อเครื่องบินทะเลทุ่นคู่รุ่นวาตานาเบจำนวน 6 เครื่อง โดยมีสนามบินอยู่ที่จุกเสม็ดอ่าวสัตหีบ ถัดมา 4 ปีได้เปลี่ยนมาเป็นกองบินทหารเรือ ครั้นเกิดสงครามโลกครั้งกองทัพเรือซื้อเครื่องบินทะเลทุ่นเดี่ยวรุ่นนากาชิจำนวน 27 เครื่อง และเครื่องบินทะเลทุ่นคู่รุ่นซีโร่อีก 3 เครื่อง ใช้ทำภารกิจคุ้มกัน ตรวจการณ์ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในอ่าวไทย ต่อมามีการสร้างสนามบินเพิ่มที่เกาะสมุย รวมทั้งที่อ่าวฉลองเกาะภูเก็ตเพื่อลาดตระเวนในทะเลอ่าวอันดามัน


ในภาพคือเครื่องบินทะเลทุ่นคู่รุ่นวาตานาเบหมายเลข 3 มาจอดอวดโฉมปะชาชนที่สะพานหิน ภูเก็ต เครื่องบินรุ่นนี้ถูกใช้งานบนเรือหลวงแม่กลองกับเรือหลวงท่าจีน และที่ภูเก็ตมีการสร้างสนามบินกองทัพเรือในอนาคต

โครงการที่ 3 สู่ทะเลลึก
โครงการจัดหาเรือเฟสสองหรือสกรีมที่สอง ไม่ได้มีแค่เรือหลวงนเรศวรกับเรือหลวงตากสินเท่านั้น โครงการนี้ต้องการขยายกำลังกองทัพเรือ ให้ออกไปทำภารกิจได้ไกลถึงทะเลจีนใต้ เรียกว่า Blue Sea Program รุ่นแรกสุดก็น่าจะได้ กองทัพเรือต้องการเรือลาดตระเวนเบา 2 ลำ เรือพิฆาตขนาด 1,200 ถึง 1,400 ตัน 6 ลำ เรือดำน้ำขนาด 700 ตัน 6 ลำ รวมทั้งเรือช่วยรบอาทิเช่นเรือน้ำมัน เรือพักสำหรับเรือขนาดเล็ก รวมทั้งเรือซ่อมบำรุง เรียกได้ว่ามาครบทุกชนิดในกองเรือ



เรือลำแรกอย่างที่รับรู้โดยเปิดเผย เราสั่งซื้อเรือลาดตระเวนเบาจากอิตาลีจำนวน 2 ลำ ตั้งชื่อว่าเรือหลวงนเรศวรกับเรือหลวงตากสิน ระวางขับน้ำ 4,000 ตัน ยาว 150 เมตร กว้าง 14.5 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตร ติดตั้งปืนใหญ่ 152 มม.ลำกล้องแฝด 3 แท่น ปืนใหญ่ 75 มม.6 แท่น ปืนกล 40/60 มม.ลำกล้องแฝด 3 แท่น ตอร์ปิโดแท่นคู่ขนาด 450 มม.อีก 2 แท่น บรรทุกเครื่องบินทะเลได้ 1 ลำ นี่คือเรือรบลำใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของราชนาวีไทย
ทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำเรียบร้อยแล้ว โชคร้ายเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมา รัฐบาลอิตาลียึดเรือทั้งสองลำเป็นของตัวเอง ปรับปรุงใหม่ใช้อาวุธอิตาลีตั้งชื่อว่า ETNA และ VESUVIO ต่อมารัฐบาลอิตาลียอมคืนเงินค่าเรือให้เรา ข้อมูลอีกเวอร์ชันบอกว่าเปลี่ยนเป็นอะไหล่ให้กับเรือตอร์ปิโดใหญ่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเวอร์ชันไหนถูกต้อง


