วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568

Multi-Role Helicopter Dock Ship (MHD 150)

 

ระหว่างปี 2006 บริษัท ThyssenKrupp Marine Systems หรือ TKMS ประเทศเยอรมันเปิดตัวแบบเรือใหม่ล่าสุด เป็นได้ทั้งเรือทำการรบในเขตใกล้ฝั่งและเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบ โดยใช้ระบบ MEKO modular system อันแสนโด่งดังช่วยพัฒนาแบบเรือ กระทั่งได้เรือรูปร่างหน้าตาคล้ายลูกเป็ดขี้เหร่ในภาพประกอบที่หนึ่ง

MHD 150

MHD 150 ระวางขับน้ำประมาณ 15,000 ตัน ยาว 182 เมตร กว้าง 26.5 เมตร กินน้ำลึก 6 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลบวกมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นระบบขับเคลื่อน ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต ใช้ลูกเรือเพียง 94 นาย ใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินอีก 56 นาย บนเรือมีพื้นที่ว่างสำหรับนาวิกโยธินจำนวน 750 นาย

รูปทรงเรือคล้ายเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบชั้น San Giorgio กองทัพเรืออิตาลี โดยมีหัวเรือปรกติกับดาดฟ้าเรือใช้เป็นจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์ ให้บังเอิญ MHD 150 มีทั้งโรงเก็บอากาศยานและโรงเก็บยานพาหนะซ้อนกันสองชั้น สะพานเดินเรือกับดาดฟ้าหลักอยู่สูงกว่าหัวเรือพอสมควร ผู้อ่านหลายคนนึกอยากหักคะแนนความสวยความงาม บอกตามตรงผู้เขียนก็หักคะแนนเช่นกัน เพราะเรือมีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างประหลาดเทียบกับคู่แข่งไม่ได้ แต่แล้วในท้ายที่สุดผู้เขียนกลับเลือกเรืออเนกประสงค์ทรงประสิทธิภาพลำนี้เขียนบทความ เมื่ออ่านเรื่องราวครบถ้วนทุกตัวอักษรคาดว่าผู้อ่านน่าจะเข้าใจความหมายชัดเจน

การสร้างเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบสักหนึ่งลำ หัวใจสำคัญคือการออกแบบภายในพื้นที่ใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสม บริษัท TKMS แสดงข้อมูลการออกแบบในภาพประกอบที่สอง สีเขียวคือสะพานเดินเรือ ห้องควบคุมอากาศยาน และห้องยุทธการ สีแดงคือห้องพักลูกเรือ สีน้ำเงินคือห้องพักนาวิกโยธิน สีเหลืองคือโรงเก็บอากาศยาน สีม่วงคือโรงเก็บยานพาหนะ สีฟ้าคืออู่ลอยสำหรับจอดเรือระบายพล ปิดท้ายด้วยสีส้มคือห้องเครื่องจักร แสดงการจัดพื้นที่ภายในเรืออย่างเป็นระเบียบถูกต้องเหมาะสม

ภาพประกอบที่สามภาพล่างคือดาดฟ้าลานบินซึ่งแบ่งเป็นสองชั้น ดาดฟ้าหลักหรือ Flight Deck อยู่บนชั้นบนติดกับสะพานเดินเรือ มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน 5 จุด เชื่อมโยงกับโรงเก็บอากาศยานด้วยลิฟต์อเนกประสงค์จำนวน 1 ตัว (สีแดง) โดยมีเครนอเนกประสงค์ขนาด 30 ตันติดตั้งอยู่ที่กราบขวาท้ายลานจอดหลัก สำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ อากาศยานชนิดต่างๆ ยานพาหนะชนิดต่างๆ รวมทั้งเรือเล็กชนิดต่างๆ

ส่วนดาดฟ้ารองมีชื่อเรียกว่า Multi-Purpose Deck มีจุดบินขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่จำนวน 1 จุด เชื่อมโยงกับโรงเก็บอากาศยานซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันด้วยประตูบานใหญ่ อารมณ์คล้ายเรือพิฆาตหรือเรือฟริเกตยังไงยังงั้น เหตุผลที่ออกแบบดาดฟ้ารองให้เตี้ยระดับเดียวกับโรงเก็บอากาศยานนั้นมีอยู่ว่า สามารถใช้จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวนมหาศาล โดยใช้เครนอเนกประสงค์ขนาด 30 ตันในการยกขึ้นยกลง ส่งผลให้เรือทำภารกิจลำเลียงสินค้าหรืออุปกรณ์จำนวนมากได้ไม่แพ้เรือสินค้าลำจริง

ภาพประกอบที่สามภาพบนคือโรงเก็บอากาศยานอยู่ถัดจากดาดฟ้าหลัก (ระดับเดียวกับดาดฟ้ารอง) ใช้จอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันแบบหลวมๆ ได้ถึง 9 ลำ (ถ้าจอดแบบเบียดๆ ได้ 10 ลำพอดิบพอดี) มีลิฟต์อเนกประสงค์เชื่อมโยงระหว่างดาดฟ้าหลักลงไปถึงโรงเก็บยานพาหนะ เจ้าของเรือนำรถหุ้มเกราะ รถบรรทุก หรืออะไรก็ตามขึ้นมาจัดเก็บบนดาดฟ้าหลักร่วมกับอากาศยาน โดยมีออปชันเสริมจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตในโรงเก็บยานพาหนะได้ แต่ลูกค้าต้องติดตั้งเครนหลังคาสำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ไปจัดเก็บ เพิ่มความอเนกประสงค์ให้กับแบบเรือจากประเทศเยอรมัน โดยไม่รบกวนที่พักลูกเรือหรือที่พักนาวิกโยธินบริเวณหัวของเรือ

ภาพประกอบที่สี่แสดงการติดระบบเรดาร์และอาวุธ หัวเรือมีจุดติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก รอบเรือมีจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติจำนวน 6 จุด หน้า-หลังสะพานเดินเรือมีจุดติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 2 จุด 16 ท่อยิง เรือสามารถติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติกับ 3 มิติพร้อมกัน ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์มีครบถ้วนไม่แพ้เรือรบลำไหน การป้องกันตัวเองถือว่าดียอดเยี่ยมกว่าเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบทั่วไป

แบบเรือ MHD 150 ได้รับความสนใจจากกองทัพเรือแอฟริกาใต้ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยจัดหาเรือฟริเกต MEKO A-200 จำนวน 4 ลำกับเรือดำน้ำ Type 210 จำนวน 3 ลำจากเยอรมันมาใช้งาน มีการนำเสนอข้อมูลและราคาเรือโดยบริษัท TKMS และมีแนวโน้มว่าจะสามารถขายเรือได้จำนวนหนึ่งลำ แต่แล้วในท้ายที่สุดโครงการนี้กลับล่มสลายกลางทาง รัฐบาลแอฟริกาใต้ไม่สนับสนุนงบประมาณด้วยเหตุผลมากมาย ลูกเป็ดขี้เหร่จากเมืองเบียร์พลอยไม่ได้แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการเสียที

จุดอ่อนสำคัญที่ผู้เขียนพบบนแบบเรือ MHD 150 ก็คือ จุดติดตั้งลิฟต์อเนกประสงค์อยู่ในตำแหน่งไม่เหมาะสม และอาจส่งผลรบกวนการบินขึ้นลงของเฮลิคอปเตอร์ในจุดที่สี่

MHD 200

        ในงาน IMDEX Asia Exhibition 2009 ประเทศสิงคโปร์ บริษัท TKMS ประเทศเยอรมันเปิดตัวแบบเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบ MHD 200 เป็นครั้งแรก โดยนำแบบเรือ MHD 150 มาขัดเกลาให้ลงตัวมากกว่าเดิม สร้างหัวเรือสูงใหญ่ใช้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเต็มพื้นที่ ความขี้เหร่ที่เคยรบกวนจิตใจได้พลันเลือนหายในชั่วพริบตา

MHD 200 ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ตัน ยาว 190 เมตร กว้าง 28 เมตร ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต ออกทะเลได้นานสุด 42 วัน มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน 6 จุดเท่าเดิม โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์รองรับอากาศยานมากสุด 11 ลำ มาพร้อมเครนอเนกประสงค์ขนาด 30 ตัน เรือระบายพลขนาดเล็กจำนวน 2 ลำ เรือระบายพลขนาดกลางจำนวน 2 ลำ และดาดฟ้ารองหรือ Multi-Purpose Deck บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตพร้อมกันมากถึง 54 ใบ

บริษัท TKMS ให้ข้อมูลว่าแบบเรือ MHD 200 สามารถบรรทุกนาวิกโยธินมากสุด 2,000 นาย หรือปรับเปลี่ยนเป็นเรือพยาบาลรองรับผู้ป่วยจำนวน 120 เตียง มีจุดติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดจำนวน 2 จุด กับจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติจำนวน 4 จุด รองรับการทำงานได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม โดยมีราคาเรือเพียง 150 ล้านยูโรหรือ 189 ล้านเหรียญไม่รวมระบบอำนวยการรบ

แบบเรือ MHD 200 มีความสวยงามและใหญ่โตมากขึ้น แต่ต้องแลกกับจุดติดตั้งอาวุธป้องกันตัวจำนวนลดลง จำเป็นต้องพึ่งพาเรือฟริเกตในการปกป้องคุ้มครองภัย

จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีลูกค้าแสดงความสนใจแบบเรือ MHD 200

MESHD

        หลังเปิดตัวแบบเรือ MHD 200 ใหม่เอี่ยมอ่องได้เพียงไม่นาน บริษัท TKMS เร่งเดินหน้าโครงการ Multi-role Expeditionary Support Helicopter Dock โดยนำแบบเรือ MHD 150 รูปทรงแปลกประหลาดเป็นสารตั้งต้น ในการพัฒนาเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบรุ่นใหม่ไฉไลกว่าเดิมใช้ชื่อว่า MESHD

เรือมีระวางขับน้ำระหว่าง 19,600 ถึง 23,800 ตัน ยาว 195.7 เมตร กว้าง 33.2 เมตร กินน้ำลึก 6.5 ถึง 7.5 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลบวกมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นระบบขับเคลื่อน ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต ใช้ลูกเรือเพียง 94 นาย ใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินอีก 56 นาย ขยายพื้นที่ใช้งานในเรือจนมีขนาด 10,600 ตารางเมตร มีการย้ายลิฟต์อเนกประสงค์จากกราบซ้ายมาอยู่กราบขวา การใช้งานจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์หมายเลขสี่กับหมายเลขห้าพลอยดีขึ้นตามกัน

แบบเรือ MESHD เปรียบได้กับนำแบบเรือ MHD 150 มาแช่น้ำมันก๊าดขยายร่าง ปรับปรุงปล่องระบายความร้อนจากขนาดใหญ่หนึ่งจุดเปลี่ยนเป็นขนาดเล็กสองจุด หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้นกว่าเดิมชนิดเทียบกันไม่ได้ บังเอิญจุดตั้งอาวุธป้องกันตัวถูกถอดออกเกือบทั้งหมด เหมาะสมกับชาติใหญ่มีเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติตามปกป้องคุ้มภัยตลอดเวลา หากเป็นชาติเล็กชาติน้อยใช้เรือฟริเกตรุ่นเดอะภาระมีแนวโน้มจะวอดวายทั้งกองเรือ

จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีลูกค้าแสดงความสนใจแบบเรือ MESHD

MHD 150 for RTN

        วันที่ 30 กันยายน 2025 เสี่ยหนูเดินทางมาเยี่ยมกองทัพเรือถึงสัตหีบ มีการบรรยายข้อมูลเขี้ยวเล็บแหลมคมให้ผู้มาเยือนรับ ทันทีที่ทราบว่าเรือหลวงจักรีนฤเบศรอายุอานามมากถึง 28 ปี เสี่ยหนูเผลออุทานคำว่า คุณพระคุณเจ้า!’ เขาเริ่มแสดงอาการกลุ้มอกกลุ้มใจผ่านสีหน้าแววตา ก่อนระบายความรู้สึกให้ลูกประดู่ไทยมากมายได้รับรู้โดยถ้วนหน้า

        ข้าพเจ้าในฐานะผู้นำคนใหม่ให้สัญญาว่า ข้าพเจ้าจะจัดสรรงบประมาณซื้อเรือธงลำใหม่แทนที่เรือเก่า รบกวนพวกท่านขึ้นโครงการจัดหาเรือขนาดถูกต้องเหมาะสมให้เร็วที่สุด

         วันที่ 1 ตุลาคม 2025 ราชนาวีไทยประกาศจัดหาเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์ขนาดไม่เกิน 20,000 ตันจำนวน 1 ลำ มีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าร่วมโครงการมากหน้าหลายตา หนึ่งในนั้นคือบริษัทมาร์ซันจับมือกับบริษัท TKMS ประเทศเยอรมัน นำเสนอแบบเรือ MHD 150T รุ่นปรับปรุงใหม่สำหรับราชนาวีไทยโดยเฉพาะตามภาพประกอบสุดท้าย

รูปร่างหน้าตายังคงลักษณะขี้เหร่เหลือกำลังเหมือนเก่า มีการปรับปรุงพื้นที่ใช้งานภายในเรือให้ทันสมัยมากขึ้น แล้วย้ายลิฟต์อเนกประสงค์จากกราบซ้ายมาอยู่กราบขวา ในภาพประกอบแสดงการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 54 ใบบนดาดฟ้ารองหรือ Multi-Purpose Deck โดยมีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 3 รุ่นทั้ง Chinook ขนาดใหญ่ Seahawk ขนาดกลาง และ Superlynx 300 ขนาดเล็กสุดสามารถลงจอดบนเรือได้

