วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

Next Generation Patrol Vessel

 

วันที่ 30 กันยายน 2567 กองทัพเรือประกอบพิธีปลดประจำการเรือหลวงท้ายเหมืองและเรือหลวงกันตัง ทั้งสองลำเป็นเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบซึ่งถูกจัดหามาใช้งานจำนวน 6 ลำ ส่งผลให้เรือตรวจการณ์ขนาดปานกลางราชนาวีไทยลดลงจาก 10 ลำเหลือ 8 ลำ และมีแนวโน้มจะลดเหลือเพียง 4 ลำภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เนื่องจากเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบที่เหลืออีก 4 ลำมีอายุราชการ 38 ปีขึ้นไป ใกล้ถึงเวลาปลดประจำการตามเรือสองลำแรกที่ล่วงหน้าไปก่อน

เวลาเดียวกันเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุจำนวน 3 ลำ อายุการใช้งานมากกว่า 33 ปีเหลือเวลาไม่นานเท่าไร ต้องปลดประจำการถัดจากเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบในอีกประมาณ 5 ปี ผู้เขียนจึงได้ริเริ่มโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่รุ่นใหม่หรือ Next Generation Patrol Vessel ใช้ชื่อย่อว่า NGPV เป็นทั้งชื่อโครงการและชื่อแบบเรือ นำมาประจำการทดแทนเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบและเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ โดยใช้แบบเรือเดียวกันติดอาวุธแตกต่างกันเล็กน้อยตามภารกิจเรือ กำหนดแบบเรือให้คณะกรรมการคัดสรรแบบเรือคัดเลือกจำนวน 3 รุ่นประกอบไปด้วย

1. NGPV 70

เป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ระวางขับน้ำ 1,000 ตัน ยาว 70.8 เมตร กว้าง 12.1 เมตร กินน้ำลึกสุด 3.2 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,200 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน

รูปทรงคล้ายเรือขนาดใหญ่มีความทนทะเลค่อนข้างสูง ข้างปล่องระบายความร้อนคือจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตรจำนวน 2 ลำ มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 5 ตันบริเวณท้ายเรือ และมีโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับจำนวน 1 ลำ ลานจอดสามารถปรับเปลี่ยนเป็นจุดวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ หรือใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับทำภารกิจช่วยเหลือประชาชน

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.เวอร์ชันตุร์เคียอัตรายิง 85 นัดต่อนาที กับปืนกลขนาด 12.7 มม.อีกจำนวน 2 กระบอก มีจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอกเหนือโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับ ทว่ายังไม่มีการจัดหามาใช้งานปล่อยว่างแบบนี้ไปก่อน หน้าสะพานเดินเรือคือจุดรับส่งสิ่งของทางทะเล สามารถติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงขนาด 130 มม.ได้จำนวน 2 แท่นยิง ระบบอำนวยการรบกับออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงจากประเทศสเปนเหมือนเรือหลวงช้าง ติดตั้งเรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัวพร้อมระบบสื่อสารตามมาตรฐานลูกประดู่ไทย

ส่วนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ NGPV 70 Batch 2 จะมีการติดตั้งโซนาร์หัวเรือขนาดเหมาะสมกับตัวเรือเพิ่มเติมเข้ามา พร้อมแท่นยิงแฝดสามตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 2 แท่นยิงที่ด้านข้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เรืออาจติดตั้งเรเดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X ระยะตรวจจับ 100 กิโลเมตร แท่นยิง SIMBAD-RC ขนาด 4 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรเหนือโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับจำนวน 1 แท่นยิง รวมทั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดขนาด 6 ท่อยิงหน้าสะพานเดินเรือจำนวน 2 แท่นยิง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เรือทำภารกิจในพื้นที่มีความเสี่ยงสุงได้ดีกว่า NGPV 70 Batch 1

NGPV 70 ขนาดใหญ่กว่าเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบประมาณ 20 เมตร ใหญ่กว่าเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุประมาณ 8 เมตร การใช้งานในทะเลลึกย่อมดีกว่ากันตามขนาดเรือ และด้วยเหตุนี้ราคาเรือย่อมสูงกว่าเดิมตามกันไปด้วย การจัดหาจึงแบ่งเป็น NGPV 70 Batch 1 จำนวน 4 ลำทดแทนเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 6 ลำ และ NGPV 70 Batch 2 จำนวน 2 ลำทดแทนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุจำนวน 3 ลำ นอกเสียจากรัฐบาลไทยบังเอิญเจอขุมทองโกโบริถึงอาจได้เรือจำนวนเท่าเดิม

2. NGPV 65

เป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ระวางขับน้ำ 880 ตัน ยาว 65.7 เมตร กว้าง 12.1 เมตร กินน้ำลึกสุด 3.2 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,200 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ระบบเรดาร์และระบบอาวุธเหมือน NGPV 70 ทั้งหมดเพราะอยู่ในโครงการเดียวกัน

คุณสมบัติโดยรวมเหมือน NGPV 70 ซึ่งใหญ่กว่ากันนิดหน่อย แต่ถูกออกแบบสไตล์อังกฤษหัวเรือสูงกว่า NGPV 70 ประมาณ 40 เซนติเมตร พลอยทำให้สะพานเดินเรือรูปทรงห้าเหลี่ยมความสูงลดลง ไม่มีการต่อเติมระเบียงยื่นยาวออกมานอกกราบเรือ การจัดวางเสากระโดง ปล่องระบายความร้อน จุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตร จุดติดตั้งปืนรอง และโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับใกล้เคียง NGPV 70 ลานจอดท้ายเรือสำหรับอากาศยานไร้คนขับ Camcopter S-100 หรือ MARCUS-B (ถ้าเป็นรุ่นพับปีกได้จะดีมาก) หรือใช้วางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ

NGPV 65 ขนาดเล็กกว่า NGPV 70 ประมาณ 5 เมตร แบบเรือมีความแตกต่างเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับกองทัพเรือ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นส่วนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำได้ โดยยังมีคุณลักษณะเหมือนเดิมรวมทั้งลานจอดอากาศยานขนาดเล็ก การจัดหาเรือยังเป็น NGPV 65 Batch 1 จำนวน 4 ลำกับBatch 2 จำนวน 2 ลำเหมือนเดิม เพียงแต่ด้วยราคาที่ถูกลงนิดหน่อยตามระวางขับน้ำ อาจจัดหาปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.เพื่อใช้เป็นปืนรองตั้งแต่เริ่มเข้าประจำการ

3. NGPV 60

เป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ที่มีความแตกต่างจาก NGPV 70 และ NGPV 65 ระวางขับน้ำ 700 ตัน ยาว 60.5 เมตร กว้าง 11.5 เมตร กินน้ำลึกสุด 3.0 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ระบบเรดาร์และระบบอาวุธเหมือน NGPV 70 ที่เป็นเรือใหญ่กว่า

รูปทรงเรือโดยรวมมีความคล้ายคลึงเรือหลวงกระบี่ไม่มากก็น้อย หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ตามปรกติ สะพานเดินเรือ เสากระโดง และปล่องระบายความร้อนรูปทรงใกล้เคียง NGPV 65 พื้นที่ว่างท้ายเรือนอกจากใช้เป็นจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตรจำนวน 2 ลำ ยังเหลือพื้นที่มากเพียงพอใช้เป็นลานจอดอากาศยานไร้คนขับ สามารถวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ หรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 แท่นยิงเพิ่มอำนาจการยิง หรือติดตั้งแท่นยิงแฝดสามตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 2 แท่นยิงกับรางปล่อยระเบิดลึก

