วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

34 Rules of Submarine

 

ข้อห้ามบางอย่างเมื่อไปหัดในเรือดำน้ำ

        อีกไม่นานกองทัพเรือไทยจะมีเรือดำน้ำสร้างโดยประเทศจีนใช้งาน ผู้เขียนขอนำบทความ 'ข้อห้ามบางอย่างเมื่อไปหัดในเรือดำน้ำ' ซึ่งรวบรวมจากบันทึก เรือเอกสวัสดิ์ จันทนมณี มาให้อ่านกันไปพลางๆ ก่อนเป็นน้ำจิ้ม จะได้เข้าใจชัดเจนถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตในเรือดำน้ำ ซึ่งมีความแตกต่างจากเรือผิวโดยทั่วไปต้องมีข้อห้ามและความระมัดระวังมากกว่าเดิม

                +++++++++++++++++++

ในโอกาสที่ทหารเรือไทยถูกส่งไปหัดและศึกษาที่เมืองไมซูรุซึ่งเป็นฐานทัพเรือของญี่ปุ่น ทางปกครองได้ออกข้อห้ามหลายสิบข้อเพื่อความปลอดภัยของชีวิต และให้ดำเนินไปตามข้อบังคับของกระทรวงทหารเรือญี่ปุ่น

ข้อบังคับบางข้อบางท่านอาจเห็นว่าไม่น่าบังคับ ดังนั้นจำเป็นต้องมีคำอธิบายประกอบเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง

ทางปกครองได้กำหนดไว้ 34 ข้อด้วยกันคือ

1.ห้ามถ่ายและสเกทช์ภาพหรือวิว

ด้วยเหตุที่เมืองนี้เป็นฐานทัพเรือ วิวต่างๆ จึงเป็นของสงวนยิ่งนัก นอกจากนั้นวิวตามเมืองต่างๆ เช่นโกเบก็ห้ามเช่นกัน ส่วนเมืองใดที่เป็นฐานทัพแม้แต่ภาพก็ถ่ายไม่ได้ ตามร้านเราจะหาซื้อบัตรภาพไม่ได้เช่นเดียวกัน ท่าเรือแทบทุกท่าเรือเราจะเห็นป้ายเขียนคำว่า 'Fortified Zone' เป็นส่วนมาก

2.การส้วมให้กระทำเสียก่อนการเข้ารบ

ในระหว่างดำน้ำห้ามส้วม

ก่อนกระทำการดำผู้บังคับการเรือมักกำหนดเวลาไว้ล่วงหน้าเสมอ ทหารทุกคนต้องส้วมให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เพราะว่าเมื่อดำลงไปแล้วการส้วมจะลำบากสักหน่อย โดยเหตุที่ส้วมมีอยู่ส้วมเดียว และถ้าส้วมภายในเรือ (หมายถึงภายในเปลือกในของเรือ) แล้วจะทำให้เหม็นและต้องใช้น้ำเป่า ซึ่งเป็นเรื่องลำบากกว่าเรือบนผิวน้ำมาก

ในเวลาสงครามถ้าเรือดำตั้งหลายๆ ชั่วโมง การส้วมก็พึงกระทำได้ภายในเรือ แต่อย่างไรก็ตามทหารทุกคนต้องหัดอดกลั้นในกิจชนิดนี้ สำหรับผู้ที่มีท้องร่วงก็จำเป็นต้องอนุญาต

ในการหัดของพวกเราที่แล้วๆ มานั้น ห้องส้วมเขาใช้เป็นห้องเก็บเสบียงเสียทีเดียว เพื่อกันความยุ่งยากเสียแต่ต้นมือ และการหัดของเราก็ไม่เคยเกิน 2 ชั่วโมงสักคราวเดียว

3.ในเวลาแล่นเรือบนผิวน้ำอนุญาตให้พักบนดาดฟ้าและในห้องเครื่องได้

ในเวลาแล่นเรือบนผิวน้ำนั้น ผู้มีหน้าที่ก็ไปประจำหน้าที่ของตน ส่วนผู้ที่ออกยามแล้วอาจจะพักได้ตามที่ซึ่งกำหนดไว้ การที่กำหนดไว้ทั้งแห่งนั้นก็เพื่อสะดวกทั้งพรรคนาวินและพรรคกลิน

อากาศในห้องเครื่องนั้นอับกว่าอากาศบนดาดฟ้านิดหน่อยเท่านั้น แม้ว่าในเวลาชาร์จไฟฟ้าก็ตาม มีเครื่องพัดลมระบายอากาศอยู่เสมอ ดังนั้นเราจะรู้สึกว่าอากาศทั้งภายนอกและภายในเรือเกือบไม่ผิดกันเลย

การที่อนุญาตให้เช่นนั้นก็มีประโยชน์มิให้ทหารฝ่ายไทยไปรุ่มร่ามแก่คนประจำหน้าที่ของเขาด้วยอีกประการหนึ่ง ส่วนผู้ที่ต้องการความรู้เพิ่มเติมก็ย่อมมีโอกาสสืบถามได้จากคนประจำหน้าที่นั้นๆ

4.เวลาแล่นเรือให้ระวังหมวกตกน้ำ

เมื่อขึ้นบนดาดฟ้าบางขณะลมแรง ทหารย่อมระวังหมวกของตนเอง ถ้าตกน้ำเสียจะหาเปลี่ยนไม่ได้ ดังนั้นถ้าผู้ใดไม่มั่นใจควรเอาสายรัดคางลงเสีย

5.ต้องขึ้นลงที่ฝาจมโพล่และบันไดโดยรวดเร็ว

การที่บังคับให้ขึ้นลงโดยรวดเร็วนี้เพื่อหัดให้เป็นนิสัยต่อไปในเบื้องหน้า เพื่อประโยชน์แก่การเตรียมเรือเข้ารบหรือเวลาถูกคลื่นใหญ่

