กองเรือฟริเกต/คอร์เวตอินโดนีเซียในอดีตคล้ายกองเรือฟริเกต/คอร์เวตไทยในปัจจุบัน
พวกเขามีแต่เรือรบรุ่นเก่าอายุการใช้งานมากกว่า 30 ปี
ที่สำคัญเป็นเรือมือสองติดอาวุธหลากหลายไม่เป็นมาตรฐาน ส่วนเรืออายุน้อยก็เป็นเรือคอร์เวตขนาดเล็กเพียง
2 ลำ แม้มีการปรับปรุงติดอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยเพิ่มเติมบนเรือหลายลำ
ทว่ายังมีเรืออีกหลายลำใกล้หมดสภาพต้องปลดประจำการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เพื่อแก้ปัญหากองฟริเกต/คอร์เวตขนาดค่อนข้างใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพ
กองทัพเรืออินโดนีเซียตัดสินใจขึ้นโครงการระยะยาวเพื่อจัดหาเรือรบรุ่นใหม่แบ่งแยกได้ตามนี้
1.เรือฟริเกต/คอร์เวตขนาดไม่เกิน
3,000 ตันจำนวน 8 ลำ
2.เรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000
ตันจำนวน 8 ลำ
ตั้งแต่ปี 2002
อินโดนีเซียเดินหน้าโครงการนี้อย่างจริงจัง โดยเริ่มนับหนึ่งจากเรือคอร์เวตรุ่นใหม่ติดอาวุธครบ
3 มิติเพราะง่ายที่สุดใช้เงินน้อยที่สุด
เรือคอร์เวต
Sigma
9113
ปี 2004 กองทัพเรืออินโดนีเซียสั่งซื้อเรือคอร์เวต Sigma 9113
จากบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์จำนวน 4 ลำ เรือมีระวางขับน้ำ 1,692 ตัน ยาว 90.71 เมตร กว้าง 13.02 เมตร กินน้ำลึก 3.60 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SEMT Pielstick 20PA6B STC จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,800
ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 80 นาย
ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบยกมาจากบริษัท
Thales
เนเธอร์แลนด์ทั้งลำ ต่อมาได้กลายเป็นระบบมาตรฐานกองทัพเรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน
ระบบอาวุธป้องกันตัวค่อนข้างทันสมัยประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact
จำนวน 1 กระบอก ปืนกล Denel GI-2 ขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก แท่นยิงแฝดสี่ TETRAL จำนวน 2 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral จำนวน 8 นัด อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40
Exocet Block III จำนวน 4 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด
เรือคอร์เวต Sigma
9113 รูปทรงทันสมัยสมกับเป็นเรือยุคใหม่ หัวเรือค่อนข้างสูงสะพานเดินเรือทรงหกเหลี่ยมอยู่ในระดับเหมาะสม
สันเรือค่อนข้างเตี้ยลากยาวจรดท้ายเรือแลดูสวยงาม เชื่อมต่อตัวเรือหรือ Hull
กับเก๋งเรือหรือ Superstructure ได้อย่างลงตัวจนดูเป็นชิ้นเดียวกัน
เรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ทุกรุ่นทุกบริษัททำแบบนี้ไม่ได้นะครับ
เรือคอร์เวต Sigma
9113 จำนวน 4 ลำเข้าประจำการระหว่างปี 2007-2009
ปัจจุบันกลายเป็นม้างานทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับกองทัพเรืออินโดนีเซีย
รวมทั้งทำภารกิจรักษาความปลอดภัยให้กับเลบานอนในนามองค์การสหประชาชาติ ราคาเรือลำละประมาณ
5,000 ล้านบาทต้องบอกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเหมือนแฟลตปลาทอง
เรือชั้นนี้ถือเป็นการพลิกโฉมกองเรือคอร์เวต/ฟริเกตอินโดนีเซีย
ให้มีความทันสมัยเทียบเท่าหรือมากกว่าเรือรบเพื่อนบ้านในย่านเดียวกัน
เรือฟริเกต
Sigma