NGPV 60 เป็นแบบเรือง่ายๆ ที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ยุ่งยากซับซ้อนทั้งการสร้าง การซ่อมบำรุง หรือการติดตั้งอาวุธเพิ่มเติม เพียงแต่ขนาดค่อนข้างเล็กสู้คลื่นลมได้น้อยกว่า NGPV 70 และ NGPV 65 และด้วยขนาดเรือจึงสามารถจัดหา NGPV 60 Batch 1 จำนวน 6 ลำกับ Batch 2 จำนวน 3 ลำได้อย่างพอดีกับเงินในกระเป๋า (ไม่รวมปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.) ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการคัดสรรแบบเรือชอบเรือเล็กราคาประหยัด หรือเรือใหญ่ราคาแพงกว่าที่สามารถใช้เป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้

และนี่ก็คือ 3 ทางเลือกจากโครงการ Next Generation Patrol Vessel แห่งราชนาวีไทย

บทสรุป

         เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์รุ่นใหม่จะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย สามารถทำภารกิจได้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง โดยมีค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงน้อยกว่าตามขนาดเรือ มีความคล่องตัวต่อการทำภารกิจมากมายในเขตน้ำตื้น ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.เวอร์ชันตุร์เคียกับปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอกมากเพียงพอในการป้องกันตัว ส่วนปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.ไว้สร้างเรือครบทุกลำค่อยจัดหามาใช้งานในภายหลังก็ยังทัน

หากเกิดสงครามทางทะเลเรือ NGPV จะอยู่ในแนวป้องกันที่สาม ต่อจากกองเรือฟริเกตอันแสนเกรียงไกร และกองเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งอันสุดแกร่งกล้า เท่ากับว่าโอกาสเข้าปะทะจริงในสนามรบจริงเกิดขึ้นค่อนข้างยาก ส่วนในภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์ไล่จับเรือประมงต่างชาติ ปืนหลักกับปืนรองบนเรือใช้ป้องกันตัวได้อย่างสบายไร้ความวิตกกังวล หากกองทัพเรือไม่พอใจอาจนำปืนกลขนาด 20 มม.จากเรือเก่ามาติดตั้งเพิ่ม

ต้องเข้าใจนะครับว่าเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ใช้ในยามสงบเป็นหลัก หากติดอาวุธราคาแพงมากเกินตัวจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม โอกาสจัดหาเรือครบทุกลำตามแผนการย่อมน้อยลง รวมทั้งอาวุธราคาแพงอาจถูกบั่นทอนประสิทธิภาพหรือเสียหาย อันเกิดจากการใช้งานเรือหนักเกินไปเพราะต้องลาดตระเวนตรวจการณ์บ่อยครั้ง ไม่เหมือนเรือคอร์เวตหรือเรือฟริเกตซึ่งออกทำภารกิจน้อยกว่า ขนาดเรือก็ใหญ่กว่าอาวุธบนเรือย่อมสัมผัสน้ำทะเลน้อยกว่าตามกันไปด้วย

โครงการ Next Generation Patrol Vessel เกิดขึ้นโดยฝีมือคนไทยได้อย่างแน่นอน บริษัทสร้างเรือในประเทศทุกรายสามารถสร้างเรือตระกูล NGPV ได้ด้วยตัวเอง หากกองทัพเรือต้องการสนับสนุนสินค้าไทยย่อมสามารถขึ้นโครงการได้ทันที

ภาพประกอบสร้างโดย : Google Gemini AI

หมายเหตุ : ภาพที่สร้างจาก Google Gemini AI ผู้เขียนนำมาปรับปรุงอีกครั้ง ให้มีความเหมาะสมมากขึ้นและตรงตามเนื้อหาบทความมากขึ้น รวมทั้งทำให้ภาพประกอบไม่ดูรกหูรกตามากเกินไป

 

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

Small Combattant Vessel

 

เรือคอร์เวตชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์แห่งราชนาวีไทย ถูกยกย่องว่าเป็นเรือเล็กติดอาวุธล้นลำมีพิษสงน่าเกรงขาม เป็นเรือขนาดไม่เกิน 1,000 ตันที่ติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aspide เพียงไม่กี่ลำบนโลก หนำซ้ำยังมีระบบปราบเรือดำน้ำทันสมัยที่สุดเท่าที่สามารถติดได้ เสียดายแค่เพียงไม่ได้ตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx กับระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มสูบตามแผนการ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเรือในตำนานให้เหล่าลูกเรือทั่วโลกเล่าขานสืบไป

         เรือหลวงรัตนโกสินทร์ทำให้ผู้เขียนอยากรวบรวมข้อมูลว่า นับจากปี 2020 เป็นต้นมามีเล็กติดอาวุธล้นลำชั้นไหนถูกจัดหาเข้าประจำการบ้าง จนได้พบเจอข้อมูลน่าสนใจนำมารวบรวมเป็นบทความยาว เก็บไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงเรื่องอะไรก็ตามในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล

Falaj-3 Class Combatant Offshore Patrol Vessel

ระหว่างปี 2021 โดยบริษัท Abu Dhabi Ship Building ประเทศยูเอีซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท EDGE Group ประเทศฝรั่ง ได้รับสัญญาสร้างเรือจากกองทัพเรือยูเออี โดยใช้แบบเรือจากบริษัท ST Engineering ประเทศสิงคโปร์ มาปรับปรุงเพิ่มเติมกลายเป็นเรือเรือตรวจการณ์ขนาดกลางที่มีพิษสงร้ายกาจ

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2023 โครงการ Falaj-3 เริ่มประกอบพิธีวางกระดูกงูเรือลำแรก เดือนมกราคม 2025 มีการประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำ ต่อมาในงานแสดงอาวุธ NAVDEX 2025 เดือนมีนาคม 2025 เรือลำแรกซึ่งถูกตั้งชื่อว่า Al Taf (P 163) ถูกนำมาจัดแสดงในสภาพสร้างเสร็จสมบูรณ์ เป็นการยืนยันว่าโครงการสร้างเรือเองในประเทศของยูเออีประสบความสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย

Al Taf (P 163) มีระวางขับน้ำ 641 ตัน ยาว 62.7 เมตร กว้าง 9.5 เมตร กินน้ำลึกสุด 3.4 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 39 นาย มีเรือยางท้องแข็งจำนวน 1 ลำอยู่กราบซ้ายเรือ โดยมีแผ่นวัสดุปิดตามสไตล์เรือรุ่นใหม่ลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์

เรือลำจริงติดอาวุธแตกต่างจากภาพในโบร์ชัวร์เล็กน้อย โดยเปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่ OTO 76/62 STRALES ยิงกระสุนนำวิถีต่อสู้อากาศยาน DART ได้ พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA และหรือ VL MICA NG หลังเสากระโดงติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.รุ่น M230LF จำนวน 2 กระบอก ต่อด้วยแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือ MM 40 Exocet Block 3 จำนวน 4 ท่อยิง แท่นยิงเป้าลวง MASS กระดกแท่นยิงได้จากเยอรมันจำนวน 2 แท่นยิง แท่นยิง Mk49 ขนาด 21 ท่อยิงจำนวน 1 ระบบ สำหรับระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM Block 1A และ RAM Block 2 ปิดท้ายด้วยแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีเลเซอร์ Halcon LOGIR ขนาด 12 ท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง

Al Taf (P 163) ใช้ระบบอำนวยการรบ ATHENA C Mk2 จากอิตาลี เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Kronos Naval High Power และเรดาร์ควบคุมการยิง NA-30S Mk2 จากอิตาลีเช่นเดียวกัน บนเสากระโดงทรงพีระมิดติดตั้งกล้องออปโทรนิกส์ SPYNEL จำนวน 2 ตัวสำหรับควบคุมการยิง Halcon LOGIR ใช้ระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ ELT/332 RESM/CESM จากบริษัท Elettronica ประเทศอิตาลีเช่นเดียวกัน

โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงชั้น Falaj-3 จำนวน 4 ลำ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 950 ล้านเหรียญ (รวมการจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีทุกชนิด) จับมาหารสี่ได้ราคาเฉลี่ยลำละ 237.5 ล้านเหรียญหรือ 7,708 ล้านบาท เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการตามสไตล์เจ้าพ่อน้ำมันนั่นเอง

