เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำแรกของลูกประดู่ไทย
ผู้อ่านทุกคนรู้ดีว่าเรือหลวงปัตตานี
511
กับเรือหลวงนราธิวาส 512 คือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสองลำแรกของราชนาวีไทย
บทความนี้ผู้เขียนขอย้อนเวลากลับคืนสู่ปฐมบทโครงการจัดหาเรือ
อันมีเรื่องราววุ่นวายขายปลาช่อนมากเสียจนติดอันดับหนึ่งในสามตลอดกาล
เรามาเรียนรู้และทำความเข้าใจโครงการลึกลับซับซ้อนโครงการนี้ไปพร้อมกันนะครับ
การจัดตั้งโครงการ
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งหรือ
Offshore
Patrol Vessel เป็นเรือตรวจการณ์ประเภทหนึ่งที่ราชนาวีอังกฤษนำมาใช้งานตั้งแต่ยุค
60 เป็นเรือขนาดเล็กออกแบบมาเพื่อปฏิบัติภารกิจในทะเลลึก
ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ มากเพียงพอต่อความต้องการ และสามารถใช้งานเรือเป็นกำลังเสริมได้ในยามสงคราม
อังกฤษเริ่มสร้างเรือประเภทนี้ตั้งแต่ยุคสงครามเย็นกำลังร้อนระอุ
ในช่วงเวลาที่เรือรบหรือเรือตรวจการณ์ขนาดต่างๆ มักติดอาวุธล้นลำ
ต้องถือว่าพวกเขามีความคิดค่อนข้างล้ำสมัยจนน่าประทับใจ
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจะสร้างโดยใช้มาตรฐานพลเรือน
(Commercial
Standard) ระวางขับน้ำมากกว่า 700 ตันเพื่อเพิ่มระยะปฏิบัติการ
มีความทนทะเลมากเพียงพอต่อการใช้งานในเขตน้ำลึก เรือมีความเร็วต่ำกว่าและติดอาวุธน้อยเรือคอร์เวต
แต่มีพื้นที่ใช้สอยหรือจัดเก็บเสบียงมากกว่า ระยะปฏิบัติการจึงไกลกว่า
ปฏิบัติภารกิจในทะเลได้นานกว่า รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการออกเรือน้อยกว่า
สำหรับประเทศไทยการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ
กองทัพเรือจะส่งเรือและอากาศยานออกปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง
ต้องใช้เรือขนาดใหญ่ปฏิบัติการได้อย่างยาวนานทนคลื่นลมได้ดี เรือฟริเกตซึ่งเป็นเรือหลักในการทำภารกิจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
เพราะถูกออกแบบให้ใช้ในการรบโดยตรง อุปกรณ์ต่างๆ ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ติดอาวุธจำนวนมากรวมทั้งใช้กำลังพลมาก
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงทั้งเรื่องการใช้งานและค่าบำรุงรักษา
กองทัพเรือจึงหันมาให้ความสนใจเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งอย่างจริงจัง
กำหนดให้ติดอาวุธจำนวนไม่มาก อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ยุ่งยากต่อการใช้งาน
โดยมีขนาดใกล้เคียงเรือฟริเกต และพร้อมจะถูกปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตในกรณีจำเป็น
ปี 2542 กองทัพเรือวางแผนการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 2 ลำ นำมาทดแทนเรือหลวงแม่กลอง เรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงประแสซึ่งปลดประจำการแล้ว
โดยมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมเพื่อทดแทนเรือหลวงปิ่นเกล้า และเรือหลวงโพสามต้นซึ่งใกล้ปลดประจำการเต็มที
ต่อมาในปีงบประมาณ 2544 กองทัพเรือได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน
3,200 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปีระหว่างปีงบประมาณ 2544 ถึง 2548 จึงเริ่มเดินหน้าโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเต็มตัวโดยกำหนดคุณลักษณะเรือดังนี้
ภาพประกอบคือเรือหลวงแม่กลองซึ่งจะถูกแทนที่โดยเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นใหม่
ระวางขับน้ำเต็มที่ไม่น้อยกว่า 1,000
ตัน ความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า 23 นอต ระยะปฏิบัติการไม่น้อยกว่า
3,500 ไมล์ ที่ความเร็วเดินทางไม่ต่ำกว่า 15 นอต เสบียงอาหารและน้ำจืดเพียงพอต่อการออกทะเลไม่น้อยกว่า 20 วัน ตัวเรือ (Hull) ทำด้วยเหล็ก Mild Steel การสร้างเรือใช้วิธีเชื่อม (Weld Construction)