10514
วันที่ 12 มิถุนายน 2012 กองทัพเรืออินโดนีเซียกับบริษัท Damen
ประเทศเนเธอร์แลนด์เซ็นสัญญามูลค่า 220 ล้านเหรียญ
เพื่อสั่งซื้อเรือฟริเกต Sigma 10514 จำนวน 1 ลำกำหนดให้สร้างโดยบริษัท PT PAL ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีออปชันเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างเรือรบรุ่นใหม่
ชิ้นส่วนเรือฟริเกตชั้นนี้แบ่งออกเป็น 4 โมดูลขนาดใหญ่ บริษัท
PT PAL สร้าง 4 โมดูลแบ่งให้บริษัท Damen สร้างอีก 2 โมดูล ก่อนนำมารวมกันเพื่อประกอบเป็นเรือลำจริงในประเทศอินโดนีเซีย
เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 2,365
ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,946 ตัน ยาว 105.11
เมตร กว้าง 14.02 เมตร กินน้ำลึก 3.75 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อน Combined Diesel or
Electric หรือ CODOE ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2
ตัวกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 28
นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว
14 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 122 นาย
ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบใช้ Thales
ทั้งลำเหมือนเดิม ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO
76/62 Super Rapid จำนวน 1 กระบอก ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด
Millennium Gun จำนวน 1 กระบอก
แท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
VL MICA จำนวน 12 นัด อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ
MM40 Exocet Block III จำนวน 8 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด
เรือฟริเกต Sigma
10514 เปรียบได้กับการนำเรือคอร์เวต Sigma 9113
มาแช่น้ำมันก๊าดให้มีขนาดใหญ่โตกว่าเดิม ส่งผลให้เรือติดอาวุธมากกว่าเดิมทำภารกิจในทะเลลึกได้ดีกว่าเดิม
สมควรจัดหามาใช้งานจำนวน 4 ลำให้ครบตามแผนการ แต่กองทัพเรืออินโดนีเซียกลับสั่งซื้อเพียง
2 ลำเข้าประจำการระหว่างปี 2017-2018 จากนั้นก็เงียบหายไปไม่มีข่าวสารความเคลื่อนไหวแม้สักนิดเดียว
เรือคอร์เวตชั้น
F2000
ปี
2012 กองทัพเรืออินโดนีเซียซื้อเรือคอร์เวต F2000 จากบริษัท
Yarrow ประเทศอังกฤษจำนวน 3 ลำ
โดยสามารถต่อราคาจาก 600 ล้านเหรียญลงมาอยู่ที่ 380 ล้านเหรียญ เรือทั้ง 3 ลำสร้างเสร็จแล้วพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าตั้งแต่ปี
2003 บังเอิญรัฐบาลบรูไนบอกปัดไม่ยอมรับเรือเข้าประจำการ จนเกิดเป็นคดีความต้องฟ้องร้องข้ามชาติกินเวลาหลายปี
เหตุผลที่กองทัพเรืออินโดนีเซียตัดสินใจซื้อเรือคอร์เวตสร้างเสร็จแล้วแต่ขายไม่ออก
เนื่องจากงบประมาณในการจัดหาเรือคอร์เวต/ฟรีเกตค่อนข้างอัตคัด
และมีแนวโน้มลดลงกว่าเดิมเนื่องจากตัวเองต้องการจัดหาเรือดำน้ำเพิ่มจำนวน 6
ลำ เมื่อมีโอกาสซื้อเรือคอร์เวตสภาพดีมาใช้งานพวกเขาจึงไม่ลังเลใจ เรือคอร์เวต
F2000 เป็นเรือเก่าเก็บสามารถใช้งานได้อีก 40 ปี เพียงแต่ต้องมีการปรับปรุงเรือให้ทันสมัยมากกว่าเดิม
และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นมาตรฐานกองทัพเรืออินโดนีเซีย
วันที่ 14 กรกฎาคม 2014 เรือคอร์เวต F2000 ทั้ง 3 ลำเข้าประจำการกองทัพเรืออินโดนีเซีย ประกอบไปด้วย KRI