นอกจากสร้างเรือใช้เองในประเทศไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ ยูเออียังสามารถขายเรือชั้นนี้ได้เงินก้อนโตน่าอิจฉาไม่ใช่น้อยๆ วันที่ 3 กรกฏาคม 2025 บริษัท EDGE Group ออกมาประกาศว่า กองทัพเรือคูเวตเซ็นสัญญาจัดหาเรือชั้น Falaj-3 จำนวน 8 ลำในวงเงิน 2.45 พันล้านเหรียญหรือ 77,980 ล้านบาท หรือลำละ 9,747.5 ล้านบาทแพงกว่าเรือยูเออีลำละ 2,000 ล้านบาท

เรือทุกลำสร้างโดย Abu Dhabi Ship Building หรือ ADSB อู่ต่อเรือทันสมัยที่สุดของยูเออี

ระบบเรดาร์และอาวุธบนเรือคาดว่าเหมือนเวอร์ชันกองทัพเรือยูเออี ยกเว้นอาจเปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่ OTO 76/62 mm Super Rapid รุ่นปรกติ และอาจติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MANSUP-ER สินค้าของ EDGE Group รวมทั้งคาดว่าราคา 2.4 พันล้านเหรียญรวมระบบอาวุธทั้งหมดเรียบร้อยแล้วต้องรอดูเวอร์ชันจริงเรือชั้น Falaj-3 กองทัพเรือคูเวตกันต่อไป

Musherib class Offshore Patrol Vessel

ระหว่างปี 2016 กองทัพเรือกาตาร์เซ็นสัญญาจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 2 ลำจากบริษัท Fincantieri ประเทศอิตาลี เรือลำแรก Musherib Q61 เข้าประจำการวันที่ 22 มกราคม 2022 ส่วนเรือลำที่สอง Sheraouh Q62 เข้าประจำการวันที่ 7 กรกฎาคม 2022 ราคาเรือผู้เขียนไม่ทราบเนื่องจากกองทัพเรือกาตาร์ซื้อเรือจาก Fincantieri รวดเดียวจำนวน 7 ลำ ประกอบไปด้วยเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบจำนวน 1 ลำ เรือคอร์เวตป้องกันภัยทางอากาศจำนวน 4 ลำ และเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งซึ่งมีความแตกต่างจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งโดยทั่วไปจำนวน 2 ลำ


เรือชั้น Musherib มีระวางขับน้ำเต็มที่ 725 ตัน ยาว  63.8 เมตร กว้าง 9.2 เมตร กินน้ำลึก 2.6 เมตร ใช้เครื่องยนต์ CODOD ทำความเร็วสูงสุด 30 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 1,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ใช้ลูกเรือจำนวน 38 นาย รูปร่างหน้าตาคล้ายเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีรุ่นใหม่ทันสมัย ติดตั้งเสากระโดงทรงพีระมิดขนาดใหญ่ค่อนข้างกลมกลืนกับตัวเรือ ส่งผลให้เรือดูดุดันน่าเกรงขามทุกมุมมอง เสียดายถ้าใส่เหล็กกันโครงแบบทืบทั้งหัวเรือและท้ายเรือ (เฉพาะหัวเรือก็ได้) จะช่วยให้เรือสวยดุดันกลมกลืนและดูสมส่วนมากกว่าเดิม

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ต่อด้วยแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อยิงสำหรับอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL Mica ข้างสะพานเดินเรือติดตั้งปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก พื้นที่ว่ากลางเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Marlin 30 มม.จำนวน 2 กระบอก ท้ายเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM 40 Exocet Block 3 จำนวน 4 ท่อยิง มีเรือยางท้องแข็งขนาด 4.6 เมตรจำนวน 1 ลำบริเวณบั้นท้ายเรือ

เรือใช้ระบบอำนวยการรบ ATHENA C Mk2 เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Kronos Naval HP (Kronos Naval High Power) รุ่นใหม่ทันสมัยระยะตรวจจับไกลสุด 250 กิโลเมตร เรดาร์ควบคุมการยิง NA-30S Mk2 จำนวน 1 ตัว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Medusa Mk4B  จำนวน 1 ตัว ระบบดักจับคลื่นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ELT/332 RESM/CESM อุปกรณ์ทั้งหมดนี้มาจากอิตาลีผู้สร้างเรือ รวมทั้งมีระบบเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี Sylena Mk2 อีกจำนวน 2 แท่นยิง

เหตุผลที่เรือชั้น Musherib ติดอาวุธมากกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งทั่วไป เนื่องจากกองทัพเรือกาตาร์อยากให้ทำภารกิจเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีหรือ Fast Patrol Vessel (FPV) ด้วยอีกหนึ่งหน้าที่ แน่นอนที่สุดราคาย่อมแพงกว่าเรือขนาดเดียวกันโดยทั่วไป แต่น่าจะต่ำกว่าเรือชั้น Falaj-3 ของกองทัพเรือยูเออีเพราะจากไม่มีระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด

ถือเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 62 เมตรที่ทรงประสิทธิภาพลำหนึ่งของโลก

การจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งระหว่างยูเออีกับกาตาร์แตกต่างกันพอสมควร ยูเออีต้องการสร้างเรือในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ และถือโอกาสขายเรือให้กับเพื่อนบ้านผู้ครอบครองบ่อน้ำมันไปพร้อมกัน ส่วนกาตาร์ยังไม่มีความพร้อมเรื่องการสร้างเรือเน้นซื้ออย่างเดียว ข้อดีคือไม่ต้องลงทุนเรื่องอู่ต่อเรือ อุปกรณ์สร้างเรือ หรือเจ้าหน้าที่ฝีมือเชี่ยวชาญ เป็นแนวทางของแต่ละชาติไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากำหนดนโยบายระยะยาวในการป้องกันประเทศไว้แบบใด

BR71 Mk II COMBATTANTE Corvette

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2023 กองทัพเรือแองโกล่า เซ็นสัญญามูลค่า 1 พันล้านยูโรร่วมกับบริษัท Abu Dhabi Ship Building หรือ ADSB ในโครงการจัดหาเรือคอร์เวต BR71 Mk II Combattante จำนวน 3 ลำน่าจะรวมอาวุธจำนวนหนึ่งด้วย ราคาเฉลี่ยลำล่ะ 333.33 ล้านยูโรหรือ 12,430 ล้านบาท

เรือคอร์เวตชั้น BR71 Mk II Combattante คือการนำแบบเรือคอร์เวตชั้น Baynunah กองทัพเรือยูเออีมาปรับปรุงให้ทันสมัยกว่าเดิม สะพานเดินเรือค่อนข้างยาวมองเห็น 270 องศา เสากระโดงรูปทรงพีระมิดจากอิตาลีเหมือนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Musherib กองทัพเรือกาตาร์ เรือถูกออกมาแบบให้ทำภารกิจในเขตน้ำตื้นได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งภารกิจปราบเรือผิวน้ำ ป้องกันภัยทางอากาศ รวมทั้งค้นหาและกู้ภัยผู้ประสบภัยทางทะเล ป้องกันชายฝั่งแองโกล่าความยาว 1,600 ไมล์ทะเลได้เป็นอย่างดี

ระวางขับน้ำของ BR71 Mk II Combattante ยังไม่เป็นที่เปิด ยาว 70.3 เมตร กว้าง 11 เมตร กินน้ำลึก 3 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU จำนวน 4 ตัวพร้อมระบบ Waterjet ทำความเร็วสูงสุด 30 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต ใช้ลูกเรือ 50 นาย มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 5 ตันที่ท้ายเรือ ถัดเข้ามาเล็กน้อยคือจุดจอดเรือยางท้องแข็งขนาด 6 เมตรจำนวน 2 ลำในโรงเก็บถาวร จุดติดตั้งอาวุธอาจเป็นเป็นรองเรือคอร์เวตชั้น Baynunah  ทว่าใช้งานเรือในภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์ยามปรกติได้ดีกว่าเดิม

