วันที่
30
มกราคม 2007 เรือตรวจการณ์ HMS Clyde
(P257) เข้าประจำการกองทัพเรืออังกฤษอย่างเป็นทางการ
เป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River ลำที่ 4 สร้างโดยบริษัท VT Shipbuilding
ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท BAE Systems ไปแล้ว และเนื่องมาจากเรือต้องมาประจำการหมู่เกาะฟอล์กแลนด์แทนเรือตรวจการณ์ชั้น
Castle
จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเรือเล็กน้อยเพื่อความเหมาะสมกับภารกิจ
ภาพประกอบที่หนึ่งภาพเล็กคือท้ายเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น
River Batch 1 รุ่นปรกติ ไม่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ทุกขนาด แต่มีพื้นว่างวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด
40 ฟุตได้ 2 ใบ เหตุผลที่ไม่มีเพราะอังกฤษใช้งานเรือไม่ไกลจากแผ่นดินใหญ่
งานหลักคือตรวจสอบเรือประมงหรือเรือพาณิชย์ทั่วไป
ไม่จำเป็นต้องใช้เฮลิคอปเตอร์รวมทั้งไม่จำเป็นต้องติดอาวุธหนัก มีเพียงปืนกล 20
มม.เป็นปืนหลักจำนวน 1 กระบอก
กับปืนกลขนาด 7.62 มม.หรือ 12.7 มม.เป็นปืนรองอีก 2 กระบอก
ภาพประกอบที่หนึ่งภาพใหญ่คือเรือ
HMS
Clyde (P257) ท้ายเรือสร้างเหล่าเต๊งขึ้นมาใช้เป็นลานจอดโดยไม่มีโรงเก็บ
รองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 11 ตันอาทิเช่นเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย Sea
King ตามภาพ ใต้ลานจอดคือพื้นที่อเนกประสงค์ใช้เป็นห้องพักผ่อนหรือจุดเก็บเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน
หัวเรือเปลี่ยนมาติดปืนกลขนาด 30 มม.ป้องกันตัวเองดีกว่าเดิม
นี่คือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River River Batch 1 รุ่นปรับปรุงลำแรกและลำเดียว
เหล่าเต๊งที่สร้างขึ้นมาใหม่ยื่นเลยท้ายเรือออกไปเล็กน้อย
เป็นการปรับปรุงง่ายๆ ราคาไม่แพง ไม่วุ่นวายกับส่วนอื่นของเรือ และเพิ่มเติมความอเนกประสงค์ให้เรือได้อย่างดีเยี่ยม
ภาพประกอบที่สองคือเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์
OPV
552 แห่งราชนาวีไทย เป็นเรือลำแรกในโครงการ ‘The future of
the RTN OPVs project’ ที่ผู้เขียนเคยเขียนถึงไปแล้ว
ซึ่งกำหนดคุณสมบัติเรือไว้คร่าวๆ ดังนี้
1.ใช้โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่หนึ่งหรือเรือหลวงกระบี่เป็นต้นแบบ
2.มีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบและระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์
3.มีลานจอดและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์
พิจารณาตามภาพถ่ายเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์อย่างละเอียดแล้วพบว่า
-ใช้แบบเรือชั้น River Batch 2 รุ่นปรับปรุงเหมือนเรือหลวงกระบี่
ตรงตามคุณสมบัติข้อที่หนึ่ง
-มีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบและระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ตรงตามคุณสมบัติข้อที่สอง
-มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์แต่ไม่มีโรงเก็บทุกขนาด เท่ากับว่าไม่ตรงคุณสมบัติข้อที่สาม
ผู้เขียนไม่กล้าวิจารณ์ว่าทำไมหรือเพราะเหตุอันใด
เนื่องจากคุณสมบัติตามโครงการอาจเปลี่ยนแปลงได้
เหตุผลที่เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ไม่มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์เพราะสร้างไม่ได้
ปรับปรุงไม่ได้ ไม่มีพื้นที่มากเพียงพอ อยากได้ต้องไปแบบเรือ 94m
OPV ของบริษัท BAE Systems ที่บริษัทอู่กรุงเทพเคยนำแบบเรือมาโชว์ในงาน
Defense & Security 2022 ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2022
ที่อาคาร Challenger Hall 1-2 ศูนย์จัดแสดงสินค้า Impact
เมืองทองธานี โดยใช้ชื่อว่าแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 94 เมตร
ทั้งโครงการ
‘The
future of the RTN OPVs project’ และแบบเรือ ‘เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด
94 เมตร’ ของบริษัทอู่กรุงเทพ
ผู้เขียนเคยเขียนบทความเรียบร้อยแล้วอ่านทบทวนความจำตรงนี้เลยครับ
https://thaimilitary.blogspot.com/2023/06/the-future-of-rtn-opvs-project.html
https://thaimilitary.blogspot.com/2022/09/krabi-class-94m-design.html
บทความนี้ไม่เกี่ยวข้อกับการเพิ่มโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ตามความต้องการราชนาวีไทย
แต่เป็นโครงการศึกษาการปรับปรุงแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 2 ให้มีความอเนกประสงค์มากกว่าเดิม
โดยการสร้างเหล่าเต๊งเหมือนเรือ HMS Clyde (P257) ใช้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์
และปรับปรุงลานจอดเฮลิคอปเตอร์เดิมเป็น Mission Bay หรือพื้นที่อเนกประสงค์
รองรับภารกิจเสริมต่างๆ ได้ใกล้เคียงแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นใหม่
ผู้เขียนถือวิสาสะตั้งชื่อแบบเรือเสริมเหล่าเต็งว่า
‘เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น River Batch 3’ เป็นแบบเรือ Case Study ที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพแนวคิดอย่างชัดเจน
แบบเรือ
River Batch 3 V1
ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น
River Batch 3 V1 ผู้เขียนปรับปรุงจากเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ลำจริง
หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จากอิตาลีจำนวน
1 กระบอก (ราคาปี 2016 กระบอกละ 370 ล้านบาท) กลางเรือติดปืนกลอัตโนมัติขนาด
30 มม.จากอังกฤษจำนวน 2 กระบอก (ราคาปี 2016 กระบอกละ 75
ล้านบาท) ระบบเรดาร์ยกมาจาก Thales ทั้งชุด ใช้ระบบอำนวยการรบ TACTICOS Baseline 2 ใช้เรดาร์ตรวจการณ์
4 มิติ NS50 AESA เรดาร์เดินเรือ X-Band
จำนวน 2 ตัว เรดาร์เดินเรือ X-Band จำนวน 1 ตัว เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 จำนวน 1 ตัว ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ใช้ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์