Bung Tomo หมายเลข 357 KRI John Lie หมายเลข 358 และ 359 KRI Usman-Harun หมายเลข 359 เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 1,500 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,000
ตัน ยาว 95 เมตร กว้าง 12.8 เมตร กินน้ำลึก 3.6 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์
ติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.รุ่น DS30B
จำนวน 2 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40
Exocet Block III จำนวน 8 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL-Sea Wolf
ไม่มีสินค้าวางขาย เรือจึงมีแค่เพียงพื้นที่ว่างสำหรับติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12
ท่อยิง
เรือทั้ง 3 ลำเข้าประจำการรับใช้ชาติตามปรกติ กระทั่งวันที่ 4 พฤศจิกายน
2022 เรือ KRI Bung Tomo 357 เข้ารับการปรับปรุงใหญ่ให้เหมือนภาพประกอบที่ 4 โดยการติดตั้งระบบอำนวยการรบ
TACTICOS เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Smart-S
Mk2 เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 EO Mk2 โซนาร์หัวเรือ
KINGKLIP และแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
VL MICA จำนวน 12 นัด
ส่งผลให้เรือมีความทันสมัยใกล้เคียงเรือฟริเกต Sigma 10514
การปรับปรุงเรือจะทำทีละ 1
ลำใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี
อินโดนีเซียไม่รีบเนื่องจากตัวเองมีเรือใช้งานมากเพียงพอ ปัจจุบันเรือฟริเกต/คอร์เวตติดอาวุธ 3 มิติขนาดไม่เกิน 3,000 ตันของพวกเขามีจำนวน 9 ลำประกอบไปด้วย
-เรือคอร์เวต
Sigma 9113 จำนวน 4 ลำ
-เรือฟริเกต Sigma 10514 จำนวน 2 ลำ
-เรือคอร์เวตชั้น F2000 จำนวน 3 ลำ
เนื่องจากจำนวนเรือเกินความต้องการมา 1
ลำ อินโดนีเซียจึงระงับการสั่งซื้อเรือฟริเกต Sigma 10514 เฟสสอง ส่วนเรือคอร์เวตรุ่นเก่าที่ยังใช้งานได้ยังคงใช้งานต่อ
เมื่อปลดประจำการจะถูกแทนที่ด้วยเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบขนาด
2,000 ตัน ปัจจุบันมีการสร้างจริงจำนวน 2 ลำและอยู่ระหว่างการติดตั้งอาวุธ
เรือฟริเกต
Arrowhead
140
ระหว่างเดือนกันยายน 2021
กองทัพเรืออินโดนีเซียซื้อแบบเรือฟริเกต Arrowhead 140 จากบริษัท Babcock ประเทศอังกฤษมาสร้างเองจำนวน 2
ลำ ปัจจุบันเรือฟริเกตทั้ง 2 ลำอยู่ระหว่างการสร้างโดยอู่ต่อเรือบริษัท
PT PALประเทศอินโดนีเซีย
นี่คือก้าวแรกของโครงการจัดหาเรือฟริเกตขนาดมากกว่า
3,000
ตัน
เรือฟริเกต Arrowhead
140 มีระวางขับน้ำ 5,700 ตัน ยาว 138.7 เมตร
กว้าง 19.8 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.8 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU 20V 8000 M71 จำนวน 4 ตัว
ความเร็วสูงสุด 28 ระยะปฏิบัติการไกลสุด 9,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็วเดินทาง ถือเป็นเรือฟริเกตขนาดใหญ่โตมากที่สุดในย่านอาเซียน
อาวุธและเรดาร์ที่ติดตั้งบนเรือยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ
ภาพประกอบที่ 5 มาจากวันประกอบพิธีวางกระดูกงูเรือฟริเกตลำที่
1 เรือลำจริงน่าจะติดตั้งอาวุธและเรดาร์ใกล้เคียงเรือในภาพประกอบ
หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 2
กระบอก ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AESA