นี่คือภาพปืนใหญ่ 152/53 มม.ลำกล้องแฝดของ Bofors ติดอยู่บนเรือลาดตระเวน BAP Almirante Grau (CLM-81) ของประเทศเปรู ซึ่งซื้อต่อมาจากกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ ปืนยิงได้ไกลสุด 26 กิโลเมตร อัตรายิงสูงสุด 10 นัดต่อนาที เทียบกับปืนใหญ่ 203 มม.บนเรือหลวงศรีอยุธยาซึ่งยิงได้ 4.5 นัดต่อนาที เท่ากับเรือหลวงนเรศวรยิงได้เร็วกว่า 2 เท่านิดหน่อย ป้อมปืนเวอร์ชันเราไม่มีลำโพงบนหลังคานะครับ พลยิงกับพลบรรจุก็จะเหงาๆ สักหน่อย
ลำถัดมาคือเรือดำน้ำขนาด 700 ตัน เทียบกับเรือชั้นเรือหลวงมัจฉานุซึ่งมีระวางขับน้ำใต้น้ำ 430 ตัน จึงมีขนาดใหญ่กว่ากันพอสมควร มีระยะปฏิบัติการไกลกว่ากัน บรรทุกน้ำมัน น้ำดื่ม และอาหารได้มากกว่า สิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า อาทิเช่นมีห้องน้ำในตัว (ฮา) มีเตียงนอนมากเพียงพอ บรรทุกตอร์ปิโดหรือทุ่นระเบิดได้เยอะกว่ากัน


ภาพนี้ผู้เขียนวาดมั่วขึ้นมาเอง เรือดำน้ำ 700 ตันขนาดลำตัวเรือใหญ่กว่าเรือหลวงมัจฉานุ ติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 450 มม.ถึง 8 ท่อยิง (หัวเรือ 6 ท่อยิง ท้ายเรือ 2 ท่อยิง) ขนาดใกล้เคียงเรือดำน้ำเยอรมันรุ่น Type VII
จะเห็นได้ว่าเรือดำน้ำรุ่นเก่าหน้าตาแปลกพิกล เพราะเทคโนโลยีสมัยนั้นเพิ่งมาได้เท่านี้ เรือดำน้ำสามารถดำใต้น้ำในเวลาจำกัด ใช้การเดินทางบนผิวน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงใช้วิธีพรางตัวโดยการเดินทางกลางคืน หัวเรือมีลักษณะเล็กเรียวแหลมเพื่อโต้คลื่นลม มักโจมตีกองเรือพาณิชย์ด้วยปืนใหญ่ ส่วนตอร์ปิโดเก็บไว้ใช้กับเป้าหมายสำคัญกว่า


ชมภาพถ่ายภายในเรือชั้นเรือหลวงมัจฉานุต่อเลย เจ้าหน้าที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่แต่ไม่ทราบมื้อไหน คนที่นั่งติดตัวเรือต้องก้มหัวเล็กน้อย ไม่ใช่สายตาสั้นแต่กลัวหัวโนเข้าใจบ้างไหม ฝั่งขวามือคล้ายๆ เตียงนอนแบบพับได้ ตรงกลางเป็นทางเดินมีโคมไฟกับท่ออะไรไม่ทราบ เรือลำนี้ไม่เหมาะกับคนสูงเกิน 180 เซนติเมตร เพราะคุณอาจหัวแตกซ้ำแล้วซ้ำอีกในชั่วข้ามคืน ลองคิดดูสิว่าตอนล่องเรือจากญี่ปุ่นกลับไทย กว่าจะฝ่าคลื่นลมถึงฝั่งไม่รู้อ้วกกันไปกี่รอบ
ข้อดีของเรือแบบนี้ก็มีเช่นกัน ด้วยขนาดตัวเรือที่เล็กกะทัดรัด จึงสามารถปฏิบัติการในเขตน้ำตื้นได้ดี ลดการตรวจจับทั้งจากสายตา เรดาร์ หรือโซนาร์ อยู่ดีๆ แอบโผล่ขึ้นมาโป้งแปะไม่ทันรู้ตัว เพียงแต่ไม่ควรออกทะเลลึกไกลเกินไป เมื่อทำภารกิจเสร็จรีบกลับมานอนที่ฐานทัพ เรือดำน้ำขนาด 700 ตันเหมาะสมกับทะเลลึกมากกว่า ถ้าเราได้มาจริงๆ ผู้เขียนบรรยายคำพูดไม่ถูก แต่ราชนาวีไทยจะมีเรือดำน้ำมากถึง 6+4=10 ลำ สะมะละแคปเป็นที่สุด
มาที่เรือลำสุดท้ายในโครงการนี้ นั่นคือเรือพิฆาตขนาด 1,200 ถึง 1,400 ตัน ระวางขับน้ำใกล้เคียงเรือหลวงแม่กลองซึ่งเป็นเรือสลุป แล้วเรือ 2 ประเภทนี้แตกต่างกันตรงไหน? ง่ายๆ ก็คือความเร็วความคล่องตัวกับภารกิจหลัก เรือหลวงแม่กลองความเร็วสูงสุด 17 นอต ทำภารกิจได้อย่างหลากหลายรวมทั้งการฝึก แต่เน้นในการป้องกันน่านน้ำตัวเอง มีปืนใหญ่ขนาด 120 มม.4 กระบอก ปืนต่อสู้อากาศยาน 20 มม.ลำกล้องแฝด 1 แท่น มีเครื่องบินทะเล มีแท่นยิงตอร์ปิโดขนาด 450 มม.มีรางปล่อยทุ่นระเบิด รวมทั้งมีเครื่องยิงระเบิดลึก มีครบถ้วนทุกอย่างขาดแต่ก็เพียงความเร็ว