VIGILE Mk2 R-ESM กับแท่นยิงเป้าลวง SKWS DL-12T ขนาด 12 ท่อยิงจำนวน 2
แท่นยิง
กลางเรือปรับปรุงใหม่โดยการเฉือนพื้นที่ใช้งานบางส่วนทิ้ง
กลายเป็นพื้นที่ว่างติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน
4 นัด แล้วสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 11 ตันต่อจากปล่องระบายความร้อน
จุดรับส่งเรือยางท้องแข็งสร้าง Superstructure ความสูงเท่าดาดฟ้าหัวเรือ
ใช้เป็นจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งเหมือนเดิมและได้พื้นที่ใช้งานใต้ดาดฟ้าเรือเพิ่มขึ้น
ทดแทนจุดที่ถูกเฉือนทิ้งหน้าปล่องระบายความร้อน ใต้ลานจอดคือห้องเครื่องยนต์
(ตำแหน่งเดิม) กับ Mission Bay พื้นที่อเนกประสงค์ ท้ายเรือมีที่ว่างวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด
20 ฟุตได้ 2 ใบ
ใช้ราวกับตกแบบทืเชื่อมต่อกับ Mission Bay แบบเปิดโล่ง
มีสะพานขึ้นเรือหรือ Gangway ที่กราบขวาจำนวน 1 ตัว
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งกองทัพเรือสเปนตามภาพล่าง
แต่สร้าง Mission Bay
แบบเปิดโล่งจะไม่ต้องใช้งานระบบปรับอากาศให้เปลืองพลังงาน เข้าร่วมโครงการรักษ์โลกที่ท่านนายกพีต้าให้ความสำคัญ
ภาพประกอบที่สี่คือแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น
River Batch 3 V1 เช่นเดียวกัน เปลี่ยนมาทำภารกิจเสริมวางทุ่นระเบิดสกัดกั้นกองเรือฝ่ายตรงข้าม
ใช้ Mission Bay
กับที่ว่างท้ายเรือบรรทุกทุ่นระเบิดชนิดต่างๆ ได้ประมาณ 100-140 ลูก โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานอาวุธหรืออากาศยานประจำเรือ
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งกองทัพเรือโปรตุเกสตามภาพล่าง
สังเกตนะครับว่ามีการทำเครื่องหมายสำหรับวางรางปล่อยทุ่นระเบิดเรียบร้อยแล้ว
ถึงเวลาใช้งานสามารถขนทุ่นระเบิดไปทิ้งจุดยุทธศาสตร์อย่างรวดเร็ว
นอกจากผู้เขียนได้แนวคิดเรื่องการวางรางทุ่นระเบิด
ผู้เขียนยังออกแบบเหล่าเต๊งโดยใช้เรือลำนี้แหละเป็นต้นแบบ เพราะฉะนั้นแบบเรือ River Batch 3 V1
ใช้งานจริงได้อย่างแน่นอน
ชี้แจงข้อดีต่างๆ
ครบถ้วนแล้ว…ต้องบอกข้อด้อยจากการปรับปรุงเรือด้วย
การสร้างเหล่าเต๊งทำให้อุปกรณ์ช่วยในการลงจอดกับห้องควบคุมอากาศยานหายไป
ผู้เขียนจึงสร้างแท่นเล็กๆ ขึ้นมาบนปล่องระบายความร้อนกราบขวา
(เหนือเครนแบบพับเก็บได้) ใช้เป็นจุดติดตั้งอุปกรณ์ช่วยในการลงจอดเลียนแบบเรือชั้น
River Batch 2 กองทัพเรืออังกฤษ ต่างกันเล็กน้อยตรงที่เรืออังกฤษติดกราบซ้ายส่วน
River Batch 3 ติดกราบขวา
เพราะผู้เขียนวาดภาพเรือกราบขวาถ้านำไปใส่กราบซ้ายย่อมไม่มีใครเห็น
สำหรับห้องควบคุมอากาศยานคงทำอะไรไม่ได้
ไม่มีใช้งานเหมือนเรือโปรตุเกสอันเป็นเรือต้นฉบับ
แบบเรือ
River Batch 3 V2
