เรดาร์ที่หายไป
เรือหลวงชลบุรีหมายเลข 331
เป็นหนึ่งในสามเรือเร็วโจมตีอาวุธปืนชั้น MV400 (หรือชั้นเรือหลวงชลบุรี) สร้างโดยอู่ต่อเรือ Cantiere Navale
Breda ประเทศอิตาลี เข้าประจำการในปี 2526 ระวางขับน้ำสุงสุด
450 ตัน ยาว 60.4 เมตร กว้าง 8.8
เมตร นับเป็นเรือเร็วโจมตีที่มีขนาดใหญ่โตมากที่สุดลำหนึ่ง
ระบบตรวจจับเป้าหมายบนเรือหลวงชลบุรี
ใช้เรดาร์ ZW06 จากบริษัท Thales Nederland ซึ่งเป็นเรดาร์เดินเรือและเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ ทำงานในโหมด I-band หรือ X- band แล้วแต่จะเรียก ช่วยในการลงจอดของเฮลิคอปเตอร์
มีระบบป้องกันสงครามอิเลคทรอนิกส์
ออกแบบให้ใช้งานบนเรือตรวจการณ์ไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเบา
นับเป็นเรดาร์เดินเรือตัวท๊อปบนสุดในเวลานั้น มีระยะทำการอยู่ที่ประมาณ 46 กิโลเมตร ได้รับความนิยมพอสมควรคือขายได้ถึง 72 ระบบ
ลูกค้ารายแรกก็คือเรือหลวงมกุฎราชกุมาร ซื้อไปติดตั้งในปี 1972 ก่อนบราซิลซื้อไปใช้บนเรือฟริเกตชั้น Niteroi แค่เพียงนิดหน่อย
ปัจจุบันเรือหลวงชลบุรีมีอายุอานาม34
ปีเข้าไปแล้ว บางสิ่งบางอย่างจึงได้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
มีการถอดเรดาร์ ZW06 ออกไปจากเสากระโดง
แล้วติดตั้งเรดาร์เดินเรือสีขาวสว่างโร่ทดแทน ไม่แน่ใจว่าเรดาร์หมดอายุไข
ราคาซ่อมบำรุงแพงเกินกำลัง หรือเรดาร์ที่ติดเข้าไปใหม่ดีกว่ากว่าเดิม
เรือหลวงสงขลาและเรือหลวงภูเก็ตซึ่งเป็นเรือชั้นเดียวกัน ก็ถอดเรดาร์ ZW06 ออกไปแล้วเช่นกัน ทว่าเรือหลวงมกุฎราชกุมาร เรือหลวงรัตนโกสินทร์
และเรือหลวงสุโขทัย ยังคงติดตั้งที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง อาจเป็นไปได้ว่า...เรือ 3 ลำหลังมีขนาดใหญ่โตพอสมควร
จึงติดเรดาร์เพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องถอดของเก่า คาดเดากันไปตามภาษาคนเขียนบทความ
เรือหลวงชลบุรี ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด
76/62 มม.จำนวน 2 กระบอก
ทำงานคู่กับเรดาร์ควบคุมการยิง WM22 mod 61 ปืนกลอัตโนมัติลำกล้องแฝด 40/70 ทำงานคู่กับระบบเรดาร์/ออปโทนิค LIROD-8
ซึ่งมีจุดเด่นคือการจัดการเป้าหมายบนฟากฟ้า ติดตั้งระบบแจ้งเตือนภัยเรดาร์
Elettronica ELT 211 ระบบส่งสัญญานรบกวนเรดาร์ Elettronica
ELT 318 รวมทั้งระบบเป้าลวง Sippican Mk 33 RBOC
อีกจำนวน 4 แท่นยิง ถ้าเปลี่ยนปืน 76/62
มม.ท้ายเรือมาเป็นจรวดเอ๊กโซเซ่ต์ 4 นัด จะกลายเป็นเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีครบเครื่องเรื่องต้มยำที่แท้จริง
ในภาพเล็กแสดงระบบเรดาร์
ZW06
บนชั้นสองของเสากระโดงเรือ และมีเรดาร์เดินเรืออีก 1 ตัวบนหลังคาสะพานเดินเรือ ส่วนภาพใหญ่จะเห็นว่าไม่มีแล้ว
กลายเป็นเรดาร์เดินเรือสีขาวจำนวน 2 ตัวทดแทน
ส่วนระบบเรดาร์ควบคุมการยิงและระบบสงครามอิเลคทรอนิกส์