ส่วนเรือพิฆาตในภาพเป็นของญี่ปุ่นชื่อ Sagiri เป็นเรือพิฆาตชั้น Fubuki ระวางขับน้ำปรกติ 1,750 ตัน ความเร็วสูงสุดถึง 38 นอต ติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้วลำกล้องแฝด 3 แท่น ตอร์ปิโดขนาด 610 มม.ถึง 9 ท่อยิง ปืนต่อสู้อากาศยาน 25 มม.อีกจำนวนหนึ่ง บรรทุกระเบิดลึกได้มากสุด 36 ลูก หน้าที่ของเรือพิฆาตคือคุ้มกันกองเรือ ทั้งจากเรือผิวน้ำด้วยกันและเรือดำน้ำ ฉะนั้นแล้วจะต้องคล่องตัวและใส่หม้อน้ำใหญ่ๆ แรงๆ ต้องมีอาวุธหนักเป็นทีเด็ดทีขาดตัดสินชัย
เรือพิฆาตของเราจำนวน 6 ลำนั้น อาจใช้ปืนใหญ่ 120 มม. ปืนต่อสู้อากาศยาน 20 มม.หรือ 40 มม. รวมทั้งแท่นยิงตอร์ปิโดขนาด 450 มม. แต่คงเน้นปราบเรือดำน้ำเป็นภารกิจหลัก มีทั้งรางปล่อยระเบิดลึกกับแท่นยิงระเบิดลึก ส่วนจะมีโซนาร์หรือเรดาร์มาด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าซื้อเรือพิฆาตจากประเทศไหนและเวลาไหน
เรือลาดตระเวนเบา 2 ลำพร้อมเครื่องทะเล เรือพิฆาต 6 ลำ เรือดำน้ำ 700 ตันอีก 6 ลำ นี่คือกองเรือในฝันของผู้เขียนเลยทีเดียว ทว่าโครงการนี้ใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ถึงไม่มีสงครามโลกก็ยังไม่แน่ว่าจะมาครบทุกลำ

โครงการที่ 4 ปรุงปรุง-เสริม-สร้าง
                โครงการนี้คือการปรับปรุงซ่อมแซมให้โครงการที่ 1 2 และ 3 อยู่ในสภาพสมบรูณ์ รวมทั้งเสริมสร้างกำลังทางเรือบางส่วน ด้วยการจัดหาเรือตอร์ปิโดใหญ่เพิ่มเติม 3 ลำ เท่ากับมียอดรวม 12 ลำ มีการสร้างเรือตอร์ปิโดเบาขึ้นมาเอง 3 ลำ เท่ากับมียอดรวม 6 ลำ และสร้างเรือยามฝั่งขึ้นมาเองอีก 20 ลำ เป็นก้าวเล็กๆ แต่ค่อนข้างใหญ่ในสายตาผู้เขียน
หลังจากนั้นเมื่อเรือรบลำไหนปลดประจำการ จะมีการสร้างเรือขึ้นมาเองเพื่อทดแทน นี่คือโครงการสร้างเรือภายในประเทศนั่นเอง และต้องมีการเตรียมความพร้อมทุกอย่างเสียก่อน
                ที่เหลือในโครงการเกี่ยวข้องกับเรื่องสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงกลั่นและคลังน้ำมันที่ช่องนนทรี สร้างคลังน้ำมันย่อยที่เกาะปรง รวมทั้งการปรับปรุงสถานที่ราชการ รองรับการขยายตัวทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์


