วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2566

M-frigate replacement Program

 

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1985 กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์เริ่มต้นเดินหน้าโครงการ M-frigate โดยการทำพิธีวางกระดูกงูเรือฟริเกต Karel Doorman F827 ซึ่งเป็นลำแรกจากจำนวนแปดลำ หน้าที่หลักของเรือคือการปราบเรือดำน้ำโซเวียตและสมาชิกกลุ่มวอร์ซอ ซึ่งมีจำนวนมหาศาลเป็นปัญหาใหญ่หากเกิดสงครามระหว่างสองฝ่าย

M-frigate จำนวน 8 ลำมากเพียงพอให้กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ทำภารกิจได้อย่างเหมาะสม

วันที่ 1 ตุลาคม 1991 มีการทำพิธีวางกระดูกงูเรือฟริเกต Jan Van Speyk F828 ซึ่งเป็นลำสุดท้ายจากจำนวนแปดลำ ถัดมาในวันที่ 26 ธันวาคม 1991 สหภาพโซเวียตล่มสลายกลายเป็นหลายประเทศ สมาชิกกลุ่มวอร์ซอทั้งหมดแตกซ่านคนละทิศคนละทาง ภัยคุกคามลดลงแบบฮวบฮาบภายในระยะเวลาสามเดือน

ตอนนั้นเอง M-frigate หรือเรือฟริเกตชั้น Karel Doorman เพิ่งเข้าประจำการได้เพียง 2 ลำ อีก 6 ลำวางกระดูกงูแล้วไม่อาจยกเลิกการก่อสร้าง จำเป็นต้องเดินหน้าสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้

วันที่ 7 กันยายน 1995 กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ประจำการเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Karel Doorman ครบ 8 ลำ แต่เรือดำน้ำโซเวียตหรือสมาชิกกลุ่มวอร์ซอไม่มีให้ปราบอีกต่อไป เนเธอร์แลนด์ทนแบกค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงเรือจนถึงปี 2004 จึงตัดสินใจขายเรือฟริเกตชั้น Karel Doorman ลำหนึ่งให้กับชิลี ปี 2006 ขายให้ชิลีอีก 1 ลำ ขายให้เบลเยียมจำนวน 2 ลำ ปี 2007 กับ 2009 ขายให้โปรตุเกสจำนวน 2 ลำ

ท้ายที่สุดกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ประจำการเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Karel Doorman เพียง 2 ลำ ประกอบไปด้วย Jan Van Speyk F828 ซึ่งเป็นลำสุดท้ายกับ Jan Van Amstel F831 ซึ่งเป็นลำที่สี่

M-frigate จำนวน 2 ลำมากเพียงพอให้กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ทำภารกิจได้อย่างเหมาะสม

ทว่า M-frigate ทั้ง 2 ลำจะมีอายุการใช้งานมากขึ้นตามระยะเวลา กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จำเป็นต้องเตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ โดยการศึกษาแบบเรือที่เหมาะสมกับการใช้งานในอนาคตข้างหน้า

Royal Netherlands Navy M-frigate replacement study

          กลางเดือนพฤศจิกายน 2013 มีการเผยแพร่ข้อมูลแบบเรือฟริเกตทดแทน M-frigate ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อโครงการ ‘Royal Netherlands Navy M-frigate replacement study’ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเรือฟริเกตรุ่นใหม่ รบกวนผู้อ่านทุกคนดูภาพประกอบที่หนึ่งไปพร้อมกัน

แบบเรือมีความยาวประมาณ 145 เมตร ใช้ลูกเรือประมาณ 120 นาย หัวเรือติดปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ป้อมปืนปรกติ ถัดไปเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน 2 ระบบ 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM จำนวน 64 นัด หน้าสะพานเดินเรือติดปืนกลอัตโนมัติ Marlin ขนาด 30 มม. ที่กราบซ้ายและ Hitrole ขนาด 12.7 มม.ที่กราบขวา สะพานเดินเรือค่อนข้างเตี้ยแต่เสากระโดงเรือค่อนข้างสูงใหญ่ เพราะเป็นเสากระโดง I-mast 500