ภาพประกอบที่ห้าคือแบบเรือ River Batch 3 V2 ผู้เขียนใช้แบบเรือ V1 มาปรับปรุงแก้ไขเพียงนิดเดียว โดยการเจาะช่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนลานจอดจำนวน 2 จุด กสามารถพลิกออกมาเพื่อวางตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ลงสู่ Mission Bay ที่ว่างท้ายเรือติดเครนแบบพับเก็บได้เพิ่มที่กราบขวา สำหรับยกยานอัตโนมัติสำรวจใต้น้ำหรือยานใต้น้ำไล่ล่าทุ่นระเบิดลงสู่ท้องทะเล รองรับภารกิจปราบทุ่นระเบิดหรือสำรวจทางอุทกศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งกองทัพเรือแคนาดาในอนาคตตามภาพล่าง
เพียงแต่เรือแคนาดามี Mission Bay
บริเวณกราบขวากลางเรือ และใช้เครนเดวิดในการยกอุปกรณ์ต่างๆ บริเวณท้ายเรือ
ภาพประกอบที่หกคือแบบเรือ
River Batch 3 V2 เช่นเดียวกัน เปลี่ยนมาทำภารกิจตรวจสอบเรือประมงกับเรือพาณิชย์ต่างชาติจำนวนมาก
ที่ว่างท้ายเรือบรรทุกเรือยางท้องแข็งขนาด 4.5 เมตรเพิ่มเข้ามาอีก
1-2 ลำ เป็นออปชันเสริมที่เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นใหม่จำนวนมากมีให้กับลูกค้า
ผู้เขียนใส่เข้ามาบนเรือตรวจการณ์ชั้น River Batch 3 V2
โดยไม่ต้องจ่ายเงินปรับปรุงเรือให้ปวดกระดองใจ เพียงแต่เรือยางท้องแข็งที่เพิ่มเข้ามาขนาดไม่ใหญ่เท่าไร
เหมาะสมกับการใช้งานเป็นเรือลำที่สามลำที่สี่มากกว่าเรือลำที่หนึ่ง
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งกองทัพเรือแคนาดาในอนาคตตามภาพล่างเช่นเดียวกัน
เพียงแต่เรือแคนาดาใช้ระบบ Cube System ในการรับส่งเรือด้วยระบบอัตโนมัติ
ส่วนเรือผู้เขียนใช้เครนพับเก็บได้ในการรับส่งเรือด้วยระบบอัตโนมือ
แบบเรือ
River Batch 3 V3
ภาพประกอบที่เจ็ดคือแบบเรือ River Batch 3
V3 สร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ยาวลายบั้นท้ายเรือเล็กน้อย
ห้องเครื่องยนต์ถูกยกขึ้นมาเหนือดาดฟ้าเชื่อมโยงกับปล่องระบายความร้อน
ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยในการลงจอดกับห้องควบคุมอากาศยานเหมือนเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ Mission
Bay ใต้ลานจอดวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตได้
2 ใบ ท้ายเรือเหลือพื้นที่ว่างสำหรับทำโน่นนั่นนี่ได้อีกนิดหน่อย
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์
HMS
Clyde (P257) ของอังกฤษ นำมาผสมกับแบบเรือ 94m OPV ของบริษัท BAE Systems
ที่สร้างโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์เชื่อมโยงกับปล่องระบายความร้อน
ฉะนั้นห้องเครื่องยนต์กับห้องควบคุมอากาศยานที่ผู้เขียนจงใจยกขึ้นมาย่อมเชื่อมโยงได้เช่นกัน
สังเกตนะครับว่าจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
ผู้เขียนหยิบดีไซน์แบบเรือ 94m OPV
มาใช้บนเรือ Batch 3 ข้อดีของแบบเรือ V3 คือสวยกว่า V1 และ V2 มีพื้นที่ใช้งานภายในตัวเรือมากกว่าเดิม
ส่วนข้อเสียประกอบไปด้วยราคาแพงกว่ากัน ต้องปรับปรุงแบบเรือมากกว่า
เสียค่าใช้จ่ายในการทดสอบแบบเรือมากกว่า
แบบเรือ
River Batch 3 V4
ภาพประกอบที่แปดคือแบบเรือ
River Batch 3 V4 ผู้เขียนใช้แบบเรือ V4 มาปรับปรุงแก้ไขเพียงนิดเดียว โดยการสร้างจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 11.25