ยังปรกติสุขอยู่ที่เดิมครบครันทั้งหมด
เรดาร์มาตราฐานกองทัพเรือไทย
ช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2515 จนถึงปี 2531 ระบบเรดาร์เกือบทั้งหมดที่ทัพเรือจัดหาใหม่ ล้วนมาจากบริษัท Signaal
ประเทศเนเธอร์แลนด์ (ก่อนจะกลายมาเป็น Thomson-CSF Signaal และ Thlaes Nederland ในปัจจุบัน) ประกอบไปด้วย
เรดาร์ควบคุมการยิงตระกูล WM20 เรดาร์/ออปโทนิค LIROD-8 เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ ZW06 รวมทั้งเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ DA05
ทำงานควบคู่กับระบบสงครามอิเลคทอนิกส์จากประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วย
ระบบแจ้งเตือนภัยเรดาร์ Elettronica ELT 211
และระบบส่งสัญญานรบกวนเรดาร์ Elettronica ELT 318
มีการติดตั้งบนเรือรบใหม่จำนวนมากถึง 12 ลำ
การติดตั้งเรดาร์เป็นไปตามขนาดเรือ
บางลำติดตั้งครบครันทุกระบบ ได้แก่เรือหลวงมกุฎราชกุมาร บางลำติดแค่เพียง 1
ถึง 2 ระบบ
ได้แก่เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้นเรือหลวงปราบปรปักษ์ และชั้นราชฤทธิ์
บางลำติดออปชั่นเสริมเป็นระบบนำวิถีจรวดต่อสู้อากาศยาน
ได้แก่เรือคอร์เวตชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ต่อมาภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ต้นปี 2534 มีการจัดหาระบบเรดาร์จากอังกฤษ
เพื่อติดตั้งบนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธ์
และได้มีการจัดระบบเรดาร์จากจีน มาติดตั้งบนเรือฟริเกตชั้นเจียงหูและชั้น F-25T ปิดฉากระบบเรดาร์มาตราฐานจากบริษัท Signaal ประเทศเนเธอร์แลนด์
ประมาณปี
2531
กองทัพเรือไทยได้ผุดแผนสำคัญแผนหนึ่ง
คือการติดตั้งเรดาร์และอาวุธจากค่ายตะวันตก บนเรือฟริเกตชั้นเจียงหูจากจีนจำนวน 4
ลำ ต่อมาได้ยกเลิกไปด้วยปัญหาเรื่องงบประมาณ
เรื่องคุณภาพการต่อเรือของจีน รวมทั้งปัญหาการเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ (แต่ไม่น้อย) ท้ายสุดจึงได้เรือรบติดตั้งอาวุธและเรดาร์จากจีนทั้งลำ
โชดยังดีว่าเรือฟริเกตชั้น F-25T หรือชั้นเรือหลวงนเรศวร
ยังคงติดตั้งอาวุธและเรดาร์จากค่ายตะวันตกตามแผนเดิม แต่บังเอิญแผนเดิมที่ว่านั้น
มีอาวุธและเรดาร์จากจีนปะปนอยู่ด้วยนะครับ
ปัจจุบันอะไรที่มาจากจีนได้กลับบ้านเก่าไปหมดแล้ว
แทนที่ด้วยอาวุธและเรดาร์รุ่นใหม่จากค่ายตะวันตก
เป็นเพราะใช้งานค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวาย เกิดปัญหาจุกจิกมากมายตามมาไม่เว้นวัน
อีกทั้งคุณภาพของสินค้าไม่เป็นไปตามใบปลิว
นับเป็นบทเรียนราคาแพงและเป็นกรณีศึกษาที่ดีมาก
การปรับปรุงเรือฟริเกตจากจีน
เรือหลวงเจ้าพระยาหมายเลข
455
เป็นหนึ่งในสี่เรือฟริเกตอาวุธนำวิถีชั้น Type 053 (หรือชั้นเจียงหู) จากประเทศจีน