บางครั้งแม้ไม่มีความประสงค์จะดำก็ตาม ถ้ามีคลื่นใหญ่จำต้องถือท้ายภายในเรือ คนต้องลงประจำหน้าที่ภายในเรือทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องลงบันไดโดยรวดเร็วทยอยกันลงไป ถ้าชักช้าคลื่นอาจจะสาดเข้ามาในฝาจมโพล่ ซึ่งจะเกิดอุบัติเหตุภายหลังได้

การขึ้นลงบันไดห้ามมิให้สาวราวบันได ต้องจับตรงราวมิฉะนั้นนิ้วมืออาจถูกคนอื่นเหยียบก็ได้ ด้วยเหตุที่ช่องลงหรือฝาจมโพล่มีเนื้อที่เฉพาะคนๆ เดียว ดังนั้นจึงต้องหันหน้าเข้าหาขั้นบันได และต้องไต่โดยรวดเร็วจึงจะทันการไม่ว่าโอกาสใด

6.ต้องระวังศีรษะและเท้าให้จงหนัก

ด้วยเหตุที่ภายในเรือมีแป๊บ, วาล์ว, เกช และอื่นๆ ระเกะระกะไปหมด ทหารทุกคนต้องสวมหมวกไว้เสมอ มิฉะนั้นศีรษะอาจจะกระแทกสิ่งเหล่านั้นได้ และการเดินต้องดูซ้ายดูขวาให้ทั่ว ที่ใดควรมุดหรือควรยึดตัวจักได้รู้ไว้ เพื่อสะดวกแก่การทำงานในเวลาแสงน้อย

การที่ให้ระวังเท้าด้วยนั้น ก็กลัวจะเตะอะไรต่อมิอะไรนั่นเอง

ทั้งนี้เป็นการหัดให้ทหารทุกนายรู้จักระวังตัว และหัดสังเกตเพื่อเอาไว้ใช้ในการเวลาฉุกละหุก

7.เวลากลางคืนห้ามขึ้นบนดาดฟ้า

ทหารย่อมมีที่พักผ่อนของตนในห้องอยู่แล้ว ผู้ที่ว่างงานต้องอยู่ในห้องนี้ การที่ห้ามขึ้นนั้นก็เพื่อต้องการมิให้ตกน้ำเท่านั้นเอง เพราะดาดฟ้าเป็นเหล็กโดยมาก แต่ภายหลังเมื่อมีความชินและความระมัดระวังตัวเองได้ดีพอแล้ว ก็เป็นอันว่าอนุญาตให้ขึ้นบนดาดฟ้าได้

ส่วนเวลากลางวันนั้นแม้จะตกน้ำลงไป ก็สามารถช่วยเหลือกันได้โดยทันท่วงที

8.ห้ามสูบบุหรี่และจุดไฟภายในเรือ

การที่ห้ามจุดไฟหรือสูบบุหรี่นี้ ก็เพื่อป้องกันการระเบิดซึ่งเกิดจากเปลวเพลิงนั้น

ทหารทุกคนถ้าอดบุหรี่ได้ก็เป็นอันไม่ต้องกังวลไปอีกข้อหนึ่ง แต่ตามความสังเกตของข้าพจ้าเห็นว่านักดำน้ำทุกคนสูบบุหรี่จัด ทั้งนี้เพราะเวลาดำหรือลงไปอยู่ในเรือเป็นเวลานานๆ ความกระหายบุหรี่ย่อมมีมาก ครั้นขึ้นบนดาดฟ้าได้เป็นต้องสูบตั้ง 2-3 มวนซ้อนก็มี

ภายในเรือเขาใช้ Torchlight หรือ Flashlight (ไต้ไฟฟ้า) กันทั่วไป แต่ตามปรกติในที่เปิดเผยแสงไฟฟ้าก็สว่างพอแล้ว การหุงต้มก็ใช้ความร้อนจากไฟฟ้า

9.เวลาเตรียมเรือเข้ารบห้ามอยู่บนดาดฟ้า

เวลาเตรียมเรือเข้ารบก็คือขั้นแรกของการเตรียมดำนั่นเอง ผู้มีหน้าที่ต้องตรวจตราทุกคนมิให้หลงอยู่ในส้วมได้ และตรวจหน้าที่ของตนให้เรียบร้อยจึงรายงานผู้บังคับการเรือ แล้วให้รีบลงไปภายในเรือทุกคน

ถ้าบังเอิญหลงอยู่บนดาดฟ้าด้วยประการใดๆ ก็ตาม และเมื่อเรือดำลงไปแล้วให้โยกเทเลกราฟให้อยู่ตรง 'หยุด' ไว้เสมอแต่ถ้าทำไม่สำเร็จให้พยายามเอามือปิดหน้ากล้องตาเรือไว้ เพราะผู้บังคับการเรือย่อมไม่กล้าดำเลยถ้ากล้องตาเรือถูกอะไรปิดเสียก่อน แต่ห้ามแกล้งให้น้ำเข้าเรือเพราะเรืออาจเป็นอันตรายได้ง่าย ต้องคิดถึงชีวิตคนหมู่มาก

10.ขณะดำให้พูดค่อยๆ

ขณะดำน้ำอยู่นั้นเสียงเครื่องจักรย่อมอึกทึกมากโดยที่อยู่ในเขตจำกัด ดังนั้น 'คำสั่ง' จากผู้บังคับการหรือต้นเรือเท่านั้นที่ต้องใช้ตะโกนอย่างชัดถ้อยชัดคำ ส่วนคำสั่งของต้นกลย่อมใช้สัญญาณเพราะถึงตะโกนก็ฟังออกได้ยาก

11.ขณะดำห้ามเคลื่อนที่ก่อนได้รับอนุญาต

การเคลื่อนที่ในตามทางยาวย่อมทำให้ทริม (Trim) เปลี่ยน คืออาจจะด้อยหัวหรือด้อยท้าย น้ำหนักคนเพียงคนเดียวเรือเล็กๆ ของเราก็ย่อมรู้สึกตัว ดังนั้นถ้าเรือเปลี่ยนน้ำหนักไปก็ต้องรายงานเสียก่อน เพื่อต้นเรือจักได้เตรียมแก้ไขได้ทันท่วงที