เป็นหลัก โครงสร้างเหนือดาดฟ้าใหญ่ (Superstructure) ทำด้วย Mild Steel หรือ Aluminium
Alloy ปืนหลักใช้ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ส่วนปืนรองขนาดต่ำกว่า 40 มม.ลงมา
ยังมีคุณสมบัติอื่นอีกพอสมควรทว่าผู้เขียนขอยกตัวอย่างเฉพาะสำคัญๆ แค่เพียงเท่านี้
การดำเนินการครั้งที่ 1
วันที่
15
มกราคม 2544 คณะกรรมการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้ออกประกาศเชิญชวนเสนอแบบเรือ
โดยเชิญอู่เรือทั้งในและต่างประเทศมารับเอกสารคุณลักษณะเฉพาะตามความต้องการ ระหว่างวันที่
15 ถึง 31 มกราคม 2544 กำหนดให้เสนอแบบเรือในวันที่ 3 เมษายน 2544 ปรากฏว่ามีผู้สนใจคำเชิญชวนเสนอแบบเรือมาขอรับเอกสารรวมทั้งสิ้น 20
ราย
วันที่ 3
เมษายน 2544 มีบริษัทร่วมค้ายื่นเสนอแบบเรือจำนวน
11 ราย ผลการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอแบบเรือพบว่า มีบริษัทร่วมค้าผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติมีสิทธิได้รับการพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิคจำนวน
8 รายประกอบไปด้วย
1.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทมาร์ซัน
จำกัด และบริษัท German Frigate Consortium Limited
2.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทยูนิไทยชิฟยาร์ดแอนด์เอ็นจิเนียริ่ง
จำกัด และบริษัท Vosper Thornycroft (UK) Limited
3.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอิตัลไทย
มารีน จำกัด และบริษัท FINCANTIERI Cantieri Navali
Italiani, S.p.A.
4.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอู่กรุงเทพ
จำกัด และบริษัท Schelde Shipbuilding
5.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทเอเชียนมารีนเซอร์วิสส์
จำกัด (มหาชน) และ บริษัท TENIX DEFENCE SYSTEM PTY LTD.
6.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอู่กรุงเทพ
จำกัด และบริษัท China Shipbuilding Trading CO., LTD.
7.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัท
PSP MARINE COMPANY LIMITED และบริษัท APPLEDORE
SHIPBUILDER LTD. และบริษัท Australian Submarine
Corporation (Thailand) Limited
8.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทยูนิไทย
ชิฟยาร์ด แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และบริษัท Empresa Nacional Bazan / IZAR Construcciones Navales, S.A.
ผลการพิจารณาข้อเสนอทางด้านเทคนิค โดยการให้คะแนนตัวเรือ เครื่องจักร
ระบบอำนวยการรบ และระบบการส่งกำลังบำรุง
ปรากฏว่าแบบเรือบริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทยูนิไทยชิฟยาร์ดแอนด์เอ็นจิเนียริ่งจำกัด
และบริษัท Vosper Thornycroft (UK) Limited ได้คะแนนอันดับหนึ่ง
ผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์เพื่อช่วงชิงงบประมาณมูลค่า 3,200 ล้านบาทจากกองทัพเรือและรัฐบาล
เรามาชมภาพวาดแบบเรือซึ่งคาดว่าบริษัท
Vosper
Thornycroft จะส่งเข้าร่วมในโครงการกันสักนิด เพื่อให้เนื้อหาครอบคลุมมากที่สุดผู้เขียนนำมาให้เลือกจำนวนสองแบบเรือ
1.OPV-81
แบบเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสัญชาติอังกฤษร้อยเปอร์เซ็นต์
รูปร่างหน้าตาเห็นครั้งแรกผู้เขียนนึกถึงแบบเรือ OPV-80 ที่กองทัพเรืออังกฤษจัดหาไปใช้งานจำนวน
4 ลำโดยใช้ชื่อว่าเรือชั้น River พิจารณาอย่างลึกซึ้งกลับพบว่าเหมือนเรือไกลฝั่งสัญชาติชั้น
Castle มากกว่า ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสัญชาติอังกฤษที่ถูกแทนที่ด้วยเรือชั้น
River นั่นเอง ผู้เขียนคาดเดาว่า Vosper Thornycroft ตั้งใจเสนอแบบเรือ OPV-81 ให้กับกองทัพเรืออังกฤษ
ทว่ากองทัพเรืออังกฤษเลือก OPV-80 เพราะไม่ใช้งานลานจอดเฮลิคอปเตอร์
(ยกเว้นลำที่ส่งไปประจำการเกาะฟอล์กแลนด์มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ลำเดียว)