I-mast 500 ติดตั้งระบบเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ SEAMASTER 400 กับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ APAR Block 2 AESA ฝังสี่มุมนำวิถีให้ ESSM ได้ มีออปโทรนิกส์ตรวจการณ์ Gatekeeper มุมมอง 360 องศา มีระบบดักจับคลื่นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ESM ไว้พร้อมสรรพ ทำงานร่วมกับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติระยะไกล SMART-L EWC ได้ทันทีเพราะมาจากบริษัท Thales เช่นเดียวกัน

พื้นที่ว่างกลางเรือสำหรับเรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 4 ลำ ถัดไปเป็นแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8 นัด ถัดไปเล็กน้อยสร้างจุดรับ-ส่งอากาศยานไร้คนขับปีกแข็งขนาดเล็ก เหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดปืนกลอัตโนมัติ Hitrole ขนาด 12.7 มม.กราบขวาเป็นปืนกลอัตโนมัติ Marlin ขนาด 30 มม.ส่วนกราบซ้ายคืออุปกรณ์รบกวนการเผยแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ Sabre ECM suite

ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Goalkeeper ใช้ปืนกล 30 มม.หกลำกล้องอยู่บนแท่นยิงสูงๆ ตรงกลางระหว่างปล่องระบายความร้อน ด้านหลังปืนกลอัตโนมัติ Hitrole ขนาด 12.7 มม.เพียงแต่ไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไหร่ขนาดผู้เขียนยังเข้าใจผิด

แบบเรือ V1 ค่อนข้างธรรมดาไม่มีอะไรหวือหวา ทว่าแนวคิดแบกเรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 4 ลำถือว่าล้ำสมัยมาก หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีเรือฟริเกตยุโรปจะถูกแช่น้ำมันก๊าดให้ใหญ่กว่าเดิม รวมทั้งต้องมียางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับอย่างน้อยที่สุดจำนวน 3 ลำบนเรือ เพียงแต่อากาศยานไร้คนขับปีกแข็งถูกอากาศยานไร้คนขับปีกหมุนถีบตกคลองแสนแสบไม่ได้แจ้งเกิดเสียแล้ว

Future Royal Netherlands Navy & Belgian Naval Component

          ต้นเดือนเมษายน 2018 เนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมจับมือกับจัดตั้ง 2 โครงการใหญ่ ประกอบไปด้วยเรือฟริเกตอเนกประสงค์รุ่นใหม่จำนวน 4 ลำแบ่งกันชาติละ 2 ลำ นำมาทดแทนเรือฟริเกตชั้น Karel Doorman และเรือกวาดทุ่นระเบิดรุ่นใหม่จำนวน 12 ลำแบ่งกันชาติละ 6 ลำ  นำมาทดแทนเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น Tripartite

มีการเผยแพร่แบบเรือฟริเกตรุ่นใหม่ผู้เขียนของเรียกว่า V2 ตามภาพประกอบที่สอง


สำหรับโครงการเรือฟริเกตจะสร้างให้กับเบลเยียม 2 ลำก่อน เข้าประจำการระหว่างปี 2024-2026 เสร็จเรียบร้อยจึงถึงคิวเนเธอร์แลนด์ อนาคตจะใช้แบบเรือลำนี้ทดแทนเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Zeven Provincien ของกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ ผู้เขียนเข้าใจว่าต้องนำไปแช่น้ำมันก๊าดให้บวมกว่าเดิมอย่างแน่นอน

เรือมีระวางขับน้ำมากกว่า 3,000 ตันขึ้นไป ยาว 140-145 เมตร ใช้ลูกเรือ 110 นายและมีพื้นที่รองรับอีก 70 นาย หัวเรือใช้ปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte ถัดไปเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน 2 ระบบ 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM เหมือนเดิม แต่อาจมีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM-3 กับอาวุธปล่อยนำวิถีปราบเรือดำน้ำ VL-ASROC ตามมาในภายหลัง