การเปลี่ยนที่ในทางตามขวางอนุญาตให้ทำได้

การเปลี่ยนยมอนุญาตให้ทำได้โดยปริยาย เพราะน้ำหนักที่ใช้สับเปลี่ยนนั้นมาชดเชยกันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นหลักที่ถือกันอยู่ว่าตนต้องรู้จักที่นอนของตนดี ไม่ต้องไปเที่ยวนอนนอกเขตกำหนด

12.เมื่อเกิดอุบัติเหตุทำห้ามการใดๆ โดยพลการ

เมื่อเกิดอุบัติเหตุเช่นไฟลุก, น้ำเข้าเรือ, เรือเอียง, เรือด้อย เครื่องเสีย หรืออื่นๆ ให้รีบตะโกนทางกระบอกพูดรายงานมายังหอบังคับการทันที ห้ามมิให้ทำงานโดยพลการ

อย่างไรก็ตามอย่าถือเถรตรงนัก เช่นไฟไหม้จะมัวรอคำสั่งตามแบบนั้นก็เรียกว่าขาดปฏิภาณ หัวหน้างาน ณ ที่นั้นต้องรีบมาเอากระบอกฉีดยาดับเพลิงไปเตรียมไว้ก่อนก็ได้ ส่วนการดับนั้นผู้บังคับการเรือหรือนายยามจะได้สั่งต่อภายหลัง เพราะอยู่กันใกล้ๆ แค่นี้เอง

ขอย้ำว่าอนุญาตให้ทำก่อนได้ในเมื่อเห็นว่าปลอดภัยหรือป้องกันภัยที่จะลุกลามขึ้น แต่อย่าลืมตะโกนรายงานให้ทันท่วงทีเป็นอันขาด เพราะชีวิตของคนทุกคนย่อมอยู่ในกำมือของผู้บังคับการเรือซึ่งรับผิดชอบตลอดลำ

13.ขณะดำห้ามวิ่ง

การวิ่งย่อมทำให้ทริมเปลี่ยนเร็วจักมีอันตราย อีกประการหนึ่งพื้นที่ภายในเรือนั้นเป็นเหล็กทำให้ลื่นง่าย ถ้าวิ่งเท้าอาจพลาดสอดไปทำอันตรายแก่เครื่องอุปกรณ์ใดๆ หรือเท้าอาจเป็นอันตรายได้

อันตรายที่เกิดจากทริมเปลี่ยนนี้คืออาจทำให้หัวทิ่มหรือหัวเชิด ซึ่งอาจเป็นเหตุให้กรดในหม้อหกทำให้ช็อตและระเบิดขึ้นได้ หรือมิฉะนั้นหัวเรืออาจทิ่มดิ่งลงไปก็ได้

ก่อนดำน้ำทุกคราวต้นเรือย่อมคำนวณและถ่ายน้ำบรรจุน้ำไว้ดีแล้ว ถ้ามีการเปลี่ยนทริมคราวใดต้องรายงานให้หอบังคับการทราบเสมอเพื่อเตรียมแก้ไข

14.ห้ามจับต้องวาล์วต่างๆ

ผู้ไม่มีหน้าที่ห้ามจับหรือหมุนวาล์วเล่นเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้น้ำทะเลรั่วไหลเข้ามาในเรือโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นเหตุให้เรือจมดิ่งลงก้นทะเลได้ง่าย

อีกประการหนึ่งถ้าเป็นวาล์วอากาศ อากาศจะรั่วไหลโดยไม่รู้ตัวเป็นเหตุให้โผล่ไม่ขึ้นก็ได้

15.ห้ามนำเป้าโลหะเข้าใกล้หรือถูกต้องสวิตช์ไฟฟ้า

ทั้งนี้เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อต ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดระเบิดขึ้นได้

16.ห้ามใช้ชุดเพื่ออบอุ่นร่างกาย

การใช้ชุด (ใคโรใบ) เพื่ออบอุ่นร่างกาย ผู้ใช้ย่อมต้องจุดชุดแล้วไฟก็ลุกอยู่ภายในชุดนั้น ไฟในชุดนั้นเองจะเป็นเหตุให้เกิดระเบิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงห้ามใช้เสียทีเดียว แต่สำหรับเมื่อมาในสยามแล้ว อากาศย่อมไม่หนาวที่จะมาจุดชุดกันได้ นับว่าหมดปัญหาข้อนี้ไปโดยไม่ต้องกังวล

17.ห้ามทิ้งเศษกระดาษนอกที่ที่กำหนด

ที่สำหรับทิ้งกระดาษหรือเศษผงภายในเรือมีกระป๋องอยู่ที่หน้าห้องสูทกรรมแห่งเดียว ผู้ใดใช้กระดาษ (เช่นกระดาษเช็ดน้ำมูก) ต้องเก็บไว้ในกระเป๋าของตนแล้วนำมาทิ้งลงทะเลภายหลังจึงจะสะดวกมาก

การที่สั่งห้ามนี้เพื่อป้องกันสกปรก แล้วป้องกันกระดาษเหล่านั้นเข้าไปอุดรูหรือช่องต่างๆ เสีย

18.ห้ามแขวนเสื้อผ้านอกที่ที่กำหนด

เสื้อผ้าในที่นี้หมายถึงเสื้อผ้าทุกชนิดตลอดจนถุงเท้า, ถุงมือ ยิ่งเป็นของเล็กๆ ก็ยิ่งสำคัญมากเพราะมองไม่ใคร่เห็น การที่ห้ามนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้เข้าไปพันหรือเข้าไปมัดสิ่งเคลื่อนไหว เช่นคันต่อเครื่องถือท้ายหรือคันต่อเทเลกราฟเป็นต้น