จำนวน 4 ตัวฝังรอบเสากระโดง
กลางเรือคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบและอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
ห้องตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำซ่อนอยู่สองกราบเรือ
ส่วนระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดบนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ น่าจะเป็น Millennium
Gun เหมือนเรือฟริเกต Sigma 10514
รวมทั้งมีเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกลเพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว
เรือฟริเกต Arrowhead
140 คือก้าวกระโดดสำคัญของอุตสาหกรรมสร้างเรือประเทศอินโดนีเซีย
เรือฟริเกต
PPA
วันที่ 28 มีนาคม 2024 บริษัท Fincantieri
ประเทศอิตาลีและกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย ลงนามร่วมกันในสัญญามูลค่า
1.18 พันล้านยูโร เพื่อจัดหาเรือฟริเกต PPA
ในกรณีพิเศษให้กับกองทัพเรืออินโดนีเซียจำนวน 2 ลำ โดยการโอนเรือ Marcantonio
Colonna (P434) กับเรือ Ruggiero di Lauria (P435)
ซึ่งเป็นของกองทัพเรืออิตาลี
ให้กับลูกค้าเงินถุงเงินถังคนสำคัญจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เรือทั้งสองลำเป็นเรือฟริเกต PPA
รุ่น Light+ ระวางขับน้ำปรกติ 4,994 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 6,270 ตัน ยาว 143 เมตร
กว้าง 16.5 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG ความเร็วสูงสุด
31.6 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว
15 นอต
การสั่งซื้อเรือครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
กองทัพเรืออินโดนีเซียเคยมีข่าวอยากได้เรือฟริเกต FREMM เวอร์ชันอิตาลีจำนวน 6-8 ลำ
แต่แล้วปุบปับกลับจัดหาเรือฟริเกต PPA และได้เรือที่สร้างเสร็จแล้วจากกองทัพเรืออิตาลี
ผู้เขียนมีความเห็นเกี่ยวข้องกับดีลหยุดโลกประจำปี 2024 ตามนี้
1.เศรษฐกิจอินโดนีเซียอยู่ในช่วงขาขึ้น
รัฐบาลจึงเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ
2.สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ไม่ดีเอาเสียเลย
แม้อินโดนีเซียไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรงกับจีนหรือสหรัฐอเมริกา แต่พวกเขาจำเป็นต้องมีเรือรบขนาดใหญ่ใช้เป็นไม้เท้าตีสุนัข
และควรได้รับเรือให้เร็วที่สุดไม่ใช้รอสร้างเรือไปอีก 5 ปีเหมือนดั่งเรือฟริเกต
Arrowhead 140
3.บริษัท Fincantieri เล็งเห็นช่องทางทำมาหากินกับลูกค้าใหม่ จึงยื่นข้อเสนอขายเรือฟริเกต PPA
ให้กับอินโดนีเซีย รวมทั้งเป็นคนกลางช่วยเจรจากับรัฐบาลทั้งสองฝ่าย
4.กองทัพเรืออินโดนีเซียบังเอิญได้ส้มหล่นจำเป็นต้องรีบคว้าไว้
เบื้องลึกเบื้องหลังดีลหยุดโลกน่าจะเป็นไปตามนี้
เรามาพิจารณาเรือฟริเกต PPA เวอร์ชันอินโดนีเซียลำจริงกันให้ละเอียดตามภาพประกอบที่
6
หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO
127/64 Vulcano หน้าสะพานเดินเรือติดตั้งท่อยิงแนวดิ่ง
SYLVER A50 จำนวน 16 ท่อยิง
สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aster 15/30 หรือ Albatross
NG ถัดไปเล็กน้อยคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน
8 ท่อยิง อินโดนีเซียคงติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40
