วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

The Avenger

 บทนำ

ปลายเดือนมิถุนายน 2568 รัฐบาลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย ตัดสินใจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อดูแลด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีไอดอลเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของบังกลาเทศ ท่านนายกจึงเริ่มเดินหน้าปรับปรุงกองทัพเรือให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในอดีต

        งานชิ้นแรกที่ทำหลังรับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ คือการประชุมร่วมกับลูกประดู่หวังทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ท่านนายกจึงใช้โอกาสนี้สอบถามเรื่องราวค้างคาใจ

        แปดปีที่แล้วดิฉันเห็นมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากแชร์ภาพถ่ายเรือลำหนึ่ง พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น เวลาผ่านพ้นแปดปีฟิลิปปินส์กำลังจะได้เรือฟริเกตลำที่สี่ กำลังจะได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่หนึ่ง และกำลังได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มอีกห้าลำ เวลาเดียวกันมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากยังคงแชร์ภาพถ่ายเรือลำเดิม พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น ดิฉันเห็นภาพเดจาวูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปวดไมเกรน วันนี้เป็นโอกาสดีดิฉันอยากสอบถามทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้นฮึ!”

ความเปลี่ยนแปลง

        หลังได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง จากผู้เกี่ยวข้องโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่านนายกตัดสินใจเด็ดขาดเราต้องสร้างเรือเพิ่มเดี๋ยวนี้ โดยนำแบบเรือดั้งเดิมติดเพียงปืนกลขนาด 30 มม.จากประเทศอังกฤษ มาขยับขยายกลายร่างเป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยติดอาวุธ 3 มิติ สามารถยิงสกัดจรวดทั้งนำวิถีและไม่นำวิถีจากประเทศเพื่อนบ้านได้ สามารถยิงสกัดในโหมดซัลโวได้คือยิงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคลังแสง

ความต้องการนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองได้รับการตอบสนองทันที

        คล้อยหลังเพียงไม่กี่วันมีคำสั่งการถึงบริษัทอู่กรุงเทพ วันรุ่งขึ้นซีอีโอบริษัทอู่กรุงเทพรีบติดต่อซีอีโอบริษัท BAE Systems ประเทศอังกฤษ ให้ทางนั้นส่งนักออกแบบฝีมือขั้นเทพเดินทางมาที่กรุงเทพโดยด่วน ซีอีโอบริษัท BAE Systems ตัดสินใจส่งมือดีที่สุดของตัวเองมายังสยามเมืองยิ้ม เขาคือชายหนุ่มร่างกำยำจากเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากลิเวอร์พูล เป็นคนอังกฤษแท้ๆ มีชื่อในบัตรประชาชนว่า มิสเตอร์เดวิด โทนี่ ปีเตอร์ แอนดริว โอนาน่า

        กลางเดือนกรกฎาคม 2568 มิสเตอร์โอนาน่าเดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ หลังกินหมูกระทะในซอยมหาดไทยจนอิ่มหนำสำราญ เขาเริ่มลงมือพัฒนาแบบเรือให้เหมาะสมกับความต้องการ และสามารถสร้างแบบเรือถึง 4 แบบภายในเวลา 4 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันล้นหลามโดยเฉพาะการใช้เท้าเอ้ยการใช้หัวสมอง

        ได้แบบเรือมาแล้วปัญหาถัดไปคือการตั้งชื่อ มิสเตอร์โอนาน่าเสนอให้ใช้ชื่อ Type 15 เนื่องจากตัวเองคุ้นเคยตัวเลขนี้ ลูกประดู่ไทยไม่มีปัญหาทว่าซีอีโอบริษัท BAE Systems รีบบอกปัด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุใด ท้ายที่สุดโครงการนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมเพิ่มเติมตัวเลขเข้ามา ยิ่งแบบเรือมากขึ้นความยาวของชื่อยิ่งมากขึ้นตามกัน

        โครงการนี้ถูกเรียกขานในภายหลังว่า ดิ อเวนเจอร์

        แบบเรือที่ มิสเตอร์โอนาน่าพัฒนาให้ลูกประดู่ไทยประกอบไปด้วย

1.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100

        มิสเตอร์โอนาน่านำเรือหลวงประจวบมาพัฒนาต่อให้เหมาะสมมากกว่าเดิม โดยการเพิ่มความจาก 90 เมตรเป็น 100 เมตร ระวางขับน้ำ 2,600 ตัน ปล่องระบายความร้อนถอยไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นจึงสร้างโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน เพียงเท่านี้เรือก็เปลี่ยนรูปทรงจากรถกระบะตอนเดียวเป็นรถกระบะสองตอน

        ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก ปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 4 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 นัด และแท่นยิง SIMBAD-RC4 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด

Avenger100 ใช้ระบบอำนวยการรบ CATIZ จากบริษัท Navantia เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB จากบริษัท Saab เรดาร์ควบคุมการยิง DORNA จากบริษัท Navantia เรดาร์เดินเรือ Furuno จำนวน 2 ตัว กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS จำนวน 1 ตัว ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ES-3601 และแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12 ท่อยิงรุ่น SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 ขนาดใหญ่กว่าเดิม พื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม รองรับการปฏิบัติการในทะเลลึกได้เป็นอย่างดี ภาพรวมมีความเหมาะสมกับลูกประดู่ไทย

2.เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO

        ผู้ออกแบบนำเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 มาติดอาวุธเพิ่มเติม ส่งผลให้เรือทำการรบ 3 มิติได้โดยไม่เคอะเขิน สิ่งที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาประกอบไปด้วย

        1.สร้างจุดติดอาวุธเพิ่มโดยตัด Superstructure หัวเรือออกเล็กน้อย เพื่อติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า ในภาพเรือถูกติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง K-VLS จำนวน 4 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถี K-SAAM ระยะยิง 20 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด

        2.ติดตั้งโซนาร์หัวเรือชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า

        3.ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า จุดติดตั้งอยู่ด้านล่างแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM

        4.ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดแทนที่แท่นยิง SIMBAD-RC4

        เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO สามารถติดอาวุธครบ 3 มิติ ทำงานได้เทียบเท่าเรือฟริเกตราคาแพงกว่าขนาดใหญ่กว่า เพียงแต่การติดอาวุธล้นลำทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงพอสมควร การนำเรือไปทำภารกิจเสริมชนิดอื่นจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก

3.เรือฟริเกตชั้น Avenger111

        เป็นแบบเรือดั้งเดิมที่บริษัท BAE Systems ตั้งใจนำเสนอในโครงการเรือฟริเกต Type 31e บังเอิญแบบเรือขาดความเหมาะสมระดับร้ายแรงจนถูกมองข้าม มิสเตอร์โอนาน่านำแบบเรือมาโมใหม่ให้ดูเก๋ไก๋สไลค์เดอร์ ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 ตัน มีการสร้าง Superstructure ขนาดหนึ่งชั้นบนพื้นที่ว่างกลางเรือ ใช้เป็นจุดติดอาวุธทันสมัยทั้งหมดที่มีใช้งานบนเรือ และใช้เชื่อมตัวหัวเรือกับท้ายเรือให้มีความใกล้เคียงกันมากกว่าเดิม

        ระบบเรดาร์และอาวุธยกมาจากเรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO โดยเปลี่ยนมาใช้เรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A ทำงานร่วมกับ Sea Giraffe 1X แทนที่ Sea Giraffe AMB พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิง MK.41 ขนาด 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวนมากสุด 32 นัด ติดตั้งเสาสัญญาณนำวิถี Sea Ceptor ระหว่างเดินทางทรงกระบอกจำนวน 2 จุด ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโด Mk137 ขนาด 6 ท่อยิงเพิ่มจำนวน 4 แท่นยิง ระบบสื่อสารทันสมัยกว่าเดิมตามภารกิจ ส่งผลให้เรือทำการรบในทะเลลึกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมด

เรือฟริเกตชั้น Avenger111 ยังมีพื้นที่ว่างสำหรับแท่นยิง MK.41 จำนวน 8 ท่อยิง ปัญหาเรื่องหนึ่งของเรือก็คือไม่มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัย เพราะแบบเรือถูกขยายความายาวจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธเบาประเทศอังกฤษ เรือลำนี้จึงเป็นได้เพียงเรือฟริเกตอเนกประสงค์หรือเรือฟริเกตปราบเรือผิวน้ำ

4.เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO

ผู้ออกแบบนำเรือฟริเกตชั้น Avenger111 มาติดเสากระโดงขนาดใหญ่ เพื่อฝังเรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A จำนวน 4 ตัวในเสากระโดง การตรวจจับเป้าหมายกลางอากาศก็เลยดีขึ้นทันตาเห็น นอกจากนี้ยังติดตั้งแท่นยิง MK.41 เพิ่มจาก 8 ท่อยิงเป็น 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวน 32 นัด กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด ส่งผลให้เรือมียอดรวมอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 48 นัด