19.ต้องประหยัดน้ำจืดให้มากที่สุด

ถังน้ำจืดในเรือบรรจุได้ไม่ถึง 2 ตัน ดังนั้นต้องประหยัดกันยิ่งกว่าเรือรบชนิดใดๆ ทั้งหมด ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เวลาเดินทางถ้าถังอับเฉาใด (ซึ่งไม่จำเป็นต้องถ่ายน้ำ) จะบรรจุน้ำจืดไว้บ้างก็ควร

20.ห้ามวางของผิดที่

ทั้งนี้เกี่ยวกับทริมดังอธิบายไว้แล้ว และอีกประการหนึ่งก็เข้าตำรา ‘หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งาม’

21.ให้อาเจียนในที่ที่กำหนด

ภายในเรือไม่มีกระโถน ที่ที่กำหนดให้อาเจียนก็คือบนดาดฟ้า แต่ข้อนี้ย่อมสุดวิสัยที่ผู้ต้องการอาเจียนจะทนได้ในเมื่อผู้นั้นอยู่ภายในเรือ ข้อสำคัญมีว่าเมื่ออาเจียนแล้วรีบเช็ดเสีย

22.ห้ามบ้วนน้ำลาย

น้ำลายต้องหัดกลืน มิฉะนั้นต้องมายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือตลอดเวลา จะมีได้อีกวิธีหนึ่งก็คือบ้วนใส่กระดาษแล้วใส่กระเป๋าไว้

23.ต้องจัดเวรทำความสะอาดและตั้งโต๊ะ

ข้อนี้เป็นธรรมดาไม่ต้องอธิบาย แต่เมื่อได้ไปหัดจริงๆ พวกเราไม่ต้องทำความสะอาดสักหน ส่วนการตั้งโต๊ะพวกเราก็มีแต่ปิ่นโตไปรับอาหารจากสูทกรรมญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่เห็นต้องตั้งโต๊ะสักครั้ง

โต๊ะอาหารก็คือกระดานเตียงนอนของทหารนี่เอง แต่พับได้หรือหลุบปีกได้ เวลานอนก็กางออกเป็นพื้นธรรมดาไป

24.ห้ามรับประทานอาหารพิเศษ

คำว่า ‘อาหารพิเศษ’ คืออาหารทุกสิ่งนอกจากทางเรือแจกให้รับประทาน ทั้งนี้เพื่อหัดทหารไทยให้อดทน หรือมิให้พกของจุกจิกไปจะรุงรังเปล่าๆ

อาหารที่ทางเรือแจกให้รับประทานนั้นเหมือนกันหมดทุกคนตั้งแต่ผู้บังคับการเรือจนถึงพลประจำเรือ

25.ห้ามเข้าครัว

ครัวที่เรือนั้นเข้าไป  3 คนก็เบียดกันแล้ว ใครขืนเข้าไปเรียกว่าขโมยของรับประทานเท่านั้น

26.ห้ามรับประทานอาหารนอกที่ที่กำหนด

ทหารต้องรับประทานที่โต๊ะอาหารเว้นเสียแต่วันใดที่แน่น ผู้บังคับบัญชาอาจจะสั่งให้ขึ้นมารับประทานบนดาดฟ้าได้เป็นการครั้งคราว

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พื้นท้องเรือเปิดเพื่อตรวจสอบแบตเตอรี่ พวกเราต้องกระจายกันรับประทานโดยทั่วไป เราต้องระวังเสียแย่เพราะถ้าปิ่นโตอลูมิเนียมซึ่งถืออยู่นั้น ถ้าตกลงไปถูกหม้อไฟฟ้าเข้าแล้วอาจจะทำให้ไฟช็อตขึ้นได้

27.จัดสิ่งของให้เรียบร้อยเสมอ

สิ่งของที่นำติดตัวไปนั้นมีผ้าห่มนอน 2 ผืน ถุงมือทำงาน หมวกเสื้อกางเกงทำงาน เสื้อคลุมกันหนาว ปิ่นโต เครื่องล้างหน้าสีฟัน (บางครั้งถ้ามีกำหนดจะพบนายทหารผู้ใหญ่ พวกนายทหารเราก็มีถุงมือขาวและเครื่องราชอิสริยาภรณ์จำลองไปด้วย)

การจัดให้เรียบร้อยนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นระเบียบ

28.ห้ามนอนนอกที่ที่กำหนด

เนื่องด้วยทริมดังกล่าวแล้ว และเพื่อจะตรวจคนได้ง่าย  

29.เมื่อยังไม่ถอดรองเท้า ห้ามเหยียบโต๊ะ เก้าอี้ หรือที่เท้าแขน

ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้สิ่งของที่ถูกเหยียบนั้นสกปรกเท่านั้นเอง

30.เวลาส้วมต้องใช้กระดาษอย่างนิ่มชำระ

เสร็จแล้วต้องสูบน้ำไล่ทิ้ง

ส้วมบนดาดฟ้าเท่านั้นที่พวกเราใช้ส้วมกัน (เพราะส้วมในเรือกลายเป็นคลังเสบียงไปเสียแล้ว)

การที่ป้องกันก็เพื่อมิให้ส้วมตัน

31.การส้วมให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ

คำแนะนำที่ปิดไว้ในส้วมภายในเรือเป็นอันว่าไม่ได้อ่าน เพราะไม่เคยได้ใช้ส้วมสักที

32.ห้ามใช้รองเท้าที่ตอกหมุดที่พื้น

หมุดที่พื้นรองเท้าคือเหล็กกันรองเท้าสึก การที่ห้ามเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้ลื่นเวลาอยู่ในเรือประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดประกายไฟในเวลาเดิน

33.ให้ปฏิบัติตามคำสั่ง

ข้อนี้ไม่ต้องอธิบาย

34.อาหารที่จัดให้ แม้ไม่รับประทานก็ต้องเสียเงิน

ข้อนี้เพื่อตัดความยุ่งยากจากคนที่กินบ้างเว้นบ้าง

‘ข้อห้ามบางอย่าง’ รวม 34 ข้อนี้นายนาวาเอก ยัดซุชิโร ท่านผู้ปกครองทหารเรือดำน้ำไทย ได้ให้ไว้เมื่อก่อนออกเดินทางไปรับเรือโระ 64 จากไมซูรุมายังโกเบ ดังนั้นจึงมีบางข้อที่บ่งตรงถึงทหารไทย ดังที่ท่านเคยได้พบข้อบกพร่องหรือความปฏิบัติตนอันควรต้องตักเตือน อีกประการหนึ่งคราวนี้เป็นคราวแรกที่พวกเราจะได้ลงหัดในเรือดำน้ำด้วย ดังนั้นท่านจึงวางกฎเหล่านี้ไว้ละเอียดมากสักหน่อย

+++++++++++++++++++

ข้อห้ามบางอย่างรวม 34 ข้อสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ โดยคร่าวๆ นอกจากต้องรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบภายในเรือ สิ่งสำคัญมากที่พูดถึงบ่อยครั้งคือเรื่องส้วมภายในเรือ ซึ่งทหารเรือดำน้ำไทยใช้เป็นห้องเก็บเสบียงไม่เคยใช้งานสักครั้ง สิ่งที่ผู้เขียนอ่านแล้วไม่เข้าใจก็คือเรื่องส้วมบนดาดฟ้า เรือดำน้ำมีส้วมบนดาดฟ้าตรงไหน??

หมายเหตุ : เรือโระ 64 หรือ RO-64 คือเรือดำน้ำที่ใช้ในการฝึกทหารเรือดำน้ำไทย เรือมีระวางขับน้ำ 1,301 ตันขณะดำน้ำ ยาว 78.39 เมตร เทียบกับเรือดำน้ำชั้นมัจฉานุซึ่งมีระวางขับน้ำ 430 ตันขณะดำน้ำ ยาว 51 เมตร ต้องบอกว่าเรือโระ 64 มีขนาดใหญ่กว่าพอสมควร ฉะนั้นปัญหาเรื่องส้วมเรือดำน้ำไทยย่อมมีมากกว่าเรือดำน้ำญี่ปุ่นไปด้วย

                            +++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก : อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอกสนอง ธนศักดิ์

https://en.wikipedia.org/wiki/Japanese_submarine_Ro-64

 

       

 

       

 

 

 

 

 

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Royal Thai Navy in 1963

 

โครงการปรับปรุงเรือปี 2506

         ในคำบรรยายเรื่อง ‘นโยบายกองทัพเรือ’ โดยพลเรือเอก สวัสดิ์ ภูติอนันต์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ณ โรงเรียนเสนาธิการทหาร วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ 2506 มีเรื่องหนึ่งน่าสนใจเหลือเกินจนผู้เขียนอยากนำมาเผยแพร่ต่อ เป็นบันทึกเรื่องความพยายามครั้งหนึ่งของราชนาวีไทย

กองทัพเรือสร้างเรือกวาดทุ่นระเบิด

         (เริ่มต้นคำบรรยาย) แม้ว่าในขณะนี้กองทัพเรือยังไม่ได้รับงบประมาณสำหรับบำรุงกำลังทางเรือ เนื่องจากรัฐบาลยังมีภาระในการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่มากก็ตาม กองทัพเรือได้ตระหนักถึงภารกิจที่จะต้องปฏิบัติในสงครามอนาคต และมิได้นิ่งนอนใจคอยรับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศแต่อย่างเดียว กองทัพเรือได้พยายามปรับปรุงกำลังทางเรือที่มีอยู่ โดยถืออันดับความสำคัญของเรือที่จะปรับปรุง ตามสภาพของภัยที่อาจคุกคามในสงครามอนาคต และตามสถานการณ์ปัจจุบันดังนี้คือ

-เรือกวาดทุ่นระเบิดเป็นอันดับหนึ่ง

-เรือปราบเรือดำน้ำเป็นอันดับสอง

-เรือสำหรับทำการรุกรานทางน้ำเป็นอันดับสาม

-เรือบริการและเรืออื่นๆ เป็นอันดับต่อไป ขณะนี้กำลังดำเนินการคือ

1.พิจารณาสร้างเรือกวาดทุ่นระเบิดแบบเรือหลวงท่าดินแดง ด้วยไม้ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย เช่น ไม้สัก ไม้ตะเคียน เป็นต้น และใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ของเก่าที่กองทัพเรือมีอยู่ ซึ่งขณะนี้ตัวเรือกำลังทรุดโทรมและเสื่อมสภาพไปตามอายุขัย หรือถ้าทำได้จะขอความช่วยเหลือในเรื่องเครื่องจักรและอุปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา ขณะนี้กำลังเจรจาของแบบแปลนรายละเอียดจากสหรัฐอเมริกา และทาบทามขอเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย

ในเรื่องไม้และการสร้างนั้น เจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้วว่า จะสามารถสร้างเรือได้ด้วยเครื่องมือและช่างที่มีอยู่โดยใช้เวลาลำละประมาณ 1 ปี และต้องเสียค่าไม้ประมาณลำละ 8 แสนบาท (ราคาเรือแบบนี้ที่สร้างในต่างประเทศประมาณลำละ 45 ล้านบาท) จริงอยู่ สหรัฐอเมริกาได้มีโครงการให้เรือใหม่แบบเดียวกันกับเราแล้ว แต่จำนวนที่ให้มานั้นไม่พอที่จะปฏิบัติภารกิจในสงครามอนาคต ประกอบกับโครงการให้เรือประเภทนี้เป็นโครงการระยะยาว ไม่แน่ใจว่าจะถูกตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงเสียเมื่อใด

หากเราสามารถสร้างเรือแบบนี้ขึ้นใช้เองแล้ว แม้ว่าจะไม่ดีเท่ากับเรือที่ได้รับความช่วยเหลือหรือที่สร้างในต่างประเทศก็ตาม เราก็ยังสามารถใช้เรือที่สร้างเองนั้นในการฝึกหัดและปฏิบัติหน้าที่ในสงครามเย็นได้ กับทั้งยังเป็นการเพิ่มความชำนาญและความมั่นใจให้แก่ช่างต่อเรือของเราด้วย

