ปฐมบทเหยี่ยวเวหา
เมื่อ Harry
Hillaker วิศวกรบริษัท General Dynamics ได้พบกับ
John Boyd เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศในปี 1962 นั้น พวกเขาพูดคุยกันถึงเครื่องบินขับไล่โจมตีระยะกลาง F-111 Aardvark ซึ่งกำลังพัฒนาโดย General
Dynamics อยู่นั้นว่า มีรูปร่างใหญ่เทอะทะมากเกินไป ค่อนข้างยุ่งยากในการใช้งานและซ่อมบำรุง
และมีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินสูงมาก อเมริกาควรพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ ขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพและความคล่องตัวสูง
เหมือนกับเครื่องบิน Mig-21 ของโซเวียตที่สามารถต่อกรกับ F-4 Phantom II ได้เป็นอย่างดี
หลังการพูดคุย Harry
Hillaker นำข้อมูลมาพัฒนาเครื่องบินรุ่นใหม่ กระทั่งมีการสร้างโมเดลจำลองขึ้นในเวลาต่อมา
โดยมี 2 เครื่องยนต์ ใช้เทคโนโลยีจำนวนมากจากเครื่องบิน F-111 ไม่ว่าจะเป็นปีกแบบพับได้ ช่องรับอากาศ แพนหางดิ่ง แพนหางระดับ
แต่มีขนาดเล็กกว่ากันประมาณครึ่งต่อครึ่งก่อนที่ ติดจรวดอากาศ-สู่-อากาศรุ่นใหม่ใต้ท้องเครื่อง สามารถท้ารบตั้งแต่
Mig-21 ไปจนถึง Mig-25 ที่ยังเป็นเพียงข่าวลือ
ก่อนที่ต้นแบบจะถูกจัดเก็บไว้ใช้งานในอนาคต
ถ้าใครบางคนออกมาคุยโม้ว่า
เครื่องบินลำนี้มียอดการผลิตถึง 4,574 ลำ (ในปี 2017) เขาคงถูกครหาว่าเมากัญชาแต่หัววัน และถ้าใครบางคนออกมาบอกว่า
เครื่องบินลำนี้ประจำการมาแล้วถึง 45 ปี
เครื่องบินลำนี้ไต้หวันขอซื้อ 66 ลำด้วยวงเงิน 13 พันล้านเหรียญ (ในปี 2019) และเครื่องบินลำนี้เองถูกแปลงร่างโดยใช้ชื่อใหม่
พร้อมกับย้ายโรงงานผลิตไปอยู่ที่อินเดีย เขาคงโดนจับขังลืมอยู่ที่กวนตาดาโม ทั้งที่เขาคนนี้พูดความจริงทุกประการ
เพราะเครื่องบินลำนี้ก็คือเหยี่ยวเวหาจอมอหังการ
วันเวลาผันผ่านเข้าสู่ปี
1965 กองทัพอากาศอเมริกากำลังประสบปัญหาใหญ่ เมื่ออัตราสูญเสียเครื่องบินจากการรบกลางเวหาเพิ่มสูงขึ้น
จาก F-86 1 ลำต่อ Mig-15 11 ลำในสงครามเกาหลี กลายเป็น F-4 1 ลำต่อ Mig-21
1.6 ลำในสงครามเวียดนาม เครื่องบินขับไล่สกัดกั้นสมรรถนะสูงล้าสมัยไปแล้ว
เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด F-105 มีผลงานล้มเหลวเกินรับได้ พวกเขาจึงได้ผุดโครงการสำคัญขึ้นมา
2 โครงการ มีชื่อเล่นเรียกกันเองว่า Hi-Lo Fighter Program ประกอบไปด้วย
Fighter Experimental หรือ F-X โครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นความเร็วสูง
เพื่อทดแทนเครื่องบิน F-102 Delta Dagger กับ F-106 Delta Dart โดยในช่วงแรกยังใช้ชื่อโครงการว่า
Advance Tactical Fighter
Advanced Day Fighter หรือ ADF โครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ขนาดเล็ก
กำหนดให้มีน้ำหนักไม่เกิน 25,000 ปอนด์ เพื่อทดแทนเครื่องบิน