เป็นหนึ่งในสองของเรือฟริเกตชั้น Type 053HT ซึ่งไม่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือ ทั้งยังเป็นเรือฟริเกตลำแรกจากจำนวน 6
ลำที่เราสั่งซื้อจากประเทศจีน ตามโครงการออกสู่ทะเลลึกหรือ Blue
Sea Project เข้าประจำการในปี 2534
ระวางขับน้ำสุงสุด 1,924 ตัน ยาว 102.87 เมตร กว้าง 11.36 เมตร
ตลอด 20 กว่าปีที่ได้รับใช้ประเทศ
เรือหลวงเจ้าพระยามีการปรับปรุงเรือเล็ก ๆ น้อย ๆ อาทิเช่น
ติดตั้งเรดาร์เดินเรือเพิ่ม ติดตั้งเครื่องรับสัญญานผ่านดาวเทียมและกล้องตรวจการณ์กลางคืน
ถอดระบบรบกวนสัญญาณเรดาร์ Type 981-2 ออกเพราะหมดอายุ
กระทั่งเมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว เรือได้เข้าอู่แห้งเพื่อซ่อมบำรุงใหญ่ครั้งล่าสุด
นอกจากปรับปรุงคืนสภาพตามปรกติแล้ว ยังได้ติดตั้งเครนและเรือยางเพิ่มเติมจนครบสองลำ
ได้ Satcom ขนาดบักเป้งเพิ่มขึ้นมา 1 ใบ
แต่ดันมีเรื่องที่ทำให้ต้องใจหายใจคว่ำ เมื่อเรดาร์ตรวจการณ์ Type 354 Eye Shield ได้หายไปจากยอดเสากระโดงเรือ
โดยมีกล้องตรวจการณ์กลางคืนติดตั้งทดแทน
Type
354 Eye Shield เป็นเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำและทางอากาศ
เป็นรุ่นก๊อปปี้ของเรดาร์ Fut-N (Slim-Net) จากรัสเซีย
ซึ่งต้นฉบับมีระยะตรวจจับมากถึง 147 กิโลเมตร
เรดาร์ของจีนมีสเป็กและตัวเลขที่น้อยกว่า สามารถตรวจจับเป้าหมายขนาด 10 ตารางเมตรได้จากระยะ 50 ไมล์ทะเล
การหายตัวไปของเรดาร์ Type 354 Eye Shield เท่ากับยกภาระอันหนักอึ้งให้กับเรดาร์เดินเรือ
Sperry Marine BridgeMaster E และ Furuno ในการค้นหาเป้าหมายที่อาจจะเป็นภัยคุกคามระดับร้ายแรง
ผู้เขียนเห็นภาพครั้งแรกบอกได้คำเดียว...หนักใจ !!!
เรือหลวงเจ้าพระยารวมทั้งเรือหลวงบางปะกง
ยังมีเรดาร์ควบคุมการยิง Type 343 Sun Visor ซึ่งใช้ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศได้ประมาณ 40 ไมล์ทะเล และเรดาร์ควบคุมการยิง Type 352 Square
Tie ซึ่งใช้ตรวจการณ์พื้นน้ำได้ประมาณ 40 ไมล์ทะเลเช่นกัน
แต่เรดาร์ทั้งสองไม่ได้ถูกออกแบบให้ทำงาน 24 ชั่วโมง
จะใช้งานก็ต่อเมื่อยิงปืนเรือหรือจรวดต่อสู้เรือรบ ทั้งยังมีความเทอะทะ
ติดตั้งอยู่ในจุดไม่เหมาะสม กินไฟค่อนข้างเยอะ รวมทั้งอื่น ๆ ทั้งหลายทั้งปวง
ภารกิจหน้าที่จึงเป็นของเรดาร์เดินเรือตามระเบียบ
ทำไมถึงติดตั้งเรดาร์เดินเรือทดแทนของเดิม
เริ่มจากเรือชั้นเรือหลวงชลบุรีกันก่อน
การเปลี่ยนจากเรดาร์ ZW06 มาเป็นเรดาร์เดินเรือ
Furuno ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก
คุณสมบัติอาจลดลงบ้างแต่ก็ไม่มาก มีผลต่อการทำภารกิจหลักและภารกิจรองน้อยมาก
เนื่องจากเรือมีเพียงปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.และปืนกลขนาด 40/70 มม.ทำการรบได้ในระยะหวังผลไม่เกิน
8 กิโลเมตร มากกว่านั้นโอกาสยิงถูกน้อยลงตามระยะทาง
ในภาพคือเรือชื่อ LÉ William Butler Yeats หมายเลข
