วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

Zeta 60E Large Patrol Vessel

  

บริษัทมาร์ซันประเทศไทยพัฒนาเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่รุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อเจาะตลาดส่งออกหวังส่วนแบ่งจากเค้กก้อนใหญ่ และขยายกิจการให้มีขนาดใหญ่โตมากกว่าเดิม เป้าหมายหลักคือประเทศในทวีปเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกาใต้ รวมทั้งหมู่เกาะน้อยใหญ่ที่มีงบประมาณป้องกันประเทศค่อนข้างจำกัด

 แบบเรือตรวจการณ์รุ่นใหม่ถูกตั้งชื่อใหม่ว่า Zeta 60E (E ย่อจากคำว่า Export) แม้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายเรือตระกูล Sigma จากเนเธอร์แลนด์หลายส่วนรวมทั้งปล่องระบายความร้อนคู่ ทว่าแบบเรือถูกพัฒนาจากเรือตรวจการณ์ระยะปานกลาง M58 และถือเป็นเรือลำแรกของตระกูล Zeta ซึ่งจะเป็นเครื่องหมายการค้าบริษัทมาร์ซันไปอีกยาวนาน

 หลังจากนี้ไม่กี่ปีบริษัทมาร์ซันจะพัฒนาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง Zeta 80 และ Zeta 90 เรือคอร์เวต Zeta 100 ปิดท้ายด้วยเรือฟริเกต Zeta 110 กับ Zeta 120 ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมากที่สุด เท่ากับว่าเรือตระกูลนี้จะมีขนาดให้ลูกค้าเลือกใช้งานมากถึง 6 รุ่น

 แบบเรือ M58 ถูกขยายทุกสัดส่วนเพื่อเพิ่มพื้นที่ติดอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ระวางขับน้ำสูงสุดเท่ากับ 640 ตัน ความยาวเพิ่มขึ้นจาก 58 เมตรเป็น 63.4 เมตร ความกว้างเพิ่มขึ้นจาก 9.3 เมตรเป็น 9.7 เมตร กินน้ำลึกสุด  3.2 เมตรในรุ่นปราบเรือดำน้ำ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด : 4,200 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ความเร็วสำหรับการใช้ระบบโซนาร์ : 12 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน (เพราะมีการขยายพื้นที่จัดเก็บเชื้อเพลิง อาหาร และน้ำดื่ม) ลูกเรือจำนวน 34-38 นาย

 ตั้งแต่หัวเรือจรดท้ายติดราวกับตกแบบทึบ ใช้สะพานเดินเรือแบบมองเห็น 360 องศา พื้นที่ด้านหน้ามีจุดติดอาวุธจำนวน 1 ถึง 2 จุดขึ้นอยู่กับชนิดอาวุธ กลางเรือเป็นพื้นที่ว่างสำหรับรับส่งสิ่งของระหว่างเรือหรือทางอากาศ ปล่องระบายความร้อนคู่รูปทรงสวยงามขนาดกำลังเหมาะสม ด้านหลังปล่องระบายความร้อนมีจุดติดตั้งอาวุธอีกหนึ่ง 1 จุด

 พื้นที่ท้ายเรือเป็นจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5.2 เมตรจำนวน 2 ลำ ต่อกันด้วยทางขึ้นลงดาดฟ้าเรือชั้นล่างซึ่งเป็นห้องพักลูกเรือ จากนั้นจึงเป็นจุดติดอาวุธท้ายเรือซึ่งถูกขยายความยาวมากกว่าเดิม ด้านบนใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ในการทำภารกิจรอง ด้านล่างเพิ่มพื้นที่พักผ่อนสำหรับลูกเรือและพื้นที่จัดเก็บอาหารกับน้ำดื่ม

 มีการกำหนดแบบเรือให้ลูกค้าเลือกใช้งาน 4 เวอร์ชันประกอบไปด้วย

        

1.เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์

        หัวเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 mm Mk4 จำนวน 1 กระบอก สามารถปรับเปลี่ยนเป็นปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ได้ ข้างสะพานเดินเรือติดตั้งปืนกล 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก (ในภาพผู้เขียนไม่ได้ใส่เพราะใส่แล้วไม่สวย) หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Nexter Narwhal ขนาด 20 มม.จำนวน 1 กระบอก โดยมีออปชันเสริมตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบพร้อมเครนอเนกประสงค์ บริเวณพื้นที่ว่างท้ายเรืออันเป็นจุดติดตั้งที่เหมาะสมมากที่สุด

 ระบบตรวจจับประกอบไปด้วย เรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติหรือ 3 มิติได้ ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงจำนวน 1 ตัว ระบบอำนวยการรบและระบบดาต้าลิงก์เลือกได้ว่าจะติดหรือไม่ติด กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์เลือกได้เช่นกันว่าจะติดหรือไม่ติด แบบเรือเวอร์ชันนี้คาดว่าจะขายดีมากที่สุด

         

2.เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ

         การติดตั้งระบบอาวุธมากกว่าเดิมประกอบไปด้วย หลังปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 mm Mk4 ติดตั้งแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan ขนาด 6 ท่อยิง ระยะยิงไกลสุด 2,000 เมตร ระยะยิงลึกสุด 300 เมตร ถ้าลูกค้าเลือกใช้งานปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จะติดแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan ไม่ได้เพราะมีพื้นที่ว่างไม่เพียงพอ ข้างสะพานเดินเรือติดตั้งปืนกล 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งแท่นยิง Simbad-RC ขนาด 4 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิงไกลสุด 7 กิโลเมตร ท้ายเรือติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Shyena ระยะยิง 19 กิโลเมตรขนาดสามท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง

         จรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan มีหน้าที่ปิดช่องว่างการไล่ล่าเรือดำน้ำในเขตน้ำตื้น แม้ไม่อาจทำลายเป้าหมายแต่ยังช่วยกดดันให้เรือดำน้ำแล่นออกห่างเพื่อเอาตัวรอด จรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan ยังช่วยจัดการเรือดำน้ำขนาดเล็กที่แอบเข้าใกล้ฐานทัพเรือหรือสถานที่สำคัญ รวมทั้งยานใต้น้ำไร้คนขับติดอาวุธซึ่งเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยการตั้งค่าระเบิดให้ลึกน้อยที่สุดก่อนโจมตีจำนวน 6 นัดพร้อมกัน จะเกิดการระเบิดในวงกว้างสร้างความเสียหายต่อยานใต้น้ำไร้คนขับติดอาวุธฝ่ายตรงข้าม

         มีการติดตั้งระบบอำนวยการรบ ระบบดาต้าลิงก์ ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง และเรดาร์ตรวจการณ์  3 มิติตามความต้องการลูกค้า ระบบโซนาร์หัวเรือเลือกใช้งาน HUMSA HMS-X จากอินเดียเพราะมีขนาดไม่ใหญ่เกินไป พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงขนาด 130 มม.รุ่นหกท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง ใช้งานได้ทั้งเป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถีและเป้าลวงตอร์ปิโด เพียงแต่ไม่มีการติดตั้งระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์หรือ ESM

               

3.เรือตรวจการณ์ปราบเรือผิวน้ำ

         เป็นการนำเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำมาปรับปรุงเพิ่มเติม โดยการติดตั้งระบบดักจับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์หรือ ESM บนเสากระโดง เปลี่ยนแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan เป็นแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้น Spike NLOS ขนาดแปดท่อยิง เปลี่ยนแทนยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Shyena เป็นแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Marte ER ขนาดแปดท่อยิง โดยไม่ลืมถอดโซนาร์หัวเรือ HUMSA HMS-X ออกเพราะไม่ได้ใช้งาน เท่ากับว่าบนเรือมีอาวุธปล่อยนำวิถีพร้อมใช้งานมากถึง 20 นัด

 

Spike NLOS ระยะยิงไกลสุด 32 กิโลเมตรสำหรับจัดการเป้าหมายขนาดเล็ก Marte ER ระยะยิงไกลสุด 100 กิโลเมตรสำหรับจัดการเป้าหมายขนาดใหญ่ หัวรบขนาด 70 กิโลกรัมจมเรือขนาด 600 ตันได้ในการยิงนัดเดียว และทำให้เรือขนาด 1,500 ตันหมดสภาพเกิดความเสียหายอย่างหนัก ทั้ง Spike NLOS และ Marte ER ใช้โจมตีเป้าหมายบนชายฝั่งได้อีกหนึ่งภารกิจ ราคาย่อมเยากว่า Harpoon Block 2 ค่อนข้างมาก สามารถจัดหามาใช้งานได้มากกว่าโดยไม่ต้องตัดงบประมาณส่วนอื่นของกองทัพ

            

4.เรือตรวจการณ์ติดอาวุธ 3 มิติ

         เป็นการนำเรือตรวจการณ์ปราบเรือผิวน้ำมาปรับปรุงเพิ่มเติม โดยการเปลี่ยนแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้น Spike NLOS เป็นแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan และติดตั้งโซนาร์นาร์ Simrad SP96MKII ระยะตรวจจับ 3,600 เมตรเพิ่มเติมเข้ามา กลายเป็นเรือตรวจการณ์ติดอาวุธ 3 มิติคู่แข่งสำคัญเรือตรวจการณ์ P1200 จากทูร์เคีย

         จรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan อาจมีระยะยิงค่อนข้างสั้นเพียง 2,000 เมตร ลูกจรวดหนัก 35.5 กิโลกรัมหัวรบขนาด 12 กิโลกรัมถือว่าเล็กมาก แต่ถึงกระนั้นถ้าโดนเข้าไปสักนัดเรือดำน้ำเจ้ากรรมอาจเกิดความเสียหาย เหมาะสมกับประเทศเบี้ยน้อยหอยน้อยไม่มีเงินซื้อตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำราคานัดละ 2 ล้านยูโร

 บทสรุป

         เรือตรวจการณ์ Zeta 60E เป็นเรือที่ผู้เขียนแต่งแต้มเติมฝันขึ้นมาเอง ไม่มีวางขายจริงนอกเสียจากมาร์ซันเห็นดีเห็นงามตามกันแล้วแอบลอกการบ้าน เป็นแบบเรือที่สามารถติดอาวุธได้ถึง 6 จุดประกอบไปด้วย หัวเรือ 2 จุด ข้างสะพานเดินเรือ 2 จุด และท้ายเรืออีก 2 จุด ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับลูกค้าว่าอยากติดอาวุธหรืออยากใช้เป็นเรืออเนกประสงค์

         เนื่องจากเรือตรวจการณ์ Zeta 60E มีรูปทรงสวยงามล้ำสมัยเทียบเท่าเรือชาติอื่น จึงเหมาะสมกับการส่งไปแข่งขันแย่งชิงลูกค้าจากบริษัทยักษ์ใหญ่ ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญมากที่สุดก้าวหนึ่ง ในการขายเรือตรวจการณ์เมดอินไทยแลนด์ให้ดังกระหึ่มทั่วโลก

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

Sattahip-Class Replacement Program

  

วันที่ 30 กันยายน 2567 กองทัพเรือประกอบพิธีปลดประจำการเรือหลวงท้ายเหมืองและเรือหลวงกันตัง ทั้งสองลำเป็นเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบซึ่งกองทัพเรือจัดหามาใช้งานจำนวน 6 ลำ ส่งผลให้เรือตรวจการณ์ขนาดปานกลางราชนาวีไทยลดจำนวนลงจาก 10 ลำเหลือ 8 ลำ และมีแนวโน้มจะลดเหลือ 4 ลำภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เนื่องจากเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบลำที่เหลืออีก 4 ลำมีอายุตั้งแต่ 38 ถึง 51 ปี ฉะนั้นโครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ความยาว 50 เมตรขึ้นไปจำเป็นต้องมา

 บทความนี้ผู้เขียนจะสรรหาแบบเรือลำใหม่ให้กับลูกประดู่ไทย โดยใช้แผนการง่ายๆ เหมือนที่เคยจัดหาเรือตรวจการณ์ขนาดปานกลางทุกลำในอดีต เริ่มต้นจากคัดเลือกแบบเรือที่เหมาะสมมากที่สุด จากนั้นจึงซื้อแบบเรือนำมาให้กรมอู่ทหารเรือและบริษัทเอกชนช่วยกันสร้าง ผู้เขียนขอแบ่งการจัดหาเรือออกเป็น 2 เฟสเฟสละ 3 ลำ เฟสที่หนึ่งกรมอู่ทหารเรือสร้างจำนวน 1 ลำ บริษัทเอกชนสร้างจำนวน 2 ลำ เฟสที่สองบริษัทเอกชน 2 แห่งช่วยกันสร้างเรือจำนวน 3 ลำ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพื่อให้กรมอู่ทหารเรือยังคงมีความรู้ความสามารถในการสร้างเรือ

ผู้เขียนขอแนะนำแบบเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์จำนวน 6 ลำประกอบไปด้วย

1.เรือตรวจการณ์ CPV 50 จากบริษัท Fassmer ประเทศเยอรมัน (ตามภาพประกอบที่หนึ่งและสอง)



เรือมีระวางขับน้ำ 400 ตัน ยาว 50.9 เมตร กว้าง 8.3 เมตร กินน้ำลึก 2.1 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2,500 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด  4,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต ออกทะเลได้นานสุดมากกว่า 21 วัน พูดง่ายๆ ก็คือมีอาหารและน้ำดื่มมากพอสำหรับลูกเรือเป็นเวลา 3 สัปดาห์ (ตัวเลขจะแปรผันกับยอดรวมกำลังพล เรือลำไหนใช้ลูกเรือน้อยกว่าย่อมออกทะเลได้นานกว่า)

หัวเรือค่อนข้างสูงใช้ราวกันตกแบบทึบเพิ่มความดุดัน ติดปืนกลอัตโนมัติ Sentinel 30 ขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอก ต่อกันด้วยวงกลมสีเหลืองสำหรับรับส่งสิ่งของหรือกำลังพลทางอากาศ ใช้สะพานเดินเรือแบบมองเห็น 360 องศาทั้งทันสมัยและมีประโยชน์ ถัดไปเป็นจุดติดตั้งปืนรองจำนวน 4 จุดรอบลำ โดยจะใช้ปืนกลขนาด 20 มม.รุ่น GAM-BO1 จากเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 2 กระบอกมาติดหลังเสากระโดง และใช้ปืนกลขนาด 12.7 มม.รุ่น M2 จากเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 2 กระบอกมาติดข้างสะพานเดินเรือ เท่ากับว่าเราเสียเงินซื้อปืนกลอัตโนมัติ Sentinel 30 เพียง 1 กระบอก

กองทัพเรือสามารถติดปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 mm Mk4 แทนที่ปืนกลอัตโนมัติ Sentinel 30 ที่หัวเรือได้ ข้อดีก็คือระยะยิงไกลกว่าเดิม ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม และใช้กระสุน 3P จัดการเป้าหมายอย่างชาญฉลาด โดยมีข้อเสียต้องจ่ายเงินมากกว่าเดิม และมีกระสุนพร้อมใช้งานลดลงกว่าเดิม เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการจัดหาอาวุธป้องกันตัวเอง

พื้นที่ท้ายเรือค่อนข้างต่ำเพื่อความเหมาะสมในการทำภารกิจ มีจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาดไม่เกิน 8.5 เมตรจำนวน 2 ลำ แต่เอาเข้าจริงใช้เพียงเรือยางท้องแข็งขนาด 5.5 เมตรก็พอราคาไม่แพงเกินไป ถัดไปเล็กน้อยคือพื้นที่ว่างขนาด 17 เมตร ถูกออกแบบให้วางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบพร้อมเครนอเนกประสงค์ สามารถทำภารกิจเสริมอาทิเช่นสำรวจอุทกศาสตร์หรือกวาดทุ่นระเบิดได้เป็นอย่างดี หรือปรับเปลี่ยนเป็นแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 นัดตามความต้องการ

ข้อดีของเรือตรวจการณ์ CPV 50 ก็คือเป็นแบบเรือง่ายๆ ราคาไม่แพง ทำภารกิจได้อย่างหลากหลาย มีออปชันครบถ้วนสมกับเป็นเรือเยอรมัน ระยะปฏิบัติการมากกว่าเรือขนาดเท่ากัน ออกทะเลได้นานสุดมากถึง 21 วัน ส่วนข้อเสียเท่าที่เห็นมีด้วยกัน 2 ประการ หนึ่งยังไม่มีการสร้างจริงแม้แต่ลำเดียว และสองขนาดเล็กกว่าเรือคู่แข่งทุกลำ

2.เรือตรวจการณ์ OPV 60 BLUE WATER จากบริษัท Fassmer ประเทศเยอรมัน (ตามภาพประกอบที่สามและสี่)


เรือมีระวางขับน้ำ 800 ตัว ยาว 60.5 เมตร กว้าง 11.0 เมตร กินน้ำลึก 3.5 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2,500 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัวพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ความเร็วสูงสุด 22 ถึง 26 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด  6,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต ออกทะเลได้นานสุด 30 วัน แบบเรือมีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือมากกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งหลายลำ

ผู้เขียนขอเปรียบเทียบกับเรือ River Batch 2 จากบริษัท BAE System ประเทศอังกฤษ เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 90 เมตรมีระยะปฏิบัติการไกลสุด  5,500 ไมล์ทะเล  และออกทะเลได้นานสุด 35 วัน เทียบกันแล้วเรือตรวจการณ์ OPV 60 BLUE WATER มีระยะปฏิบัติการไกลกว่า 500 ไมล์ทะเล เรือตรวจการณ์จากเยอรมันไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

หัวเรือค่อนข้างสูงใช้ราวกันตกแบบทึบเพิ่มความดุดัน ติดปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 mm Mk4 จำนวน 1 กระบอก หรืออาจเปลี่ยนเป็นปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid รุ่นยอดนิยม ใช้สะพานเดินเรือแบบมองเห็น 360 องศาตามสมัยนิยม  ถัดจากเสากระโดงมีปล่องระบายความร้อนขนาดกะทัดรัดจำนวน 2 ปล่อง ต่อด้วยจุดติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 นัด มีจุดติดตั้งปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 4 กระบอก