การขอความช่วยเหลือโดยฝ่ายเราร่วมออกค่าใช้จ่ายด้วยเช่นในกรณีเรือกวาดทุ่นระเบิด เราออกค่าสร้างตัวเรือและขอเครื่องจักรกับอาวุธจากเขา เข้าใจว่าจะได้รับการสนับสนุนมากกว่าขอซื้อเรือทั้งลำ ในเรื่องการสร้างเรือกวาดทุ่นระเบิดนี้เมื่อได้รับแบบแปลนรายละเอียดมาแล้ว จะได้พิจารณาและวางแผนโดยละเอียดต่อไป และเข้าใจว่าคงเริ่มได้ในปีงบประมาณ 2507 เป็นอย่างช้า (สิ้นสุดคำบรรยาย)

คำบรรยายผู้บัญชาการทหารเรือค่อนข้างชัดเจน กองทัพเรือต้องการสร้างเรือกวาดทุ่นระเบิดแบบเรือหลวงท่าดินแดง ซึ่งเป็นเรือเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สองได้รับมาจากสหรัฐอเมริกา กองทัพเรือจะสร้างตัวเรือด้วยไม้ในประเทศโดยใช้งบประมาณ 8 แสนบาท ส่วนแบบแปลนเรือ เครื่องจักร อาวุธ และอุปกรณ์ต่างๆ จะขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา

เป็นแนวคิดที่ไม่ได้แปลกแหวกแนวอะไรเลย  ช่วงนั้นสหรัฐอเมริกาสนับสนุนให้ชาติพันธมิตรสร้างเรือเองจากแบบเรือยุคเก่า ยกตัวอย่างเช่นอู่ต่อเรือ Bazan สร้างเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขนาด 83 ฟุตให้กองทัพเรือสเปนจำนวนหนึ่ง โดยใช้แบบเรือเรือตรวจการณ์ขนาด 83 ฟุตของหน่วยยามฝั่งสหรัฐอเมริกาจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง เพียงแต่ไม่ทราบว่าพวกเขาขอความช่วยเหลือเรื่องเครื่องจักร อาวุธ และอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนเราหรือไม่

หมายเหตุ : เหตุผลที่เรือกวาดทุ่นระเบิดสร้างด้วยไม้เพราะไม้ไม่กระตุ้นให้ทุ่นระเบิดทำงาน แต่เอาเข้าจริงเรือกวาดทุ่นระเบิดหลายลำก็จมเพราะทุ่นระเบิดอยู่ดี ฉะนั้นจึงถือเป็นเรืออันตรายและทำภารกิจอันตรายมาก กองทัพเรือในปี 2506 ถึงให้ความสำคัญอยู่ในลำดับต้นๆ

ภาพประกอบที่หนึ่งคือเรือหลวงลาดหญ้าลำที่หนึ่ง เรือกวาดทุ่นระเบิดที่ราชนาวีไทยต้องการสร้างด้วยตัวเองหน้าตาแบบนี้เลย เป็นเรือสนับสนุนการกวาดทุ่นระเบิด YMS-1 ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาสร้างในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างปี 2490 กองทัพเรือไทยได้รับโอนมาใช้งานจำนวน 3 ลำ เรือมีระวางขับน้ำ 270 ตัน ยาว 41 เมตร กว้าง 7.47 เมตร กินน้ำลึก 2.4 เมตร เป็นเรือยุคเก่าช่างกองทัพเรือไทยสร้างตัวได้อย่างสบาย

บังเอิญโครงการสร้างเรือกวาดทุ่นระเบิดในประเทศไม่เกิดขึ้นจริง กองทัพเรืออาจสร้างเรือไม่เสร็จหรือไม่ได้สร้างเลยไม่แน่ใจ เหตุผลที่มีความเป็นไปได้ผู้เขียนตั้งสมมุติฐานไว้ 3 ข้อได้ตามนี้

1.รัฐบาลให้งบประมาณน้อยเกินไปจนไม่หลงเหลือนำมาสร้างเรือ มีความเป็นไปได้เหมือนกันแต่ค่อนข้างน้อยนิด เพราะราคาสร้างตัวเรือเพียง 8 แสนบาทน่าจะพอจัดสรรได้ไม่ยาก

2.สหรัฐอเมริกาไม่สนับสนุน มีความเป็นไปได้สูงกว่าสมมุติฐานข้อที่หนึ่ง

3.กองทัพเรือเปลี่ยนนโยบาย มีความเป็นได้สูงกว่าสมมุติฐานสองข้อแรก

ข้อเท็จจริงที่ตามมาซึ่งอาจเกิดจากสหรัฐอเมริกาสนับสนุนด้วยวิธีการอื่น หรือกองทัพเรือเปลี่ยนนโยบายในภายหลังก็คือ ราชนาวีไทยได้รับมอบเรือกวาดทุ่นระเบิดใหม่เอี่ยมจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 4 ลำ

ภาพประกอบที่สองคือเรือหลวงบางแก้วลำที่สอง เป็นเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น MSC-294 ซึ่งสหรัฐอเมริกาสร้างขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายชาติพันธมิตร เรือมีระวางขับน้ำ 384 ตัน ยาว 43.5 เมตร กว้าง 8.1 เมตร กินน้ำลึก 2.7 เมตร ติดตั้งอุปกรณ์กวาดทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ทันสมัย ทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำในปี 2507 และเข้าประจำการราชนาวีไทยปี 2508

สหรัฐอเมริกามอบเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น MSC-294 ใหม่เอี่ยมให้กับกองทัพเรือไทยจำนวน 4 ลำ บวกเรือหลวงโพสามต้นซึ่งเป็นเรือกวาดทุ่นระเบิดและเรือฝึก เรือหลวงรางเกวียนเรือพี่เลี้ยงเรือกวาดทุ่นระเบิด และเรือกวาดทุ่นระเบิดเขตน้ำตื้นขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง ถือว่ามากเพียงพอสำหรับการปฏิบัติภารกิจของกองเรือทุ่นระเบิด จำนวนเรือมากกว่ากองเรือทุ่นระเบิดในปัจจุบันด้วยซ้ำ