ระบบอาวุธป้องกันตัวมาแบบจัดแน่นจัดเต็ม หัวเรือติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง Mk41 จำนวน 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM จำนวน 32 นัด มาพร้อมระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium Gun จำนวน 2 ระบบ กับปืนกลอัตโนมัติขนาด 20 มม.รุ่น Searanger จำนวน 4 กระบอก สามารถป้องกันตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเรือลำอื่น ยกเว้นกรณีมีเรือดำน้ำเข้ามาเพ่นพ่านบริเวณสถานที่ยกพลขึ้นบก

ผู้อ่านอาจนึกสงสัยว่าการใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM จะรบกวนการบินขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์บริเวณหัวเรือมากน้อยแค่ไหน คำตอบก็คือแทบไม่รบกวนการบินขึ้นลงเลยสักนิด เพราะเรือออกแบบให้จุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์อยู่กราบซ้าย ส่วนสะพานเดินอยู่กราบขวา เวลาลงจอดเฮลิคอปเตอร์ต้องเข้าทางด้านหลังฝั่งซ้าย เวลาบินขึ้นต้องออกทางด้านหน้าฝั่งซ้าย ป้องกันใบพัดเฮลิคอปเตอร์ฟาดสะพานเดินเรือเพราะสู้กระแสลมไม่ได้ เท่ากับว่าการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานเรือ

MHD 150T ติดตั้งระบบอำนวยการรบ 9LV Mk4 มาพร้อมเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกล Sea Giraffe 4A กับเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำระยะใกล้ Sea Giraffe 1X มีเรดาร์ควบคุมการยิง CEROS 200 จำนวน 2 ตัว มีออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง EOS 500 อีก 1 ตัว ใช้ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์กับระบบเป้าลวงเหมือนเรือหลวงตากสิน ส่งผลให้เรือมีความพร้อมรบเทียบเท่าเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติแห่งราชนาวีไทย

สี่เดือนถัดมากองทัพเรือประกาศให้แบบเรือ MHD 150T คือผู้ชนะโครงการ มาร์ซันกับ TKMS ได้สัญญาสร้างเรือระยะเวลา 4 ปี หนึ่งชั่วโมงถัดมามีการเดินทางไปพบท่านผู้นำคนใหม่ เพื่อแจ้งข่าวดีและถือโอกาสทวงงบประมาณตามคำมั่นสัญญา ให้บังเอิญขบวนรถยังเดินทางไม่ถึงที่หมาย เสี่ยหนูประกาศยุบสภาตามคำมั่นสัญญาที่มีต่อเสี่ยเท้งเสียก่อน โครงการจัดหาเรือขนาดถูกต้องเหมาะสมจึงถูกดองเค็มโดยความไม่ตั้งใจ

เรือธงลำใหม่แห่งราชนาวีไทยลอยเท้งเต้งไปโผล่ที่ไหนไม่มีใครรู้

อ้างอิงจาก

 

https://www.globalsecurity.org/military/world/europe/mhd.htm

www.shibucket.com

http://www.mdc.idv.tw/mdc/navy/euronavy/mhd-mrd.htm


 

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

HC1200 VSTOL Aircraft Carrier

 

ปีงบประมาณ 2531 กองทัพเรือไทยศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเรือสินค้าเก่า มาดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์เช่นเดียวกับเรือฝึกนักบินนาวีกองทัพเรืออังกฤษ ก่อนได้พบว่าการดำเนินการดังกล่าวมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก โดยมีค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงเรือมากถึง 5-6,000 พันล้านบาท กองทัพเรือจึงได้พิจารณาแนวความคิดในการต่อเรือใหม่ จากการสอบถามราคาเรือขนาดประมาณ 5-8,000 ตันกับอู่ต่อเรือยุโรปหลายแห่ง พบว่าอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับการนำเรือสินค้ามาดัดแปลง

        ต่อมาในปีงบประมาณ 2533 กองทัพเรือได้ดำเนินการขั้นตอนต่างๆ กระทั่งเสนอขออนุมัติว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ จากบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนประเทศเยอรมนีในราคาประมาณ 5,200 ล้านบาท วันที่ 22 มกราคม 2534 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กองทัพเรือผูกพันงบประมาณ ถัดมาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2534 กองทัพเรือลงนามว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์กับบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน แต่แล้วในวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 กองทัพเรือตัดสินใจยกเลิกสัญญาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนปฏิบัติผิดสัญญาไม่เป็นไปตามข้อตกลง

ข้อมูลขั้นต้นมาจากบทความ The Off-Shore Navy ที่ผู้เขียนเคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว บทความนี้ผู้เขียนจะลงลึกรายละเอียดและสร้างแรงบันดาลใจไปพร้อมกัน

เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ HC600

แบบเรือบริษัทบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนที่ถูกคัดเลือกโดยกองทัพเรือ ใช้ชื่อว่า HC600 รูปร่างหน้าตาตามภาพประกอบที่หนึ่ง เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 6,000 ตัน ยาว 127 เมตร กว้าง 29.8 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุดไม่เกิน 13,000 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน

HC600 มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 จุดที่หัวเรือกับท้ายเรือ พื้นที่ว่างกลางเรือมีจุดจอดเฮลิคอปเตอร์อีก 2 จุด มีลิฟต์ขนส่งอากาศยานจำนวน 1 ตัว บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ Sea King มากสุดจำนวน 8 ลำ หรือปรับเปลี่ยนเป็นเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 7 ลำ โดยที่เรือเวอร์ชันไทยจะติดอาวุธค่อนข้างมาก ทั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Sparrow จำนวน 1 แท่นยิง ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 30 มม.อีกจำนวน 4 กระบอก ส่วนปืนกลขนาด 40 มม.บนหลังคาห้องควบคุมอากาศยาน ข้อเท็จจริงสมควรเป็นเรดาร์ควบคุมการยิงตัวที่สองสำหรับ Sea Sparrow

บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนหาได้มีแบบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์เพียงหนึ่งเดียว แท้จริงแล้วเรือในตระกูล HC มีมากถึง 4 แบบเรือ ประกอบไปด้วยน้องเล็ก HC500 ขนาด 110 เมตร ถัดไปคือน้องสาม HC600 ขนาด 127 เมตร ถัดไปคือน้องรอง HC800 ขนาด 151 เมตร ปิดท้ายด้วยพี่ใหญ่ HC1100 ขนาด 170 เมตร

ข้อผิดพลาดส่งผลให้กองทัพเรือยกเลิกสัญญาบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน เกิดจากรัฐบาลเยอรมันอนุมัติการขายเรือให้กับประเทศไทยค่อนข้างล่าช้า บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนส่งเรื่องขออนุมัติล่วงหน้าก่อนทำสัญญาอย่างเป็นทางการ ให้บังเอิญไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ผลลัพธ์ตามมาบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนต้องสูญเสียลูกค้าคนสำคัญ ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินกระทั่งทำให้บริษัทต้องปิดกิจการในเวลาต่อมา