แบบเรือ OPV-81 ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,350 ตัน ยาว 81.08 เมตร กว้าง 11.87 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Paxman
18VP185M จำนวน 2
ตัว ความเร็วสูงสุด 20 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 35
นาย อาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วยปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 1 กระบอก กับปืนกลขนาด 7.62 มม.อีก 2 กระบอก ท้ายเรือมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด
7 ตันแต่ไม่มีโรงเก็บ
การปรับปรุงแบบเรือ OPV-81 ให้เหมาะสมกับราชนาวีไทย เริ่มจากเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ทำความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า
23 นอต ติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ที่จุดติดตั้งหัวเรือโดยอาจยกสูงเล็กน้อย ติดปืนกลขนาด 20 มม.เพิ่มอีก 1 กระบอกบริเวณที่ว่างหลังปล่องระบายความร้อน
เพียงเท่านี้ก็ตรงตามความต้องการคณะกรรมการจัดหาเรือแห่งราชนาวีไทย
ให้บังเอิญผู้เขียนค้นพบจุดอ่อนขนาดใหญ่พอสมควร
เนื่องจากราชนาวีไทยต้องการให้เรือถูกปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตในกรณีจำเป็น
ทว่าแบบเรือ OPV-81
ไม่มีจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบที่เหมาะสม
พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือสามารถปรับปรุงให้ติดตั้งได้ก็จริง
แต่เหมาะสมกับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบขนาดเล็กแท่นยิงค่อนข้างเตี้ยมากกว่า
(อาทิเช่น Marte-Mk2 หรือ C704)
ถ้าเป็นพ่อสูงชะลูดตูดปอดอย่าง Harpoon จะบัดบงสะพานเดินเรือจนเรืออาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ
เท่ากับว่าแบบเรือ OPV-81 มีความเหมาะสมมากแต่ไม่มากที่สุด
1.OPC-84 แบบเป็นเรือคอร์เวตตรวจการณ์สัญชาติอังกฤษลำแรก
(OPC มาจากคำว่า Offshore Patrol Corvette) บริษัท Vosper Thornycroft เคยเสนอแบบเรือลำนี้ต่อกองทัพเรือโอมานเพียงแต่ไม่ได้ไปต่อ
ผู้เขียนนำมาปรับปรุงเล็กน้อยให้กลายเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV-84 เพราะมีความเหมาะสมกับคุณสมบัติที่คณะกรรมการจัดหาเรือต้องการมากที่สุด
แบบเรือ OPV-84 ระวางขับน้ำเต็มที่ 1,350 ตัน ยาว 84 เมตร กว้าง 12.75 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU
type 16V 1163 TB93 จำนวน 4 ตัว
ความเร็วสูงสุด 28 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 97 นาย อาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วยปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอก
ท้ายเรือมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตันแต่ไม่มีโรงเก็บ
มีจุดติดตั้งระบบเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีอีก 2 จุด
การปรับปรุงแบบเรือ OPC-84 ให้เหมาะสมกับราชนาวีไทย
เริ่มจากเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเดิมทำความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า
23 นอต ถอดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8
ท่อยิงหน้าสะพานเดินเรือหรือตำแหน่ง B-Position ล้อมด้วยราวกับตกแบบทึบออก ( ในภาพผู้เขียนถอดให้แล้ว)
ระบบเรดาร์ตรวจการณ์กับเรดาร์ควบคุมการยิงใช้รุ่นประหยัดกว่าเดิม
เพียงเท่านี้แบบเรือ OPC-84 จะกลายเป็นแบบเรือ OPV-84 ได้อย่างเต็มตัว ถ้ากองทัพเรืออยากปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตทำได้ง่ายมาก
แค่นำแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบมาติดที่เดิมเท่านั้นเอง
ปัญหาสำคัญที่ผู้เขียนบังเอิญค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ
แบบเรือ OPV-84 ไม่มีจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งที่สองกราบเรือ
แต่มีจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งที่บั้นท้ายเรือเพียง 1 ลำ
การทำภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์อาจไม่เต็มร้อยอย่างที่ควรเป็น ฉะนั้นบริษัท Vosper
Thornycroft อาจถอดปืนกลขนาด 30 มม.ออก แทนที่ด้วยเรือยางท้องแข็งขนาด 6.4 เมตร
ย้ายจุดติดตั้งแพชูชีพมาด้านหน้าเล็กน้อย แล้วติดปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอกตำแหน่งเดิมของแพชูชีพ
เพียงเท่านี้เรือก็สามารถทำหน้าที่คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลได้อย่างสมบูรณ์
กลับมาที่โครงการจัดหาตรวจการณ์ไกลฝั่งราชนาวีไทยลำแรกกันอีกครั้ง
กองทัพเรือแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษเพื่อเจรจาเรื่องรายละเอียดสัญญา
เมื่อคณะกรรมการออกหนังสือเชิญชวนเสนอราคาต่อบริษัทที่ได้คะแนนด้านเทคนิคอันดับหนึ่ง
ปรากฏว่าบริษัทยูนิไทยชิฟยาร์ดแอนด์เอ็นจิเนียริ่งจำกัดเสนอราคาสูงกว่างบประมาณเกือบสองเท่า
หนึ่งในเหตุผลสำคัญการสร้างเรือในประเทศมีต้นทุนค่อนข้างสูง
มีการเจรจาต่อรองอีกครั้งทว่าบริษัทค้าร่วมระหว่างอังกฤษกับไทยยังยืนยันราคาเดิม การจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
2
ลำในประเทศไทยจึงถูกยกเลิกในเวลาต่อมา
ถูกต้องนะครับ…โครงการนี้แรกเริ่มเดิมทีกำหนดให้จ้างสร้างเรือในประเทศ
การดำเนินการครั้งที่ 2
วันที่
12
กรกฎาคม 2544 คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษมีหนังสือถึงบริษัทร่วมค้าทั้งในและต่างประเทศจำนวน
6 ราย ให้ส่งใบเสนอข้อมูลทางเทคนิคและราคาต่อคณะกรรมการ มีบริษัทร่วมค้าจำนวน
5 รายสนใจเข้าร่วมโครงการ ผลการตรวจทุกบริษัทเสนอราคาสูงกว่าวงเงินที่จะจัดจ้าง
คณะกรรมการจึงคัดเลือกเฉพาะบริษัทที่เสนอราคาใกล้เคียงวงเงินประกอบไปด้วย
1.บริษัท PSP
MARINE COMPANY LIMITED และบริษัท APPLEDORE SHIPBUILDER LTD. และบริษัท Australian Submarine Corporation (Thailand)
2.บริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทอู่กรุงเทพ
จำกัด และบริษัท China Shipbuilding Trading CO., LTD.
มีข้อมูลน่าสนใจเล็กน้อยมาเล่าสู่กันฟัง
การดำเนินการครั้งที่หนึ่งบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดใช้แบบเรือบริษัท Schelde
Shipbuilding ประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังเสนอครั้งที่สองโดยใช้แบบเรือบริษัท
China Shipbuilding Trading ประเทศจีน
การดำเนินการครั้งที่สองบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดใช้แบบเรือบริษัท China
Shipbuilding Trading ประเทศจีนเท่านั้น
ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่าเหตุใดถึงไม่ร่วมมือกับบริษัท Schelde
Shipbuilding เหมือนการดำเนินการครั้งที่หนึ่ง
ผลการตัดสินสนุกตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าคู่ชิงฟุตบอล
7
คน ข้อเสนอจากบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดแม้มีราคาสูงกว่า
แต่สนองตอบความต้องการทางยุทธการของกองทัพเรือได้ดีกว่า แบบเรือสนองตอบความต้องการของกองทัพเรือได้มากกว่า
ความสามารถของอู่เรือในประเทศก็สูงกว่า คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษจึงตกลงใจคัดเลือกเป็นผู้ชนะเลิศ
เขี่ยแบบเรือจากออสเตรเลียของบริษัท PSP MARINE COMPANY LIMITED
ซึ่งเสนอราคาต่ำกว่ากระเด็นหล่นคลองแสนแสบให้เจ็บช้ำน้ำใจ
ผลการเจรจาเรื่องราคาบริษัทอู่กรุงเทพ
จำกัดยอมเฉือนเนื้อตัวเองทิ้งเล็กน้อย คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษมีความพึงพอใจมาก
ต่อมาในวันที่ 3 กันยายน 2544 กระทรวงกลาโหมอนุมัติให้กองทัพเรือจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจากบริษัทอู่กรุงเทพ
จำกัดในวงเงิน 3,428,391,200 บาท และในวันที่ 25 กันยายน 2544 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติให้กองทัพเรือกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน
หรือพูดง่ายๆ ว่าโครงการนี้ผ่านฉลุยเรียบร้อยแล้วจ้า
เรามาชมแบบเรือซึ่งถูกยกย่องว่าสนองตอบความต้องการทางยุทธการ
และความต้องการกองทัพเรือได้ดีที่สุดกันสักนิด ก่อนเข้าสู่เนื้อหาในช่วงถัดไปซึ่งมีความเข้มข้นเร้าใจมากกว่าเดิม
แบบเรือจากบริษัท
China
Shipbuilding Trading ที่ในตอนนั้นยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ
ความยาวประมาณ 94 เมตรเทียบเท่าเรือคอร์เวตติดอาวุธครบสามมิติ
รูปทรงแตกต่างจากเรือรุ่นเก่าจากประเทศจีนอย่างชัดเจน หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62
มม.สะพานเดินเรือรูปทรงสมัยค่อนข้างสูง
หลังเสากระโดงคือจุดติดตั้งแท่นยิงแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8
ท่อยิง ปล่องระบายความร้อนขนาดกำลังเหมาะสม
พื้นที่ด้านหลังสร้างลานจอดกับโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 7 ตัน
มีจุดติดตั้งปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2
กระบอก ใต้ลานจอดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ให้ลูกเรือพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆ
ติดครีบกันโครงขนาดเล็กสไตล์จีนจำนวน 3 จุดด้วยกัน
ภาพรวมผู้เขียนเรียกเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงได้อย่างเต็มภาคภูมิ
แบบเรือสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกตได้โดยไม่ต้องดัดแปลงเรือ
ไม่น่าแปลกใจที่แบบเรือสนองตอบความต้องการจนคณะกรรมการพากันชื่นชอบ
เพียงแต่ผู้เขียนข้องใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการดำเนินการครั้งที่ 1 ในเมื่อแบบเรือจากประเทศจีนยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
แล้วเหตุใดเล่าผลการพิจารณาข้อเสนอทางด้านเทคนิคถึงสู้แบบเรือจากบริษัท Vosper
Thornycroft ไม่ได้
เป็นไปได้ว่าแบบเรืออังกฤษที่เอาชนะเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสมรรถนะสูงจากประเทศจีน
ต้องเป็น OPV-84 ปรับปรุงใหม่สำหรับราชนาวีไทยเท่านั้นถึงจะเอาชนะสำเร็จ
หลังโครงการผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย
วันที่ 4
ตุลาคม 2544 บริษัท China Shipbuilding
Trading ส่งหนังสือให้กับผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อเสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมก่อนพิจารณาจัดทำร่างสัญญาจำนวน
6 ข้อประกอบไปด้วย
1.บริษัทขอเป็นผู้เสนอราคาและเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับกองทัพเรือ
2.กำหนดเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นเงินสกุลยูโรและปอนด์สเตอร์ลิงเพิ่มจากสกุลเงินดอลลาร์
3.ให้กองทัพเรือทำสัญญาซื้อระบบอำนวยการรบโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิต
4.ขอสร้างเรือในประเทศจีนก่อนนำมาติดระบบอำนวยการรบในประเทศไทย
5.ขอทำการค้าต่างตอบแทนเฉพาะส่วนวัสดุ อุปกรณ์
และแรงงานที่บริษัทดำเนินการเท่านั้น และขอนำการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีมารวมเข้ากับการค้าต่างตอบแทน
6.ให้กองทัพเรือจ่ายเงินต่อบริษัทที่อยู่ต่างประเทศโดยตรง
ข้อเสนอจากบริษัท
China
Shipbuilding Trading กองทัพเรือไม่สามารถยอมรับได้ มีหนังสือถึงบริษัทร่วมค้าเพื่อยืนยันการจัดทำสัญญาตามเงื่อนไขเดิม
วันที่ 12 ตุลาคม 2544 บริษัท CSTC
ส่งหนังสือบอกปัดยอมเสียโอกาสรับงานจ้างสร้างเรือ ต่อมาในวันที่ 5
พฤศจิกายน 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้อนุมัติยกเลิกการจัดจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในการดำเนินการครั้งที่
2
การจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในปีงบประมาณ
2545
ปีงบประมาณ 2544 กองทัพเรือไม่สามารถคัดเลือกบริษัทร่วมค้าเพื่อสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
ส่งผลให้งบผูกพันก้อนแรกจำนวน 640 ล้านบาทยังไม่ได้ใช้งาน