Exocet Block III ในภายหลัง กลางเรือติดปืนกลอัตโนมัติขนาด
30 มม.จำนวน 2 กระบอก หลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด
OTO 76/62 Sovraponte หายไป
อินโดนีเซียคงติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium Gun ในภายหลัง
เรือฟริเกต PPA
รุ่น Light+ ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Phase
Array รุ่น KRONOS C-band จำนวน 4 ตัว แต่ไม่มีเรดาร์ KRONOS X-band เหมือนดั่งรุ่น Full
ประสิทธิภาพจึงไม่เต็มร้อย ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ใช้รุ่น ZEUS
System ซึ่งมีทั้งระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ RESM และระบบก่อกวนคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ RECM ส่วนระบบปราบเรือดำน้ำปรกติเรือฟริเกต
PPA รุ่น Light+ มีพื้นที่รองรับแต่ไม่ได้ติดตั้ง
ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรืออินโดนีเซียได้โซนาร์ลากท้ายกับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเพิ่มเติมหรือไม่
เรือฟริเกต PPA ทั้ง 2 ลำพร้อมส่งมอบภายในปี 2025
โครงการในอนาคต
อินโดนีเซียเพิ่งจัดหาเรือฟริเกตขนาดมากกว่า
3,000
ตันได้เพียง 4 ลำ ยังขาดอีก 4 ลำถือเป็นชาติใหญ่ในย่านอาเซียนที่เนื้อหอมเอามากๆ บริษัทสร้างเรือหลายรายแวะเวียนมาเยี่ยมชนิดหัวกระไดไม่แห้ง
แบบเรือซึ่งอาจได้รับการคัดเลือกในอนาคตประกอบไปด้วย
-เรือฟริเกต FDI
เดือนพฤษภาคม 2024
เจ้าหน้าที่บริษัท Naval Group ประเทศฝรั่งเศสเดินทางมานำเสนอแบบเรือฟริเกต
FDI ต่อกองทัพเรืออินโดนีเซีย โดยมีออปชันเสริมเรือลำที่ 1
สร้างในฝรั่งเศส เรือลำถัดไปสร้างในอินโดนีเซียพร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยี
รวมทั้งมีออปชันพิเศษเรือลำที่ 1 พร้อมส่งมอบภายในเวลา 24
เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริงเพราะ Naval Group กำลังสร้างเรือฟริเกต FDI จำนวนมากให้กับกองทัพเรือฝรั่งเศสและกรีซ
ตัวเลือกจากฝรั่งเศสมีความเป็นไปได้ก็จริงแต่ค่อนข้างน้อย
ฝรั่งเศสต้องมีออปชันที่ดีมากเป็นตัวช่วยในการขายเรือ เหตุผลก็คือราคาเรือค่อนข้างแพงเพราะติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์
Sea
Fire 4D ฝังรอบเสากระโดง
-เรือฟริเกต Mogami
ญี่ปุ่นอยากขายเรือฟริเกต Mogami ให้กับอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2021 ความพยายามล่าสุดมาพร้อมข้อเสนอสร้างเรือในอินโดนีเซียทุกลำพร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ว่ากันตามจริงถือเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร
ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นไม่เคยขายเรือรบให้กับต่างชาติแม้แต่ลำเดียว
ถือเป็นมือใหม่หัดขายอาจประสบปัญหาวุ่นวายขายปลาช่อน เหมือนดั่งสมัยเกาหลีใต้ขายเรือรบครั้งแรกให้กับกองทัพเรือบังกลาเทศ
แต่ถ้าเราตัดความเสี่ยงเรื่องพ่อค้าป้ายแดงออก
เรือฟริเกต Mogami
เป็นตัวเลือกที่ผู้เขียนให้คะแนนความเป็นไปอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบ
ถ้ารัฐบาลญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือเป็นเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำพร้อมของแถมโน่นนั่นนี่