พื้นที่กลางสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการลูกค้า อาทิเช่นถอดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบออก ด้านล่างสร้างโรงเก็บอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็ก ส่วนด้านบนติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอก มีปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอกข้างสะพานเดินเรือ ซึ่งมีความเหมาะสมกับราชนาวีไทยมากว่าแบบเรือดั้งเดิม ที่ถูกออกแบบให้เป็นเรือตรวจการณ์ติดอาวุธหนักจนดูคล้ายเรือคอร์เวต

ท้ายเรือสร้างลานจอดยาว 21 เมตรกว้าง 11 เมตรพร้อมห้องควบคุมอากาศยาน รองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 11 ตันได้อย่างสบาย พื้นที่อเนกประสงค์ใต้ลานจอดสามารถวางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 4 ใบพร้อมเรือยางท้องแข็งขนาดไม่เกิน 8.5 เมตรจำนวน 1 ลำ หรือปรับเปลี่ยนเป็นเรือยางท้องแข็งขนาดไม่เกิน 8.5 เมตรจำนวน 2 ลำ หรือปรับเปลี่ยนเป็นติดตั้งโซนาร์ลากท้ายปราบเรือดำน้ำขนาดเล็กจากยุโรป

เรือตรวจการณ์ OPV 60 BLUE WATER ทั้งอเนกประสงค์และมีเขี้ยวเล็บแหลมคม เพียงแต่ออปชันออกจะเกินหน้าเกินตาเรือตรวจการณ์ขนาดปานกลางโดยทั่วไป โดยเฉพาะลานจอดเฮลิคอปเตอร์ไม่เหมาะสมกับเราสักเท่าไร เนื่องจากกองทัพเรือไทยมีอากาศยานปีกหมุนจำนวนจำกัด ข้อดีมีเยอะมากจนผู้เขียนบรรยายไม่หวาดไม่ไหว ส่วนข้อเสียหนึ่งยังไม่มีการสร้างจริงแม้แต่ลำเดียว และสองราคาน่าจะแพงกว่าเรือคู่แข่งทุกลำ

3.เรือตรวจการณ์ P1200 จากบริษัท Dearsan ประเทศทูร์เคีย (ตามภาพประกอบที่ห้าและหก)

เรือมีระวางขับน้ำ 377 ตัน ยาว 56.9 เมตร กว้าง 8.9 เมตร กินน้ำลึก 2.51 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU 16V 4000 M90 ขนาด 2,720 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุดมากกว่า 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด  2,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ความเร็วสำหรับใช้งานโซนาร์ 12 นอต ออกทะเลได้นานสุดมากกว่า 3 วัน ใช้ลูกเรือจำนวน 32 นาย

จากข้อมูลเบื้องต้นเรือตรวจการณ์ P1200 ติดเครื่องยนต์ตัวแรงสมรรถนะสูง แต่มีระยะปฏิบัติการกับระยะเวลาออกทะเลค่อนข้างสั้นใกล้เคียงเรือเร็วโจมตีอาวุธปล่อยนำวิถี เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากกองทัพเรือทูร์เคียใช้เป็นเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ ต้องการความแคล่วคล่องกับระบบอาวุธมากกว่าระยะเวลาปฏิบัติภารกิจ รวมทั้งเป็นแบบเรือค่อนข้างเก่าตั้งแต่ปี 2004 จึงมีคุณสมบัติแตกต่างจากเรือตรวจการณ์ยุคใหม่จากเยอรมัน

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย หัวเรือติดปืนกลอัตโนมัติขนาด 40 มม.ลำกล้องแฝดรุ่น OTO DARDO จำนวน 1 กระบอก กลางเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.รุ่น STAMP จำนวน 2 กระบอก ท้ายเรือติดตั้งแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan ขนาด 6 ท่อยิง ระยะยิงไกลสุด 2,000 เมตร ระยะยิงลึกสุด 300 เมตร ทำงานร่วมกับโซนาร์ Simrad SP92MKII จากบริษัท Kongsberg ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งปรับปรุงจากโซนาร์จับปลาระยะตรวจจับไกลสุด 3,000 เมตร บั้นท้ายเรือยังมีรางปล่อยทุ่นระเบิดอีก 1 ราง

เรือตรวจการณ์ P1200 มียอดผลิตมากถึง 26 ลำ เรือทูร์เคียจำนวน 16 ลำติดอาวุธค่อนข้างมากแล้ว แต่เรือเติร์กเมนิสถานจำนวน 10 ลำติดอาวุธมากกว่าตามภาพประกอบที่หก โดยการโยกแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan มาอยู่ด้านหลังปืนกลอัตโนมัติ OTO DARDO พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือติดตั้งแท่นยิง Simbad-RC ขนาด 2 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral ระยะยิงไกลสุด 7 กิโลเมตร โยกปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.รุ่น STAMP จำนวน 2 กระบอกมาอยู่หน้าเสากระโดง ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.รุ่น STOP จำนวน 2 กระบอกหลังเสากระโดง ถัดไปเล็กน้อยคือแท่นยิง Simbad-RC แท่นที่สองบริเวณท้ายเรือ ปิดท้ายด้วยแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Otomat Mk 2 Block IV จำนวน 4 ท่อยิง

การปรับปรุงส่งผลให้เติร์กเมนิสถานได้ใช้งานเรือตรวจการณ์ติดอาวุธครบ 3 มิติที่แท้จริงชาติเดียวบนโลก ไม่มีเรือตรวจการณ์ขนาด 57 เมตรลำไหนโหดชาติหินเทียบเท่าลำนี้ เพราะมีทั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ และจรวดปราบเรือดำน้ำ ส่วนอาวุธปืนมีทั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 40 มม. ขนาด 25 มม.และขนาด 12.7 มม. ระบบอาวุธบนเรือมากกว่าเรือรบหลายชาติโดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา

ข้อดีของเรือตรวจการณ์ P1200 คือติดอาวุธครบ 3 มิติได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีความคล่องตัวสูง ทำความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นอันดับต้นๆ และมีการสร้างเรือเข้าประจำการมากเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนข้อเสียก็คือระยะปฏิบัติการกับระยะเวลาออกทะเลค่อนข้างสั้น ค่าใช้จ่ายในการใช้งานและซ่อมบำรุงสูงกว่าเรือคู่แข่ง ไม่มีความอเนกประสงค์เหมือนดั่งเรือคู่แข่ง ปิดท้ายด้วยมีเรือยางท้องแข็งขนาดไม่เกิน 4.5 เมตรไว้ใช้งานเพียง 1 ลำ

4.เรือตรวจการณ์ M58 จากบริษัทมาร์ซันประเทศไทย (ตามภาพประกอบที่เจ็ดและแปด)

เรือมีระวางขับน้ำ 520 ตัน ยาว 58 เมตร กว้าง 9.3 เมตร กินน้ำลึก 2.5 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซล CAT 3516 C ขนาด 2,525 กิโลวัตต์ จำนวน 3 ตัว ความเร็วสูงสุด 24 นอต (เรือจริงความเร็วสูงสุดเหลือเพียง 23 นอตเพราะหนักอาวุธ) ระยะปฏิบัติการไกลสุด  2,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็วเดินทาง ออกทะเลได้นานสุดไม่น้อยกว่า 7 วัน ใช้ลูกเรือจำนวน 53 นาย มีเรือยางท้องแข็งขนาดไม่เกิน 4.5 เมตรไว้ใช้งานจำนวน 2 ลำ

ผู้เขียนขอเปรียบเทียบประสิทธิภาพเรือตรวจการณ์ M58 จากประเทศไทย กับเรือตรวจการณ์ CPV 50  และ OPV 60 BLUE WATER จากประเทศเยอรมัน

เรื่องแรกระยะปฏิบัติการไกลสุด

-M58 เท่ากับ 2,500 ไมล์ทะเล

-CPV 50 เท่ากับ 4,000 ไมล์ทะเล

-OPV 60 BLUE WATER เท่ากับ 6,000 ไมล์ทะเล

หัวข้อนี้เรือเราถูกทิ้งห่าง 8 เสาไฟ

เรื่องที่สองออกทะเลได้นานสุด

-M58 ไม่น้อยกว่า 7 วัน

-CPV 50 เท่ากับ 21 วัน

-OPV 60 BLUE WATER เท่ากับ 30 วัน

หัวข้อนี้เรือเราถูกทิ้งห่าง 8 เสาไฟเช่นเดียวกัน สู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ต้องยอมรับ

เรือตรวจการณ์ M58 เข้าประจำการแล้วจำนวน 1 ลำได้แก่เรือหลวงแหลมสิงห์ หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact มือสองจำนวน 1 กระบอก กลางเรือติดปืนกลขนาด 12.7 มม.รุ่น M2 จำนวน 2 กระบอก ท้ายเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.รุ่น DS3OM Mk2 จำนวน 1 กระบอก ราคาเรือเปล่าอยู่ที่ 699 ล้านบาท ราคาเรือรวมระบบอาวุธและระบบอำนวยการรบเท่ากับ 1,200 ล้านบาท นี่คือราคาในการจัดหาปีงบประมาณ 2557 การสร้างเรือแบ่งออกเป็น 2 เฟสระยะเวลารวมทั้งสิ้น 23 เดือน อาจไม่เร็วเทียบเท่าบริษัทสร้างเรือขนาดใหญ่หรือประเทศจีน แต่ไม่ถือว่าช้าเกินเพราะเป็นการสร้างโดยกรมอู่ทหารเรือ ถ้าให้บริษัทเอกชนสร้างน่าจะเร็วกว่าเดิมเป็นเวลาหลายเดือน