การสูญเสียแบบเรือ HC600 ส่งผลต่อราชนาวีไทยมากเช่นกัน เพราะต้องปรับแผนเปลี่ยนมาจัดหาเรือขนาดใหญ่กว่าเดิม แล้วยังบานปลายซื้อเครื่องบินขึ้นลงแทนดิ่งสภาพแก่ชรามาใช้งานอีก 10 ลำ (ตกก่อนส่งมอบ 1 ลำ) ส่งผลให้เรือไม่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ระบบอาวุธบนเรือก็แตกต่างจาก HC600 ชนิดฟ้ากับเหว จะไปไหนมาไหนต้องมีเรือฟริเกตทำหน้าที่คุ้มกัน รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการใช้เรือสูงขึ้นตามระวางขับน้ำ

นับต่อจากนี้ผู้เขียนจะติ๊งต่างว่าระหว่างปี 2534 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเล็งเห็นภัยร้ายจากการขยายอิทธิพลของประเทศจีน จึงให้การสนับสนุนกองทัพไทยด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทั้งเรื่องขายอาวุธมือหนึ่งและมือสองในราคามิตรภาพ ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ทหารให้มีความรู้ความสามารถ ที่สำคัญมีการฝึกสอนการวางแผนจัดหาอาวุธระยะยาวอย่างเป็นระบบ

เมื่อรู้ว่ากองทัพเรือตั้งใจจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ตัวแทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ความเห็นว่าอย่ากระนั้นเลย เราขอแนะนำให้ท่านจัดหาเรือขนาดใหญ่กว่าเดิม สามารถใช้งานเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งได้อย่างสะดวกสบาย ทางเราจะช่วยสนับสนุนและมอบของขวัญล้ำค่าแทนใจ ส่วนจะเป็นสิ่งใดขออนุญาตแจ้งผ่านท่านนายกรัฐมนตรีในภายหลัง

กองทัพเรือได้รับแจ้งข่าวพลันยกเลิกการเซ็นสัญญากับบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน พร้อมกับสอบถามท่านมีเรือบรรทุกเครื่องบินติดลานสกีจัมป์หรือไม่ ข้าพเจ้าต้องการใช้งานร่วมกับเครื่องบินขับไล่โจมตี Harrier ที่สหรัฐอเมริกาตั้งใจมอบให้

บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนให้คำตอบอย่างรวดเร็วว่า เรามีแบบเรือพี่ใหญ่ที่เหมาะสมกับความต้องการ ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติรับฟังข้อมูลทั้งหมดได้ที่สำนักงานใหญ่

เรือบรรทุกเครื่องบิน HC1100

ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือบรรทุกเครื่องบินลานสกีจัมป์ HC1100 ซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 11,000 ตัน ยาว 170 เมตร กว้าง 32 เมตร กินน้ำลึก 6.1 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG ติดตั้งเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์จำนวน 2 ตัวกับเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุดมากกว่า 26 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 10,000 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ใช้ลูกเรือจำนวน 455 นาย

แบบเรือ HC1100 มีจุดติดตั้งอาวุธจำนวน 3 จุด บริเวณหัวเรือ 2 จุดกับท้ายเรืออีก 1 จุด เสากระโดงติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลางกับระยะไกลอย่างละ 1 ตัว มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน  4 จุด มีลิฟต์ขนส่งอากาศยานจำนวน 2 ตัว บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ Sea King มากสุดจำนวน 14 ลำ หรือเปลี่ยนเป็นเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 10 ลำ

กองทัพเรือค่อนข้างพอใจแบบเรือ HC1100 บังเอิญที่ปรึกษาชาวสหรัฐอเมริกาให้คำแนะนำว่า สมควรขยายขนาดเรือให้ยาวกว่าเดิ มด้วยเหตุผลหลักสองประการ

1.นอกจากเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 10 ลำ เรือสมควรบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันเพิ่มจำนวน 2 ลำ สำหรับภารกิจค้นหากู้ภัย ลำเลียง และปราบเรือดำน้ำ

2.ลานบินสมควรยาวกว่านี้สักสิบกว่าเมตร เมื่อเครื่องบินแล่นผ่านสกีจัมป์เพื่อไต่ระดับขึ้นสู่ฟากฟ้า จะมีความเร็วมากกว่าเดิมไต่ระดับง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อขึ้นบินโดยแบกอาวุธค่อนข้างหนัก ในการรบจริงจะช่วยให้นักบินทำงานง่ายขึ้นความเครียดลดลง

บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนนำคำแนะนำทั้งหมดไปปรับปรุงแก้ไข กระทั่งได้เรือบรรทุกเครื่องบินลานสกีจัมป์ลำใหม่ที่ปิดจุดอ่อนทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

เรือบรรทุกเครื่องบิน HC1200

เทียบกับแบบเรือ HC1100 ซึ่งถือเป็นเรือต้นแบบ HC1200 มีระวางขับน้ำประมาณ 12,000 ตันเพิ่มขึ้น 1000 ตัน ยาว 183 เมตรเพิ่มขึ้น 13 เมตร บรรทุกเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 10 ลำกับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำตรงตามความต้องการ มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน  5 จุดเพิ่มขึ้น 1 จุด ส่งผลให้การทำภารกิจสะดวกสบายมากกว่าเดิม โดยปรับปรุงแบบเรือเพียงเล็กน้อยตามคำแนะนำบุคคลผู้มีประสบการณ์

กองทัพเรือไทยเห็นแบบเรือตัดสินใจวางเงินจองอย่างรวดเร็ว

วันที่ 17 มีนาคม 2535 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กองทัพเรือ ว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินจำนวน 1 ลำ จากบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน ประเทศเยอรมันในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล ต่อมาในวันที่ 27 มีนาคม 2535 กองทัพเรือลงนามสัญญาว่าจ้างสร้างเรือกับบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนในวงเงินประมาณ 7,500 ล้านบาท และในวันที่ 31 ตุลาคม 2535 คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้กองทัพเรือจัดซื้อเครื่องมือและส่วนสนับสนุน รวมทั้งระบบอาวุธป้องกันตนเองระยะประชิดในวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท ราคารวมทั้งโครงการประมาณ 10,500 ล้านบาทแพงขึ้นสองเท่าตัวพอดิบพอดี

ภาพประกอบที่สี่คือเรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 หลังเข้าประจำการปี 2540

นอกจากเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B SEA HAWK จำนวน 6 ลำในวงเงิน 3,600 ล้านบาท สหรัฐอเมริกายังมอบของขวัญล้ำค่าเครื่องบินขับไล่โจมตี AV-8B Harrier II อายุใช้งานเพียง 5 ปีจำนวน 6 ลำ ประกอบไปด้วยรุ่นที่นั่งเดี่ยวจำนวน 5 ลำใช้งานบนเรือ กับรุ่นสองที่นั่งจำนวน 1 ลำใช้ฝึกนักบินบนบก โดยคิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงตามวงรอบ อะไหล่จำนวนหนึ่ง และการฝึกสอนนักบินกับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเพียง 1,200 ล้านบาท

เท่ากับว่าเรือหลวงเรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 ประจำการเครื่องบินขับไล่โจมตี AV-8B Harrier II จำนวน 5 ลำ (เท่าเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Invincible ในยามปรกติ) กับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B SEA HAWK จำนวน 6 ลำ อากาศยานทั้ง 11 ลำมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 35 ปี มีอะไหล่สำหรับซ่อมบำรุงยาวนานใกล้เคียงกัน เรือใหญ่ที่สุดของไทยลำนี้จะมีเขี้ยวเล็บแหลมคมยาวนานใกล้เคียงอายุเรือ

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx Block 1 รุ่นใหม่ล่าสุดจำนวน 3 ระบบ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาช่วยจ่ายเงินเป็นจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ หลังคาห้องควบคุมอากาศยานติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Sadral อีก 1 ระบบ สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral จำนวน 6 นัด แม้ติดตั้ง Sadral เพียงจุดเดียวทว่ามุมยิงครอบคลุม 360 องศา เท่ากับว่าในการป้องกันตัวเองเรือจะใช้ Mistral ยิงสกัดที่ระยะ 6 กิโลเมตร หากหลุดเข้ามาให้เป็นหน้าที่ Phalanx ในระยะ 2 กิโลเมตร รวมทั้งยังมีปืนกลขนาด 12.7 มม.ติดรอบลำเรือจำนวน 8 กระบอก

หมายเหตุ : Phalanx กระบอกท้ายเรือผู้เขียนวัดอย่างละเอียดแล้ว ปืนหมุนได้ 360 องศาไม่ถูกเสาบังแต่อย่างใด สามารถยิงสกัดเป้าหมายสองกราบเรือได้อย่างราบรื่น

ระบบตรวจจับบนเรือประกอบไปด้วย เรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกล LW08 เหมือนเรือหลวงนเรศวร เรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลาง Type 360 เหมือนเรือหลวงนเรศวร ระบบสื่อสารทั้งหมดเหมือนเรือหลวงนเรศวร ส่วนระบบอำนวยการรบยังไม่ติดเนื่องจากงบประมาณหมดเสียก่อน

บทสรุป

        เรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 ช่วยเติมเต็มความต้องการราชนาวีไทย ช่วยให้กองบินทหารเรือมีเครื่องบินขับไล่โจมตีใช้งานอย่างยาวนาน เรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 ยังช่วยประคับประคองบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน ให้กลับมาทำธุรกิจได้เหมือนเก่าไม่ล้มหายตายจากไปเสียก่อน ถือเป็นแบบเรือค่อนข้างเหมาะสมกับประเทศเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่ต้องการเวหานุภาพช่วยปกป้องกองเรือตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย

อ้างอิงจาก

 www.shibucket.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

F110-class Frigate

 

กองทัพเรือสเปนมีเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Santa María หรือ Oliver Hazard Perry จำนวน 6 ลำ เข้าประจำการระหว่างปี 1986 ถึง 1994 ถือว่าอายุมากพอสมควร จึงมีแผนการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน กำหนดให้ใช้แบบเรือพัฒนาเองสร้างเองไม่ต้องพึ่งพาชาติอื่นให้ยุ่งยากวุ่นวาย

และเนื่องมาจากกองทัพเรือสเปนประจำการเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น F100 จำนวน 5 ลำ ออกแบบโดยบริษัท Navantia ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมสร้างเรือแห่งเมืองกระทิงดุ คนในกองทัพจึงหมายมั่นปั้นมือปรับปรุงเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ อาจเป็นเพราะกำลังหลงใหลละเมอพร่ำเพ้อคำว่า common fleet พวกเขาวาดฝันว่า F100 จำนวน 5 ลำบวก F100 Batch 2 อีก 5 ลำมันช่างสุดยอดเสียนี่กระไร ว่าแล้วจึงส่งความต้องการให้ Navantia ช่วยดัดแปลงเรือตามความต้องการ

การปรับปรุงเรือชั้น F100 กระทำกันแบบค่อนข้างง่าย รบกวนเพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่หนึ่งไปพร้อมกัน เป็นเรือฟริเกตชั้น F100 Batch 2 ที่ Navantia นำเสนอให้กองทัพเรือออสเตรเลียในโครงการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ โดยการสร้างเสากระโดงขนาดใหญ่ยักษ์หน้าตาประหลาด ถอดเรดาร์ตรวจการณ์สหรัฐอเมริกาออก แทนที่ด้วยเรดาร์ตรวจการณ์ออสเตรเลีย พยายามลดเสียงจากระบบขับเคลื่อนให้มากที่สุด และเพิ่มโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์จากหนึ่งเป็นสอง ตรงตามความต้องการลูกค้าพอดิบพอดี

กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ F100 Batch 2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ ปิดฉากกองเรือ common fleet จำนวน 10 ลำไปชั่วนิรันดร์ เหตุผลก็คือ F100 Batch 2 อาจเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดี ทว่า F100 Batch 2 ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดีที่สุด และ F100 Batch 2 ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่เหมาะสมที่สุด ในระยะยาวนอกจากไม่เป็นเดอะแบกหนำซ้ำยังอาจเป็นเดอะภาระ

เมื่อ Navantia นำแบบเรือ F100 Batch 2 มานำเสนอให้กับกองทัพเรือออสเตรเลีย ผลลัพธ์ก็คือพ่ายแพ้แบบเรือ Type 26 จากประเทศอังกฤษแบบสู้กันไม่ได้ ปิดตำนานการกลายร่างเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำไปแบบสุดชอกช้ำ

หลังถีบแบบเรือ F100 Batch 2 กระเด็นตกน้ำ บริษัท Navantia เห็นช่องรวยจึงนำเสนอแบบเรือ F2M2 หรือ Future Frigate Multi Mission ให้กองทัพเรือสเปนพิจารณาตามภาพประกอบที่สอง

F2M2 เป็นเรือไตรมารันสามตอนเหมือนเรือ LCS ชั้น Independence กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ผสมผสานระบบเรดาร์น้อยใหญ่ไว้บนเสากระโดงทรงเตี้ย สะพานเดินเรือรูปทรงคล้ายคลึงเรือพิฆาตชั้น Zumwalt กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา จัดเป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ทำภารกิจได้อย่างหลากหลาย มีคุณลักษณะลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ชนิดเต็มคาราเบล มีความทันสมัยก้าวล้ำนำหน้าแบบเรือลำอื่นสองเสาไฟ

หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาดไม่เกิน 127 มม.ถัดมาด้านหลังคือแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 32 ท่อยิง สะพานเดิมเรือกับเสากระโดงผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียว จุดติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบกับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ ซ่อนอยู่ในตัวเรือเปิดใช้เฉพาะตอนทำสงคราม มีจุดรับส่งเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 จุด มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำ มีจุดติดตั้งปืนรองหรือระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด มีพื้นที่อเนกประสงค์หรือ Mission bay ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มีประตูขนาดใหญ่รับส่งยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 1 จุด และมีประตูขนาดกลางรับส่งยานใต้น้ำไร้คนขับอีก 2 จุด

กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ F2M2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ ปิดฉากกองเรือ modern fleet ไตรมารันไปชั่วนิรันดร์ เหตุผลก็คือ F2M2 เสียงดังเกินกว่าจะเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ มีความยุ่งยากซับซ้อนในการซ่อมบำรุงและการใช้งาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการออกทะเลมากกว่าเรือฟริเกตตอนเดียวโดยทั่วไป

หลังถีบแบบเรือ F100 Batch 2 กระเด็นตกน้ำ ปี 2011 กองทัพเรือสเปนกำหนดให้ Navantia ออกแบบเรือฟริเกตใหม่ทั้งลำ พร้อมทำสัญญามูลค่า 2 ล้านยูโรให้บริษัท INDRA ออกแบบเสากระโดง integrated sensor mast เท่ากับเป็นการประกาศเดินหน้าโครงการเรือฟริเกตรุ่นใหม่ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า F110 อย่างเต็มรูปแบบ

        ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือ F110 รุ่นต่างๆ ที่ Navantia กับ INDRA ร่วมมือกันเสกสรรปั้นแต่ง เริ่มจากเรือไตรมารันสามตอนซึ่งดูจากทรงยังไงก็ไม่เหมาะสม ลำถัดไปคือเรือฟริเกตตอนเดียวที่หยิบยืมเสากระโดง F2M2 มาใช้งาน ลำถัดไปยืมดีไซน์เสากระโดงเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์สหรัฐอเมริกามาใช้งาน เรืออีกลำใช้เสากระโดงรูปทรงพีระมิดเหมือนเรือคอร์เวต Gowind 2500  กระทั่งมาสำเร็จเป็นแบบเรือ F110 เสากระโดงรูปทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มุมขวาด้านล่าง

        กองทัพเรือสเปนชอบอะไรที่มันเหลี่ยมจัด เห็นเสากระโดงแปดเหลี่ยมครั้งแรกขอแต่งงานทันที เป็นอันว่าแบบเรือ F110 รุ่นแรกได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ

ภาพประกอบที่สี่คือแบบเรือ F110 รุ่นแปดเหลี่ยมจำนวน 5 มุมมอง หัวเรือติดปืนใหญ่ 5 นิ้วจากสหรัฐอเมริกา ถัดมาคือแท่นยิงแนวดิ่ง MK41 จำนวน 16 ท่อยิง ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-7(V)2 ใหม่เอี่ยมแต่เป็นรุ่นส่ง ทำงานร่วมระบบอำนวยการรบ SCOMBA ที่ Navantia นำเทคโนโลยีระบบอำนวยการรบ AEGIS มาผสมผสานเป็นผลงานฝีมือตัวเอง แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ซ่อนอยู่ในช่องเจาะลึกกลางเรือ เป็นการอำพรางเนื่องจากแท่นยิง MK141 ค่อนข้างสูงจนน่าตกใจ ส่วนปืนรองตามภาพประกอบน่าจะเป็น BOFORS 57 mm MK3  อัตรายิง 200 นัดต่อนาที มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ลำกับเรือยางท้องแข็งขนาดใหญ่อีก 3 ลำ ภาพรวมแลดูคล้ายคลึงนำแบบเรือ F100 มาพัฒนาให้ทันสมัยมากกว่าเดิม

กองทัพเรือสเปนเลือก F110 รุ่นแปดเหลี่ยมก็จริง ทว่าแบบเรือยังต้องพัฒนาปรับปรุงลดจุดอ่อนออกไปทั้งหมด เพื่อให้เรือสามารถเข้าประจำการเป็นกำลังรบหลักถึงปี 2060

เมื่อได้แบบเรือฟริเกตตรงตามความต้องการกองทัพเรือสเปน ท่านประธานบริษัท Navantia สั่งเดินหน้าต่อทันที โดยการนำแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design มาทำแบบรายละเอียดหรือ Construction Drawings กระทั่งเสร็จสมบูรณ์ กลายเป็นโมเดลเรือในภาพประกอบที่ห้าซึ่งมีรายละเอียดประกอบไปด้วย

เรือมีระวางขับน้ำ 6,100 ตัน ยาว 145 เมตร กว้าง 18 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อน CODLOG เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ GE LM2500 จำนวน 1 ตัว เครื่องยนต์ดีเซล MTU 4000 จำนวน 4 ตัว ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ความเร็วสูงสุด 25 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 150 นาย ข้อมูลตัวเรือมีหลุดมาเพียงเท่านี้

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 127/64 LW Vulcano บริเวณหัวเรือ เหตุผลที่เปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่อิตาลีเพราะสเปนอยากใช้กระสุน Vocalno ระยะยิงไกลสุด 100 กิโลเมตร ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง MK41 จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM Block 2 ซึ่งสเปนลงขันพัฒนาร่วมกับหลายชาติในนาโต้ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจน กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง อาวุธใต้น้ำคือตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ MK 54 รุ่นยอดนิยม กับแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.จำนวน 2 กระบอกขนาบสองกราบเรือ รวมทั้งมีปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.เพิ่มเติมอีก 2 กระบอก

เรือใช้ระบบอำนวยการรบรุ่น SCOMBA ที่สเปนพัฒนาเอง ติดเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 จากสหรัฐอเมริกาจำนวน 4 ตัว ด้านบนคือเรดาร์ตรวจการณ์ X-Band ที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดจำนวน 4 ตัว ระบบสื่อสารกับระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของสเปนทั้งหมด ติดเรดาร์ควบคุมการยิงปืนใหญ่ NS-30S MK2 จำนวน 1 ตัว (สำหรับยิงกระสุนต่อระยะ) ติดเรดาร์ควบคุมอาวุธปล่อยนำวิถี AN/SPG-62 จำนวน 2 ตัว ระบบตรวจจับใต้น้ำคือโซนาร์หัวเรือ BlueMaster UMS 4110 กับ โซนาร์ลากท้าย CAPTAS-4 รุ่น Compact น้ำหนักน้อยกว่าเดิม รองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำ

พัฒนาการของเรือยังไม่จบสิ้นแค่เพียงเท่านี้ ภาพประกอบที่หกมีการเปลี่ยนเล็กน้อยให้เหมาะสมกว่าเดิม โดยการโยกเรดาร์เดินเรือมาติดบนเสากระโดงแปดเหลี่ยม สร้างแท่นวางเรดาร์ควบคุมการยิงยาวมาถึงสะพานเดินเรือ เพื่อติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง NS-30S MK2 ต่อด้วยจานรับสัญญาณดาวเทียมหรือ SATCOM ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จุดอื่นบนเรือมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย และทุกคนคาดว่านี่คือแบบเรือรุ่นสร้างจริงของ F110

หัวเรือสูง สะพานเดินเรือเตี้ย กลางเรือค่อนข้างราบเรียบ มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มีโซนาร์ลากท้ายตัวพ่อ เรือฟริเกต F110 ถือว่าดีที่สุดเท่าที่สเปนสามารถพัฒนาได้

เรือฟริเกต F110 อาจมีหลายส่วนโดยเฉพาะหัวเรือคล้ายเรือฟริเกต F1 00 แต่ถึงกระนั้นเรือมีความแตกต่างหลายอย่างประกอบไปด้วย

1.เรือมีความเงียบเทียบเท่าเรือฟริเกตปราบเรือน้ำรุ่นใหม่ทันสมัยหลายชาติ ผลลัพธ์จากการออกแบบตัวเรือส่วนใต้น้ำใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก CODOG เป็น CODLOG ส่งผลให้การทำภารกิจไล่ล่าและทำลายเรือดำน้ำแจ่มแจ๋วกว่าเดิม

2.เรือถูกออกแบบลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์และคลื่นความร้อน มีเพียงปล่องระบายอากาศกลางลำเรือจุดเดียวที่เผยแพร่คลื่นความร้อน การออกแบบสองกราบเรือก็นำเรือฟริเกตชั้น Iver Huitfeldt กองทัพเรือเดนมาร์กมาเป็นต้นแบบ

3.เรือมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม ทำภารกิจได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม รวมทั้งทำภารกิจเสริมต่างๆ ได้โดยไม่ขัดเขิน F110 จึงมีความแตกต่างจาก F100 มากพอสมควร

ภาพประกอบที่เจ็ดมาจากเว็บไซต์บริษัท Navantia เรือฟริเกต F110 ที่จะจริงมีการปรับปรุงเสากระโดงแปดเหลี่ยมให้มีขนาดเล็กลง เมื่อน้ำหนักเสาลดลงส่งผลให้เรือไม่โคลงมากเกินไป ตำแหน่งเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 สูงกว่าเดิมอย่างชัดเจน สลับกับเรดาร์ตรวจการณ์ X-Band ลดต่ำลงเล็กน้อย เปลี่ยนมาใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM แทนที่ Harpoon และเนื่องมาจากแท่นยิง NSM ขนาดค่อนข้างเล็กและเตี้ย ไม่มีความจำเป็นต้องเจาะช่องเรือเพื่ออำพราง ส่งผลให้การสร้างเรือง่ายกว่าเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ

ความเปลี่ยนแปลงอีก 2 จุดที่ผู้เขียนตรวจพบก็คือ จรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ไม่อยู่แล้ว และเปลี่ยนมาใช้งานปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.รุ่นเดียวกับเรือหลวงช้าง แทนที่ปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.ที่กำลังจะสูญหายจากท้องตลาด ถือเป็นการสนับสนุนสินค้าพัฒนาและผลิตในสเปนไปพร้อมกัน

กองทัพเรือสเปนต้องการสร้างเรือฟริเกต F110 จำนวน 5 ลำ โดยมีออปชันเสริมอีก 2 ลำขึ้นอยู่กับสถานการณ์และกระเป๋าเงิน ราคาต่อลำอยู่ที่ 1.02 ล้านเหรียญหรือ 32,956 ล้านบาท ขณะที่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ใช้ระบบเรดาร์รุ่นใหม่กับระบบอำนวยการรบ THALES ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 16 ท่อยิงเท่ากัน กลับมีราคาค่อนข้างสูงลำละ 1 พันล้านยูโรหรือ 37,750 ล้านบาท

เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์เรือฟริเกตสเปนราคาถูกกว่า สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้ทันที (เรดาร์ควบคุมการยิงพร้อมมาก) ที่สำคัญอาวุธกับเรดาร์สหรัฐอเมริกาผ่านสงครามจริงมานักต่อนัก จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้ใคร ยังไม่เคยเกิดปัญหายิงไม่ออกให้เป็นที่เจ็บใจ ความน่าเชื่อถือสูงกว่าแม้ไม่ใช่ระบบอำนวยการรบ AEGIS ของจริงก็ตาม

อ้างอิงจาก

https://www.secretprojects.co.uk/threads/navantia-f2m2-future-frigate-multi-mission.11463/#post-261587

https://www.navantia.es/en/product/f110/

https://www.seaforces.org/marint/Spanish-Navy/Frigate/Bonifaz-class.htm

 

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

Frigate 4000

 

ในงานแสดงอาวุธ MADAX 2025 ซึ่งถูกจัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ บริษัท Hanwha Ocean นำแบบเรือฟริเกตรุ่นส่งออกลำใหม่มาเปิดตัวในงาน และถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่าเรือฟริเกตชั้น Frigate 4000

รูปร่างหน้าตาเรือมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างดี เหตุผลก็คือแบบเรือถูกปรับปรุงจากเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชของราชนาวีไทย

Frigate 4000 มีความยาวประมาณ 124 เมตร กว้าง 14.4 เมตร กินน้ำลึกสุด 8 เมตร ระวางขับน้ำ 3,750 ตัน ใกล้เคียงเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชซึ่งปรับปรุงจากแบบเรือ DW 3000F อีกหนึ่งทอด ส่งผลให้หัวเรือค่อนข้างยาวและแหลม สะพานเดินเรือค่อนข้างสูง แหล่งข่าวในงานแจ้งว่าบริษัท Hanwha Ocean ตั้งใจเสนอแบบเรือ Frigate 4000 ให้กับราชนาวีไทย ในโครงการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่มูลค่าลำล่ะ 17,500 ล้านบาท

ชมภาพประกอบที่หนึ่งไปพร้อมกัน เพราะเป็นเรือรุ่นส่งออกที่ยังไม่ได้ปรับปรุงตามความต้องการลูกค้า ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบใช้ของเกาหลีใต้ไปก่อน หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ถัดไปเล็กน้อยคือแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 16 ท่อยิงติดตั้งตามยาว ขนาบข้างด้วยแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดจำนวน 12 แท่นยิง หน้าสะพานเดินเรือยกสูงเล็กน้อยประมาณหนึ่งฟุต ติดตั้งเสาเหล็กสำหรับรับ/ส่งสิ่งของกลางทะเล กับแท่นยิง SIMBAD-RC สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 จำนวน 2 ท่อยิง