โครงการสร้างเรือกวาดทุ่นระเบิดในประเทศจึงไม่เกิดขึ้นจริง

เรือตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ

(เริ่มต้นคำบรรยาย) 2.พิจารณาซ่อมและดัดแปลงเรือตอร์ปิโดใหญ่ 7 ลำให้ทันสมัยขึ้น มีความสามารถในการลาดตระเวนระยะไกล การต่อสู้กับเรือผิวน้ำด้วยปืนใหญ่และตอร์ปิโด และการทิ้งทุ่นระเบิดทางยุทธวิธี หากการทรงตัวของเรือเหมาะสมก็จะติดตั้งอุปกรณ์ค้นหาเรือดำน้ำ และอาวุธปราบเรือดำน้ำเพิ่มขึ้น การดัดแปลงและซ่อมทำเรือเหล่านี้ใช้เงินค่าสร้างเรือลาดตระเวนที่รัฐบาลอิตาลีชดเชยให้ประมาณ 36 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องซื้อสิ่งของจากประเทศอิตาลี

เหตุที่กองทัพเรือยืนยันที่จะซ่อมและดัดแปลงเรือเหล่านี้ก็ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกเห็นว่าตัวเรือและเครื่องจักรยังอยู่ในสภาพที่พอจะซ่อมได้ ในเรื่องนี้เจ้าหน้าที่จัสแมกให้ความเห็นว่าการซ่อมเรือให้ทันสมัยนั้น ถ้าต้องใช้เงินไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ของราคาเรือแบบเดียวกันที่สร้างใหม่แล้วก็นับว่าคุ้มค่า เรือแบบเรือตอร์ปิโดใหญ่นี้เจ้าหน้าที่จัสแมกประเมินราคาสร้างใหม่ลำละ 100 ล้านบาท เมื่อเราประมาณค่าซ่อมและดัดแปลงรวมทั้งค่าซื้อกระสุนด้วยเพิ่มเติมทั้ง 7 ลำเป็นเงินประมาณ 44 ล้านบาท จึงนับว่าสมควรแล้วที่เจ้าหน้าที่จัสแมกก็เห็นชอบด้วย และรับพิจารณาเปลี่ยนปืนใหญ่ประจำเรือให้เป็นแบบอเมริกันในโอกาสต่อไป

เหตุผลประการที่สองเพื่อใช้เงินที่ได้รับคืนในการจัดหาชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่จำเป็น เพราะเรือเหล่านี้สร้างที่อู่ต่อเรือในอิตาลี นอกจากนั้นภารกิจในการลาดตระเวนชายแดน และเตรียมส่งกำลังรบไประงับความไม่สงบบริเวณชายแดนกัมพูชา ซึ่งกองทัพเรือต้องปฏิบัติเรื่อยมาตั้งแต่เกิดกรณีพิพาทกับกัมพูชานั้น แสดงให้เห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องใช้เรือเหล่านี้อยู่ในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า ยังไม่แน่ใจว่ากองทัพเรือจะได้เรืออื่นๆ มาทดแทนเรือตอร์ปิโดใหญ่ ดังนั้นการซ่อมและดัดแปลงเรือเหล่านี้จึงนับว่าสมควร

ในขณะนี้กำลังดำเนินการขอ Specification ของอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะสั่งซื้อจากอิตาลี เพื่อตรวจสอบกับความต้องการของเราเพื่อสั่งซื้อเอามาใช้งานในการซ่อมต่อไป สำหรับเรือหลวงชุมพรซึ่งเข้าอู่ทำการซ่อมใหญ่นั้น ก็ได้เริ่มดัดแปลงสะพานเดินเรือและเสาด้วยวัสดุคงคลังที่มีอยู่เพื่อเป็นการทดลองว่า จะเป็นไปตามโครงการได้เพียงใด และจะได้เป็นแนวทางในการดัดแปลงเรือลำอื่นด้วย

3.พิจารณาจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์บางอย่าง ให้แก่เรือที่ไม่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา และกองทัพเรือยังมีความจำเป็นต้องใช้เรือเหล่านั้น เช่นเรือหลวงแม่กลองเป็นต้น เพื่อเพิ่มพูนความสามารถให้แก่เรือเหล่านั้นตามสมควร (สิ้นสุดคำบรรยาย)

ข้อมูลจากคำบรรยายผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้เขียนสรุปใจความทั้งหมดได้ตามนี้

1.กองทัพเรือได้รับเงินเงินชดเชยค่าสร้างเรือลาดตระเวนจากรัฐบาลอิตาลีประมาณ 36 ล้านบาท กว่าจะได้รับเงินจริงก็เลยเวลาส่งมอบเรือไปแล้ว 20 ปี เป็นหนี้ก้อนโตที่ติดอยู่ในอกลูกประดู่ไทยมาอย่างยาวนาน และมาในช่วงเวลาเหมาะสมหลังกองทัพเรือถูกพิษการเมืองเล่นงานอย่างรุนแรง

2.ค่าซ่อมและปรับปรุงเรือตอร์ปิโดใหญ่จำนวน 7 ลำอยู่ที่ 44 ล้านบาท รวมกระสุนปืนใหญ่แต่ไม่รวมปืนใหญ่จากสหรัฐอเมริกา จึงเป็นไปได้ว่าใช้เงินจริงไม่ถึง 44 ล้านเพราะไม่ได้ซื้อกระสุนปืนใหญ่