เรามาพิจารณาภาพประกอบที่แปดซึ่งเป็นภาพกราฟิกเรือตรวจการณ์ M58 การติดอาวุธเหมือนเรือตรวจการณ์และเรือเร็วโจมตีอาวุธปล่อยนำวิถียุคก่อนปี 2000 มีปืนหลักอยู่ที่หัวเรือ มีปืนรองอยู่ที่ท้ายเรือ พื้นที่กลางเรือสำหรับแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ โชคร้ายเรือตรวจการณ์ M58 ติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบไม่ได้ เหตุผลก็คือมีท่อระบายอากาศกับท่อดูดอากาศติดตั้งอยู่บนดาดฟ้าเหนือห้องเครื่องยนต์ทั้งสองกราบเรือ

ภาพกราฟิกขนาดท่อค่อนข้างเล็กดูไม่เกะกะเกินไป แต่ในเรือจริงท่อขนาดค่อนข้างใหญ่กินพื้นที่มากพอสมควร ส่งผลให้เรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบไม่ได้ วางตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตได้เพียง 1 ใบ และติดตั้งเครนอเนกประสงค์สำหรับรับส่งยานใต้น้ำไร้คนขับไม่ได้ กลายเป็นจุดตายทำให้เรือขาดทั้งอาวุธหนักและความอเนกประสงค์

ผู้อ่านอาจคิดค้นหาหนทางแก้ไขว่า เราติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบใกล้ปืนกล DS3OM Mk2 ก็ได้ มีกล่องอยู่ใบหนึ่งไม่น่ามีประโยชน์ถอดออกไปเถอะ ข้อเท็จจริงกล่องใบนี้คือทางขึ้นลงดาดฟ้าเรือชั้นล่างซึ่งเป็นห้องพักลูกเรือ ไม่สามารถถอดออกและไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่อื่น ให้ลูกเรือเดินผ่านห้องเครื่องยนต์มาขึ้นดาดฟ้าบริเวณกลางเรือก็ทำไม่ได้ M58 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 3 ตัวกินพื้นที่มากกว่าเรือลำอื่นที่ใช้เพียง 2 ตัว

ถ้าเรือตรวจการณ์ M58 อยากชนะโครงการแบบขาวสะอาดไร้มลทิน บริษัทมาร์ซันต้องปรับปรุงเรือเยอะมากจนน่าปวดหัว ทั้งเรื่องประสิทธิภาพในการทำภารกิจ และติดตั้งระบบอาวุธทันสมัยหรือออปชันเสริมเพื่อทำภารกิจรอง

5.เรือตรวจการณ์ OPV 60M จากบริษัท PIRIOU ประเทศฝรั่งเศสตามภาพประกอบที่เก้าและสิบ

เรือมีระวางขับน้ำ 620 ตัน ยาว 62.2 เมตร กว้าง 9.5 เมตร กินน้ำลึก 2.9 เมตร .ใช้เครื่องยนต์ดีเซลไม่ทราบรุ่นไม่ทราบจำนวน ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ใช้ลูกเรือมากสุด 36 นาย มีพื้นที่รองรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษอีก 12 นาย

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2024 รัฐบาลมอนเตเนโกรสั่งซื้อเรือตรวจการณ์ OPV 60M จากบริษัท PIRIOU ไปใช้งานจำนวน 2 ลำ ก่อนหน้านี้กองทัพเรือเซเนกัลจัดหาเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถี OPV 58S ซึ่งปรับปรุงจากแบบเรือ OPV 60M ไปใช้งานจำนวน 3 ลำ ยอดขายเรือตรวจการณ์จากฝรั่งเศสจึงเท่ากับ 5 ลำถือว่าดีพอสมควร เพราะเป็นแบบเรือค่อนข้างใหม่เพิ่งเปิดตัววางขายได้เพียงไม่กี่ปี

หัวเรือ OPV 60M มีความสูงเทียบเท่าเรือตรวจการณ์ M58 จากประเทศไทย ใช้ราวกันตกแบบทึบช่วยเสริมให้หัวเรือสูงมากกว่าเดิม จุดติดตั้งอาวุธบริเวณหัวเรือยกสูงขึ้นมาเทียบเท่าราวกันตก ติดอาวุธได้ถึง 2 จุดขึ้นอยู่กับความต้องการลูกค้า สร้างสะพานเดินเรือมองเห็น 360 องศาถอยร่นมาอยู่กลางเรือ ห้องพักลูกเรืออยู่บริเวณหัวเรือค่อนมาทางกลางเรือ ท้ายเรือถูกตัดเตี้ยลงเพิ่มออปชันเสริมในการทำภารกิจต่างๆ  เพราะไม่มีดาดฟ้าเรือชั้นล่างบริเวณท้ายเรือจึงไม่มีทางขึ้นลงรูปร่างคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมให้ดูเกะกะ

ระบบอาวุธที่คาดว่าจะติดตั้งกับเรือมอนเตเนโกรประกอบไปด้วย ปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 mm Mk4 จำนวน 1 กระบอก ทำงานร่วมกับออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Sagem Najir และปืนกลอัตโนมัติ Nexter Narwhal ขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอกที่สองกราบเรือใกล้เสากระโดง เพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอในการป้องกันตัวเอง

ภาพประกอบที่สิบคือเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถี OPV 58S ของกองทัพเรือเซเนกัล หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Marte MK2/N ระยะยิง 30 กิโลเมตรจำนวน 4 ท่อยิง (ภาพใหญ่ยังไม่ได้ติดตั้งแท่นยิง Marte MK2/N ถ้าติดแล้วจะเหมือนภาพเล็ก) ข้างเสากระโดงคือปืนกลอัตโนมัติ Nexter Narwhal ขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก ถัดไปเล็กน้อยคือเครนขนาดใหญ่สำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ตู้มาวางบนที่ว่างกลางเรือ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบเรียบไม่มีอุปกรณ์รกหูรกตาแม้แต่ชิ้นเดียว

ในกรณีไม่ใช้งานตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ทำภารกิจรอง สามารถใช้ที่ว่างเป็นลานจอดอากาศยานไร้คนขับปีกหมุนรุ่น S100 หรือรุ่นที่มีขนาดใกล้เคียงกัน

เห็นกล่องสี่เหลี่ยมสองใบขนาบข้างเครนกันบ้างหรือเปล่า สิ่งนี้ก็คือท่อระบายอากาศกับท่อดูดอากาศให้เครื่องยนต์เหมือนเรือหลวงแหลมสิงห์ แต่ฝรั่งเศสออกแบบได้ดีกว่าโดยใช้พื้นที่เพียงน้อยนิด เป็นจุดที่แบบเรือพัฒนาโดยคนไทยยังคงตามหลังบริษัทต่างชาติ

บริษัทมาร์ซันสมควรปรับปรุงแบบเรือ M58 Batch 2 ให้ได้ประมาณนี้

ถัดจากจุดวางตู้คอนเทนเนอร์คือแท่นยิง SIMBAD-RC ขนาด 2 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 (อนาคตจะมีรุ่น 4 ท่อยิงวางขายให้ลูกค้าเลือกใช้งาน) ท้ายเรือมี Stern Ramp สำหรับรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตรโดยไม่ต้องจอดเรือจำนวน 2 ลำ การส่งเรือเล็กไปสกัดกั้นเรือไม่ปรากฏสัญชาติจะใช้เวลาไม่กี่วินาที

ข้อดีของเรือตรวจการณ์ OPV 60M ก็คือ มีความอเนกประสงค์อย่างแท้จริง มีออปชันเสริมอย่างครบถ้วน อยากติดตั้งอาวุธหนักก็สามารถทำได้โดยไม่เคอะเขิน ส่วนข้อเสียก็คือเป็นเรือฝรั่งเศสซึ่งมีนิสัยผิดแปลกไปจากชาวบ้าน การเจรจาเพื่อขอซื้อแบบเรือค่อนข้างยุ่งยากกว่าเรือชาติอื่น แต่ราคาเรือตรวจการณ์ไม่แพงไปกว่าคู่แข่งทุกราย ไม่เช่นนั้นประเทศในทวีปแอฟริกาหรืออเมริกาใต้คงไม่จัดหาไปใช้งาน

 6.เรือตรวจการณ์ STAN PATROL 5509 จากบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์ตามภาพประกอบที่สิบเอ็ดและสิบสอง

ปัจจุบันหน่วยยามฝั่งกรีซซื้อเรือตรวจการณ์ STAN PATROL 5509 ไปใช้งานจำนวน 1 ลำ เรือมีระวางขับน้ำ 479 ตัน ยาว 57.4 เมตร กว้าง 9.4 เมตร กินน้ำลึก 3.3 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัวเลือกรุ่นได้ตามความต้องการ ถ้าลูกค้าเน้นประสิทธิภาพใช้เครื่องยนต์ MTU ความเร็วสูงสุด 29 นอต ถ้าลูกค้าเน้นประหยัดใช้เครื่องยนต์ CAT ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,400 ไมล์ทะเลที่ความเร็วสูงสุดไม่ระบุตัวเลข ออกทะเลได้นานสุดไม่มีข้อมูล ใช้ลูกเรือจำนวนมากสุด 30 นาย