เมตรที่บั้นท้ายเรือตรงกลาง
เพิ่มเรือเล็กลำที่สามซึ่งมีขนาดใหญ่โตที่สุดเข้ามา
ที่ว่างกราบซ้ายกราบขวานอกจากใช้ผูกเชือกเรือยังสามารถทำภารกิจอื่นได้
อาทิเช่นปล่อยยานอัตโนมัติสำรวจใต้น้ำหรือปล่อยทุ่นระเบิด
ติดเครนแบบพับเก็บได้หรือรอกยกของเพิ่มเติมได้
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์กองทัพเรือปากีสถาน
พื้นที่อเนกประสงค์ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์จะลอกการบ้านเรือลำนี้
(แต่อุปกรณ์เกะกะที่เห็นในภาพให้เข้าที่เข้าทาง) โดยการติดตั้งเสาค้ำลานจอดจำนวน 4
แถวเหมือนภาพประกอบ วางรางปล่อยทุ่นระเบิดได้จำนวน 3 รางแบบหลวมๆ บังเอิญแบบเรือ V4
แบ่งพื้นที่ตรงกลางให้กับจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 11.25 เมตร เท่ากับว่าสามารถติดตั้งรางปล่อยทุ่นระเบิดได้เพียง 2 ราง
แบบเรือ
River Batch 3 V5
ภาพประกอบที่เก้าคือแบบเรือ River Batch 3 V5 ผู้เขียนใช้แบบเรือ V3 มาปรับปรุงแก้ไขเพียงนิดเดียว โดยการสร้างจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 11.25 เมตรที่บั้นท้ายเรือตรงกลาง เพิ่มเรือเล็กลำที่สามซึ่งมีขนาดใหญ่โตที่สุดเข้ามา ใต้ลานจอดวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตได้ 2 ใบ
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์กองทัพเรือบรูไน
แบบเรือ V5
ถือเป็นตัวท๊อปติดออปชันมากที่สุด ราคาแพงที่สุด
โดยมีข้อเสียความอเนกประสงค์น้อยที่สุดในตระกูล
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้าได้พิจารณา
เห็นแบบเรืออเนกประสงค์น้อยที่สุดกันไปแล้ว
ลำถัดไปคือแบบเรืออเนกประสงค์มากที่สุด
แบบเรือ River Batch 3 V6
ภาพประกอบที่สิบคือแบบเรือ
River Batch 3 V6 ผู้เขียนใช้แบบเรือ V1 มาปรับปรุงแก้ไขเพียงนิดเดียว โดยการติดตั้งเครนขนาดใหญ่แทนเครนแบบพับเก็บได้ที่กราบขวา
ยกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตขึ้นมาวางบนลานจอดเฮลิคอปเตอร์ได้
และเหลือที่ว่างให้เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กบินขึ้นลงได้
ท้ายเรือกราบขวาติดตั้งเครนแบบพับเก็บได้จำนวน 1 ตัว
อุปกรณ์ช่วยในการลงจอดย้ายไปติดบนปล่องระบายความร้อนกราบซ้าย
แบบเรือ V6 ทำภารกิจเสริมได้อย่างหลากหลายไปพร้อมกัน อาทิเช่นใช้ Mission Bay บรรทุกทุ่นระเบิดจำนวน 100-140 ลูก
ใช้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ทำภารกิจปราบทุ่นระเบิด
หรือเปลี่ยนมาทำภารกิจวางทุ่นระเบิดแบบเต็มลำ
โดยบรรทุกทุ่นระเบิดบนลานจอดเฮลิคอปเตอร์เพิ่มจำนวน 60-90 ลูก
แล้วใช้เครนใหญ่กราบขวาเรือยกทุ่นระเบิดลงสู่น้ำ โดยมีข้อแม้การวางทุ่นระเบิด 160-230 นัดอาจมีความล่าช้านิดหน่อย
ผู้เขียนได้แนวคิดจากเรือตรวจการณ์กองทัพเรือออสเตรเลีย
ขออนุญาตเรียกชื่อเล่นแบบเรือ V6 ว่าพี่เครนใหญ่
เป็นแบบเรือที่ผู้เขียนชอบมากที่สุด เพราะฉะนั้นของแปลกแหวกแนวจะถูกใส่เข้ามาบนเรือลำนี้