                ไล่วิเคราะห์เรือแต่ละลำกันต่อเลย เริ่มจากเรือตอร์ปิโดใหญ่ชั้นเรือหลวงตราด กองทัพเรือซื้อเรือเปล่าจากอิตาลีในราคาไม่แพง นำมาติดตั้งอาวุธและอุปกรณ์ภายในประเทศ เรือค่อนข้างยาวและแคบและมีความเร็วสูง นี่คือแบบเรือยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยการลดขนาดจากเรือพิฆาตตอร์ปิโด (คล้ายๆ เรือหลวงพระร่วง) ทำให้มีราคาถูกลง ค่าใช้จ่ายน้อยลง ใช้งานได้หลากหลายภารกิจ เรายังใช้เป็นเรือตรวจการณ์ด้วยเลย และที่สำคัญเรือลำนี้มีแต่คนชมว่าสวยมาก
ข้อด้อยของแบบเรืออยู่ที่พื้นที่ภายใน ค่อนข้างคับแคบรวมทั้งร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้งานในประเทศไทยลูกเรือทนไม่ไหวต้องออกมากางมุ้งบนดาดฟ้า เรือตอร์ปิโดประเทศอื่นไม่แตกต่างกันเท่าไร เพราะออกแบบให้ใช้ภารกิจโจมตีมากกว่าป้องกัน เสร็จภารกิจก็จอดเทียบท่าหาที่นอนบนฝั่ง ไม่ได้สมบุกสมบันอะไรเหมือนกันบ้านเรา การจัดหาเรือเพิ่ม 3 ลำเหมาะสมที่สุดแล้ว อยากให้กองทัพเรือไทยในปัจจุบันทำแบบนี้เช่นกัน


ลำถัดมาคือการสร้างเรือตอร์ปิโดเล็ก ผู้บัญชาการทหารเรือเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ด้วยการส่งนักเรียนนายเรือเก่งๆ ไปเรียนต่อต่างประเทศ นำความรู้กลับมาพัฒนากองทัพในอนาคต ยกตัวอย่างก็คือพลเรือโท ศรี ดาวราย ถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษจนจบหลักสูตร 3 ปีในเวลา 1 ปี 5 เดือน จากนั้นไปเรียนการสร้างเรือที่สกอตแลนด์อีก 1 ปี 7 เดือน จบหลักสูตรถูกส่งไปคุมการสร้างเรือหลวงนเรศวรกับเรือหลวงตากสินที่อิตาลี ครั้นเกิดสงครามโลกจึงมีคำสั่งให้กลับประเทศ
ถึงบ้านอาทิตย์เดียวได้คุมงานใหญ่ทันที คือการซ่อมเรือหลวงธนบุรีที่กู้ขึ้นมาสำเร็จ จากนั้นจึงรับราชการหน้าที่โน่นบ้างนี่บ้าง มีความเจริญก้าวหน้าตามลำดับขั้น ต่อมาได้คุมการสร้างเรือตอร์ปิโดเล็กชื่อเรือหลวงสัตหีบ เป็นคนปรับปรุงแบบเรือให้เหมาะสมกว่าเดิม เริ่มสร้างสิงหาคม 2499 ทำพิธีปล่อยลงน้ำตุลาคม 2500 ก่อนเข้าประจำการเดือนธันวาคมปีเดียวกัน นี่คือเรือรบลำแรกที่สร้างขึ้นด้วยช่างไทยล้วนๆ เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจใกล้เคียงกับน่าเสียใจ
ทำไมถึงบอกว่าน่าเสียใจ? เพราะโครงการนี้ล่าช้ามากไม่ตรงตามแผน เมื่อเข้าประจำการคุณประโยชน์ของเรือแทบไม่เหลือ ใช้เป็นเรือฝึกเจ้าหน้าที่เรือตอร์ปิโดใหญ่เท่านั้น ที่โครงการนี้ล่าช้ามากมีที่มาที่ไป นอกจากสงครามภายนอกยังเป็นเพราะสงครามภายใน ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่ากันร้อยเท่าทวีคูณ ถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงอีกทีก็แล้วกัน