เหตุผลที่ติดตั้งแท่นยิง SIMBAD-RC นั้นมีอยู่ว่า ต้องการใช้อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ยิงสกัดอากาศยานไร้คนขับชนิดต่างๆ เหตุผลก็คือ Mistral 3 ราคาถูกที่สุด ติดตั้งง่ายที่สุด อีกไม่กี่ปีจะมีแท่นยิง SIMBAD-RC4 ขนาด 4 ท่อยิงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก การติดตั้ง SIMBAD-RC เพิ่มเติมเข้ามาของบริษัท Hanwha Ocean เพื่อให้ตัวเองสามารถโม้ได้ว่าเรือทำภารกิจต่อต้านอากาศยานไร้คนขับได้

ภาพประกอบที่สองเป็นบั้นท้ายเรือที่ทุกคนคุ้นเคย ลานจอดกับโรงเก็บรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัยหากลูกค้าอยากเสียเงินเพิ่ม บนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงจำนวน 2 ตัว และแท่นยิง SIMBAD-RC อีก 1 แท่นยิง ส่วนจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ เป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี และจุดรับส่งเรือยางท้องแข็ง เหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชชนิดต่อให้หลับตาเดินก็ไม่เตะ

ข้อแตกต่างอย่างชัดเจนเกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์ Frigate 4000 ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD เครื่องยนต์ดีเซลล้วน ความเร็วสูงสุด 27 นอต ส่วนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์กับดีเซล ความเร็วสูงสุด 33 นอต ทั้งนี้ทั้งนั้นระบบขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการลูกต้า ส่วนเปลี่ยนแล้วใช้งานดีหรือเปลี่ยนแล้วใช้งานไม่กี่ปีเครื่องยนต์พังขึ้นอยู่กับแต้มบุญหนุนนำ

คำถามในเมื่อบริษัท Hanwha Ocean ตั้งใจเสนอแบบเรือ Frigate 4000 ให้กับราชนาวีไทย บังเอิญแบบเรือมีหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างจากเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เราจะซื้อมาใช้งานโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงได้หรือไม่?

คำตอบได้แน่นอน

ระบบขับเคลื่อนเปลี่ยนเป็น CODAG ได้แน่นอน ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบเปลี่ยนเป็นบริษัท SAAB ได้แน่นอน รบกวนเพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่สามกันสักนิด แม้แบบเรือ Frigate 4000 ไม่มีเสากระโดงรองสำหรับติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลาง แต่มีพื้นที่ว่างหน้าปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.พอสมควร สามารถสร้างเสากระโดงรองเหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชได้แน่นอน การติดตั้งระบบเรดาร์จึงทำได้เหมือนเรือต้นฉบับทุกประการ

คำถามส่วนที่แตกต่างอยู่ตรงไหน?

คำตอบอยู่ที่หัวเรือ

เพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่สี่กันต่อ

ภาพซ้ายมือเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชกำลังยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM เนื่องจากเกาหลีใต้ออกแบบหัวเรือสูงจากระดับน้ำไม่มาก ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งบนดาดฟ้าเรือตรงๆ ไม่ได้เนื่องจากความสูงไม่พอ จำเป็นต้องสร้างดาดฟ้าเรือชั้นที่สองหลังปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.รองรับแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อยิงไม่มากไปกว่านี้ ขนาบสองฝั่งด้วยเสาเหล็กสำหรับรับ/ส่งสิ่งของกลางทะเล และมีพื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือมากพอสมควร

พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือออกแบบมาเพื่อติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx บังเอิญลูกค้าเปลี่ยนใจอยากย้าย Phalanx มาติดบนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ พื้นที่ดังกล่าวจึงใช้ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดจำนวน 12 แท่นยิง

เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชมีสะพานเดินเรือรูปทรงห้าเหลี่ยม ภาพรวมคล้ายเรือ LCS ชั้น Independence กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เพื่อนๆ สมาชิกหันมาพิจารณาภาพขวามือกันบ้าง สะพานเดินเรือของแบบเรือ Frigate 4000 รูปทรงหกเหลี่ยมแต่คล้ายกันมาก พูดง่ายๆ ก็คือความแหลมถูกเฉือนออกไปเล็กน้อย นี่คือความเปลี่ยนแปลงจุดที่หนึ่งของเรือ

ความเปลี่ยนแปลงจุดที่สองอยู่ที่ความทันสมัยหัวเรือ แม้หัวเรือจะมีความสูงเท่าเดิมเมื่อพิจารณาจากภาพประกอบ (ลำจริงหัวเรืออาจสูงกว่านี้ก็เป็นได้) ทว่า Hanwha Ocean ออกแบบหัวเรือให้ราบเรียบเหมือนเรือฟริเกตรุ่น Full Steath ของแท้ จุดผูกเชือกเรือกับรอกสมอเรือย้ายมาอยู่ใต้ดาดฟ้าเรือ ส่วนแท่นยิงแนวดิ่ง 16 ท่อยิงติดบนดาดฟ้าเรือหลังปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.

เท่ากับว่า Frigate 4000 มีความทันสมัยกว่าเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช

เท่ากับว่า Frigate 4000 มีความเหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์

ส่วนจะจัดเป็นเรือชั้นเดียวกันหรือไม่เรื่องนี้เกินความรู้ความสามารถผู้เขียน

ข้อสังเกตเล็กน้อยแต่ไม่น่าน้อยสักเท่าไร โมเดลแบบเรือ Frigate 4000 แม้ออกแบบหัวเรือใหม่ทันสมัยมากขึ้น ทว่าหัวเรือกลับสูงเท่าเดิมแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลง จุดติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งย่อมกินพื้นที่ลึกกว่าเดิมนิดหน่อย และต้องเสียพื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือสำหรับจุดผูกเชือกเรือกับรอกสมอเรือ ถ้าออกแบบให้หัวเรือสูงกว่าเดิมประมาณ 1.7 เมตรเทียบเท่าดาดฟ้าเรือชั้นสองเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช น่าจะเหมาะสมมากกว่า มีพื้นที่ใช้งานมากกว่า สวยกว่า ดุดันกว่า และเผชิญหน้าคลื่นลมแรงได้ดีกว่า

การออกแบบกลับทำให้ทุกคนเห็นว่าหัวเรือเตี้ยกว่าเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ

เป็นข้อตำหนิเล็กๆ ที่ผู้เขียนบังเอิญมองเห็นจากแบบเรือ

ปล.เรือฟริเกต Frigate 4000 ลำจริงอาจแตกต่างจากโมเดลเรือหยาบๆ ตามภาพประกอบ

อ้างอิงจาก

https://www.navalnews.com/event-news/madex-2025/2025/07/new-destroyers-and-export-frigates-by-hanwha-ocean-at-madex-2025/

https://www.janes.com/osint-insights/defence-news/sea/madex-2025-hanwha-positions-frigate-4000-for-thai-navy-requirements