ภาพประกอบที่สิบเอ็ดคือแบบเรือ River Batch 3 V6 เช่นเดียวกัน
ติดระบบป้องกันภัยทางอากาศ C-Dome จากอิสราเอล
ประกอบไปด้วยห้องควบคุมในตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตบนลานจอดเฮลิคอปเตอร์
พร้อมเรดาร์ตรวจจับเป้าหมาย AESA จำนวน 4
ตัวกับกล้องออปโทรนิกส์อีก 1 ตัว และแท่นยิงแนวดิ่งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Iron Dome จำนวน 20 ท่อยิงที่ท้ายเรือ
และเหลือที่ว่างให้เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กบินขึ้นลงในแนวเฉียง 45 องศาได้
Iron Dome หนึ่งนัดราคา 100,000-150,000 เหรียญ เทียบกับ ESSM
ราคานัดละ 1 ล้านเหรียญถูกกว่ากันไม่รู้กี่เท่า
ยิงเป้าหมายบนอากาศได้ทุกชนิดยกเว้นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบบินเรี่ยนำ
ถ้าใช้งานถูกประเภทจะสามารถคุ้มกันกองเรือจากภัยคุกคามทางอากาศได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว
ชมแบบเรือรุ่นป้องกันภัยทางอากาศไปแล้ว
ลำถัดไปคือแบบเรือรุ่นปราบเรือดำน้ำ
ภาพประกอบที่สิบสองคือแบบเรือ River Batch 3 V6 เช่นเดียวกัน ติดตั้งระบบ ASW
Warfare Cube System ไว้ที่ท้ายเรือ โดยการใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40
ฟุตในพื้นที่ตรงกลาง
ขนาบสองข้างด้วยแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำรุ่นแฝดสอง
ในตู้คอนเทนเนอร์แบ่งพื้นที่ด้านหน้าใช้เป็นห้องควบคุม
พื้นที่ด้านหลังติดตั้งโซนาร์ลากท้ายขนาดเล็กแต่ทรงประสิทธิภาพ
ค้นหาเป้าหมายใต้น้ำได้ทั้งโหมด Active และ Passive
แนวคิดนี้บริษัท SH
Defence ประเทศเดนมาร์กกำลังพัฒนาให้เป็นจริง
ระบบโซนาร์อาจไม่เป็นไปตามที่ผู้เขียนกำหนดก็ได้
ต้องรอดูกันต่อไปในอนาคตว่าของจริงจะเป็นเช่นไร
บทสรุป
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง River Batch 3 เป็นแบบเรือ Case
Study ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเรือรุ่นใหม่
ให้ตรงความต้องการกองทัพเรือหรือลูกค้ามากที่สุด อาจพัฒนาเป็นเรือหรือเปลี่ยนไปใช้แบบเรือที่ดีกว่าทันสมัยกว่า
ประเทศที่สามารถสร้างเรือรบได้ด้วยตัวเองถือเป็นเรื่องปรกติ กว่าจะสร้างเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่
เรือฟริเกต หรือเรือพิฆาตได้สักลำ ต้องมีแบบเรือ Case Study
จำนวนพอสมควรเป็นแนวทาง
ผู้เขียนหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีแบบเรือ
Case
Study เช่นกัน
+++++++++++++++++++++++
อ้างอิงจาก
https://web.facebook.com/photo/?fbid=366293442196254&set=pcb.366294735529458
https://barcoavista.blogspot.com/2009/07/navios-de-patrulha-oceanico-classe.html
https://twitter.com/SHDefence/status/1663612529153658881
https://twitter.com/SHDefence/status/1664257130629672961
https://www.damen.com/vessels/defence-and-security/opv?view=overview
https://www.youtube.com/watch?v=BtbK5xoAYsw
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น