ระบบอาวุธป้องกันตัวเองประกอบไปด้วย หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ 76/62 มม.รุ่นยอดนิยม ถัดไปคือแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA กลางเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ LIONFISH จากอิตาลีขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก ต่อด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block 3 จำนวน 8 นัด หรืออาจเปลี่ยนเป็น MANSUP-ER ระยะยิง 200 กิโลเมตรที่ยูเออีผลิตร่วมกับบราซิลก็ได้ ปิดท้ายที่แท่นยิง Simbad-RC สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ Mistral 3 อีก 2 แท่นยิงจำนวน 4 นัด เหมาะสมกับการเผด็จศึกอากาศยานไร้คนขับโดยมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า VL MICA หรือ ESSM

เรือใช้ระบบอำนวยการรบ ATHENA C Mk2 เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Kronos Naval HP เรดาร์ควบคุมการยิง NA-30S Mk2 จำนวน 1 ตัว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Medusa Mk4B  จำนวน 1 ตัว ระบบดักจับคลื่นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ELT/332 RESM/CESM อุปกรณ์ทั้งหมดนี้มาจากอิตาลีเหมือนเรือชั้น Musherib รวมทั้งมีระบบเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี Sylena Mk2 อีกจำนวน 2 แท่นยิง

ภาพประกอบคือเรือคอร์เวตชั้น BR71 Mk II Combattante ลำแรกสร้างในเมือง Cherbourg ประเทศฝรั่งเศส ส่วนเรืออีก 2 ลำอยู่ระหว่างสร้างไปพร้อมกันโดยบริษัท ADSB ประเทศยูเออี ถือเป็นการส่งออกเรือคอร์เวตครั้งแรกจากประเทศพ่อค้าน้ำมันผู้มีแนวคิดกว้างไกล ยอมทุ่นเงินก้อนโตจัดตั้งบริษัทสร้างเรือขนาดใหญ่ทันสมัย เพื่อขายสินค้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านรวมทั้งประเทศที่ต้องการ และสามารถทำได้จริงสร้างอนาคตที่ดีบวกความยั่งยืนกิจการอู่ต่อเรือของตัวเอง

กองทัพเรือแองโกล่าอยู่ระหว่างการเสริมสร้างกองเรือให้แข็งแกร่งกว่าเดิม นอกจากเรือคอร์เวตขนาด 70.3 เมตรจำนวน 3 ลำจากบริษัท ADSB ประเทศยูเออีซึ่งใช้แบบเรือฝรั่งเศส พวกเขายังสั่งซื้อเรือชนิดต่างๆ จากบริษัท CMN ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ EDGE Group เหมือน ADSB จำนวน 20 ลำมูลค่ามากถึง 495 ล้านยูโรอาทิเช่น เรือลำเลียงพลขนาด 70 เมตรชั้น LCT 200-70 จำนวน 2 ลำ เรือตรวจการณ์ไตรมารันชั้น Ocean Eagle 43 จำนวน 3 ลำ เรือตรวจการณ์ชั้น Vigilante 1400 ขนาด 1,400 ตัน ยาว 79 เมตรจำนวน 1 ลำ หรือเรือตรวจการณ์ชั้น HIS 32 ขนาด 32 เมตรจำนวน 3 ลำซึ่งส่งมอบแล้ว นอกจากนี้ยังมีเรือตรวจการณ์ขนาดเล็กจากอิตาลีกับอิสราเอลจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเล C295MP จำนวน 3 ลำจากสเปน

บทสรุป

เรือเล็กติดอาวุธล้นลำยังคงขายได้เรื่อยๆ ไม่แตกต่างจากเรือชนิดอื่น ลูกค้าต้องการนำมาปกป้องน่านน้ำตัวเองโดยเฉพาะในเขตน้ำตื้น ต้องการความคล่องตัว ความรวดเร็ว และอำนาจการยิงเหนือกว่าเรือตรวจการณ์หรือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง โดยต้องยอมรับเรื่องราคาเรือไม่ได้ย่อมเยาว์ตามความยาวหรือระวางขับน้ำ เท่ากับว่ายังมีที่ว่างให้แบบเรือเล็กติดอาวุธล้นลำรุ่นอื่นได้แจ้งเกิด

อ้างอิงจาก

https://edgegroupuae.com/solutions/br71-mk-ii-combattante

https://www.navalnews.com/naval-news/2025/07/angolan-navy-br71-mkii-corvette-program-progresses/

https://web.facebook.com/photo?fbid=1032208898489498&set=pcb.1813202062495210

https://www.calibredefence.co.uk/edge-to-build-falaj-3-missile-boats-for-kuwait-in-record-deal/?fbclid=IwY2xjawOPQsFleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFNWUNKNmEzUU4zTFFYdHdhc3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHtYVlcfvQbJSXov38RXN24d2Tci1BvNlVkyKE1CtnBBNNNnsHbwxKHDgZylj_aem_h_-HzQL3jq9YzPxtNDwxxg

https://edgegroupuae.com/solutions/60m-falaj-3

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

First Offshore Patrol Vessel

 เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำแรกของลูกประดู่ไทย

ผู้อ่านทุกคนรู้ดีว่าเรือหลวงปัตตานี 511 กับเรือหลวงนราธิวาส 512 คือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสองลำแรกของราชนาวีไทย บทความนี้ผู้เขียนขอย้อนเวลากลับคืนสู่ปฐมบทโครงการจัดหาเรือ อันมีเรื่องราววุ่นวายขายปลาช่อนมากเสียจนติดอันดับหนึ่งในสามตลอดกาล เรามาเรียนรู้และทำความเข้าใจโครงการลึกลับซับซ้อนโครงการนี้ไปพร้อมกันนะครับ

การจัดตั้งโครงการ

         เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งหรือ Offshore Patrol Vessel เป็นเรือตรวจการณ์ประเภทหนึ่งที่ราชนาวีอังกฤษนำมาใช้งานตั้งแต่ยุค 60 เป็นเรือขนาดเล็กออกแบบมาเพื่อปฏิบัติภารกิจในทะเลลึก ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ มากเพียงพอต่อความต้องการ และสามารถใช้งานเรือเป็นกำลังเสริมได้ในยามสงคราม อังกฤษเริ่มสร้างเรือประเภทนี้ตั้งแต่ยุคสงครามเย็นกำลังร้อนระอุ ในช่วงเวลาที่เรือรบหรือเรือตรวจการณ์ขนาดต่างๆ มักติดอาวุธล้นลำ ต้องถือว่าพวกเขามีความคิดค่อนข้างล้ำสมัยจนน่าประทับใจ

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจะสร้างโดยใช้มาตรฐานพลเรือน (Commercial Standard) ระวางขับน้ำมากกว่า 700 ตันเพื่อเพิ่มระยะปฏิบัติการ มีความทนทะเลมากเพียงพอต่อการใช้งานในเขตน้ำลึก เรือมีความเร็วต่ำกว่าและติดอาวุธน้อยเรือคอร์เวต แต่มีพื้นที่ใช้สอยหรือจัดเก็บเสบียงมากกว่า ระยะปฏิบัติการจึงไกลกว่า ปฏิบัติภารกิจในทะเลได้นานกว่า รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการออกเรือน้อยกว่า

สำหรับประเทศไทยการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ กองทัพเรือจะส่งเรือและอากาศยานออกปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ต้องใช้เรือขนาดใหญ่ปฏิบัติการได้อย่างยาวนานทนคลื่นลมได้ดี เรือฟริเกตซึ่งเป็นเรือหลักในการทำภารกิจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เพราะถูกออกแบบให้ใช้ในการรบโดยตรง อุปกรณ์ต่างๆ ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ติดอาวุธจำนวนมากรวมทั้งใช้กำลังพลมาก ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงทั้งเรื่องการใช้งานและค่าบำรุงรักษา กองทัพเรือจึงหันมาให้ความสนใจเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งอย่างจริงจัง กำหนดให้ติดอาวุธจำนวนไม่มาก อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ยุ่งยากต่อการใช้งาน โดยมีขนาดใกล้เคียงเรือฟริเกต และพร้อมจะถูกปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตในกรณีจำเป็น

ปี 2542 กองทัพเรือวางแผนการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 2 ลำ นำมาทดแทนเรือหลวงแม่กลอง เรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงประแสซึ่งปลดประจำการแล้ว โดยมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมเพื่อทดแทนเรือหลวงปิ่นเกล้า และเรือหลวงโพสามต้นซึ่งใกล้ปลดประจำการเต็มที ต่อมาในปีงบประมาณ 2544 กองทัพเรือได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 3,200 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปีระหว่างปีงบประมาณ 2544 ถึง 2548 จึงเริ่มเดินหน้าโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเต็มตัวโดยกำหนดคุณลักษณะเรือดังนี้  

ภาพประกอบคือเรือหลวงแม่กลองซึ่งจะถูกแทนที่โดยเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นใหม่

ระวางขับน้ำเต็มที่ไม่น้อยกว่า 1,000 ตัน ความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า 23 นอต ระยะปฏิบัติการไม่น้อยกว่า 3,500 ไมล์ ที่ความเร็วเดินทางไม่ต่ำกว่า 15 นอต เสบียงอาหารและน้ำจืดเพียงพอต่อการออกทะเลไม่น้อยกว่า 20 วัน ตัวเรือ (Hull) ทำด้วยเหล็ก Mild Steel การสร้างเรือใช้วิธีเชื่อม (Weld Construction) เป็นหลัก โครงสร้างเหนือดาดฟ้าใหญ่ (Superstructure)  ทำด้วย Mild Steel หรือ Aluminium Alloy ปืนหลักใช้ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ส่วนปืนรองขนาดต่ำกว่า 40 มม.ลงมา ยังมีคุณสมบัติอื่นอีกพอสมควรทว่าผู้เขียนขอยกตัวอย่างเฉพาะสำคัญๆ แค่เพียงเท่านี้

การดำเนินการครั้งที่ 1

         วันที่ 15 มกราคม 2544 คณะกรรมการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้ออกประกาศเชิญชวนเสนอแบบเรือ โดยเชิญอู่เรือทั้งในและต่างประเทศมารับเอกสารคุณลักษณะเฉพาะตามความต้องการ ระหว่างวันที่ 15 ถึง 31 มกราคม 2544 กำหนดให้เสนอแบบเรือในวันที่ 3 เมษายน 2544 ปรากฏว่ามีผู้สนใจคำเชิญชวนเสนอแบบเรือมาขอรับเอกสารรวมทั้งสิ้น 20 ราย

วันที่ 3 เมษายน 2544 มีบริษัทร่วมค้ายื่นเสนอแบบเรือจำนวน 11 ราย ผลการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอแบบเรือพบว่า มีบริษัทร่วมค้าผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติมีสิทธิได้รับการพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิคจำนวน 8 รายประกอบไปด้วย

1.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทมาร์ซัน จำกัด และบริษัท German Frigate Consortium Limited

2.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทยูนิไทยชิฟยาร์ดแอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และบริษัท Vosper Thornycroft (UK) Limited

3.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัด และบริษัท FINCANTIERI Cantieri Navali Italiani, S.p.A.

4.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด และบริษัท Schelde Shipbuilding

5.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทเอเชียนมารีนเซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท TENIX DEFENCE SYSTEM PTY LTD.

6.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด และบริษัท China Shipbuilding Trading CO., LTD.

7.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัท PSP MARINE COMPANY LIMITED และบริษัท APPLEDORE SHIPBUILDER LTD. และบริษัท Australian Submarine Corporation (Thailand) Limited

8.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทยูนิไทย ชิฟยาร์ด แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และบริษัท Empresa Nacional Bazan / IZAR Construcciones Navales, S.A.

     ผลการพิจารณาข้อเสนอทางด้านเทคนิค โดยการให้คะแนนตัวเรือ เครื่องจักร ระบบอำนวยการรบ และระบบการส่งกำลังบำรุง ปรากฏว่าแบบเรือบริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทยูนิไทยชิฟยาร์ดแอนด์เอ็นจิเนียริ่งจำกัด และบริษัท Vosper Thornycroft (UK) Limited ได้คะแนนอันดับหนึ่ง ผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์เพื่อช่วงชิงงบประมาณมูลค่า 3,200 ล้านบาทจากกองทัพเรือและรัฐบาล

         เรามาชมภาพวาดแบบเรือซึ่งคาดว่าบริษัท Vosper Thornycroft จะส่งเข้าร่วมในโครงการกันสักนิด เพื่อให้เนื้อหาครอบคลุมมากที่สุดผู้เขียนนำมาให้เลือกจำนวนสองแบบเรือ

         1.OPV-81 แบบเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสัญชาติอังกฤษร้อยเปอร์เซ็นต์ รูปร่างหน้าตาเห็นครั้งแรกผู้เขียนนึกถึงแบบเรือ OPV-80 ที่กองทัพเรืออังกฤษจัดหาไปใช้งานจำนวน 4 ลำโดยใช้ชื่อว่าเรือชั้น River พิจารณาอย่างลึกซึ้งกลับพบว่าเหมือนเรือไกลฝั่งสัญชาติชั้น Castle มากกว่า ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสัญชาติอังกฤษที่ถูกแทนที่ด้วยเรือชั้น River นั่นเอง ผู้เขียนคาดเดาว่า Vosper Thornycroft ตั้งใจเสนอแบบเรือ OPV-81 ให้กับกองทัพเรืออังกฤษ ทว่ากองทัพเรืออังกฤษเลือก OPV-80 เพราะไม่ใช้งานลานจอดเฮลิคอปเตอร์ (ยกเว้นลำที่ส่งไปประจำการเกาะฟอล์กแลนด์มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ลำเดียว)

แบบเรือ OPV-81 ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,350 ตัน ยาว 81.08 เมตร กว้าง 11.87 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Paxman 18VP185M จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 20 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 35 นาย อาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วยปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 1 กระบอก กับปืนกลขนาด 7.62 มม.อีก 2 กระบอก ท้ายเรือมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตันแต่ไม่มีโรงเก็บ

การปรับปรุงแบบเรือ OPV-81 ให้เหมาะสมกับราชนาวีไทย เริ่มจากเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ทำความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า 23 นอต ติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ที่จุดติดตั้งหัวเรือโดยอาจยกสูงเล็กน้อย ติดปืนกลขนาด 20 มม.เพิ่มอีก 1 กระบอกบริเวณที่ว่างหลังปล่องระบายความร้อน เพียงเท่านี้ก็ตรงตามความต้องการคณะกรรมการจัดหาเรือแห่งราชนาวีไทย

ให้บังเอิญผู้เขียนค้นพบจุดอ่อนขนาดใหญ่พอสมควร เนื่องจากราชนาวีไทยต้องการให้เรือถูกปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตในกรณีจำเป็น ทว่าแบบเรือ OPV-81 ไม่มีจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบที่เหมาะสม พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือสามารถปรับปรุงให้ติดตั้งได้ก็จริง แต่เหมาะสมกับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบขนาดเล็กแท่นยิงค่อนข้างเตี้ยมากกว่า (อาทิเช่น Marte-Mk2 หรือ C704) ถ้าเป็นพ่อสูงชะลูดตูดปอดอย่าง Harpoon จะบัดบงสะพานเดินเรือจนเรืออาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ

เท่ากับว่าแบบเรือ OPV-81 มีความเหมาะสมมากแต่ไม่มากที่สุด

1.OPC-84 แบบเป็นเรือคอร์เวตตรวจการณ์สัญชาติอังกฤษลำแรก (OPC มาจากคำว่า Offshore Patrol Corvette) บริษัท Vosper Thornycroft เคยเสนอแบบเรือลำนี้ต่อกองทัพเรือโอมานเพียงแต่ไม่ได้ไปต่อ ผู้เขียนนำมาปรับปรุงเล็กน้อยให้กลายเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV-84 เพราะมีความเหมาะสมกับคุณสมบัติที่คณะกรรมการจัดหาเรือต้องการมากที่สุด

แบบเรือ OPV-84 ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,350 ตัน ยาว 84 เมตร กว้าง 12.75 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU type 16V 1163 TB93 จำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 97 นาย อาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วยปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอก ท้ายเรือมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตันแต่ไม่มีโรงเก็บ มีจุดติดตั้งระบบเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีอีก 2 จุด

การปรับปรุงแบบเรือ OPC-84 ให้เหมาะสมกับราชนาวีไทย เริ่มจากเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเดิมทำความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า 23 นอต ถอดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8 ท่อยิงหน้าสะพานเดินเรือหรือตำแหน่ง B-Position ล้อมด้วยราวกับตกแบบทึบออก ( ในภาพผู้เขียนถอดให้แล้ว) ระบบเรดาร์ตรวจการณ์กับเรดาร์ควบคุมการยิงใช้รุ่นประหยัดกว่าเดิม เพียงเท่านี้แบบเรือ OPC-84 จะกลายเป็นแบบเรือ OPV-84 ได้อย่างเต็มตัว ถ้ากองทัพเรืออยากปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตทำได้ง่ายมาก แค่นำแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบมาติดที่เดิมเท่านั้นเอง

ปัญหาสำคัญที่ผู้เขียนบังเอิญค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ แบบเรือ OPV-84 ไม่มีจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งที่สองกราบเรือ แต่มีจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งที่บั้นท้ายเรือเพียง 1 ลำ การทำภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์อาจไม่เต็มร้อยอย่างที่ควรเป็น ฉะนั้นบริษัท Vosper Thornycroft อาจถอดปืนกลขนาด 30 มม.ออก แทนที่ด้วยเรือยางท้องแข็งขนาด 6.4 เมตร ย้ายจุดติดตั้งแพชูชีพมาด้านหน้าเล็กน้อย แล้วติดปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอกตำแหน่งเดิมของแพชูชีพ เพียงเท่านี้เรือก็สามารถทำหน้าที่คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลได้อย่างสมบูรณ์

กลับมาที่โครงการจัดหาตรวจการณ์ไกลฝั่งราชนาวีไทยลำแรกกันอีกครั้ง กองทัพเรือแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษเพื่อเจรจาเรื่องรายละเอียดสัญญา เมื่อคณะกรรมการออกหนังสือเชิญชวนเสนอราคาต่อบริษัทที่ได้คะแนนด้านเทคนิคอันดับหนึ่ง ปรากฏว่าบริษัทยูนิไทยชิฟยาร์ดแอนด์เอ็นจิเนียริ่งจำกัดเสนอราคาสูงกว่างบประมาณเกือบสองเท่า หนึ่งในเหตุผลสำคัญการสร้างเรือในประเทศมีต้นทุนค่อนข้างสูง มีการเจรจาต่อรองอีกครั้งทว่าบริษัทค้าร่วมระหว่างอังกฤษกับไทยยังยืนยันราคาเดิม การจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง 2 ลำในประเทศไทยจึงถูกยกเลิกในเวลาต่อมา

ถูกต้องนะครับโครงการนี้แรกเริ่มเดิมทีกำหนดให้จ้างสร้างเรือในประเทศ

การดำเนินการครั้งที่ 2

         วันที่ 12 กรกฎาคม 2544 คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษมีหนังสือถึงบริษัทร่วมค้าทั้งในและต่างประเทศจำนวน 6 ราย ให้ส่งใบเสนอข้อมูลทางเทคนิคและราคาต่อคณะกรรมการ มีบริษัทร่วมค้าจำนวน 5 รายสนใจเข้าร่วมโครงการ ผลการตรวจทุกบริษัทเสนอราคาสูงกว่าวงเงินที่จะจัดจ้าง คณะกรรมการจึงคัดเลือกเฉพาะบริษัทที่เสนอราคาใกล้เคียงวงเงินประกอบไปด้วย

1.บริษัท PSP MARINE COMPANY LIMITED และบริษัท APPLEDORE SHIPBUILDER LTD. และบริษัท Australian Submarine Corporation (Thailand)

2.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด และบริษัท China Shipbuilding Trading CO., LTD.

มีข้อมูลน่าสนใจเล็กน้อยมาเล่าสู่กันฟัง การดำเนินการครั้งที่หนึ่งบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดใช้แบบเรือบริษัท Schelde Shipbuilding ประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังเสนอครั้งที่สองโดยใช้แบบเรือบริษัท China Shipbuilding Trading ประเทศจีน การดำเนินการครั้งที่สองบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดใช้แบบเรือบริษัท China Shipbuilding Trading ประเทศจีนเท่านั้น ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่าเหตุใดถึงไม่ร่วมมือกับบริษัท Schelde Shipbuilding เหมือนการดำเนินการครั้งที่หนึ่ง

ผลการตัดสินสนุกตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าคู่ชิงฟุตบอล 7 คน ข้อเสนอจากบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดแม้มีราคาสูงกว่า แต่สนองตอบความต้องการทางยุทธการของกองทัพเรือได้ดีกว่า แบบเรือสนองตอบความต้องการของกองทัพเรือได้มากกว่า ความสามารถของอู่เรือในประเทศก็สูงกว่า คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษจึงตกลงใจคัดเลือกเป็นผู้ชนะเลิศ เขี่ยแบบเรือจากออสเตรเลียของบริษัท PSP MARINE COMPANY LIMITED ซึ่งเสนอราคาต่ำกว่ากระเด็นหล่นคลองแสนแสบให้เจ็บช้ำน้ำใจ

ผลการเจรจาเรื่องราคาบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดยอมเฉือนเนื้อตัวเองทิ้งเล็กน้อย คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษมีความพึงพอใจมาก ต่อมาในวันที่ 3 กันยายน 2544 กระทรวงกลาโหมอนุมัติให้กองทัพเรือจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจากบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดในวงเงิน 3,428,391,200 บาท และในวันที่ 25 กันยายน 2544 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติให้กองทัพเรือกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน หรือพูดง่ายๆ ว่าโครงการนี้ผ่านฉลุยเรียบร้อยแล้วจ้า

เรามาชมแบบเรือซึ่งถูกยกย่องว่าสนองตอบความต้องการทางยุทธการ และความต้องการกองทัพเรือได้ดีที่สุดกันสักนิด ก่อนเข้าสู่เนื้อหาในช่วงถัดไปซึ่งมีความเข้มข้นเร้าใจมากกว่าเดิม

แบบเรือจากบริษัท China Shipbuilding Trading ที่ในตอนนั้นยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ความยาวประมาณ 94 เมตรเทียบเท่าเรือคอร์เวตติดอาวุธครบสามมิติ รูปทรงแตกต่างจากเรือรุ่นเก่าจากประเทศจีนอย่างชัดเจน หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.สะพานเดินเรือรูปทรงสมัยค่อนข้างสูง หลังเสากระโดงคือจุดติดตั้งแท่นยิงแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8 ท่อยิง ปล่องระบายความร้อนขนาดกำลังเหมาะสม พื้นที่ด้านหลังสร้างลานจอดกับโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตัน มีจุดติดตั้งปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก ใต้ลานจอดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ให้ลูกเรือพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ติดครีบกันโครงขนาดเล็กสไตล์จีนจำนวน 3 จุดด้วยกัน