ต้องหาทางแก้ไขไม่ให้งบประมาณก้อนนี้ถูกโยนกลับงบกลาง และวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 คณะรัฐมนตรีมีมติขยายระยะเวลาการกันเงินงบประมาณจำนวน
640 ล้านบาทไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน จากเดิมภายในวันที่
29 พฤศจิกายน 2544 เป็นภายในวันที่ 31
มีนาคม 2544 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยคาดหวังว่ากองทัพเรือจะสามารถปิดเกมได้ภายในระยะเวลาที่เพิ่มให้
โครงการนี้ล่าช้าเสียจนคนในรัฐบาลต้องมาพลอยเดือดร้อนไปพร้อมกัน
การดำเนินการครั้งที่
3
การดำเนินการครั้งที่
3
มีการกำหนดคำจำกัดความ ‘การสร้างเรือในประเทศไทย’ ให้ชัดเจนกว่าเดิม กำหนดให้ผู้เสนอราคาแสดงหลักฐานทางการเงิน และกำหนดขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2544 คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษมีหนังสือเชิญชวนบริษัทในประเทศจำนวน
6 บริษัท เข้าร่วมเสนอราคาโดยกำหนดยื่นซองเสนอราคาในวันที่ 30
พฤศจิกายน 2544 ครบกำหนดยื่นซองเสนอราคามีผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน
5 รายประกอบไปด้วย
-บริษัทเอเชียนมารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน)
-บริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด
-บริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัด
-บริษัทมาร์ซัน จำกัด
-บริษัทยูนิไทย ชิฟยาร์ด แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
การคัดเลือกรอบแรกคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษคัดเฉพาะบริษัท
3 อันดับแรกเข้ารอบสอง ประกอบไปด้วยบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด บริษัทอิตัลไทย
มารีน จำกัด และบริษัทยูนิไทย ชิฟยาร์ด แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
การคัดเลือกรอบสองบริษัทอิตัลไทย มารีน จำกัดคือเต็งจ๋านอนมาพระสวด
เนื่องจากแบบเรือมีความโดดเด่นกว่าผู้เสนอราคารายอื่น มีความเสี่ยงที่โครงการจะล้มเหลวน้อยกว่า
แบบเรือจากบริษัท FINCANTIERI
จากประเทศอิตาลีกองทัพเรือมีความคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน
โอกาสคว้าชัยได้รับสัญญาสร้างเรือจำนวน 2 ลำค่อนข้างสูงจนไม่มีใครกล้าลงเดิมพัน
ให้บังเอิญการยื่นข้อเสนอรอบที่สองซึ่งถือเป็นรอบชิงดำ
หลายสิ่งหลายอย่างบนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเมืองมักกะโรนีไม่เหมือนรอบแรก
มีการเปลี่ยนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทำให้กำลังเครื่องลดลง
ระบบอำนวยการรบเปลี่ยนเป็นรุ่นสมรรถนะด้อยกว่า รวมทั้งเกิดความเคลือบแคลงใจเรื่องมาตรฐานเหล็กที่ใช้ในการสร้างเรือ
เพราะไม่สอดคล้องกับข้อมูลสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือไทยประจำกรุงโรม
ส่งผลให้เต็งจ๋านอนมาพระสวดถูกหามใส่โลงไปสวดแล้วเผาทิ้ง
รวมทั้งส่งผลให้แบบเรือจากบริษัท Schelde
Scheepsnieuwbouw B.V. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ DAMEN
GROUP ประเทศเนเธอร์แลนด์ของบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด มีคะแนนรวมเป็นอันดับหนึ่งสมควรได้รับการเปิดซองราคาเป็นลำดับแรก
บริษัทอู่กรุงเทพ
จำกัด เสนอราคาเรือพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการทดสอบทดลองเรือ
การฝึกอบรม การตรวจรับและการส่งมอบเรือ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นเงิน 3,676,753,648.21
บาท สูงกว่าวงเงินงบประมาณที่จะจัดจ้างจำนวน 3,520 ล้านบาท คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษได้เจรจาต่อรองราคาจนเหลือ 3,512,735,500 บาทต่ำกว่าวงเงินนิดหน่อย
การสร้างเรือโดยบริษัทอู่กรุงเทพ
จำกัด บริษัท Schelde
ยินดีช่วยเหลือและให้คำปรึกษาการสร้างเรือทุกขั้นตอน วัสดุและอุปกรณ์ที่จะติดตั้งบนเรือส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก
เป็นสินค้าได้มาตรฐานมีความเชื่อถือค่อนข้างสูง สามารถสนองตอบความต้องการทางยุทธการของกองทัพเรือได้มากที่สุด
บริษัท
Schelde ในยุคนั้นยังไม่มีแบบเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ตระกูล OPV ที่กำลังโด่งดังในปัจจุบัน มีเพียงแบบเรือตระกูล Sigma ซึ่งมีตั้งแต่เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งความยาวเพียง 40 เมตร
ไล่ไปจนถึงเรือฟริเกตติดอาวุธสามมิติความยาวมากกว่า 100 เมตร
ผู้เขียนพยายามคัดเลือกแบบเรือที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณกองทัพเรือมานำเสนอตามภาพประกอบ
1.แบบเรือ Sigma 7511
เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 1,100 ตัน ยาว 75 เมตร กว้าง 11 เมตร หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62
มม. หน้าสะพานเดินเรือมีพื้นที่ว่างติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน
4 ท่อยิง ข้างเสากระโดงติดตั้งปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก
ลานจอดรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาดไม่เกิน 7 ตัน
ท้ายเรือเป็นจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 8.4 เมตรจำนวน 2
ลำ เพราะความสั้นของเรือพลอยทำให้ Sigma 7511 ดูน่ารักมุ้งมิ้งมากกว่าน่าเกรงขาม
ข้อดีก็คือราคาเรือย่อมหดสั้นลงตามความยาวของเรือ
ลูกค้ากระเป๋าไม่หนาสามารถจัดหาไปใช้งานอย่างสะดวกโยธิน
2.แบบเรือ Sigma 8413 OPV รุ่นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งแท้ๆ
เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 1,300 ตัน ยาว 84 เมตร กว้าง 13 เมตร ยาวและกว้างกว่าแบบเรือ Sigma 7511 อยู่ที่ 9 เมตรกับ
2 เมตร ไม่ใช่การนำเรือตรวจการณ์อังกฤษขนาด 90 เมตรมาเพิ่มความยาวเป็น 111 เมตร
แล้วบอกทุกคนว่านี่คือเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยของบริษัท
ยังนับว่าโชคดีไม่มีใครใจเด็ดยอมเสียเงินจัดหาไปใช้งาน
ทั้งที่ในตลาดโลกมีแบบเรือฟริเกตแท้ๆ จำนวนมากให้เลือกตามเงินในกระเป๋า
Sigma 8413 OPV สามารถติดอาวุธเทียบเท่าหรือมากกว่า Sigma 7511 ในภาพประกอบผู้เขียนใส่ MM40 Exocet
Block 2 จำนวน 4 นัดหน้าสะพานเดินเรือ (การติดอาวุธวิธีนี้เหมือนเรือคอร์เวตชั้น
Abu Dahibi กองทัพเรือยูเออี)
พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก กับแท่นยิงเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีจำนวน
2 แท่นยิง หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งปืนกลขนาด 20
มม.จำนวน 2 กระบอก
ทั้งนี้ทั้งนั้นคนใช้งานอาจสลับตำแหน่งระหว่าง MM40 Exocet Block 2 กับแท่นยิงเป้าลวงได้ ความยาวความกว้างเรือที่เพิ่มขึ้นช่วยให้ลูกเรือใช้ชีวิตสุขสบายมากขึ้น
ความเห็นส่วนตัวแบบเรือ
Sigma 8413 OPV มีความเหมาะสมมากที่สุด
ทว่าผู้อ่านหลายคนคงพูดตรงกันเรือหน้าตาขี้เหร่ไม่สวยเอาเสียเลย
โดยเฉพาะด้านท้ายซึ่งถูกออกแบบให้เหมาะสมกับภารกิจเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ผู้เขียนจึงนำแบบเรือพี่น้องท้องเดียวกันมาให้รับชมอีกหนึ่งรุ่น
3.แบบเรือ Sigma 8413 Corvette เรือมีขนาดใกล้เคียงแบบเรือ
Sigma 8413 OPV เกือบทั้งหมด แต่ออกแบบรูปทรงท้ายเรือให้มีความคล้ายเรือคอร์เวต
Sigma 9113
การนำมาปรับปรุงเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเหมือนแบบเรือ OPV-84 บริษัท Vosper Thornycroft ไม่ใช่เรื่องยาก
เพียงแต่จะประสบปัญหาราคาแพงเกินงบประมาณเหมือนแบบเรือ OPV-84 ผู้เขียนเข้าใจว่าบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดคงไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
โดยเฉพาะในการดำเนินการครั้งที่ 3 ซึ่งมีความกดดันจากทุกฝ่ายค่อนข้างสูง
หากล้มเหลวเพราะชื่นชอบแบบเรือราคาแพงเกินไปโครงการอาจถูกดองเค็ม
จึงเป็นไปได้ว่าแบบเรือ
Sigma 8413 OPV ได้รับการคัดเลือกให้สร้างในเมืองไทย
การดำเนินการครั้งที่