ผู้เขียนมีข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจมาก เรือตรวจการณ์ CPV 50 กับ OPV 60 BLUE WATER จากเยอรมัน OPV 60M จากฝรั่งเศส และSTAN PATROL 5509 จากเนเธอร์แลนด์ ถูกออกแบบให้หัวเรือยกสูงท้ายเรือกดต่ำเหมือนกันทุกลำ เพียงแต่ OPV 60 BLUE WATER มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์จึงดูแตกต่างจากเรือลำอื่น ส่วน P1200 จากทูร์เคีย และ M58 จากประเทศไทยใช้รูปทรงปรกติหัวเรือท้ายเรือความสูงใกล้เคียงกัน ความอเนกประสงค์ของเรือจึงมีน้อยกว่าแบบเรือรุ่นใหม่พอสมควร

เรือตรวจการณ์ STAN PATROL 5509 มีความเหมือน OPV 60M มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ หัวเรือสร้างราวกับตกแบบทึบ จุดติดตั้งอาวุธยกสูงและติดอาวุธหน้าสะพานเดินเรือได้ถึง 2 จุด เพียงแต่บริษัท Damen ไม่เน้นติดอาวุธให้กับเรือตรวจการณ์ตัวเอง จุดติดอาวุธหัวเรือติดได้เพียงติดปืนกลอัตโนมัติขนาดไม่เกิน 30 มม. จุดติดอาวุธที่สองกลายเป็นวงกลมสีเหลืองเขียนคำว่า ‘Winch Only’ ใช้เป็นจุดรับส่งสิ่งของหรือกำลังพลทางอากาศ โดยเฮลิคอปเตอร์จะบินมาหย่อนเชือกให้กับลูกเรือตรงจุดนี้แหละครับ

สะพานเดินเรือมองเห็น 360 องศาถอยร่นมาอยู่กลางเรือ ห้องพักลูกเรืออยู่บริเวณหัวเรือค่อนมาทางกลางเรือ พื้นที่ท้ายเรือตั้งแต่หลังเสากระโดงค่อนข้างเตี้ยตามสมัยนิยม มีพื้นที่ว่างตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเรือยางท้องจำนวน 2 ลำตามความต้องการ ท้ายเรือมี Stern Ramp สำหรับรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 5 เมตรจำนวน 1 ลำ

เห็นแท่งสี่เหลี่ยมติด SATCOM ก่อนถึงเรือยางท้องแข็งหรือเปล่าครับ นี่คือท่อระบายอากาศกับท่อดูดอากาศให้กับเครื่องยนต์ซึ่งอยู่ค่อนมาทางกลางเรือ จากบทความนี้เราเห็นการติดตั้งท่อระบายอากาศกับท่อดูดอากาศมากถึง 3 แบบด้วยกันประกอบไปด้วย

1. M58 ใช้ท่อกลมขนาดใหญ่จำนวน 4 ท่อติดเหนือห้องเครื่องยนต์

2. OPV 60M ใช้กล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่จำนวน 2 ใบติดเหนือห้องเครื่องยนต์

3. STAN PATROL 5509 ใช้กล่องสี่เหลี่ยมค่อนข้างบางจำนวน 2 ใบ ติดค่อนมาทางท้ายเรือโดยการต่อท่อใต้ดาดฟ้าเรือมาจากห้องเครื่องยนต์

เรื่องที่ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ผู้ออกแบบ บริษัทจากฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ขายเรือตรวจการณ์ให้กับลูกค้าทั่วโลกยาวนานมากกว่า 50 ปี ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าบริษัทมาร์ซันซึ่งเคยขายเรือตรวจการณ์ขนาด 58 เมตรได้เพียง 1 ลำ โชคดีเรื่องพวกนี้สามารถพัฒนาและปรับปรุงได้ ผู้เขียนคาดหวังว่าอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลจะได้เห็นแบบเรือรุ่นใหม่ที่ดีกว่าเดิมจากมาร์ซัน

ภาพประกอบที่สิบสองมองเห็นหัวเรือแบบ Sea Axe ซึ่งทั้งสวยงามและสู้คลื่นลมแรงได้เป็นอย่างดี เรือตรวจการณ์ตระกูล STAN PATROL มีความสวยล้ำสมัยกว่าเรือคู่แข่งทุกลำ เนื่องจากหน่วยยามฝั่งกรีซไม่ใช้งานตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ กราบซ้ายของเรือจึงใส่เรือยางท้องแข็งขนาด 4 เมตรเพิ่มจำนวน 1 ลำ ส่วนกราบขวาปล่อยให้เป็นพื้นที่โล่งๆ มีสะพานขึ้นเรือหรือ Gangway แนบอยู่กับราวกันตก เสากระโดงรูปทรงสามเหลี่ยมติดเรดาร์เดินเรือไล่เรียงกันมากถึง 3 ตัว

เรือตรวจการณ์ STAN PATROL 5509 มีข้อดีที่รูปทรงสวยงามล้ำสมัย ใช้หัวเรือแบบ Sea Axe เลือกเครื่องยนต์หลักได้ตามใจชอบ โดยมีข้อเสียสำคัญติดอาวุธหนักไม่ได้ จึงไม่เหมาะสมกับการส่งเรือเข้าปะทะแบบเอากันให้ตายไปข้าง

อาวุธปืนประจำเรือ

นอกจากการคัดเลือกแบบเรือให้เหมาะสมกับความต้องการ การคัดเลือกระบบอาวุธก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องพิจารณาให้เหมาะสม ผู้เขียนมีข้อมูลและราคาอาวุธชนิดต่างๆ ที่กองทัพเรืออาจจัดหามาใช้งาน จึงนำมาเปรียบเทียบให้ผู้อ่านมองเห็นภาพอย่างชัดเจน

1.ปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid

เป็นอาวุธยอดนิยมที่ผู้อ่านทุกคนอยากนำมาติดบนเรือลำใหม่ ก่อนอื่นเลยผู้เขียนอยากให้ดูข้อมูลตามภาพประกอบที่สิบสาม การจัดหาระบบอาวุธมาใช้งานบนเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ในปี 2559 หรือ 8 ปีที่แล้ว ปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ราคากระบอกละ 370 ล้านบาท ส่วนปืนกลอัตโนมัติ DS3OM Mk2 จำนวน 2 กระบอกราคา 150 ล้านบาท หรือเท่ากับกระบอกละ 75 ล้านบาทราคาต่างกัน 4.933 เท่า หมายความว่าเรานำเงินซื้อปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 1 กระบอก มาซื้อปืนกลอัตโนมัติ DS3OM Mk2 ได้ถึง 5 กระบอกโดยเพิ่มเงินเล็กน้อย

ช่วงเวลาดังกล่าวกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาจัดหาปืนใหญ่ Bofors 57 mm Mk110 (หรือ Mk3 สำหรับตลาดโลก) มาใช้งานราคากระบอกละ 7.2 ล้านเหรียญหรือ 252.4 ล้านบาท หมายความว่าเรานำเงินซื้อปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 2 กระบอก มาซื้อปืนใหญ่ Bofors 57 mm Mk110 ได้ถึง 3 กระบอกโดยเพิ่มเงินเล็กน้อย

ไม่น่าแปลกใจที่กองทัพเรืออินโดนีเซียหนีไปใช้งาน Bofors 57 mm Mk3 ทดแทน OTO 76/62 Super Rapid ในโครงการเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีขนาด 60 เมตร

ขอพาทุกคนกลับมายังปีงบประมาณ 2567 หรือไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กองทัพเรือจัดหาปืนกลอัตโนมัติ DS3OM Mk2 จำนวน 2 กระบอกในวงเงิน 200 ล้านบาท และจัดหาออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงติดตั้งบนป้อมปืนจำนวน 2 ตัวในราคา 63 ล้านบาท ราคารวมทั้งโครงการเท่ากับกับ 263 ล้านบาทหรือกระบอกละ 131.5 ล้านบาท

ปัจจุบันปืนกลอัตโนมัติ DS3OM Mk2 ราคาแพงขึ้นกระบอกละ 25 ล้านบาท ฉะนั้นปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ต้องแพงขึ้นอย่างน้อยที่สุด 60 ล้านบาทหรือเท่ากับ 430 ล้านบาท ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงสำหรับปืนใหญ่ราคาถูกที่สุดประมาณ 45 ล้านบาท เพื่อความเหมาะสมต้องจัดหาระบบอำนวยการรบมาใช้งานบนเรือ ระบบอำนวยการรบ CATIZ จากบริษัท Navantia ประเทศสเปนราคาน่าจะถูกที่สุดประมาณ 250 ล้านบาท

ถ้าเรือลำใหม่ติดปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 1 กระบอกกับปืนกลอัตโนมัติ DS3OM Mk2 จำนวน 1 กระบอก จะใช้งบประมาณ 430+45+131+250=856 ล้านบาท ราคาเรือตรวจการณ์ M58 ในปี 2557 อยู่ที่ 699 ล้านบาท ราคาเรือตรวจการณ์ M58 ในปี 2568 ผู้เขียนเพิ่มให้ 50 ล้านบาทเป็น 749 ล้านบาท แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกกว่าราคาอาวุธบวกระบบอำนวยการรบ นี่ยังไม่นับรวมเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติขนาดกะทัดรัด

ราคาเรือตรวจการณ์ M58 ในปี 2568 พร้อมอาวุธเท่ากับ 749+856=1,605 ล้านบาท ราคาเรือจำนวน 9 ลำพุ่งมาหยุดที่ 9,630 ล้านบาทโดยทำภารกิจได้เหมือนเดิม (ไม่รองรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ ระยะปฏิบัติการกับระยะเวลาออกทะเลค่อนข้างสั้น)

ความฝันบนหอแดงของผู้อ่านจำนวนมากจ่ายแพงเกินไป ประสิทธิภาพต่ำเกินไป ถ้ากองทัพเรือยังคงดึงดันจัดหามาใช้งาน มีหวังทัวร์ลงหนักมากยิ่งกว่าเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์

ดูเหมือนปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม

2.ปืนใหญ่ 76/62 มม.จากประเทศอื่น

นอกจากอิตาลียังมีอีก 4 ชาติที่ได้รับลิขสิทธิ์ผลิตปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.โชคร้ายเหลือเกินอินเดียกับอิสราเอลเลิกผลิตปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact หลายปีแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ประกอบไปด้วยบริษัท Hundai WIA จากเกาหลีใต้ ผลิตปืนใหญ่ 76/62 มม.อัตรายิง 100 นัดต่อนาที ใช้ป้อมปืนลดการตรวจจับจากคลื่นเรดาร์หน้าตาแปลกประหลาด ประสิทธิภาพเทียบเท่าปืนใหญ่ OTO 76/62 IROF ที่ราชนาวีไทยมีใช้งานบนเรือคอร์เวตอาวุธนำวิถีชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์จากสหรัฐอเมริกา

76 mm naval gun จากบริษัท Hundai WIA วางขายทั่วโลกเป็นเวลามากกว่า 10 ปี นอกจากกองทัพเรือเกาหลีใต้ซึ่งถูกบังคับซื้ออย่างเลี่ยงไม่ได้ ยังไม่มีลูกค้ารายใดกล้าเล่นของสูงให้ตัวเองต้องปวดไมเกรน ยอดขายปืนใหญ่เรือจากแดนกิมจิจึงมีค่าเท่ากับศูนย์

ทางเลือกที่สองได้แก่ปืนใหญ่ 76/62 มม.จากบริษัท MKE ประเทศทูร์เคีย ใช้ป้อมปืนรูปทรงเดียวกับ OTO 76/62 Super Rapid แต่มีอัตรายิงเพียง 85 นัดต่อนาทีเหมือน OTO 76/62 Compact สถานะปัจจุบันพัฒนาเสร็จแล้วทดสอบใช้งานจริงเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างการสร้างปืนกระบอกแรกสำหรับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำใหม่กองทัพเรือทูร์เคีย กว่าจะพร้อมส่งออกอย่างจริงๆ จังๆ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5 ปีหรือมากกว่า

ปืนใหญ่ 76/62 มม.จากเกาหลีใต้และทูร์เคียยังอยู่ในสถานะไม่น่าลองของ รอให้มีลูกค้าใจเด็ดจัดหาไปใช้งานสัก 10 กระบอกค่อยกลับมาพูดคุยกันใหม่

3.ปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact มือสอง

กองทัพเรือไทยเคยจัดหาปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact มือสองมาใช้งานจำนวน 2 กระบอก นำมาติดตั้งใช้งานบนเรือหลวงกระบี่และเรือหลวงแหลมสิงห์ บังเอิญกระบอกสุดท้ายที่จัดหามาใช้งานคือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เวลาผ่านพ้นมากถึง 10 ปีจะหา OTO 76/62 Compact สภาพสวยประหนึ่งนางฟ้าได้จากที่ไหน?

ปืนพวกนี้ส่วนใหญ่บริษัทผู้ผลิตได้รับเทิร์นจากลูกค้ากระเป๋าหนักประกอบไปด้วย กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา อิตาลี และเยอรมัน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามักปล่อยของดีราคาถูกตามหลักนิยมตัวเอง ปัจจุบันกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาไม่ใช้งาน OTO 76/62 Compact แล้ว หน่วยยามฝั่งเหลือติดบนเรือไม่กี่ลำและอยู่ในสภาพคุณป้า ส่วนอิตาลีกับเยอรมันกลายร่างเป็น OTO 76/62 Super Rapid เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

แล้วเราจะหา OTO 76/62 Compact มือสองสภาพสวยประหนึ่งนางฟ้าจำนวน 6 กระบอกได้จากที่ไหน?

4.นำปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact จากเรือเก่ามาซ่อมคืนสภาพ

นี่คือทางเลือกที่ผู้อ่านส่วนใหญ่ฟังธงว่าประหยัดมากที่สุด บังเอิญทุกคนไม่เข้าใจว่าอาวุธปืนควบคุมด้วยไฟฟ้าที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ต่อให้ซ่อมบำรุงดีเยี่ยมสักแค่ไหนก็ไม่อาจไว้วางใจได้เหมือนเดิม ผู้เขียนขอตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้นสัก 3 เรื่องประกอบไปด้วย

1.ตรวจพบเรือข้าศึกรุกล้ำน่านน้ำเข้าใกล้ชายฝั่ง ผู้การเรือหลวงชะอำตัดสินใจสั่งยิงสกัดจำนวน 3 นัด ปรากฏว่าปืนยิงออกเพียงนัดเดียวแล้วหยุดทำงานไปดื้อๆ

2.ตรวจพบเรือข้าศึกรุกล้ำน่านน้ำเข้าใกล้ชายฝั่ง ผู้การเรือหลวงชะอำตัดสินใจสั่งยิงสกัดจำนวน 3 นัด ปรากฏว่าปืนยิงออกเพียงนัดเดียวจากนั้นลำกล้องปืนก็ระเบิดตูม!

3.วันดีคืนดีปืนใหญ่เรือหลวงชะอำสอยเพื่อนตัวเองหน้าตาเฉย เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริงกรณีเรือหลวงชลบุรีซัดเรือหลวงคีรีรัฐเข้าที่กลางลำ

การนำปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact อายุมากกว่า 30 ปีมาใช้งานต่อน่ากลัวมาก ยกเว้นกรณีนำมาติดเพื่ออวดชาวบ้านชาวช่องแต่ใช้งานจริงไม่ได้ เป็นทางเลือกที่ผู้เขียนขออนุญาตแนะนำว่าอย่าหาทำโดยเด็ดขาด

5.เปลี่ยนมาใช้อาวุธปืนชนิดอื่น

อาวุธปืนที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียง OTO 76/62 Super Rapid ก็คือ Bofors 57 mm Mk3 ราคาในปัจจุบันผู้เขียนขอเพิ่มจาก 252.4 ล้านบาทเป็น 300 ล้านบาท ก็ยังถูกกว่า OTO 76/62 Super Rapid มากถึง 130 ล้านบาท เพียงแต่ราชนาวีไทยไม่สนใจปืนใหญ่ขนาด 57 มม.นานมากแล้ว โอกาสที่จะเกิดขึ้นจริงเป็นไปได้น้อยจนถึงน้อยที่สุด

ทางเลือกถัดไปได้แก่ปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.ตัวเลือกที่หนึ่ง DS3OM Mk2 ราคารวมออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงกระบอกละ 131.5 ล้านบาท ตัวเลือกที่สอง Sentinel 30 ราคารวมออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงน่าจะถูกกว่ากันเล็กน้อยกระบอกละ 120 ล้านบาท เพียงแต่ประสิทธิภาพของอาวุธปืนได้เท่าที่ได้ไม่ต้องคิดมาก เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์และเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งหลายชาติล้วนใช้งานปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.เป็นปืนหลัก

นี่คือทางเลือกที่ประหยัดมากที่สุดของจริง แต่ไม่โดนใจใครหลายคนที่ชอบของหนัก

ทางเลือกสุดท้ายได้แก่ปืนกลอัตโนมัติขนาด 40 มม.ตัวเลือกที่หนึ่ง OTO Marlin 40 จากอิตาลี จนถึงปัจจุบันขายได้เพียง 3 กระบอกให้กับอินโดนีเซีย ล่าสุดเพิ่งเสียลูกค้ารายใหญ่ให้กับคู่แข่งจากสวีเดน/อังกฤษ เป็นทางเลือกที่อันตรายเกินไปสักนิด ตัวเลือกที่สอง Nexter/Thales RAPIDFire จากฝรั่งเศสใช้กระสุนไม่มีปลอก ปัจจุบันมีลูกค้ารายเดียวคือกองทัพเรือฝรั่ง อาวุธค่อนข้างทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง แต่สูงเกินกว่าจะนำมาใช้งานบนเรือตรวจการณ์ขนาด 60 เมตร

ทางเลือกสุดท้ายขวัญใจคนยาก Bofors 40 mm Mk4 จากสวีเดน/อังกฤษ อาวุธสุดยิกมียอดขายมากที่สุด มีลูกค้ามากที่สุด ทำงานร่วมกับกระสุน 3P โจมตีเป้าหมายได้มากถึง 6 รูปแบบ ราคาไม่แพงเกินไปและเราคุ้นเคยกับบริษัท Bofors มาช้านาน จึงเป็นทางเลือกที่ดูจะเหมาะสมมากที่สุดถ้ามีการจัดหามาใช้งาน