P63 ของประเทศไอร์แลนด์ เป็นเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชั้น Samuel
Beckett อายุหนึ่งขวบปี ระวางขับน้ำ 2,256 ตัน
ยาว 90 เมตร กว้าง 14.4 เมตร ติดตั้งเรดาร์เดินเรือ Kelvin Hughes SharpEye
S-band และ X-band อย่างล่ะ 1 ตัว มีปืนใหญ่ 76/62 จำนวน 1 กระบอกเป็นอาวุธหลัก
ทำงานควบคู่กับระบบออปโทรนิค Sea Eagle ของ Chess
Dynamics อาวุธรองเป็นปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลเบาขนาด 7.62 มม.อีกจำนวนหนึ่ง
Kelvin
Hughes SharpEye เป็นเรดาร์เดินเรือทางทหารตัวท๊อป
กองทัพเรือไทยก็ใช้งานอยู่บนเรือหลวงนเรศวร
ตรวจจับเป้าหมายได้ดีกว่าเรดาร์เดินเรือพาณิชย์
แต่ระยะตรวจจับไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
หลายประเทศในยุโรปนิยมใช้แค่เรดาร์เดินเรือบนเรือตรวจการณ์ทุกขนาด
เพราะไม่คิดจะเอาไปรบกับใครอย่างเป็นจริงเป็นจัง การหายตัวไปตลอดกาลของเรดาร์ ZW06 ส่งผลกระทบกับเรือหลวงชลบุรีไม่มากเท่าไหร่
แต่กับเรือหลวงเจ้าพระยานั้นตรงกันข้าม
เพราะเป็นเรือฟริเกตติดจรวดต่อสู้เรือรบ
จำเป็นต้องตรวจสอบและพิสูจน์ทราบเป้าหมายก่อนปล่อยจรวด
การหายตัวไปตลอดกาลของเรดาร์ Type 354 Eye
Shield ส่งผลต่อการทำภารกิจของเรือค่อนข้างใหญ่หลวง
แล้วทำไมกองทัพเรือถึงได้ถอดถอน
หมดอายุการใช้งาน
?
ไม่มีอะไหล่ในการซ่อมบำรุง ?
เหตุผลประการแรกมีความเป็นไปได้ เพราะอายุของสินค้าจีนค่อนข้างสั้นตามราคา
และเมื่อพังแล้วต้องซื้อของใหม่สถานเดียว แต่เหตุผลประการที่สองไม่น่าจะใช่
เรือฟริเกตชั้นเจียงหูของพม่าและบังคลาเทศ ซึ่งได้เปลี่ยนไปใช้งานจรวดC-802
กันหมดแล้วนั้น ยังคงใช้งานเรดาร์ตัวนี้ตราบเท่าทุกวันนี้
แปลได้ว่าอะไหล่ทุกชิ้นยังขายในท้องตลาด มีอายุค่อนข้างสั้นตามราคาเฉกเช่นปรกติ
ด้วยเหตุนี้เอง...ผู้เขียนจึงมองไปยังเหตุผลประการที่สาม
นั่นคือกองทัพเรือต้องการลดบทบาทและภารกิจเรือ
เรือหลวงบางปะกงที่เป็นฝาแฝดเรือหลวงเจ้าพระยานั้น
ปัจจุบันยังคงซ่อมบำรุงตามวาระในอู่แห้ง ถ้ากลับมาอีกครั้งแล้วเรดาร์
Type 354 Eye Shield หายตัวไป
จะสื่อความหมายอนาคตเรือทั้งสองลำได้อย่างชัดเจน
ภัยคุกคามที่อาจต้องเผชิญ
ทั้งเรือหลวงชลบุรีและเรือหลวงเจ้าพระยา
มีภารกิจต้องไปเข้าเวรปกป้องอธิปไตย ณ.ทัพเรือภาคที่สามฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งพรมแดนส่วนใหญ่ติดกับมาเลเซียและพม่า
ภัยคุกคามที่อาจต้องเผชิญก็คือพม่าและมาเลเซีย ที่ไกลออกไปอีกหน่อยอย่างบังคลาเทศ
สิงคโปร์ รวมทั้งอินโดนิเซียกับบรูไน โอกาสปะทะกันแทบเป็นไปไม่ได้
เรือหลวงชลบุรีทำได้แค่รบกับโจรสลัดหรือเรือตรวจการณ์ด้วยกัน
ส่วนเรือหลวงเจ้าพระยาต้องรับศึกค่อนข้างใหญ่
ด้วยว่าตนเป็นเรือรบลำใหญ่ที่สุดในฝั่งอันดามัน ถึงแม้จะมีเรือหลวงกระบุรี