ภาพรวมผู้เขียนเรียกเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงได้อย่างเต็มภาคภูมิ แบบเรือสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกตได้โดยไม่ต้องดัดแปลงเรือ ไม่น่าแปลกใจที่แบบเรือสนองตอบความต้องการจนคณะกรรมการพากันชื่นชอบ เพียงแต่ผู้เขียนข้องใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการดำเนินการครั้งที่ 1 ในเมื่อแบบเรือจากประเทศจีนยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดเล่าผลการพิจารณาข้อเสนอทางด้านเทคนิคถึงสู้แบบเรือจากบริษัท Vosper Thornycroft ไม่ได้

เป็นไปได้ว่าแบบเรืออังกฤษที่เอาชนะเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงจากประเทศจีน ต้องเป็น OPV-84 ปรับปรุงใหม่สำหรับราชนาวีไทยเท่านั้นถึงจะเอาชนะสำเร็จ

หลังโครงการผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย วันที่ 4 ตุลาคม 2544 บริษัท China Shipbuilding Trading ส่งหนังสือให้กับผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อเสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมก่อนพิจารณาจัดทำร่างสัญญาจำนวน 6 ข้อประกอบไปด้วย

1.บริษัทขอเป็นผู้เสนอราคาและเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับกองทัพเรือ

2.กำหนดเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นเงินสกุลยูโรและปอนด์สเตอร์ลิงเพิ่มจากสกุลเงินดอลลาร์

3.ให้กองทัพเรือทำสัญญาซื้อระบบอำนวยการรบโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิต

4.ขอสร้างเรือในประเทศจีนก่อนนำมาติดระบบอำนวยการรบในประเทศไทย

5.ขอทำการค้าต่างตอบแทนเฉพาะส่วนวัสดุ อุปกรณ์ และแรงงานที่บริษัทดำเนินการเท่านั้น และขอนำการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีมารวมเข้ากับการค้าต่างตอบแทน

6.ให้กองทัพเรือจ่ายเงินต่อบริษัทที่อยู่ต่างประเทศโดยตรง

ข้อเสนอจากบริษัท China Shipbuilding Trading กองทัพเรือไม่สามารถยอมรับได้ มีหนังสือถึงบริษัทร่วมค้าเพื่อยืนยันการจัดทำสัญญาตามเงื่อนไขเดิม วันที่ 12 ตุลาคม 2544 บริษัท CSTC ส่งหนังสือบอกปัดยอมเสียโอกาสรับงานจ้างสร้างเรือ ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้อนุมัติยกเลิกการจัดจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในการดำเนินการครั้งที่ 2

การจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในปีงบประมาณ 2545

         ปีงบประมาณ 2544 กองทัพเรือไม่สามารถคัดเลือกบริษัทร่วมค้าเพื่อสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ส่งผลให้งบผูกพันก้อนแรกจำนวน 640 ล้านบาทยังไม่ได้ใช้งาน ต้องหาทางแก้ไขไม่ให้งบประมาณก้อนนี้ถูกโยนกลับงบกลาง และวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 คณะรัฐมนตรีมีมติขยายระยะเวลาการกันเงินงบประมาณจำนวน 640 ล้านบาทไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน จากเดิมภายในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2544 เป็นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2544 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยคาดหวังว่ากองทัพเรือจะสามารถปิดเกมได้ภายในระยะเวลาที่เพิ่มให้

         โครงการนี้ล่าช้าเสียจนคนในรัฐบาลต้องมาพลอยเดือดร้อนไปพร้อมกัน

การดำเนินการครั้งที่ 3

การดำเนินการครั้งที่ 3 มีการกำหนดคำจำกัดความ การสร้างเรือในประเทศไทยให้ชัดเจนกว่าเดิม กำหนดให้ผู้เสนอราคาแสดงหลักฐานทางการเงิน และกำหนดขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างให้ชัดเจนยิ่งขึ้น วันที่ 13 พฤศจิกายน 2544 คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษมีหนังสือเชิญชวนบริษัทในประเทศจำนวน 6 บริษัท เข้าร่วมเสนอราคาโดยกำหนดยื่นซองเสนอราคาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2544 ครบกำหนดยื่นซองเสนอราคามีผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 5 รายประกอบไปด้วย

-บริษัทเอเชียนมารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน)

-บริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด

-บริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัด

-บริษัทมาร์ซัน จำกัด

-บริษัทยูนิไทย ชิฟยาร์ด แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

การคัดเลือกรอบแรกคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษคัดเฉพาะบริษัท 3 อันดับแรกเข้ารอบสอง ประกอบไปด้วยบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด บริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัด และบริษัทยูนิไทย ชิฟยาร์ด แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด การคัดเลือกรอบสองบริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัดคือเต็งจ๋านอนมาพระสวด เนื่องจากแบบเรือมีความโดดเด่นกว่าผู้เสนอราคารายอื่น มีความเสี่ยงที่โครงการจะล้มเหลวน้อยกว่า แบบเรือจากบริษัท FINCANTIERI จากประเทศอิตาลีกองทัพเรือมีความคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน โอกาสคว้าชัยได้รับสัญญาสร้างเรือจำนวน 2 ลำค่อนข้างสูงจนไม่มีใครกล้าลงเดิมพัน

ให้บังเอิญการยื่นข้อเสนอรอบที่สองซึ่งถือเป็นรอบชิงดำ หลายสิ่งหลายอย่างบนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเมืองมักกะโรนีไม่เหมือนรอบแรก มีการเปลี่ยนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทำให้กำลังเครื่องลดลง ระบบอำนวยการรบเปลี่ยนเป็นรุ่นสมรรถนะด้อยกว่า รวมทั้งเกิดความเคลือบแคลงใจเรื่องมาตรฐานเหล็กที่ใช้ในการสร้างเรือ เพราะไม่สอดคล้องกับข้อมูลสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือไทยประจำกรุงโรม ส่งผลให้เต็งจ๋านอนมาพระสวดถูกหามใส่โลงไปสวดแล้วเผาทิ้ง รวมทั้งส่งผลให้แบบเรือจากบริษัท Schelde Scheepsnieuwbouw B.V. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ DAMEN GROUP ประเทศเนเธอร์แลนด์ของบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด มีคะแนนรวมเป็นอันดับหนึ่งสมควรได้รับการเปิดซองราคาเป็นลำดับแรก

บริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด เสนอราคาเรือพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการทดสอบทดลองเรือ การฝึกอบรม การตรวจรับและการส่งมอบเรือ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นเงิน 3,676,753,648.21 บาท สูงกว่าวงเงินงบประมาณที่จะจัดจ้างจำนวน 3,520 ล้านบาท คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษได้เจรจาต่อรองราคาจนเหลือ 3,512,735,500 บาทต่ำกว่าวงเงินนิดหน่อย

การสร้างเรือโดยบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด บริษัท Schelde ยินดีช่วยเหลือและให้คำปรึกษาการสร้างเรือทุกขั้นตอน วัสดุและอุปกรณ์ที่จะติดตั้งบนเรือส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก เป็นสินค้าได้มาตรฐานมีความเชื่อถือค่อนข้างสูง สามารถสนองตอบความต้องการทางยุทธการของกองทัพเรือได้มากที่สุด

บริษัท Schelde ในยุคนั้นยังไม่มีแบบเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ตระกูล OPV ที่กำลังโด่งดังในปัจจุบัน มีเพียงแบบเรือตระกูล Sigma ซึ่งมีตั้งแต่เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งความยาวเพียง 40 เมตร ไล่ไปจนถึงเรือฟริเกตติดอาวุธสามมิติความยาวมากกว่า 100 เมตร ผู้เขียนพยายามคัดเลือกแบบเรือที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณกองทัพเรือมานำเสนอตามภาพประกอบ