F-4 Phantom II กับ F-105 Thunderchief รวมทั้งเครื่องบินรบยิบย่อยทั้งหมด
บริษัท General
Dynamics เข้าร่วมทั้ง 2 โครงการ นำเครื่องบินต้นแบบของ
Harry Hillaker มาพัฒนาให้เหมาะสมกว่าเดิม
ภาพซ้ายมือคือเครื่องบินในโครงการ ADF รูปร่างโดยรวมคล้ายคลึงกับต้นแบบ
แต่เปลี่ยนมาใช้ปีกตรึงขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนภาพขวามือคือเครื่องบินในโครงการ F-X โดยเป็นรุ่นเครื่องยนต์เดี่ยวสร้างขึ้นมาเป็น Case Study ติดจรวดอากาศ-สู่-อากาศที่โคนปีกจำนวน
4 นัด ขนาดใหญ่กว่าโครงการ ADF ไม่มากเท่าไหร่
และใช้แพนหางดิ่งแบบคู่เป็นลำแรกของบริษัท
ต่อมาในปี 1967 โซเวียตเผยโฉมเครื่องบินขับไล่ MiG-25 Foxbat
ซึ่งบินได้เร็วถึง 2.83 มัคและบินได้สูงถึง 90,000
ฟิต ทำให้อเมริกาทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ไหว ทั้งเม็ดเงินและความสำคัญถูกเทให้กับโครงการ
F-X (ส่วนโครงการ ADF ต้องหยุดพักชั่วคราว)
โดยที่เครื่องบินต้องมีขนาดใหญ่กว่าเดิม ติดอาวุธได้มากกว่าเดิม ติดเรดาร์ทันสมัยว่าเดิม
บินได้เร็วสุดอย่างน้อย 2.5 มัค และสามารถต่อกรกับ MiG-25 ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ บริษัทผลิตเครื่องบิน 13 รายได้รับเชื้อเชิญให้ร่วมโครงการ
General Dynamics เป็น 1 ใน 2 บริษัทที่ถูกคัดเลือกให้ผ่านเข้ารอบ
(มีอีก 2 บริษัทแต่ต้องออกเงินพัฒนาเอง) วิศวกรได้แปลงร่างเครื่องบินให้ใหญ่กว่าเดิม
จนมีหน้าตาใกล้เคียงเครื่องบินจารกรรม SR-71
โดยเฉพาะการจัดวางเครื่องยนต์แยกจากกัน
เพื่อให้บินได้เร็วกว่าและสูงกว่าฝ่ายตรงข้าม ทว่าเต็งหนึ่งจาก McDonnell-Douglas ได้รับการคัดเลือกในปี 1969 ก่อนกลายมาเป็นเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ
F-15 Eagle ที่ทุกคนรู้จักกันอย่างแพร่หลาย
เมื่อโครงการ F-X
เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว กองทัพอากาศหันกลับมามองโครงการ ADF
อีกครั้ง โดยได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Lightweight Fighter หรือ LWF กำหนดความต้องการใกล้เคียงกับของเดิม
แต่ลดขนาดลงมาให้เหลือน้ำหนักไม่เกิน 20,000 ปอนด์
(เพื่อให้ราคาถูกลง) การชิงชัยเริ่มต้นอย่างจริงจังในปี 1969
บริษัทผลิตเครื่องบิน 5 รายหวังได้รับคำสั่งซื้อจำนวนหลายร้อยลำ
งานนี้ General Dynamics ระดมมือดีมาเกือบหมดทั้งบริษัท
การออกแบบเครื่องบินค่อนข้างหลากหลาย
มีทั้งเครื่องยนต์เดี่ยว (PW100 ของ Pratt
& Whitney) สองเครื่องยนต์ (YJ101 ของ
General Electric) แพนห่างดิ่งแบบเดี่ยว แพนหางดิ่งแบบคู่
และมีช่องรับอากาศถึง 6 แบบ
วิศวกรต้องพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียให้ละเอียด โจทย์สำคัญต้องเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ทันสมัย