เรือยังคงใช้เสากระโดง I-mast 500 ตามปรกติ ติดปืนกลอัตโนมัติ Marlin ขนาด 30 มม.ที่หัวเรือจำนวน 1 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติ Hitrole ขนาด 12.7 มม.กลางเรือจำนวน 2 กระบอก มีอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM หรือ LRASM จำนวน 8 นัด เหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte กระบอกที่สอง ระบบเป้าลวงเปลี่ยนมาใช้งาน MASS จากเยอรมัน ติดตั้งเรดาร์/ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Pharos ทำงานร่วมกับ OTO 76/62 Sovraponte ในการเผด็จศึกอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบฝ่ายตรงข้าม

เท่ากับว่าเนเธอร์แลนด์ใช้ Sovraponte เป็นระบบป้องกันตนเองระยะประชิดแทนที่ Goalkeeper

ที่น่าสนุกยิ่งกว่านั้นก็คือ ด้านหน้า Pharos คือแท่นยิง Mk.49 ขนาด 21 ท่อยิง สำหรับระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RAM Block 2 ระยะยิงประมาณ 10 กิโลเมตร ในภาพประกอบอาจมองเห็นไม่ชัดเจน

ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Goalkeeper ของ Thlaes อายุมากพอสมควร แต่ไม่มีการพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมเหมือนคู่แข่ง Phalanx จากอเมริกา จึงถูก Thales ถอดออกจากโบรชัวร์ขายสินค้าแบบเงียบๆ กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์เพิ่งมากำหนดให้ใช้งาน RAM Block 2 กับปืนใหญ่ OTO 76/62 มม.แทนที่ Goalkeeper ประมาณปลายปี 2020 เท่ากับว่าแบบเรือ V2 สปอยล์เนื้อหาล่วงหน้าโดยที่คนทั่วโลกไม่ทันรู้ตัว

แต่ Sovraponte จำนวน 2 กระบอกกับ RAM Block 2 อีก 21 นัดก็เยอะเกินไป ที่สำคัญแพงเกินไปจะซื้อกันไม่ไหวเนี่ยสิ แบบเรือ V2 สวยและทันสมัยกว่า V1 พอสมควร ผู้เขียนติดใจแค่บันไดขึ้นเรือเพียงอย่างเดียว นำไปวางข้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ความสวยลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ทันที

ท้ายเรือฝั่งหนึ่งติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัย ท้ายเรืออีกฝั่งเป็นช่องปล่อยเรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับขนาด 11 เมตร (เท่ากับว่าแบบเรือ V2 มีเรือเล็กจำนวน 3 ลำ) สังเกตนะครับว่าเรดาร์ APAR Block 2 จำนวน 2 ตัวย้ายไปติดด้านหลังปล่องระบายความร้อน (หน้า Sovraponte กระบอกที่สอง) ส่วนจะย้ายไปเพื่ออะไรผู้เขียนใบ้รับประทานเหมือนกัน ปล่อยให้เสากระโดง I-mast 500 ว่างสองฝั่งต้องมีเหตุผลที่เราไม่รู้สิน่า

เท่ากับว่าตอนนี้เนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมเดินหน้าโครงการเรือฟริเกตอเนกประสงค์จำนวน 4 ลำกับเรือกวาดทุ่นระเบิดจำนวน 12 ลำเรียบร้อยแล้ว นอกจากแบบเรือ V2 ที่ปรากฏตัวพร้อมการเปิดตัวโครงการ บริษัทสร้างเรือยักษ์ใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ยังได้เสนอแบบเรือรุ่นใหม่ล่าสุดเข้าร่วมชิงชัย

Damen - M-Frigate / Omega Future Multi-Mission Frigate

          ต้นเดือนธันวาคม 2018 ในการแสดงอาวุธ IndoDefence 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย บริษัท  Damen นำแบบเรือฟริเกต Omega มาจัดแสดงเป็นครั้งแรก โดยให้ข้อมูลว่าเป็นแบบเรือที่บริษัทเสนอในโครงการเรือฟริเกตอเนกประสงค์กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม นอกจากนี้บริษัทจะเสนอแบบเรือ Omega เข้าร่วมชิงชัยโครงการเรือฟริเกต MKS 180 กองทัพเรือเยอรมันเช่นกัน