3
ไม่น่ามีปัญหารบกวนใจ ให้บังเอิญปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขได้โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
หลังจากกองทัพเรือตกลงใจเลือกจ้างบริษัท
อู่กรุงเทพ จำกัด กระทรวงกลาโหมมีแนวคิดอยากทำข้อตกลงจ้างในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาลหรือ
G to G เพื่อประโยชน์ในการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเจ้าของแบบเรือ
บังเอิญวิธี G to G
ไม่สามารถใช้งานร่วมกับการจ้างสร้างเรือในประเทศ
เพราะรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในความควบคุมกองทัพเรือไทย
เพื่อสนองตอบนโยบายกระทรวงกลาโหมที่จะส่งผลดีในทางเศรษฐกิจ กองทัพเรือจึงตัดสินใจยกเลิกการดำเนินการครั้งที่
3
วันที่ 16
มีนาคม 2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอนุมัติให้กองทัพเรือยกเลิกการจัดจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน
2 ลำ และให้ดำเนินการใหม่ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล
กับเห็นชอบให้กองทัพเรือขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
ปีงบประมาณ พ.ศ.2544 จำนวน 640 ล้านบาทกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน
จากเดิมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2545 เป็นวันที่
30 กันยายน 2545
เหตุการณ์ต่อจากนั้น
การคัดเลือกบริษัทจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล
ผู้เขียนไม่สามารถหาข้อมูลที่ชัดเจนมาช่วยยืนยันรายละเอียด
แต่อย่างที่ทราบกันดีบทสรุปปิดท้ายของโครงการสุดลึกลับสลับซับซ้อน
กองทัพเรือจ้างสร้างเรือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งจำนวน 2 ลำจากบริษัท China Shipbuilding Trading CO.,
LTD. เป็นการสร้างเรือทั้งลำก่อนนำเรือมาติดตั้งอาวุธภายในประเทศ
เรือลำที่หนึ่งเรือหลวงปัตตานี OPV
511 ขึ้นระวางประจำการ 16 เมษายน 2549 เรือลำที่สองเรือหลวงนราธิวาส
OPV 512 ขึ้นระวางประจำการ 16 เมษายน 2549 พร้อมเรือลำแรก
เรือมีระวางขับน้ำสูงสุด 1,635
ตัน ยาว 94.50 เมตร กว้าง 11.80 เมตร กินน้ำลึก 3.30 เมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MAN
RUSTON 16 RK270 จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 25
นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,500 ไมล์ทะเล
ออกทะเลได้นานสุด 20 วัน กำลังพลประจำเรือจำนวน 84 นาย แบบเรือเป็นของจีนก็จริงแต่ระบบอำนวยการรบ ระบบสื่อสาร ระบบเรดาร์
และระบบอาวุธส่วนใหญ่มาจากยุโรปตะวันตกกับสหรัฐอเมริกา
ถือว่าทันสมัยกว่าเรือหลวงนเรศวรเรือฟริเกตไทยสร้างโดยจีน
ซึ่งติดระบบอำนวยการรบจีนและระบบเรดาร์จีนบวกยุโรปปะปนกันจนคนใช้งานพากันปวดหัว

ภาพประกอบสุดท้ายคือเรือหลวงนราธิวาส
OPV
512 ขณะจอดที่ท่าเรือเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์บนเสากระโดงซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย
จากภาพประกอบเรือได้รับการติดระบบเรดาร์ทั้งหมดอย่างครบถ้วน
ก่อนเดินทางมาติดอาวุธในไทยประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก
พื้นที่ว่างกลางเรือสามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบได้จำนวน 8 นัด
สามารถปรับปรุงเป็นเรือฟริเกตสนองตอบความต้องการทางยุทธการกองทัพเรือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
อ้างอิงจาก
https://alchetron.com/HTMS-Pattani
https://thaidefense-news.blogspot.com/2017/02/opv.html
https://thaiseafarer.com/naval-force/opv511/
http://www.wings-aviation.ch/45-Thai%20Navy/2-Ships/511-Pattani-class/511-Pattani.htm
https://www.globalsecurity.org/military/world/europe/sigma.htm
https://www.navy.mi.th/newwww/code/special/opv2/index.htm
https://www.secretprojects.co.uk/threads/euro-frigates.890/