ราคาไม่แพง การผลิตไม่ยุ่งยาก ทนแรง G ได้ถึง 9 G (เมื่อใช้น้ำมันในเครื่อง) และใช้งานได้ถึง 8,000 ชั่วโมงบิน
ก่อนที่ Model 401F จะออกมาอวดโฉมชาวโลกในปี 1970
เครื่องต้นแบบมีขนาดเล็กกว่าโครงการ
ADF ใช้เครื่องยนต์เดี่ยวแต่ติดแพนหางดิ่งแบบคู่ (คล้ายคลึงกับ F-35 ไม่มากก็น้อย) ช่องรับอากาศรูปทรงรีย้ายมาอยู่ด้านล่าง ปีกเรียวยาวค่อนมาทางท้ายชนกับแพนหางดิ่ง
แม้จะมีความโดดเด่นแต่ยังคงพบเจอปัญหา จึงถูกพัฒนาต่อจนกลายเป็น Model
401F-16 ภาพขวามือ ขยับปีกขึ้นมาข้างหน้ามากกว่าเดิม เปลี่ยนใช้แพนหางดิ่งแบบเดี่ยวขนาดใหญ่
เพื่อให้เครื่องบินราคาถูกลงและสร้างง่ายขึ้น รวมทั้งแก้ปัญหาเรื่อง Vortex
Lift ได้เป็นอย่างดี
คู่แข่งขันสำคัญก็คือบริษัท Northrop ผู้เชี่ยวชาญเครื่องบินขับไล่ขนาดเล็กน้ำหนักเบา
ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็คือ F-5 E/F
Tiger II ที่ปัจจุบันยังคงประจำการและเพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่
นี่คือศึกใหญ่ที่ทั้งคู่ไม่อาจพ่ายแพ้ได้อีก โครงการ YFX ของกองทัพเรือบริษัท
Grumman คว้าไปแล้ว (F-14 Tomcat) ส่วนโครงการ F-X ก็เสร็จ McDonnell-Douglas เป็นที่เรียบร้อย (F-15 Eagle) ถ้าพลาดโครงการนี้ไปบริษัทจะพบกับความยากลำบาก
Northrop นำเครื่องต้นแบบ
P-530 ส่งเข้าประกวด มีปีกเรียวยาวค่อนไปทางท้ายเหมือน Model
401F แต่ปีกบางกว่าและยาวกว่าอย่างชัดเจน ใช้แพนหางดิ่งแบบคู่รูปตัวเอกซ์
ติดตั้งเครื่องยนต์คู่รุ่น GE 15/J1A5 (เครื่องยนต์ F101 รุ่นลดขนาด)
ช่องรับอากาศลอกการบ้านมาจาก F-104 Starfighter เครื่องต้นแบบถูกพัฒนามาเป็นรุ่น
P-600 มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งาน เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์
GE YJ101 แทนของเดิม ให้กำลังมากกว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่า
วันที่ 13
เมษายน 1972 General Dynamics Model
401F-16 กับ Northrop P-600 ถูกคัดเลือกจากกองทัพอากาศอเมริกา ให้สร้างเครื่องบินต้นแบบของจริงเป็นจำนวน
2 ลำ กำหนดให้ชื่อ YF-16 กับ YF-17
เรียงตามลำดับคะแนน ส่งผลให้ Vought V-1100 กับ Lockheed X-27 Lancer รวมทั้ง
Boeing Model 908 ไม่ได้ไปต่อ เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เขียนขอลงภาพต้นแบบทั้งสามลำ
ผู้อ่านสนใจลำไหนติดต่อบริษัทผู้ผลิตได้ทันที
ภาพต่อไปคือ YF-16
ลำที่สองกับ YF-17 ลำที่หนึ่ง จะเห็นได้ว่ามีขนาดใกล้เคียงกันมาก
เพราะใช้สองเครื่องยนต์ YF-17 จึงมีน้ำหนักเปล่าถึง 21,000
ปอนด์ (เกินข้อกำหนดเล็กน้อย) แพนหางดิ่งมีความเอียงน้อยกว่าต้นแบบ
ช่องรับอากาศเปลี่ยนใหม่คล้ายคลึงกับ F-4