          สินค้าใหม่เอี่ยมจาก Damen นำตัดเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Zeven Provincien มาปรับปรุงใหญ่ ระวางขับน้ำประมาณ 6,100 ตัน ยาว  144 เมตร กว้าง 18.8 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 29 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 นอต ออกทะเลได้นานสุด 30 วัน ใช้ลูกเรือ 122 นาย มีพื้นที่รองรับมากสุด 160 นาย บรรทุกเรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตรได้ 3 ลำ และมีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางจำนวน 2 ลำ

          ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือฟริเกต Omega สำหรับกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ แล่นเคียงข้างเรือกวาดทุ่นระเบิดขนาด 80 เมตรที่ Damen ส่งเข้าร่วมชิงชัยเช่นเดียวกัน หัวเรือติดปืนใหญ่ OTO 127/64 ยิงกระสุนนำวิถีต่อระยะได้ ถัดไปเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน 4 ระบบ 32 ท่อยิง สะพานเดินเรือกับเสากระโดงหลักรวมอยู่ด้วยกันคล้ายเรือพิฆาตล่องหน Zumwalt ของอเมริกา ฝังเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ SEAMASTER 400 จำนวน 3 ตัว กับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ APAR Block 2 จำนวน 1 ตัว มีปล่องระบายความร้อนตัวแรกรวมอยู่ในเสากระโดง

          ที่ว่างกลางเรือติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ RBS-15 Mk3 จำนวน 8 นัด กับตู้คอนเทนเนอร์ Multi Mission จำนวน 2 ตู้ ถัดไปคือเสากระโดงรองกับปล่องระบายความร้อนตัวที่สอง ฝังเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ SEAMASTER 400 จำนวน 1 ตัว กับเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ APAR Block 2 จำนวน 3 ตัว

เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ SEAMASTER 400 บริษัท Thales เคลมว่าตรวจจับได้ไกลสุด 450 กิโลเมตร ส่วนเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ APAR Block 2 บริษัท Thales เคลมว่านำวิถีให้ ESSM กับ SM-2 ได้ Omega ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์รุ่นปรกติได้อาทิเช่น Thales NS200 แต่น่าจะขี้เหร่พอสมควรไปเข้ากับการดีไซน์สักนิดเดียว

หลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Marlin ขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก มีแท่นยิงเป้าลวง MASS จากเยอรมันจำนวน 4 แท่นยิง หัวเรือใช้โซนาร์ Kingklip ท้ายเรือใช้โซนาร์ Captas-4 ใช้ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Mirador จำนวน 2 ตัว แต่ไม่มีระบบป้องกันตนเองระยะประชิดหรือ CIWS

แบบเรือฟริเกต Omega ที่นำมาจัดแสดงแตกต่างจากเวอร์ชันเนเธอร์แลนด์ ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นรุ่นปรกติส่วนเวอร์ชันเนเธอร์แลนด์เป็นรุ่นปรับปรุง หน้าสะพานเดินเรือมีจุดติดตั้งระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Millenium Gun หลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte เป็น CIWS ตัวที่สอง ทำให้เรือดุดันกว่า ป้องกันตนเองได้ดีกว่า และราคาแพงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

แบบเรือฟริเกต Omega ยังมีเวอร์ชันติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte ที่หัวเรือ กับแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน 3 ระบบ 24 ท่อยิง  โดยมีระบบป้องกันตนเองระยะประชิดแบบเลเซอร์หน้าสะพานเดินเรือ เข้าใจว่า Damen พยายามเสนอความหลากหลายเพราะยังไม่รู้ความต้องการอย่างชัดเจน

สำหรับแบบเรือกวาดทุ่นระเบิดขนาด 80 เมตรผู้เขียนขอข้ามนะครับ สปอยล์เนื้อหานิดเดียวเรือทั้งสองลำไม่ได้รับการคัดเลือกจากเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม ทว่าแบบเรือฟริเกต Omega ได้รับการคัดเลือกโครงการเรือฟริเกต MKS 180 กองทัพเรือเยอรมัน ที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ชื่อโครงการเรือฟริเกต F126 ต่อจาก F125 นั่นเอง