เนื่องจาก CAMM MR ระยะยิงไกลสุดมากถึง 100 กิโลเมตร ฉะนั้นเสาสัญญาณนำวิถีระหว่างเดินทางจึงพลอยใหญ่โตตามกัน อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกติดตั้งบนยอดเสากระโดงกับหลังปล่องระบายความร้อน ข้อแตกต่างอีกหนึ่งประการเกี่ยวข้องกับขนาดเสากระโดงที่ใหญ่กว่าเดิม จุดติดตั้งปืนกลขนาด 30 มม.ถูกเบียดเสียจนแทบไม่เหลือที่ว่าง จำเป็นต้องสร้างระเบียงใช้เป็นทางเดินจากหัวเรือไปท้ายเรือเพิ่มเติมเข้ามา

เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO ช่วยให้ลูกประดู่ไทยมีเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเหมือนดั่งชาติอื่น ที่สำคัญสามารถติดตั้ง CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรได้มากสุด 32 นัด โดยมีค่าตัวไม่แตกต่างจากเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ลำที่เป็นตำนาน

บทสรุป

ผลงานมิสเตอร์โอนาน่าเข้าตานายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศ เธอตัดสินใจเพิ่มงบประมาณสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 จำนวน 2 ลำ เรือฟริเกตชั้น Avenger111 จำนวน 1 ลำ ปิดท้ายด้วยเรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO อีก 1 ลำ พร้อมให้สัญญาว่าอีก 5 ปีข้างหน้าหากตัวเองยังอยู่ในตำแหน่ง จะลงนามสร้างเรือเฟสสองจากโครการดิ อเวนเจอร์เพิ่มจำนวน 4 ลำ

                +++++++++++++++

 

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

DW 2000H

 

เรือฟริเกตรุ่นส่งออกลำแรกของเกาหลีใต้ กับสงครามใหญ่ระหว่างผู้หญิงสองคน

ระหว่างปี 1994 รัฐบาลบังกลาเทศภายใต้การนำนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia ต้องการจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติรุ่นใหม่ทันสมัยให้กับกองทัพเรือ ความพยายามผลักดันโครงการในครั้งแรกประสบความล้มเหลว รัฐบาลมีงบประมาณไม่เพียงพอในการจัดสรรให้กับกองทัพเรือ ประกอบกับพรรค BNP แกนนำรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้การเลือกตั้งในปี 1996 นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของบังกลาเทศประสบความแพ้พ่าย ต้องยกตำแหน่งผู้นำประเทศให้กับ Sheikh Hasina จากพรรค Awami League เท่ากับว่าบังกลาเทศมีนายกรัฐมนตรีหญิงสองคนติดกัน

         หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เพียงไม่กี่เดือน Sheikh Hasina ประกาศเดินหน้าโครงการจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติต่อ มีบริษัทเอกชนต่างชาติ 9 แห่งเสนอแบบเรือเข้าร่วมชิงชัย และผู้ชนะเลิศได้แก่แบบเรือ DW 2000H จากบริษัท Daewoo ประเทศเกาหลีใต้ ต้นปี 1999 มีการเซ็นสัญญาสร้างเรือ วันที่ 12 พฤษภาคม 1999 มีการประกอบพิธีวางกระดูกงู วันที่ 29 สิงหาคม 2000 มีการประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำ และในวันที่ 20 มิถุนายน 2001 มีการประกอบพิธีเข้าประจำการ กองทัพเรือบังกลาเทศตั้งชื่อเรือฟริเกตใหม่เอี่ยมลำนี้ว่า BNS Khalid Bin Walid


         แบบเรือ DW 2000H ถูกดัดแปลงจากเรือฟริเกตชั้น Ulsan กองทัพเรือเกาหลีใต้ โดยการเพิ่มโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางบริเวณบั้นท้าย เรือมีระวางขับน้ำ 2,350 ตัน ยาว 103.7 เมตร กว้าง 12.5 เมตร กินน้ำลึก 3.8 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG เหมือนเรือหลวงตากสิน ความเร็วสูงสุด 34 นอต หากใช้งานเพียงเครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัวยังทำความเร็วได้มากถึง 28 นอต เป็นเรือฟริเกตดีที่สุด ใหม่ที่สุด ทันสมัยที่สุด และติดอาวุธหนักที่สุดของกองทัพเรือบังกลาเทศ