ผู้เขียนไม่มีราคาปืนกลอัตโนมัติขนาด 40 มม.ทุกรุ่น แต่คาดว่าราคาอาวุธรวมออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงไม่น่าเกิน 200 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นคงไม่มีลูกค้ารายไหนจัดหาไปใช้งาน และไม่อาจกลับมาฮอตฮิตติดลมบนมียอดขายมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน

คุณลักษณะของเรือ

ปัจจุบันบริษัทสร้างเรือจำนวนมากกำหนดการเรียกชื่อเรือดังนี้ เรือตรวจการณ์ขนาด 50 เมตร (ความยาว 50 ถึง 59 เมตร) เรียกเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง Coastal Patrol Vessel หรือ CPV แต่ถ้าเพิ่มเงินอีกนิดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาด 60 เมตร (ความยาว 50 ถึง 59 เมตร) จะเรียกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง Offshore Patrol Vessel หรือ OPV

ปัจจุบันอีกครั้งเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้รับความนิยมค่อนข้างสูง มีลูกค้าจำนวนมากทั่วโลก มีแบบเรือจำนวนมากให้เลือกใช้งาน รวมทั้งมีการแข่งขันค่อนข้างสูง เพื่อให้ตัวเองยังคงอยู่ในตลาดค้าเรืออันแสนโหดร้าย บริษัทผู้ผลิตต้องสร้างแบบเรือที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม จึงมีการกำหนดคุณลักษณะเรือให้โดนใจลูกค้ากระเป๋าหนักไว้ดังนี้

1.อายุการใช้งานเพิ่มขึ้นเป็น 35 ปี

2.พร้อมใช้งานปีละ 300 วัน (อยู่ในน้ำ 10 เดือน อยู่บนฝั่ง 2 เดือน)

3.ออกทะเลได้ปีละ 140 ถึง 220 วัน

4.ระยะปฏิบัติการมากกว่าเดิม ระยะเวลาออกทะเลนานกว่าเดิม

5.ใช้กำลังพลประจำเรือน้อยกว่าเดิม

กำลังพลเป็นปัญหาสำคัญของกองทัพเรือทั่วโลก นอกจากต้องฝึกหัดให้มีความชำนาญในหน้าที่การงาน ยังต้องจ่ายเงินเดือน สวัสดิการ เบี้ยเลี้ยงออกทะเล เบี้ยเลี้ยงไปต่างประเทศ ค่ารักษาพยาบาล ค่าโน่นนั่นนี่ ปลดประจำการยังต้องจ่ายบำเหน็จบำนาญเป็นเงินก้อนใหญ่ การทำภารกิจก็อาจเกิดปัญหาตามมาอาทิเช่น อาการป่วยไข้ไม่สบาย การทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมกัน รวมทั้งปัญหาที่แก้ไม่ตกเรื่องความประมาทพลั้งเผลอ

บริษัททั่วโลกจึงออกแบบให้เรือตัวเองใช้กำลังพลประจำเรือน้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับกองทัพเรือ และเพิ่มระยะปฏิบัติการกับระยะเวลาออกทะเล เรือ OPV 58S  ติดอาวุธล้นลำของกองทัพเรือเซเนกัลใช้ลูกเรือเพียง 36 นาย เรือ STAN PATROL 5509 ไม่ติดอาอาวุธของหน่วยยามฝั่งกรีซใช้ลูกเรือไม่เกิน 30 นาย ส่วนเรือหลวงแหลมสิงห์ราชนาวีไทยใช้ลูกเรือมากถึง 53 นาย ค่าใช้จ่ายเรื่องกำลังพลย่อมมากกว่าตามจำนวนตัวเลข

การพิจารณาคุณลักษณะของเรือมีความสำคัญมาก แต่ยังน้อยกว่าความต้องการใช้งานของลูกค้าซึ่งเป็นคนจ่ายเงิน ถ้าราชนาวีไทยต้องการเรือตรวจการณ์ปืนตามหลักนิยมเดิม M58 ติดปืนใหญ่ 76/62 มม.จากบริษัทมาร์ซันคือทางเลือกเพียงหนึ่งเดียว ส่วนจะใช้ปืนใหม่เอี่ยม ปืนมือสอง หรือปืนอายุมากกว่า 30 ปีไว้ว่ากันในภายหลัง แต่ถ้าราชนาวีไทยต้องการเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่ขึ้น ทำภารกิจได้อย่างหลากหลาย รองรับการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถี แบบเรือจากประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสมีความเหมาะสมมากกว่า

ผู้ชนะเลิศโครงการ

เมื่อมีแบบเรือจำนวนมากย่อมมีการแข่งขัน เมื่อมีการแข่งขันย่อมมีผู้แพ้ผู้ชนะ และผู้ชนะเลิศโครงการจัดหาเรือทดแทนเรือตรวจการณ์ชั้นเรือหลวงสัตหีบได้แก่ เรือตรวจการณ์ OPV 60M จากบริษัท PIRIOU ประเทศฝรั่งเศสตามภาพประกอบที่สิบหก

จากการพิจารณาหัวข้อต่างๆ  OPV 60M มักได้คะแนนเป็นอันดับสอง เมื่อนำผลคะแนนทั้งหมดมารวมจึงพลิกกลับมาครอบครองอันดับหนึ่ง บริษัท PIRIOU ปรุงแต่งเรือลำนี้ได้อย่างกลมกล่อมราวกับไวน์ชั้นเลิศ เป็นได้ทั้งเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ เรือตรวจการณ์ปืน และเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถี โดยมีเรือสร้างจริงและสั่งซื้อแล้วจำนวน 5 ลำ จึงมั่นใจได้ว่าการซื้อแบบเรือมาสร้างเองในประเทศจะไม่มีปัญหารบกวนจิตใจ

สำหรับแบบเรือรุ่นอื่นผู้เขียนขอแสดงความเห็นดังนี้

1.เรือตรวจการณ์ CPV 50 จากบริษัท Fassmer ประเทศเยอรมัน มีคุณสมบัติเป็นเรือเยอรมันที่แท้จริงน่าสนใจมาก เพียงแต่ขนาดเรือเล็กกว่าเรือทุกลำ เป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งของแท้ และดูเหมือนจะไม่เหมาะสมกับความต้องการกองทัพเรือไทย

2.เรือตรวจการณ์ OPV 60 BLUE WATER จากบริษัท Fassmer ประเทศเยอรมัน เรือลำนี้ได้คะแนนอันดับหนึ่งหลายหัวข้อ อาทิเช่นระยะปฏิบัติการเพราะระบบขับเคลื่อน รวมทั้งได้คะแนนอันดับสุดท้ายหลายหัวข้อ อาทิเช่นการซ่อมบำรุงเพราะระบบขับเคลื่อน ส่งผลให้คะแนนรวมหล่นมาอยู่อันดับสองไปโดยปริยาย

3.เรือตรวจการณ์ P1200 จากบริษัท Dearsan ประเทศทูร์เคีย เรือมีความคล่องแคล่วปราดเปรียว ความเร็วสูงมากเป็นอันดับหนึ่ง และติดอาวุธครบ 3 มิติเพียงลำเดียว แต่มีระยะปฏิบัติการกับระยะเวลาออกทะเลน้อยที่สุด ภาพรวมเหมาะสมกับโครงการเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำมากกว่า

4.เรือตรวจการณ์ M58 จากบริษัทมาร์ซันประเทศไทย ถ้าพูดถึงเรือตรวจการณ์ปืนเรือลำนี้ได้คะแนนอันดับหนึ่ง แต่ถ้าพูดถึงเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์เรือลำนี้ได้คะแนนกลางๆ ไม่มีจุดเด่นและไม่มีจุดด้อยอย่างชัดเจน แต่มีแต้มต่อเป็นเรือพัฒนาโดยฝีมือคนไทย

5.เรือตรวจการณ์ STAN PATROL 5509 จากบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเรือที่สวยล้ำสมัยและทำภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ดูเหมือนจะเหมาะสมกับศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลหรือ ศรชล.มากกว่ากองทัพเรือ

ผู้ชนะเลิศโครงการตามเงื่อนไขพิเศษ

คณะกรรมการพิจารณาแบบเรือส่งมอบผลการตัดสินให้กับกองทัพเรือ กองทัพเรือจึงส่งต่อให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาตามขั้นตอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเห็นผลการตัดสินรีบเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง ก่อนมีคำสั่งให้ผู้ชนะเลิศโครงการต้องผ่านการคัดเลือกตามเงื่อนไขพิเศษ นั่นคือต้องเป็นแบบเรือพัฒนาโดยบริษัทเอกชนประเทศไทย

เงื่อนไขพิเศษช่วยให้บริษัทมาร์ซันคว้าพุงปลาไปกิน แต่ถึงกระนั้นกระทรวงกลาโหมยังมีข้อแม้เพิ่มเติมเข้ามา ประสิทธิภาพแบบเรือต้องไม่ถูกเรือต่างชาติทิ้งห่างมากเกินไป จึงเป็นที่มาของการปรับปรุงใหญ่เรือตรวจการณ์ M58 ตามความต้องการบิ๊กอ้วน