Anti-Submarine Warfare Frigate

          เดือนมิถุนายน 2020 โครงการเรือฟริเกตอเนกประสงค์กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมถูกตั้งชื่อใหม่ว่า Anti-Submarine Warfare Frigate หรือ ASWF แปลเป็นภาษาไทยว่าเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำน่าจะเหมาะสมที่สุด มีการเปิดเผยข้อมูลจากรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเนเธอร์แลนด์เป็นครั้งแรก รวมทั้งมีการเผยแพร่แบบเรือใหม่ล่าสุดผู้เขียนขอเรียกว่า V3 ตามภาพประกอบที่สี่

          เรือมีความยาวประมาณ 130 เมตร ระวางขับน้ำประมาณ 5,500 ตัน หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte ทำงานร่วมกับกระสุนนำวิถีต่อสู้อากาศยาน DART เรือเนเธอร์แลนด์มีแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน  2 ระบบ 16 ท่อยิง ส่วนเรือเบลเยียมมีแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 แค่ 1 ระบบ 8 ท่อยิง อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบยังไม่ได้ระบุรุ่น ใช้ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk-54 รุ่นใหม่จากอเมริกา ระบบเป้าลวงตอร์ปิโดทั้งแบบ Softkill ในปัจจุบันและ Hard-kill ในอนาคต ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RIM-116 RAM Block 2 มาแน่นอน เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ NH90 NFH จำนวน 1 ลำ กับอากาศยานไร้คนขับปีกหมุนอีกจำนวนหนึ่ง

แบบเรือ V3 เสากระโดง I-mast 500 ถูกถอดออกไป สร้างเสากระโดงหลักทรงสูงแหลมกับเสากระโดงรองทรงเตี้ยอ้วน และดูเหมือนว่าจะติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ Sea Fire 500 รุ่นใหม่ล่าสุดของ Thales แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนผู้เขียนจึงไม่กล้ายืนยัน หัวเรือใช้โซนาร์ Kingklip ท้ายเรือใช้โซนาร์ Captas-4 มีออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Mirador จำนวน 1 ตัว กับเรดาร์/ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Pharos อีก 1 ตัว ใช้แท่นยิงเป้าลวง NGDS จำนวน 4 แท่นยิง บันไดขึ้นเรือวางข้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์เหมือนเดิม

ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือปืนกลอัตโนมัติ Marlin ขนาด 30 มม.ถูกแทนที่ด้วยปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40 ขนาด 40 มม.จากบริษัทเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงขนาดปืนกลมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน รบกวนผู้อ่านคาดเดาด้วยความคิดตัวเองสักพักหนึ่งก่อน ผู้เขียนจะมาเฉลยช่วงท้ายของบทความโปรดรอสักครู่

ปืนกล 40 มม.กำลังจะกลับมา แต่เรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับลดลงมาเหลือเพียง 2 ลำ

แบบเรือที่กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ กองทัพเรือเบลเยียม และบริษัท Damen Schelde Naval Shipbuilding ร่วมกันออกแบบค่อนข้างสวยและใกล้สมบูรณ์แบบ ปรับปรุงแก้ไขเพียงเล็กน้อยก็สร้างจริงได้แล้ว

Green light for the construction

          ระหว่างปลายปี 2019 ถึงกลางปี 2022 เกิดโรคระบาดร้ายแรงทั่วโลก ทำให้โครงการเรือฟริเกต ASWF เกิดความล่าช้าไม่แตกต่างจากโครงการอื่น แต่แล้วเมื่อความสงบสุขกลับมาเยือนพร้อมสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทุกโครงการเริ่มเดินหน้าอีกครั้งรวมทั้งโครงการระหว่างกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม

          วันที่ 3 เมษายน 2023 การสร้างเรือฟริเกต ASWF จำนวน 2 ลำสำหรับกองทัพเรือเบลเยียมได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ บริษัท Damen จะส่งมอบเรือลำแรกภายในปี 2029 ช้ากว่าตอนตั้งโครงการในปี 2018 ถึง 5 ปี มูลค่ารวมการสร้างเรือเท่ากับ 2 พันล้านยูโรหรือลำละ 1 พันล้านยูโร แพงกว่าตอนตั้งโครงการในปี 2018 ถึงลำละ 400 ล้านยูโร โดยที่เนเธอร์แลนด์จะลงทุนในอุตสาหกรรมเบลเยียมกลับคืน 355 ล้านยูโร

ก่อนการสั่งซื้อเกิดดราม่าเล็กน้อยเรื่องราคาเรือ แค่ไม่กี่วันก็ซาไปเองเพราะจุดไฟไม่ติด

          เรือฟริเกตขนาด 5,500 ตันลำละ 1 พันล้านยูโรไม่แพงหรอกครับ เรือฟริเกต FDI ที่กรีซซื้อจากฝรั่งเศสขนาด 4,500 ตันราคาใกล้เคียงกันมาก เบลเยียมอยากได้เรือลำละ 600 ล้านยูโรต้องซื้อเรือขนาด 3,500 ตัน ถอดเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ Sea Fire 500 ออก ถอดอาวุธทันสมัยออกให้หมดเหลือแค่เพียงป้องกันตัว

          มีการเผยแพร่แบบเรือสร้างจริงประกอบข่าวเบลเยียมสั่งซื้อเรือ ภาพประกอบที่ห้าคือเรือฟริเกต ASWF รุ่น Real Design ผู้เขียนจะใส่ข้อมูลที่มีการเปิดเผยทั้งหมดให้ผู้อ่านรับรู้ไปพร้อมกัน

          เรือมีระวางขับน้ำ 5,865 ตัน ยาว 134.5 เมตร กว้าง 17.5 เมตร กินน้ำลึก 5.45 เมตร ความเร็วสูงสุดมากกว่า 25 นอต ยังไม่มีการเปิดเผยระบบขับเคลื่อน ใช้ลูกเรือ 110 นายและมีพื้นที่รองรับอีก 42 นาย ข้อมูลต่อจากนี้ผู้อ่านพิจารณาตามภาพประกอบที่ห้าไปพร้อมกันเลย

          หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte ทำงานร่วมกับกระสุนนำวิถีต่อสู้อากาศยาน DART เรือเนเธอร์แลนด์มีแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน  2 ระบบ 16 ท่อยิง ส่วนเรือเบลเยียมมีแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 แค่ 1 ระบบ 8 ท่อยิง ถัดไปคือปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40 ขนาด 40 มม.ติดอยู่ระดับเดียวกับเรดาร์/ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Pharos (แบบเรือ V3 จะเจาะพื้นลงไปเล็กน้อย) มีเรดาร์เดินเรือ 3 ตัว เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำอีก 1 ตัว (จริงๆ ก็คือเรดาร์เดินเรือนั่นแหละ) หน้าเสากระโดงหลักติดออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Mirador จำนวน 1 ตัว

          สังเกตนะครับว่าเสากระโดงหลักเตี้ยกว่าเดิมและบางกว่าเดิม นี่คือเทรนด์ใหม่ล่าสุดแม้แต่เรือฟริเกต Type 26 ของแคนาดาติดเรดาร์ SPY-6 จำนวน 4 ตัวยังทำตาม ระบบเรดาร์ต่างๆ ผู้เขียนขอข้ามเพราะไม่มีข้อมูล หลังเสากระโดงหลักคืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 นัด มีพื้นที่ว่างสำหรับคอนเทนเนอร์ Multi Mission จำนวน 2 ตู้หรือ NSM อีก 8 นัด แท่นยิงเป้าลวง NGDS จำนวน 4 แท่นยิงกับจุดเติมเชื้อเพลิงกลางทะเลก็อยู่แถวนั้น ปล่องระบายความร้อนทั้งใหญ่และสูงทว่ารูปทรงค่อนข้างทันสมัย