         หน้าที่หลักของเรือคือรักษาความปลอดภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่อต้านการก่อการร้ายทางทะเล การสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และการลักลอบขนของผิดกฎหมาย กองทัพสามารถนำเรือไปใช้ในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยได้ ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 40 มม.ลำกล้องแฝดจำนวน 2 กระบอก ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 6 ท่อยิง และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ OTOMAT Mk2 ระยะยิง 180 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด โดยใช้ระบบเรดาร์และระบบอำนวยการรบจากบริษัท Thales ประเทศเนเธอร์แลนด์

         Sheikh Hasina คือผู้จัดตั้งโครงการจัดหาเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ เธอได้ชื่นชมความสำเร็จร่วมกับประชาชนชาวบังกลาเทศแค่เพียงไม่นาน ผลการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม 2001 พรรค Awami League พ่ายแพ้ต่อพรรค BNP ที่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia จัดตั้งรัฐบาลผสม 4 พรรคขึ้นครองตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยที่สอง สิ่งแรกที่เธอทำคือการทวงแค้นต่อศัตรูหมายเลขหนึ่ง เล็งเป้าหมายมาที่เรือฟริเกตลำแรกที่เกาหลีใต้สร้างขายต่างชาติ

         วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2002 หลังการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน เรือฟริเกต BNS Khalid Bin Walid ถูกปลดประจำการโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเรือไม่พร้อมใช้งานเพราะประสบปัญหาหลายอย่าง ต้องส่งกลับคืนให้บริษัท Daewoo แก้ไขเพราะยังอยู่ในประกัน จากนั้นไม่นานสำนักงานปราบปรามการทุจริตออกมาตามซ้ำดาบสอง โดยให้ข่าวว่าโครงการจัดหาเรือฟริเกตสมัย Sheikh Hasina เป็นนายกรัฐมนตรีมีความผิดปรกติ บริษัทจีนเสนอราคาต่ำสุด 68 ล้านเหรียญไม่ได้รับการคัดเลือก ส่วนข้อเสนอของ Daewoo ราคารวมทั้งโครงการเท่ากับ 99.97 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับ 4 จาก 9 บริษัทกลับได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาล ทั้งที่บริษัทจากเกาหลีใต้ไม่มีความชำนาญเรื่องการสร้างเรือ

         รัฐบาลตัดสินใจฟ้อง Sheikh Hasina และเจ้าหน้าที่จำนวน 5 คนในข้อหาทุจริต รวมทั้งอดีตผู้บัญชาการทหารเรือ Nurul Islam วันที่ 30 สิงหาคม 2003 ผู้นำฝ่ายค้านหญิงเดินทางมาศาล ก่อนได้รับการประกันตัวคดีทุจริตซื้อเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ ในช่วงเวลาที่เธอดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ประเทศสูญเสียเงินจากการทุจริตมากถึง 88 ล้านเหรียญ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดเธออาจถูกติดคุกเป็นเวลามากถึง 5 ปี

         การต่อสู้ระหว่างนายกรัฐมนตรีหญิงกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ส่งผลให้ประเทศเกิดความแตกแยกแบ่งออกเป็นสองข้าง สถานการณ์การเมืองวุ่นวายเสียจนควบคุมไม่ได้ เมื่อรัฐบาลร่วมภายใต้การนำพรรค BNP หมดอำนาจตามวาระในปี 2006 การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด มีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการโดยคำสั่งประธานาธิบดีขึ้นมาทำหน้าที่ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติและแก้ไขปัญหามากมายอันเกิดจากสนิมเนื้อใน

         เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลปกครองประเทศ ผู้โชคร้ายในสงครามใหญ่ระหว่างผู้หญิงสองคนพลันได้รับการเหลียวแล วันที่ 12 กรกฎาคม 2007 มีการประกอบพิธีเข้าประจำการเรือฟริเกต BNS Khalid Bin Walid ครั้งที่สอง ต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2009 มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ Sheikh Hasina ออกจากคุกกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงสมัยที่สอง งานแรกที่เธอให้กับเรือฟริเกตลำโปรดก็คือ เปลี่ยนชื่อเรือจาก BNS Khalid Bin Walid เป็น BNS Bangabandhu และติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน HQ-7 ขนาด 8 ท่อยิงบริเวณหน้าสะพานเดินเรือ ส่งผลให้เรือสามารถทำภารกิจครบ 3 มิติสมความตั้งใจ และอยู่รับใช้ชาติเป็นเดอะแบกบังกลาเทศจนถึงปัจจุบัน