เรือหลวงสายบุรี เรือหลวงรัตนโกสินทร์ และเรือหลวงสุโขทัย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวรเข้ามาประจำการตามวงรอบ
แต่ใครเล่าจะหยั่งรู้อนาคตตนเองได้
ปะเหมาะเคราะห์ร้ายเรือหลวงเจ้าพระยาอาจต้องออกโรงเพียงลำพัง
จึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบข้อมูล
ออกตัวกันก่อนนิดส์นึง...ความสัมพันธ์ของไทยกับเพื่อนบ้านทุกประเทศ อยู่ในระดับดีมากจนถึงมากที่สุด
ความน่าจะเป็นในการปะทะกันมีไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์
และเรากำลังคุยกันถึง 1 เปอร์เซนต์ที่ว่านั้นอยู่
เริ่มยกตัวอย่างจากฝั่งมาเลเซียกันก่อน
พวกเขามีเรือคอร์เวตชั้น Kasturi จำนวน 2 ลำ ระวางขับน้ำ 1,850 ตัน ยาว 97.3 เมตร กว้าง 11.5
เมตร มีจรวดต่อสู้เรือรบเอ็กโซเซ่ต์ MM40 ระยะยิง 72
กิโลเมตรเป็นลูกยาว มีเรดาร์ DA08 ระยะทำการไกลถึง 193
กิโลเมตรเป็นกล้องส่องดูดาว ส่วนลำถัดไปคือเรือฟริเกตชั้น Lekiu จำนวน 2 ลำ ระวางขับน้ำ 2,270
ตัน ยาว 106 เมตร กว้าง 12.75 เมตร มีจรวดเอ็กโซเซ่ต์ MM40
และเรดาร์ DA08 เหมือนกับลำแรก รวมทั้งมีจรวดต่อสู้อากาศยาน
VL-Seawolf ไว้ป้องกันตนเอง นับว่าเขี้ยวเล็บแหลมคมในระดับปานกลาง
เอ็กโซเซ่ต์
MM40 อาจมีระยะยิงไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ไกลกว่าจรวด C-801 อย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องใช้เรดาร์ควบคุมการยิงจรวด
เรือเรายังมีปัญหาในการค้นหาเป้าหมาย เพราะเรือมาเลเซียมีเรดาร์ที่ทันสมัยกว่ามาก
ระยะตรวจจับก็ไกลกว่ากันมาก ฝากผู้อ่านไว้เป็นการบ้านข้อแรกสุด
ผู้เขียนมืนตื๊บคิดอะไรไม่ออกแล้ว
หันมาดูทางฝั่งประเทศพม่ากันบ้าง
ทุกท่านคงคุ้นเคยเรือฟริเกตชั้นเจียงหูจำนวน 2 ลำ
และเรือฟริเกตสร้างเองจำนวน 3 ลำกันเป็นอย่างดี
จึงขอตัดทิ้งและนำเรือขนาดเล็กมาเปรียบเทียบบ้าง
ลำแรกเป็นเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถียาว 49 เมตร
รูปทรงลดการสะท้อนของคลื่นเรดาร์ แบกจรวดต่อสู้เรือรบ C-802A จำนวน 4 นัด มีระบบดาต้าลิงค์
ระบบสงครามอิเลคทรอนิกส์ ระบบเป้าลวง และอาวุธป้องกันตนเองรุ่นท๊อปของกองทัพ
เรดาร์เดินเรือ 2 ตัวบนเรือหลวงเจ้าพระยา
ต้องรับบทหนักในการตามล่าหาตัวจิ๊ด และต้องหาเจอก่อนที่อีกฝ่ายจะปล่อยจรวด
เรือลำถัดไปเป็นเรือคอร์เวตความยาว
77
เมตร ระวางขับน้ำไม่น่าเกิน 1,800 ตัน
ติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบ C-802A และไอ้โน่นไอ้นั่นไอ้นี่ครบครันเหมือนเรือฟริเกต
นอกจากจะมีเรดาร์ Type360 เหมือนเรือหลวงกระบุรีแล้ว
ยังมีเรดาร์ RAWL-02 Mk III ซึ่งตรวจจับเป้าหมายได้ไกลสุดถึง
350 กิโลเมตร ว่ากันตามตัวเลขซึ่งไม่เคยหลอกใคร
ต้องเอาเรือหลวงนเรศวรหรือเรือหลวงตากสินมาปะทะสถานเดียว
เพราะมีเรดาร์ตระกูลเดียวกันระยะทำการใกล้เคียงกัน
จึงพอฟัดพอเหวี่ยงไม่มีการแบกน้ำหนัก ส่วนเรือหลวงเจ้าพระยาโฉมใหม่ของเรา ก็นะ..!!!