          เสากระโดงรองยาวกว่าเดิมเล็กน้อย สร้างจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40 ขนาด 40 มม.กระบอกที่สองเหนือแท่นยิง Mk.49 ขนาด 21 ท่อยิง สำหรับระบบป้องกันตนเองระยะประชิด RAM Block 2 มีปืนกล 12.7 มม.รุ่น M2 จำนวน 6 กระบอก และปืนกลอัตโนมัติ Hitrole ขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอก บันไดขึ้นเรือย้ายมาอยู่กราบขวาเรือและซุกซ่อนเป็นอย่างดี ถัดไปเป็นช่องปล่อยเรือยางท้องแข็งหรือยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 2 ลำ ต่อด้วยท่อยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk-54 ระบบตรวจจับใต้น้ำหัวเรือใช้โซนาร์ Kingklip ท้ายเรือใช้โซนาร์ Captas-4 เหมือนเดิม

แบบเรือฟริเกต ASWF ค่อนข้างสวยงามและสมบูรณ์แบบลำหนึ่งในยุคปัจจุบัน คล้ายเรือฟริเกตตระกูล Sigma ของบริษัท Damen ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์

วิจารณ์หลังเกม

          1.เนเธอร์แลนด์เลือกใช้งานปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte ซึ่งเป็นรุ่นป้องกันภัยทางอากาศ (เนเธอร์แลนด์เลือกอะไรเบลเยียมย่อมเลือกตามอยู่ดี) บังเอิญ Sovraponte ไม่ใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือเป็นคลังแสงเหมือนรุ่น Super Rapid ทำให้มีจำนวนกระสุนค่อนข้างจำกัดและสลับชนิดกระสุนไม่ได้ ไม่เหมาะสมกับภารกิจยิงถล่มชายฝั่งหรือจัดการเป้าหมายผิวน้ำ นำกระสุน Dart นัดละ 8 แสนมาไล่ยิงเรือยางท้องแข็งไม่ไหวกระมัง

          ปืนกล Bofors 40mm Mk4 กับปืนใหญ่ Bofors 57mm Mk3 ไม่ใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือเป็นคลังแสงเช่นกัน แต่มีออปชันเสริมป้อนกระสุนจากคลังแสงใต้ดาดฟ้าเรือหากลูกค้าต้องการ เป็นไปได้เหมือนกันว่า Sovraponte ป้อนกระสุนจากคลังแสงใต้ดาดฟ้าเรือได้ หากทำเช่นนั้นได้การจัดการเป้าหมายผิวน้ำหรือชายฝั่งย่อมเป็นไปได้ แต่ดูเหมือนว่ายังไม่มีออปชันเสริมตามนี้นะครับ จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนมาใช้งาน Marlin 40

          2.กระสุนขนาด 40 มม.ยิงไกลกว่ากระสุนขนาด 30 มม.สร้างความเสียหายต่อเป้าหมายมากกว่า รวมทั้งมีลูกกระสุนนำวิถีให้เลือกใช้งานมากกว่า เมื่อเรือฟริเกต ASWF ติดตั้งระบบ CIWS ทั้ง Sovraponte และ RAM Block 2 เพราะฉะนั้นภารกิจหลักปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40 ขนาด 40 มม.คือเป้าหมายผิวน้ำและชายฝั่ง

          เนเธอร์แลนด์เลือกใช้งานปืนกล 40 มม.บนเรือฟริเกตลำใหม่ผู้เขียนเข้าใจ แต่ที่ผู้เขียนไม่เข้าใจก็คือเนเธอร์แลนด์เลือกใช้งานปืนกล 40 มม.บนเรือกวาดทุ่นระเบิดลำใหม่เช่นกัน แต่ดันเป็นรุ่น Bofors 40mm Mk4 แตกต่างจากเรือฟริเกตที่ใช้รุ่น Marlin 40 เท่ากับว่าเนเธอร์แลนด์และเบลเยียมต้องซื้อ Bofors 40mm Mk4 จำนวน 12 กระบอกและซื้อ Marlin 40 อีก 8 กระบอกมาใช้งานบนเรือตัวเอง