เราอาจเห็นเรือรบจากดินแดนอาทิตย์อุทัยพากันแล่นฉิวรอบเกาะชวาก็เป็นได้
-เรือฟริเกต Arrowhead 140 เฟสสอง
ความเห็นส่วนตัวนี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดเหมาะสมมากที่สุด
แต่รัฐบาลและกองทัพเรืออินโดนีเซียต้องใจเย็นและใจแข็งพอสมควร
พวกเขาต้องสร้างเรือฟริเกต Arrowhead 140
เฟสแรกทั้ง 2 ลำให้เสร็จเรียบร้อยและเข้าประจำการเสียก่อน
จากนั้นจึงหันมาวิเคราะห์ความเหมาะสมก่อนตัดสินใจสั่งซื้อเรือจากอังกฤษเพิ่มอีกกี่ลำก็ว่ากันไป
-เรือฟริเกต Sigma 10514 เฟสสอง
มีความเป็นไปได้เช่นกันแต่ค่อนข้างน้อย
จะเกิดขึ้นในกรณีรัฐบาลต้องการประหยัดงบประมาณในการจัดหาเรือ
กองทัพเรืออินโดนีเซียจึงเลือกแบบเรือ Sigma 10514 รุ่นใหม่ซึ่งยาวกว่าเดิม 2 เมตร
ระวางขับน้ำปรกติเพิ่มเป็น 2,800 ตัน
ระวางขับน้ำสูงสุดมากกว่า 3,000 ตัน
ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA NG จำนวน 16
นัด เปลี่ยนมาใช้งานเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS100 ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม และติดตั้งโซนาร์ลากท้าย CAPTAS-2 ช่วยค้นหาเป้าหมายใต้น้ำไกลสุดมากถึง 60 กิโลเมตร
-เรือฟริเกต PPA เฟสสอง
ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยจนถึงน้อยมาก
บริษัท Fincantieri ไม่ชอบถ่ายทอดเทคโนโลยีสร้างเรือรบรุ่นใหม่ให้กับลูกค้า ที่ผ่านมามักใช้วิธีหักคอโดยการลดราคาสินค้าให้ต่ำกว่าคู่แข่ง
รัฐบาลและกองทัพเรืออินโดนีเซียจึงไม่น่าให้ความสนใจสักเท่าไร
-เรือพิฆาต Type 052D รุ่นส่งออก
จีนค่อนข้างจริงจังกับการขายเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศขนาด
6,000
ตัน โดยบอกออปชันเรือดำน้ำ S26T สร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่มีเครื่องยนต์ให้กับอินโดนีเซีย
(ก็ลำที่สร้างให้ไทยนั่นแหละครับ) เหตุผลก็คือปากีสถานลูกค้ารายใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด
ซื้ออาวุธจากจีนจำนวนมหาศาลจนเป็นหนี้ไปอีกหลายสิบปี เท่ากับว่านับจากวันนี้จะไม่มีคำสั่งซื้อจากปากีสถาน
จำเป็นต้องหาลูกค้ากระเป๋าหนักรายใหม่มาช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ความเป็นไปได้ผู้เขียนไม่กล้าให้คะแนน อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดไม่มีใครห้ามได้
บทสรุป
การจัดหาเรือฟริเกตจำนวน 16
ลำเป็นเรื่องยากมากจนถึงมากที่สุด อินโดนีเซียใช้เวลา 20 กว่าปียังจัดหาเข้าประจำการไม่ครบถ้วน
ระหว่างนี้มีความแปรปรวนของโครงการตลอดเวลา
แปรปรวนเสียจนผู้เขียนไม่กล้าแตะทำได้เพียงเฝ้ามองห่างๆ
กระทั่งเล็งเห็นแล้วว่าคงไม่มีเหตุการณ์คดีพลิกเกิดขึ้น
จึงตัดสินใจเขียนบทความถึงกองทัพเรืออินโดนีเซียเป็นครั้งแรก
โดยหวังว่าจะมีบทความที่สองบทความที่สามตามมาในอีกไม่ช้าไม่นาน
อ้างอิงจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_active_Indonesian_Navy_ships
https://en.wikipedia.org/wiki/Martadinata-class_frigate
https://www.reddit.com/r/WarshipPorn/comments/2p65e4/indonesias_sigma_class_corvette_built_in_the/
https://www.navalnews.com/naval-news/2023/08/indonesia-lays-keel-of-first-red-white-frigate/
https://x.com/gara_nam/status/1878779191833108957
https://x.com/The_Ascalon/status/1862744898472157691