เรือหลวงจักรีนฤเบศรกับกรณีศึกษา
กาลครั้งหนึ่งยังไม่นานเท่าไหร่
กองทัพเรือไทยมีเรือบรรทุกเครื่องบินลำหนึ่ง
ซึ่งมักถูกค่อนขอดว่าเป็นเรื่องบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อยู่เสมอ
ตอนนั้นเราต้องการออกสู่ทะเลลึก ไปกันเป็นกองเรือ..โดยมีเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มกัน
จึงจำเป็นต้องมีเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกล
ไว้ส่องเครื่องบินข้าศึกหรืออะไรก็ตามที่ลอยมาจากฟากฟ้า
เมื่อหาเจอก็ส่งเครื่องบินแฮริเออร์ไปจัดการ แผนของเราก็มีง่าย ๆ แค่นี้แล
เพราะเราไม่มีอากาศยานเตือนภัยล่วงหน้า
เรดาร์ระยะไกลจึงจำเป็นกับการป้องกันภัยทางอากาศ
แต่เพราะงบประมาณเริ่มมีปัญหาตามมา กองทัพเรือจึงได้จัดหาเรดาร์มือสองรุ่น AN/SPS-52C จากอเมริกามาใช้ไปก่อน เรดาร์ตัวนี้แปลงร่างมาจาก AN/SPS-39 ค้นหาเป้าหมายได้ 3 มิติที่ระยะไกลสุด 445 กิโลเมตร อ่านตัวเลขจากสเป๊กแล้วโหดมาก
ส่วนของจริงใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้างตามสภาพ
เมื่อเครื่องบินแฮริเออร์ปลดประจำการ เรดาร์ AN/SPS-52C ปลดประจำการ แผนการออกสู่ทะเลลึกปลดประจำการ
กองทัพเรือไทยจึงได้มีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง ซึ่งมักถูกค่อนขอดว่าเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่เสมอ
มีการติดตั้งระบบดาต้าลิงค์ ระบบอำนวยการรบ รวมทั้งเรดาร์ตรวจการณ์ใหม่เอี่ยมรุ่น Sea
Giraffe AMB ซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็ก ระยะตรวจจับไกลสุดเพียง 180
กิโลเมตร ความเห็นส่วนตัวผู้เขียน
ระยะตรวจจับเท่านี้ก็เพียงพอเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
เพราะเรือไม่ได้ออกไปจากน่านน้ำตนเอง
มีเครื่องบินขับไล่และเรือฟริเกตคอยช่วยคุ้มกัน
ภารกิจหลักคือเป็นฐานให้กับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ
จะเอาอะไรกันมากมายใช่ไหมครับคุณ
แต่ก็นั่นแหละ
Sea
Giraffe AMB ถ่ายภาพไม่ขึ้นแม้แต่น้อย เรือหลวงจักรีนฤเบศรมีขนาดใหญ่โต
เสากระโดงทั้งสุงทั้งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เหมาะสมกับเรดาร์ตรวจการณ์ระยะไกลรุ่น Sea
Giraffe 4A ซึ่งใช้เทคโลโลยี AESA
ตรวจจับได้ไกลสุดถึง 350 กิโลเมตร
ตอนที่เราปรับปรุงเรือเรดาร์ตัวนี้ยังไม่ขาย
ทว่านาทีนี้พร้อมแล้วสำหรับผู้ต้องการของ แบ่งงบประมาณมาซักก้อนได้ไหมครับทร.ที่รัก ปีงบประมาณหน้าไม่ทันผู้เขียนจะรอปีถัดไปได้