          Bofors 40mm Mk4 กับ Marlin 40 ประสิทธิภาพสูสีกันมากชนิดไหล่เบียดไหล่ ให้ผู้เขียนปิดตาแล้วใช้มือขวาหยิบรุ่นไหนก็ได้มีค่าเท่ากัน ทำไมไม่สั่งรุ่นเดียว 20 กระบอกมาใช้จะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง

เหตุผลที่เนเธอร์แลนด์เลือกใช้งาน Bofors 40mm Mk4 เพราะต้องการยิงเป้าหมายกลางอากาศได้ด้วย กระสุน 3P สามารถเติมเต็มสิ่งที่พวกเขาต้องการได้อย่างเต็มที่

เหตุผลที่เนเธอร์แลนด์เลือกใช้งาน Marlin 40 เพราะต้องการยิงเป้าหมายผิวน้ำและชายฝั่งเป็นหลัก กระสุนธรรมดาราคาประหยัดเหมาะสมมากที่สุด

บังเอิญ Bofors 40mm Mk4 ใช้กระสุนธรรมดาได้เหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนรุ่นปืนกล 40 มม.แม้สักนิดเดียว ไม่ทราบเหมือนกันว่ากองทัพเรือเนเธอร์แลนด์คิดอะไรในใจ

3.เนเธอร์แลนด์นำเรดาร์/ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Pharos มาใช้งานร่วมกับปืนใหญ่ OTO 76/62 Sovraponte แต่ดันนำมาด้านหลังปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40 หลังคาสะพานเดินยังมีพื้นที่ว่างทำไมไม่โยกไปตรงนั้น เป็นดีไซน์การออกแบบที่แปลกประหลาดจนผู้เขียนหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

สังเกตนะครับว่าฝั่งขวาของ Pharos ติดตั้งกล้องโทรทัศน์ กล้องตรวจจับความร้อน และเลเซอร์วัดระยะเพิ่มเติมเข้ามา เขาใจว่าเป็นรุ่น Full Option สามารถทำอะไรได้เยอะกว่าเดิม เรือฟริเกต ASWF คือเรือลำแรกที่ได้ใช้งาน Pharos อินเดียผู้เขียนเคยเห็นข่าวแต่ก็เป็นแค่เพียงข่าว ส่วนกรีซมีการคาดเดากับเรือฟริเกต FDI อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องจริงผู้เขียนทำได้เพียงให้กำลังใจคนคาดเดา

          4.ปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40 กระบอกที่สองตำแหน่งติดตั้งไม่ดีเลย อยู่ใกล้เรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติมากเกินไป และอาจถูกความร้อนจากไอพ่น RAM Block 2 สร้างความเสียหายต่อป้อมปืน ทว่ายังพอเข้าใจได้ว่าไม่มีตำแหน่งอื่นเหมาะสมกว่านี้ สิ่งที่ผู้เขียนขุ่นข้องหมองใจมากที่สุดก็คือ ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Mirador ตัวที่สองอยู่ตรงไหน?

บทความ M-frigate replacement Program ขอตัดจบดื้อๆ แค่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ

                    +++++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

http://www.air-defense.net/forum/topic/10634-marine-belge-composante-marine/page/45/

http://shipbucket.com/forums/viewtopic.php?t=8397

http://www.shipbucket.com/forums/viewtopic.php?t=4685

https://defence.pk/pdf/threads/indodefence-2018-damen-unveils-6000-tons-omega-frigate.585693/

http://www.navyrecognition.com/index.php/news/defence-news/2018/november-2018-navy-naval-defense-news/6660-indodefence-2018-damen-unveils-6000-tons-omega-frigate.html

https://www.defensie.nl/actueel/nieuws/2023/04/03/nieuwe-anti-submarine-warfare-fregatten-vanaf-2029-in-de-vaart

https://www.tweedekamer.nl/kamerstukken/brieven_regering/detail?id=2020Z12053&did=2020D25853

https://www.navalnews.com/naval-news/2020/06/dutch-mod-clears-path-for-the-m-frigates-replacement-expects-delays/

https://dedonder.belgium.be/nl/ministerraad-zet-licht-op-groen-voor-bouw-nieuwe-fregatten

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น