สังเกตได้ว่าใช้ล้อหน้าแบบเดี่ยวทั้งสองลำ เพราะเป็นเครื่องบินกองทัพอากาศนั่นเอง
ตอนที่เป็นเครื่องบินกระดาษอยู่นั้น
YF-17
Cobra มีความโดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพ ส่วน YF-16 มีความโดดเด่นเรื่องความคล่องตัว ครั้นพอเป็นเครื่องบินจริง YF-16 ทำได้ตามที่โม้ทุกประการ ส่วน YF-17
ไม่สามารถดึงจุดเด่นออกมาได้ ราคาก็แพงกว่าเนื่องจากใช้สองเครื่องยนต์ หลังการทดสอบ
600 ชั่วโมงบินผ่านพ้นไปแล้ว บริษัท General Dynamics จึงได้รับสัญญาสร้างเครื่องบิน 650 ลำ มูลค่าถึง 4.35
พันล้านเหรียญไปครอบครองสมใจหมาย
ภาพถ่ายเครื่องบิน YF-16
ต้นแบบลำที่หนึ่ง กับ F-4 Phantom II ผู้กำลังจะกลายเป็นอดีต รายงานในปี 1976 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
เครื่องบิน F-4 หนึ่งฝูงหรือ 24 ลำมีค่าใช้จ่ายทั้งปีเท่ากับ
21.4 ล้านเหรียญ ส่วน F-16 หนึ่งฝูงมีค่าใช้จ่ายทั้งปีเพียง
14.6 ล้านเหรียญ ลดลงมาถึง 6.8
ล้านเหรียญนับว่าเป็นตัวเลขที่สวยหรู ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทคโนโลยียุคใหม่ อีกส่วนเป็นเพราะขนาดเครื่องบินเล็กลง
ผลกระทบจาก Mig-25 ทำให้ได้ F-16 ที่ประหยัดแต่แข็งแกร่ง
อันที่จริงการนำ F-16
มาประจำการแทน F-4 ในช่วงนั้น
ยังไม่สามารถทดแทนได้หมดทุกภารกิจ เพราะใช้งานอาวุธและอุปกรณ์บางอย่างไม่ได้
จรวดอากาศ-สู่-อากาศ AIM-7 Sparrow
ก็ติดไม่ได้ (รุ่นปัจจุบันติด AIM-120 AMRAAM
ได้ถึง 6 นัด) แต่เพราะอเมริกามี F-15 Eagle เครื่องบินขับไล่ครองอากาศตัวจริงอยู่ด้วย การใช้งาน F-16 จึงมีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม และเมื่อได้รับการพัฒนามากขึ้นตามลำดับแล้ว F-16
รุ่นใหม่ๆ ก็เลยสามารถเป็นทุกอย่างที่คุณต้องการ
ภาพซ้ายมือคือผลงานการรบกลางอากาศของ
F-4
ในสงครามเวียดนาม เทียบกับ F-86 ในสงครามเกาหลีช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว
ส่วนภาพขวามือคือค่าใช้จ่ายทั้งปีของ F-4 เทียบกับ
F-16 ปีแรกสุดที่เข้าประจำการ เมื่อพิจารณาถึงผลงานการรบของ F-16 ด้วยแล้ว ถือว่าโครงการ Lightweight Fighter
ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย
บทความที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบิน
F-16
นั้น ผู้เขียนได้เขียนถึงไปแล้ว 2 ตอนด้วยกัน
โดยยังไม่รู้ว่าจะมาจบเอาที่ตอนไหน บทความก่อนหน้าประกอบไปด้วยดังนี้ (ไม่ประติดประต่อสักเท่าไหร่หรอกนะครับ)
ตั้งแต่แรกเริ่มเข้าประจำการจนถึงปัจจุบัน
เครื่องบิน F-16 Fighting Falcon ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง
มีการผลิตเครื่องบินรุ่นต่างๆ ออกมาจำนวนมาก สามารถแบ่งออกเป็นรุ่นที่สร้างจริงได้ตามนี้
F-16 A/B Block 1/5/10/15/10OCU/20
F-16 C/D Block 25
F-16 C/D Block 30/32
F-16 C/D Block 40/42