การปรับปรุงเริ่มต้นจากคุณลักษณะของเรือประกอบไปด้วย

1.ลดกำลังพลประจำเรือจาก 53 นายเหลือไม่เกิน 36 นาย

2.ลดจำนวนเครื่องยนต์จาก 3 ตัวเหลือเพียง 2 ตัว กำหนดให้เลือกใช้เครื่องยนต์รุ่นเดียวกับเรือตรวจการณ์ OPV60M จากฝรั่งเศส

3.ใช้ระบบเกียร์และระบบขับเคลื่อนเหมือนเรือตรวจการณ์ OPV60M จากฝรั่งเศส

4.เพิ่มสถานที่จัดเก็บเชื้อเพลิง อาหาร และน้ำดื่ม

การปรับปรุงส่งผลให้เรือมีระยะปฏิบัติการเพิ่มขึ้นจาก 2,500 ไมล์ เป็น 4,000 ไมล์ทะเล ระยะเวลาออกทะเลเพิ่มขึ้นจากมากกว่า 7 วันเป็น 14 วัน โดยมีความเร็วสูงสุดลดลงเล็กน้อยเหลือ 22 นอต แม้ยังไม่ดีเทียบเท่า OPV60M แต่ต้องถือว่ามาสุดทางแล้ว อยากได้ตัวเลขดีกว่านี้ต้องพัฒนาแบบเรือใหม่เท่านั้น

การปรับปรุงภายนอกเป็นไปตามภาพประกอบที่สิบเจ็ด หลังการปรับปรุงบริษัทมาร์ซันตั้งชื่อแบบเรือว่า ‘All New M58 Blue Power’ โดยกำหนดรุ่นย่อยเป็น M58 2.0 สำหรับเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ M58 2.1 สำหรับเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถี และ M58 2.2 สำหรับเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ

OPV 60 BLUE WATER หรือจะสู้ All New M58 Blue Power

โครงการเฟสหนึ่งกองทัพเรือต้องการจัดหาเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ M58 2.0 จำนวน 3 ลำตามภาพประกอบที่สิบเจ็ดภาพบน  รูปร่างเรือตั้งแต่หัวจรดท้ายยังเหมือนเดิมทุกประการ ติดตั้งราวกันตกแบบทึบทั้งลำช่วยให้เรือดูสูงกว่าเดิมและล้ำสมัยมากขึ้น สร้างสะพานเดินเรือแบบมองเห็น 360 องศาจะได้ไม่น้อยหน้าเรือลำอื่น และเนื่องมาจากมีการปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนให้เหมือน OPV60M ช่องระบายแก๊สข้างตัวเรือจึงเหมือน OPV60M อย่างเลี่ยงไม่ได้ (จุดที่ทาสีเทาเข้มนั่นแหละครับ)

เหตุผลที่กองทัพเรือจัดหา M58 2.0 เนื่องจากมีเงินแค่ซื้อเรือเปล่าพร้อมเรดาร์เดินเรือ 2 ตัว สาเหตุเกิดจากต้องนำงบประมาณส่วนใหญ่ไปอุดหนุนโครงการเรือดำน้ำ จากนั้นจึงของบลับ 360 ล้านซื้อปืนกลอัตโนมัติ Sentinel 30 จำนวน 3 กระบอกมาใช้งาน อาวุธที่เหลือประกอบไปด้วยปืนกลขนาด 20 มม.รุ่น GAM-BO1 จำนวน 2 กระบอก กับปืนกลขนาด 12.7 มม.รุ่น M2 จำนวน 2 กระบอกให้ถอดจากเรือเก่ามาซ่อมคืนสภาพ

มาสำรวจพื้นที่อเนกประสงค์กลางเรือจนถึงท้ายเรือกันบ้าง มีการปรับปรุงท่อระบายอากาศกับท่อดูดอากาศออกแบบใหม่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมเหมือน OPV60M (ที่อยู่ด้านล่างถัดจากปืนกลขนาด 20 มม.) จึงเหลือพื้นที่ว่างตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบพร้อมเครนอเนกประสงค์ ทางขึ้นลงดาดฟ้าเรือชั้นล่างซึ่งเป็นห้องพักลูกเรือยังอยู่ที่เดิม จุดติดอาวุธท้ายเรือปล่อยโล่งกลายเป็นจุดรับส่งสิ่งของหรือกำลังพลทางอากาศ

โครงการเฟสสองกองทัพเรือต้องการจัดหาเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถี M58 2.1 จำนวน 3 ลำตามภาพประกอบที่สิบเจ็ดภาพล่าง หัวเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40 mm Mk4 ซึ่งสามารถใช้งานเป็นระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดขวัญใจคนยากได้ ปืนรองทั้งสองรุ่นถอดจากเรือเก่ามาซ่อมคืนสภาพ ติดตั้งระบบอำนวยการรบ CATIZ เหมือนเรือหลวงช้าง ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe1X ระยะตรวจจับ 100 กิโลเมตรเหมือนเรือหลวงช้าง (รุ่นใช้งานบนฝั่งลดเหลือ 75 กิโลเมตรเพราะติดตึกรามบ้านช่องและภูเขา) ใช้ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง DORNA เหมือนเรือหลวงช้างเช่นเดียวกัน

พื้นว่างตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบยังอยู่เหมือนเก่า จุดติดตั้งอาวุธท้ายเรือติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้น Spike NLOS ระยะยิงไกลสุด 32 กิโลเมตรจำนวน 8 นัด นำมาทดแทนอำนาจการยิงที่หายไปของปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.

ระหว่างปี 2564 กองทัพบกสหรัฐอเมริกาจัดหา Spike NLOS มาใช้งานจำนวน 205 นัดในวงเงิน 23 ล้านเหรียญหรือเท่ากับนัดละ 210,000 เหรียญ การจัดหาในปี 2567 ผู้เขียนเพิ่มราคาเป็น 220,000 เหรียญหรือนัดละ 7.7 ล้านบาท เรือหนึ่งลำจะได้ Spike NLOS จำนวน 20 นัดหรือเท่ากับ 154 ล้านบาท ราคาแท่นยิงพร้อมอุปกรณ์ทั้งหมดตีว่า 2 ล้านเหรียญหรือประมาณ 70 ล้านบาท เท่ากับว่าเรือหนึ่งลำกองทัพเรือต้องจ่ายเงินให้กับอิสราเอล 154+70=224 ล้านบาท

Spike NLOS นัดละ 7.7 ล้านบาทราคาแพงเกินไปหรือไม่ ผู้เขียนขอเปรียบเทียบกับโครงการจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถี Harpoon Block 2 ของราชนาวีไทย ปี 2560 เราซื้อมาใช้งานบนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชจำนวน 6 นัด (รวมลูกซ้อม 1 นัด) ในวงเงิน 872 ล้านบาทหรือนัดละ 145.3 ล้านบาท ราคาแพงระยับขนาดนี้คนกดปุ่มยิงคงกดดันน่าดู

การจัดหาในปี 2567 ผู้เขียนใจดีเพิ่มราคา Harpoon Block 2 เพียง 10 ล้านบาทเป็นนัดละ 155 ล้านบาท เทียบกับ Spike NLOS นัดละ 7.7 ล้านบาท Harpoon Block 2 แพงกว่า 20.13 เท่า หมายความว่าเราระดมยิง Spike NLOS ใส่เป้าหมายไปแล้ว 20 นัด ใช้เงินเพียง 154 ล้านบาทน้อยกว่าราคา Harpoon Block 2 นัดเดียวประมาณ 1 ล้านบาท

Spike NLOS จะมาทดแทนอำนาจการยิงที่หายไปของ Harpoon Block 2

บทสรุป

โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์สร้างเองในประเทศคือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต กองทัพเรือเคยทำมาก่อนและสามารถทำได้เลยโดยใช้เวลาเตรียมการเพียงน้อยนิด ตั้งโครงการวันนี้อีกสี่เดือนทำพิธีตัดแผ่นเหล็กก็ยังได้ จึงไม่น่าแปลกถ้าปัจจุบันกองทัพเรือมีเป้าหมายอย่างชัดเจน รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมถึงได้ประกาศเดินหน้าเต็มกำลัง

เป็นไปได้ว่าแบบเรือลำนั้นก็คือ ‘60m Type B Marine Patrol Vessel’ จากบริษัท HUANGHAI SHIPBUIDING ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

อ้างอิงจาก

https://www.damen.com/vessels/defence-and-security/stan-patrol-vessels/stan-patrol-5509

https://x.com/D__Mitch/status/631086441192402944

https://www.kership.com/en/navire/opv-60/

https://web.facebook.com/photo/?fbid=571817708282658&set=pcb.571827014948394

https://www.seaforces.org/marint/Finnish-Navy/Hamina-class.htm

https://www.navalnews.com/event-news/euronaval-2024/2024/11/euronaval-2024-montenegrin-navy-strengthened-with-kerships-opv-60m-vessels/

https://www.fassmer.de/en/defence/blue-water

https://www.fassmer.de/en/defence/coastal-and-beyond

https://www.dearsan.com/en/products/naval-vessels/tuzla-class-patrol-boat