เรือลำสุดท้ายคือเรือยามฝั่งความยาว 55 นิ้ว ใช้แบบเรือมอเตอร์ตอร์ปิโดจากอังกฤษ หัวเรือเชิดสูงแบบเรือเร็ว กลางลำติดปืนกล 7.7 มม. ท้ายเรือมีท่อตอร์ปิโดจำนวน 2 ท่อ ใช้ปล่อยด้านท้ายก่อนหักหัวเรือหลบออกด้านข้าง ตอร์ปิโดจะวิ่งใส่เป้าหมายที่เล็งไว้แล้ว วิธีการง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร แต่เวลารบเข้าจริงมีขั้นตอนวุ่นวายพอสมควร
เพราะเป็นเรือเล็กไม่มีอะไรป้องกันตัว โดนกระสุนนัดเดียวรับรองว่าจอดไม่ต้องแจว การบุกโจมตีจำเป็นต้องอำพรางตัวเอง โดยใช้ความมืดตอนกลางคืนเป็นเกราะกำบัง หมู่เรือจะแล่นต่อแถวใกล้กันมากให้ที่สุด ใช้แค่เพียงสัญญาณไฟในการสื่อสาร เมื่อเรือนำขบวนสั่งให้โจมตีก็ต้องรีบโจมตี เสร็จเรียบร้อยชิ่งหนีทันทีไม่รอดูผลงาน การโจมตีแบบนี้เท่ากับเรามีจำนวนตอร์ปิโดมากขึ้น โอกาสยิงโดนเป้าหมายมากขึ้นตามกันไปด้วย
กองทัพเรือไทยได้ฝึกซ้อมวิธีนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเรามีเพียงเรือตอร์ปิโดลำเล็กๆ เพียงไม่กี่ลำ ให้เปิดศึกแบบซึ่งๆ หน้ากับฝรั่งเศสก็คงไม่ไหว ต้องใช้ยุทธวิธีแม่ไก่ลูกไก่แบบนี้แหละครับ
แล้วสุดท้ายโครงการนี้สำเร็จไหม? มีการสร้างเรือยามฝั่งขึ้นจริงเพียงไม่กี่ลำ เพราะไม่รู้จะเอาตอร์ปิโดไปยิงใครแล้ว และที่สำคัญตัวเรือทำจากไม้มะฮอกกานี อายุการใช้งานสั้นและต้องดูแลรักษาให้ดี ประโยชน์ของเรือในภารกิจอื่นก็มีน้อยมาก ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่สร้างต่อก็ดีแล้วละครับผู้เขียนเห็นด้วย

สรุปความท้ายเรื่อง
            โครงการที่เขียนถึงทั้งหมดใช้เวลายาวนาน อย่างน้อยต้องมี 20 ปีกว่าจะเสร็จสมบรูณ์ แต่เมื่อสิ้นสุดทุกโครงการกองทัพเรือจะเข้มแข็งมาก สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งตัวเอง และต่อยอดไปถึงสร้างเรือรบเองภายในประเทศ
จากบทความนี้จะได้รู้ว่า โครงการ Common Fleet ก็ดี โครงการ Blue Sea ก็ดี โครงการสร้างเรือเองก็ดี โครงการอาวุธป้องกันชายฝั่งก็ดี รวมทั้งโครงการสร้างกองบินทหารเรือ ล้วนแล้วแต่เคยเกิดขึ้นในยุคก่อนสงครามโลก และเป็นไปอย่างเคร่งครัดมีระเบียบแบบแผน ไม่ได้สะเปะสะปะใช้วิธีซื้อเรือทีละลำ แล้วคอยนั่งลุ้นว่าลำต่อไปจะมาหรือไม่มา จริงอยู่ว่าสถานการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกัน แต่คนทำงานก็มีส่วนสำคัญมากไม่ใช่เหรอครับ
แผนบันไดสี่ขั้นของทัพเรือไทย ถูกสงครามโลกครั้งที่สองเตะพับนอก ทำให้สะดุดเมื่อก้าวเดินมาได้เพียงครึ่งทาง แต่ถ้าลองคิดกลับกันอีกแง่มุมหนึ่งว่า เพราะสงครามโลกทำให้ทัพเรือไทยได้งบเพิ่ม หาไม่แล้วคงมีแค่กองเรือเล็กๆ ป้องกันชายฝั่ง รอข้าศึกบุกประชิดปากแม่น้ำเหมือนในอดีต อีกแง่มุมหนึ่งให้ได้ขบคิดก็ว่ากันไปครับ
                บทความนี้ได้เดินทางมาถึงตอนจบ ขอสารภาพบาปตรงนี้เลยแล้วกัน แรกสุดผู้เขียนตั้งชื่อบทความว่า ราชนาวีไทยก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขียนไปเขียนมาดันพาออกทะเลไปไกลลิบ จำเป็นต้องมีต่อภาค 3 อย่างช่วยไม่ได้ พบกันใหม่ในบทความหน้างดเหล้าเข้าพรรษาด้วยกันนะครับ ;)
                                ------------------------------------------------------- 

อ้างอิงจาก
ภาพประกอบบทความเรื่อง 'The Thai Navy' เขียนโดย Dr.Stephen S. Roberts
หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย )
หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่
หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือโท ศรี ดาวราย
หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายบรรพต เอมสอาด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น