F-16 C/D Block 50/52
F-16 E/F Block 60
F-16 MLU
F-16 V Block 70 (ส่วน F-21 ยังไม่ได้สร้างจริงจึงไม่นับรวม)
จนถึงทุกวันนี้
F-16
ยังคงขายได้ทั่วโลก เพียงแต่ปริมาณลดน้อยลงตามยุคสมัย มิตรรักแฟนเพลงชาวไทยมักเข้าใจว่า
ถ้าคุณซื้อ F-16 คุณจะได้เพียงเครื่องบินเปล่าๆ และคุณต้องซื้อด้วยเงินสดตัวเองเท่านั้น
ไม่มีการค้าต่างตอบแทนหรือ Counter Trade ไม่มีวิธีซื้อโดยการหักทอนบัญชีหรือออฟเซท
(Offset) ซึ่งเป็นที่นิยมมากตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ปี 2000 นี่คือความเชื่อที่ผิดโดยสิ้นเชิง ถ้าโครงการมีมูลค่าและความสำคัญค่อนข้างสูงแล้ว
อเมริกาก็พร้อมที่จะเทหน้าตักเฉกเช่นชาติอื่น
ปี 1999 กองทัพอากาศโปแลนด์ผุดโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์จำนวน 48
ลำ เพื่อทดแทนเครื่องบินเก่าที่ล้าสมัยจากยุคสงครามเย็น
โครงการนี้มีผู้เข้าแข่งขันสำคัญ 3 ราย Lockheed
Martin เสนอเครื่องบิน F-16 C/D Block 52 ส่วน Saab/BAE เสนอเครื่องบิน JAS-39 C/D Gripen และ Dassault
เสนอเครื่องบิน Mirage 2000-5 MkII
มีข้อเสนอ Offset จากทุกบริษัทให้กับทางรัฐบาล จัดเรียงข้อมูลเป็นกราฟสวยงามได้ดังนี้
อเมริกาเสนอ
Offset เป็นอันดับหนึ่ง ถ้ารวมเงินกู้ระยะยาวด้วยแล้วจะมีตัวเลขสูงทะลุโลก
อันดับสองตกเป็นของสวีเดน และฝรั่งเศสหล่นไปอยู่รั้งท้ายขบวน ถ้านับเฉพาะตัวเลขจริงไม่อิงนิยายแล้ว
ข้อเสนอจาก Dassault อยู่ที่ 3.5 พันล้านเหรียญ
ข้อเสนอ Saab/BAE อยู่ที่ 7.48 พันล้านเหรียญ
(รวมราคาเครื่องบิน 3.15 พันล้านเหรียญ) และข้อเสนอ Lockheed Martin อยู่ที่ 9.83 พันล้านเหรียญ (รวมราคาเครื่องบิน 3.58
พันล้านเหรียญ) หักตรงโน้นตรงนี้เหลือตัวเลขสุทธิ 6.028
พันล้านเหรียญ หรือเท่ากับ 170 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าโครงการ
รายละเอียดตามภาพล่างเชิญส่องกันได้เลย
วันที่
18
เมษายน 2003
รัฐบาลโปแลนด์เซ็นสัญญาซื้อเครื่องบิน F-16 C/D Block
52 จำนวน 48 ลำ เครื่องบิน 5 ลำแรกส่งมอบในเดือนตุลาคม 2006 สัญญาฉบับนี้ถูกเรียกว่า
‘Contract of the Century’ ตัวเลขเพิ่มจาก 3.58 พันล้านเหรียญเป็น 4.7 พันล้านเหรียญก็จริง ทว่าโปแลนด์จะเริ่มจ่ายเงินก้อนแรกในปี
2010 แล้วผ่อนไปเรื่อยๆ จนครบจำนวนตามสัญญา
มีประเด็นน่าสนใจอยู่ว่า…ทำไมโปแลนด์ต้องกู้เงินซื้อเครื่องบิน? ใช้งบประมาณตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ? เพราะโปแลนด์ไม่ได้ยากจนหรือมีปัญหาการคลัง
ทั้งรัฐบาลและประชาชนก็เปิดไฟเขียว ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจหาญซื้อเครื่องบินถึง 48
ลำ อันที่จริงการซื้ออาวุธด้วยเงินกู้มีมานานมากแล้ว
เพียงแต่ช่วงหลังค่อนข้างนิยมเพราะมีเหตุอันควร
ย้อนเวลากลับไปเพียงเล็กน้อย