3.การปรับปรุงเรือตอร์ปิโดใหญ่เกิดขึ้นจริงเพียง 4 ลำ การซ่อมและเปลี่ยนปืนใหญ่เกิดขึ้นทั้ง 7 ลำ ส่วนการดัดแปลงสะพานเดินเรือและเสากระโดงมีเพียงเรือหลวงชุมพร เรือหลวงตราด และเรือหลวงภูเก็ตจำนวน 3 ลำ โดยมีเรืออีกหนึ่งลำเปลี่ยนมาใช้เสากระโดงตั้งตรงด้านบนติดเรดาร์เดินเรือจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง

4.การปรับปรุงให้เรือตอร์ปิโดใหญ่วางทุ่นระเบิดทางยุทธวิธี หรือการติดตั้งโซนาร์ตรวจจับเรือดำน้ำกับอาวุธปราบเรือดำน้ำตามคำบรรยาย ไม่เคยเกิดขึ้นจริงรวมทั้งบนเรือหลวงชุมพร

5.หนึ่งในเหตุผลที่กองทัพเรือต้องการปรับปรุงเรือตอร์ปิโดใหญ่ เพราะมีเรือตรวจการณ์ไม่เพียงพอต่อภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ จำเป็นต้องมีเรือติดปืนใหญ่ไว้ยิงสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน รวมทั้งช่วยเหลือในภารกิจปราบเรือดำน้ำ แต่เอาเข้าจริงการปรับปรุงเรือกลับไปไม่สุดตามความตั้งใจด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

ภาพประกอบที่สามเรือหลวงปัตตานีและเรือหลวงจันทบุรีจอดอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือหลวงนาคากับเรือหลวงแรดจอดเรียงกันบริเวณกราบซ้าย ช่างภาพชาวอเมริกันถ่ายภาพนี้ในปี 2513 เป็นหลักฐานชัดเจนการปรับปรุงเรือหลวงปัตตานีและเรือหลวงจันทบุรีไม่ได้สร้างเสากระโดงใหม่ ไม่มีการติดตั้งเรดาร์เดินเรือรุ่นใหม่ ไม่มีการต่อเติมห้องวิทยุ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวคือปืนใหญ่ทั้งหมดบนเรือ ส่วนเรือหลวงนาคาที่จอดติดกันมีทั้งเรดาร์เดินเรือและระบบสื่อสารรุ่นใหม่

ภาพประกอบที่สี่ภาพเล็กมุมบนซ้ายคือเรือตอร์ปิโดใหญ่หลังการปรับปรุงใหญ่ หัวเรือ-ท้ายเรือติดปืนใหญ่ Mk 22 ขนาด 76/50 มม. ป้อมปืนกลางเรือติดปืนกลโบฟอร์สขนาด 40L60 มม. ส่วนป้อมปืนขนาดเล็กอีก 2 ป้อมปืนติดปืนกลเออริคอนขนาด 20 มม.มีความแตกต่างจากเรือหลวงชุมพรพอสมควรโดยเฉพาะเสากระโดง

ภาพประกอบที่สี่ภาพใหญ่เรือหลวงชุมพรในปี 2563 หลังปลดประจำการในปี 2523 เรือถูกส่งมาจอดหน้าพระตำหนักหาดทรายรีจังหวัดชุมพร สังเกตนะครับเสากระโดงถูกปรับปรุงใหม่เป็นรุ่น 3 เสา ติดตั้งเรดาร์เดินเรือรุ่นใหม่จำนวน 1 ตัว มีการต่อเติมห้องวิทยุด้านหลังสะพานเดินเรือ ส่วนเสากระโดงรองติดป้อมปืนกลท้ายเรือหายไป หัวเรือ-ท้ายเรือติดปืนใหญ่โบฟอร์สขนาด 75/51 มม.ปลดประจำการแล้ว ป้อมปืนกลางเรืออีก 2 จุดติดปืนกลแมดเสนขนาด 20 มม.ปลดประจำการแล้วเช่นกัน ส่วนปืนใหญ่ Mk 22 ขนาด 76/50 มม.ปืนกลโบฟอร์สขนาด 40L60 มม.และปืนกลเออริคอนขนาด 20 มม.ถูกถอดนำไปใช้งานบนเรือลำอื่น

ภาพประกอบที่ห้าเป็นท้ายเรือเรือหลวงชุมพรปี 2563 จะเห็นนะครับว่าแท่นยิงตอร์ปิโดกลางเรือลดจาก 2 แท่นยิงเหลือเพียง 1 แท่นยิง ป้อมปืนใกล้ปืนใหญ่กระบอกหลังหายไป ป้อมปืนระหว่างแท่นยิงตอร์ปิโดสร้างขึ้นมาใหม่ขนาดใหญ่กว่าเดิม ถ้าถอดปืนใหญ่ท้ายเรือออกจะมีพื้นที่ว่างพอสมควร สามารถติดตั้งแท่นยิงระเบิดลึกกับรางปล่อยระเบิดลึกเหมือนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงสารสินธุ

บังเอิญการติดตั้งอาวุธปราบเรือดำน้ำมีปัญหากวนใจ เนื่องจากท้ายเรือเป็นรูปทรงรีค่อนข้างแคบเหมือนเรือรุ่นเก่าอาทิเช่นเรือหลวงพระร่วง (เรือรุ่นใหม่จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมค่อนข้างกว้าง) การติดตั้งรางปล่อยระเบิดลึกทำได้เพียง 1 รางถือว่าน้อยเกินไป การติดตั้งรางปล่อยทุ่นระเบิดก็ทำได้เพียง 1 รางถือว่าน้อยเกินไปเช่นกัน นอกเสียจากจะสร้างระเบียงสำหรับติดตั้งรางปล่อยทุ่นระเบิดหรือระเบิดลึกสองกราบเรือ เหมือนเรือหลวงแม่กลองซึ่งมีบั้นท้ายทรงรีคล้ายกันและมีอายุใกล้เคียงกัน

อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้เรือตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำจึงไม่เกิดขึ้นจริง

อ้างอิงจาก

อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอกสวัสดิ์ ภูติอนันต์

https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=aumteerama&month=10-2020&date=14&group=12&gblog=244

https://www.shipscribe.com/thai/images/above.html

https://www.history.navy.mil/