บทสรุปที่ยังไม่ใช่บทสรุป
การไม่ปรับปรุงเรือหลวงเจ้าพระยาเหมือนเรือหลวงกระบุรีก็ดี
การถอดถอนเรดาร์ Type 354 Eye Shield ออกจากเรือก็ดี
พอคาดเดาความหมายได้บางอย่าง ประการแรกสุดเห็นจะเป็นเรื่องงบประมาณ
เพราะการปรับปรุงเรือหลวงกระบุรีมีมูลค่าลำล่ะ 1,542 ล้านบาท นับรวมราคาจรวด C-802A
จำนวน 841 ล้านบาทเข้าไปด้วย
(ไม่รู้เหมือนกันว่าได้มากี่ลูก) ประการที่สองก็คือจรวดต่อสู้เรือรบของเดิม
จะทำอย่างไรดีเพราะยังไม่หมดอายุการใช้งาน เอาไปติดเรือลำอื่นก็แสนลำบาก
ต้องขนเรดาร์ควบคุมการยิงและระบบอำนวยการรบไปด้วย
เพราะอาวุธจีนคุยกับอุปกรณ์จากจีนเท่านั้น
อุปกรณ์ใหม่กว่าหรือเก่ากว่ากันก็คุยไม่รู้เรื่อง
สาเหตุประการที่สามเกี่ยวเนื่องกับอายุของจรวด
C-801
ซึ่งกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่งผลกับเรือหลวงเจ้าพระยาอย่างชัดเจน
กลายเป็นปัญหางูกินหางวกไปวนมา กองทัพเรืออาจต้องการซื้อเวลา
ด้วยการถอดเรดาร์ที่หมดอายุไขออกไปชั่วคราว ครั้นจรวดหมดอายุไขตามกันทั้งหมด
จึงให้ผู้ใหญ่ในตอนนั้นตัดสินใจเด็ดขาด อาจจัดหาจรวดและเรดาร์รุ่นใหม่จากยุโรป
แยกตัวเป็นเอกเทศจากระบบอำนวยการรบของจีน
หรืออาจตัดสินใจมานานแล้ว
ว่าถึงตอนนั้นก็ตามนั้นนั่นแหละครับ เรือหลวงเจ้าพระยารวมทั้งเรือหลวงบางปะกง
ถูกลดบทบาทและภารกิจลงตามคุณสมบัติของเรือ
เราอาจเห็นเรือหลวงนเรศวรและเรือหลวงตากสิน มาเข้าเวรฝั่งทะเลอันดามันชนิดถาวร
ยกอ่าวไทยให้กับเรือหลวงท่าจีนลำใหม่และฝาแฝดที่ยังไม่ได้สั่งซื้อ ก็ว่ากันไปครับ
เรือหลวงสายบุรี FF-458 ภายหลังการปรับปรุงใหม่ เป็นเรือฟริเกตที่ใหม่ที่สุดในฝั่งทะเลอันดามัน ใหญ่ที่สุดทันสมัยที่สุด
และมีจรวดต่อสู้เรือรบ C-802A ระยะยิงไกลสุด 180 กิโลเมตรเป็นอาวุธเด็ดในการป้องกันน่านน้ำ
ผู้เขียนรอว่าจะมีการทดสอบยิงกันเมื่อไหร่ ถ้ายังไม่มีก็รอกันไปจนกว่าลูกชายคนโตจะบวช
ตอนนี้ยังหาแม่ของลูกไม่ได้เลยครับ ฮา....
-------------------------------------------------
อ้างอิงจาก
เอกสารดาวโหลด : A
Brief History of Chinese Naval Radar and EW dev.pdf
เอ่อ เรื่อ type 053 ถอดแบบมาจากเรือพิฆาตยุค WW2 หรือเปล่าครับ ดูมันคล้ายๆกันอยู่
ตอบลบใช้แบบเรือของโซเวียตครับ ต้นฉบับเริ่มสร้างประมาณ 10 กว่าปีหลังสงครามโลก จีนนำมันปรับปรุงเพิ่มเติมให้ดีขึ้นใส่อาวุธทันสมัยขึ้น
ลบ