ปี 1996 ประเทศไทยสั่งซื้อเครื่องบิน F/A-18C/D
Hornet จำนวน 8 ลำ โดยที่อเมริกาต้องขายจรวด AMRAAM
ให้เราด้วย ปีถัดมาได้เกิดวิกฤตการเงินขนาดใหญ่ ทำให้เราไม่มีเงินจ่ายค่างวดที่สอง
จึงบอกกับเขาไปว่าขอยกเลิกสัญญา เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งบริษัทผู้ผลิตเครื่องบิน
สภาคองเกรสผู้อนุมัติขาย เพนตากอนผู้ช่วยผลักดันเรื่องขายจรวด รวมทั้งนาวิกโยธินผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ต่างพากันเดือดร้อนเพราะประเทศไทยไม่มีเงิน
รัฐบาลอเมริกาต้องยื่นมือเข้ามาช่วย
ปัญหาจึงผ่านพ้นไปได้อย่างทุลักทุเล กรณีนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘Thailand
Model’ ประเทศผู้ขายอาวุธนำไปคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ก่อนได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกันว่า
กับประเทศที่มีความเสี่ยงหรือสมัครใจเอง นอกจากขายอาวุธแล้วยังต้องหาเงินกู้ให้ด้วย
บริษัทผู้ผลิตจะได้เงินครบจำนวน รัฐบาลไม่ต้องเผชิญปัญหาวุ่นวาย ส่วนคนซื้อก็ได้อาวุธตามความต้องการ
เรียกได้ว่า วิน-วิน-วิน
ด้วยกันทั้งสามฝ่าย
แม้ต้องจ่ายเงินแพงกว่าใช้งบประมาณตัวเอง
แต่ถ้ามีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต ทุกฝ่ายจะมีวิธีแก้ไขที่ชัดเจนและเบ็ดเสร็จ อาจต้องรีไฟแนนซ์ทำสัญญากู้เงินใหม่
เสียค่าดอกเบี้ยแพงกว่ากู้เงินจาก IMF ก็จริงอยู่
แต่คุณจะไม่โดนแทรกแซงนโยบายการเงิน ไม่ต้องเอาหนี้ดีหนี้เสียมารวมกันเพื่อเทขาย ประเทศมีความเสียหายน้อยกว่ากันมหาศาล
ฉะนั้นแล้วถ้าใครบอกว่าอเมริกาไม่มี
Offset
ผู้เขียนแนะนำให้ยกตัวอย่างเครื่องบิน F-16 โปแลนด์
และถ้าประเทศเพื่อนบ้านซื้ออาวุธด้วยเงินผ่อน ผู้เขียนแนะนำให้ยิ้มอ่อนก่อนกล่าวคำยินดี
อันว่าอาวุธทุกชนิดไม่ว่าจัดซื้อด้วยวิธีไหน ยิงโดนใครรับรองตายหมดไม่มียกเว้น อย่าไปกระแนะกระแหนพวกเขาเลยครับ
ทางนั้นสวนกลับเรื่อง F-18 จะหาว่าหล่อไม่เตือน
บทความเรื่อง Evolution
of Falcon เดินทางมาถึงตอนจบอีกแล้ว ยังไม่ได้เขียนถึงเรื่องที่เคยติดค้างไว้เลย
จำเป็นต้องขอยกยอดไปตอนถัดไป โดยจะเป็นเรื่องราวของ F-16 ในแง่มุมอื่นบ้าง
ตามอ่านเพื่อเป็นกำลังใจกันต่อไปนะครับ ;)
------------------------------------
อ้างอิงจาก
เอกสารรายงาน : Why
did Poland Choose the F-16? By: Barre R. Seguin
เอกสารรายงาน : Analysis
and Forecasting of Operating and Support costs for F-16 C/D By: Aurel Cobianu
and Konrad Madej
เอกสารรายงาน : Evolution
of the F-16 A Secret Projects Forum Study By: Paul Martell-Mead
เอกสารรายงาน : Desgin
Concept and Rationale for YF-16 By: Harry J.Hillaker
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น