1.แบบเรือ Sigma 7511 เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 1,100 ตัน ยาว 75 เมตร กว้าง 11 เมตร หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม. หน้าสะพานเดินเรือมีพื้นที่ว่างติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 ท่อยิง ข้างเสากระโดงติดตั้งปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก ลานจอดรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาดไม่เกิน 7 ตัน ท้ายเรือเป็นจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 8.4 เมตรจำนวน 2 ลำ เพราะความสั้นของเรือพลอยทำให้ Sigma 7511 ดูน่ารักมุ้งมิ้งมากกว่าน่าเกรงขาม ข้อดีก็คือราคาเรือย่อมหดสั้นลงตามความยาวของเรือ ลูกค้ากระเป๋าไม่หนาสามารถจัดหาไปใช้งานอย่างสะดวกโยธิน

2.แบบเรือ Sigma 8413 OPV รุ่นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งแท้ๆ เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 1,300 ตัน ยาว 84 เมตร กว้าง 13 เมตร ยาวและกว้างกว่าแบบเรือ Sigma 7511 อยู่ที่ 9 เมตรกับ 2 เมตร ไม่ใช่การนำเรือตรวจการณ์อังกฤษขนาด 90 เมตรมาเพิ่มความยาวเป็น 111 เมตร แล้วบอกทุกคนว่านี่คือเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยของบริษัท ยังนับว่าโชคดีไม่มีใครใจเด็ดยอมเสียเงินจัดหาไปใช้งาน ทั้งที่ในตลาดโลกมีแบบเรือฟริเกตแท้ๆ จำนวนมากให้เลือกตามเงินในกระเป๋า

Sigma 8413 OPV สามารถติดอาวุธเทียบเท่าหรือมากกว่า Sigma 7511 ในภาพประกอบผู้เขียนใส่ MM40 Exocet Block 2 จำนวน 4 นัดหน้าสะพานเดินเรือ (การติดอาวุธวิธีนี้เหมือนเรือคอร์เวตชั้น Abu Dahibi กองทัพเรือยูเออี) พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก กับแท่นยิงเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีจำนวน 2 แท่นยิง หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก ทั้งนี้ทั้งนั้นคนใช้งานอาจสลับตำแหน่งระหว่าง MM40 Exocet Block 2 กับแท่นยิงเป้าลวงได้ ความยาวความกว้างเรือที่เพิ่มขึ้นช่วยให้ลูกเรือใช้ชีวิตสุขสบายมากขึ้น

ความเห็นส่วนตัวแบบเรือ Sigma 8413 OPV มีความเหมาะสมมากที่สุด ทว่าผู้อ่านหลายคนคงพูดตรงกันเรือหน้าตาขี้เหร่ไม่สวยเอาเสียเลย โดยเฉพาะด้านท้ายซึ่งถูกออกแบบให้เหมาะสมกับภารกิจเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ผู้เขียนจึงนำแบบเรือพี่น้องท้องเดียวกันมาให้รับชมอีกหนึ่งรุ่น

3.แบบเรือ Sigma 8413 Corvette เรือมีขนาดใกล้เคียงแบบเรือ Sigma 8413 OPV เกือบทั้งหมด แต่ออกแบบรูปทรงท้ายเรือให้มีความคล้ายเรือคอร์เวต Sigma 9113 การนำมาปรับปรุงเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเหมือนแบบเรือ OPV-84 บริษัท Vosper Thornycroft ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่จะประสบปัญหาราคาแพงเกินงบประมาณเหมือนแบบเรือ OPV-84 ผู้เขียนเข้าใจว่าบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดคงไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว โดยเฉพาะในการดำเนินการครั้งที่ 3 ซึ่งมีความกดดันจากทุกฝ่ายค่อนข้างสูง หากล้มเหลวเพราะชื่นชอบแบบเรือราคาแพงเกินไปโครงการอาจถูกดองเค็ม

จึงเป็นไปได้ว่าแบบเรือ Sigma 8413 OPV ได้รับการคัดเลือกให้สร้างในเมืองไทย

การดำเนินการครั้งที่ 3 ไม่น่ามีปัญหารบกวนใจ ให้บังเอิญปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขได้โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

หลังจากกองทัพเรือตกลงใจเลือกจ้างบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด กระทรวงกลาโหมมีแนวคิดอยากทำข้อตกลงจ้างในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาลหรือ G to G เพื่อประโยชน์ในการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเจ้าของแบบเรือ บังเอิญวิธี G to G ไม่สามารถใช้งานร่วมกับการจ้างสร้างเรือในประเทศ เพราะรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในความควบคุมกองทัพเรือไทย เพื่อสนองตอบนโยบายกระทรวงกลาโหมที่จะส่งผลดีในทางเศรษฐกิจ กองทัพเรือจึงตัดสินใจยกเลิกการดำเนินการครั้งที่ 3

วันที่ 16 มีนาคม 2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอนุมัติให้กองทัพเรือยกเลิกการจัดจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 2 ลำ และให้ดำเนินการใหม่ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล กับเห็นชอบให้กองทัพเรือขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ปีงบประมาณ พ.ศ.2544 จำนวน 640 ล้านบาทกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน จากเดิมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2545 เป็นวันที่ 30 กันยายน 2545

เหตุการณ์ต่อจากนั้น

การคัดเลือกบริษัทจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล ผู้เขียนไม่สามารถหาข้อมูลที่ชัดเจนมาช่วยยืนยันรายละเอียด แต่อย่างที่ทราบกันดีบทสรุปปิดท้ายของโครงการสุดลึกลับสลับซับซ้อน กองทัพเรือจ้างสร้างเรือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 2 ลำจากบริษัท China Shipbuilding Trading CO., LTD. เป็นการสร้างเรือทั้งลำก่อนนำเรือมาติดตั้งอาวุธภายในประเทศ

เรือลำที่หนึ่งเรือหลวงปัตตานี OPV 511 ขึ้นระวางประจำการ 16 เมษายน 2549 เรือลำที่สองเรือหลวงนราธิวาส OPV 512 ขึ้นระวางประจำการ 16 เมษายน 2549 พร้อมเรือลำแรก

เรือมีระวางขับน้ำสูงสุด 1,635 ตัน ยาว 94.50 เมตร กว้าง 11.80 เมตร กินน้ำลึก 3.30 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MAN RUSTON 16 RK270 จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,500 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 20 วัน กำลังพลประจำเรือจำนวน 84 นาย แบบเรือเป็นของจีนก็จริงแต่ระบบอำนวยการรบ ระบบสื่อสาร ระบบเรดาร์ และระบบอาวุธส่วนใหญ่มาจากยุโรปตะวันตกกับสหรัฐอเมริกา ถือว่าทันสมัยกว่าเรือหลวงนเรศวรเรือฟริเกตไทยสร้างโดยจีน ซึ่งติดระบบอำนวยการรบจีนและระบบเรดาร์จีนบวกยุโรปปะปนกันจนคนใช้งานพากันปวดหัว

ภาพประกอบสุดท้ายคือเรือหลวงนราธิวาส OPV 512 ขณะจอดที่ท่าเรือเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์บนเสากระโดงซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย จากภาพประกอบเรือได้รับการติดระบบเรดาร์ทั้งหมดอย่างครบถ้วน ก่อนเดินทางมาติดอาวุธในไทยประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก พื้นที่ว่างกลางเรือสามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบได้จำนวน 8 นัด สามารถปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตสนองตอบความต้องการทางยุทธการกองทัพเรือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์

 อ้างอิงจาก

https://alchetron.com/HTMS-Pattani

https://thaidefense-news.blogspot.com/2017/02/opv.html

https://thaiseafarer.com/naval-force/opv511/

http://www.wings-aviation.ch/45-Thai%20Navy/2-Ships/511-Pattani-class/511-Pattani.htm

https://www.globalsecurity.org/military/world/europe/sigma.htm

https://www.navy.mi.th/newwww/code/special/opv2/index.htm

https://www.secretprojects.co.uk/threads/euro-frigates.890/