วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

Indonesian Navy

 

        กองเรือฟริเกต/คอร์เวตอินโดนีเซียในอดีตคล้ายกองเรือฟริเกต/คอร์เวตไทยในปัจจุบัน พวกเขามีแต่เรือรบรุ่นเก่าอายุการใช้งานมากกว่า 30 ปี ที่สำคัญเป็นเรือมือสองติดอาวุธหลากหลายไม่เป็นมาตรฐาน ส่วนเรืออายุน้อยก็เป็นเรือคอร์เวตขนาดเล็กเพียง 2 ลำ แม้มีการปรับปรุงติดอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยเพิ่มเติมบนเรือหลายลำ ทว่ายังมีเรืออีกหลายลำใกล้หมดสภาพต้องปลดประจำการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

        เพื่อแก้ปัญหากองฟริเกต/คอร์เวตขนาดค่อนข้างใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพ กองทัพเรืออินโดนีเซียตัดสินใจขึ้นโครงการระยะยาวเพื่อจัดหาเรือรบรุ่นใหม่แบ่งแยกได้ตามนี้

1.เรือฟริเกต/คอร์เวตขนาดไม่เกิน 3,000 ตันจำนวน 8 ลำ

2.เรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000 ตันจำนวน 8 ลำ

ตั้งแต่ปี 2002 อินโดนีเซียเดินหน้าโครงการนี้อย่างจริงจัง โดยเริ่มนับหนึ่งจากเรือคอร์เวตรุ่นใหม่ติดอาวุธครบ 3 มิติเพราะง่ายที่สุดใช้เงินน้อยที่สุด

เรือคอร์เวต Sigma 9113

        ปี 2004 กองทัพเรืออินโดนีเซียสั่งซื้อเรือคอร์เวต Sigma 9113 จากบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์จำนวน 4 ลำ เรือมีระวางขับน้ำ 1,692 ตัน ยาว 90.71 เมตร กว้าง 13.02 เมตร กินน้ำลึก 3.60 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SEMT Pielstick 20PA6B STC จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,800 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 80 นาย

ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบยกมาจากบริษัท Thales เนเธอร์แลนด์ทั้งลำ ต่อมาได้กลายเป็นระบบมาตรฐานกองทัพเรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน ระบบอาวุธป้องกันตัวค่อนข้างทันสมัยประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact จำนวน 1 กระบอก ปืนกล Denel GI-2 ขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก แท่นยิงแฝดสี่ TETRAL จำนวน 2 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral จำนวน 8 นัด อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III จำนวน 4 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด

เรือคอร์เวต Sigma 9113 รูปทรงทันสมัยสมกับเป็นเรือยุคใหม่ หัวเรือค่อนข้างสูงสะพานเดินเรือทรงหกเหลี่ยมอยู่ในระดับเหมาะสม สันเรือค่อนข้างเตี้ยลากยาวจรดท้ายเรือแลดูสวยงาม เชื่อมต่อตัวเรือหรือ Hull กับเก๋งเรือหรือ Superstructure ได้อย่างลงตัวจนดูเป็นชิ้นเดียวกัน เรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ทุกรุ่นทุกบริษัททำแบบนี้ไม่ได้นะครับ

        เรือคอร์เวต Sigma 9113 จำนวน 4 ลำเข้าประจำการระหว่างปี 2007-2009 ปัจจุบันกลายเป็นม้างานทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับกองทัพเรืออินโดนีเซีย รวมทั้งทำภารกิจรักษาความปลอดภัยให้กับเลบานอนในนามองค์การสหประชาชาติ ราคาเรือลำละประมาณ 5,000 ล้านบาทต้องบอกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเหมือนแฟลตปลาทอง เรือชั้นนี้ถือเป็นการพลิกโฉมกองเรือคอร์เวต/ฟริเกตอินโดนีเซีย ให้มีความทันสมัยเทียบเท่าหรือมากกว่าเรือรบเพื่อนบ้านในย่านเดียวกัน

เรือฟริเกต Sigma 10514

        วันที่ 12 มิถุนายน 2012 กองทัพเรืออินโดนีเซียกับบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์เซ็นสัญญามูลค่า 220 ล้านเหรียญ เพื่อสั่งซื้อเรือฟริเกต Sigma 10514 จำนวน 1 ลำกำหนดให้สร้างโดยบริษัท PT PAL ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีออปชันเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างเรือรบรุ่นใหม่ ชิ้นส่วนเรือฟริเกตชั้นนี้แบ่งออกเป็น 4 โมดูลขนาดใหญ่ บริษัท PT PAL สร้าง 4 โมดูลแบ่งให้บริษัท Damen สร้างอีก 2 โมดูล ก่อนนำมารวมกันเพื่อประกอบเป็นเรือลำจริงในประเทศอินโดนีเซีย

เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 2,365 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,946 ตัน ยาว 105.11 เมตร กว้าง 14.02 เมตร กินน้ำลึก 3.75 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อน Combined Diesel or Electric หรือ CODOE ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัวกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 122 นาย

ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบใช้ Thales ทั้งลำเหมือนเดิม ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 1 กระบอก ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium Gun จำนวน 1 กระบอก แท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA จำนวน 12 นัด อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III จำนวน 8 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด

        เรือฟริเกต Sigma 10514 เปรียบได้กับการนำเรือคอร์เวต Sigma 9113 มาแช่น้ำมันก๊าดให้มีขนาดใหญ่โตกว่าเดิม ส่งผลให้เรือติดอาวุธมากกว่าเดิมทำภารกิจในทะเลลึกได้ดีกว่าเดิม สมควรจัดหามาใช้งานจำนวน 4 ลำให้ครบตามแผนการ แต่กองทัพเรืออินโดนีเซียกลับสั่งซื้อเพียง 2 ลำเข้าประจำการระหว่างปี 2017-2018 จากนั้นก็เงียบหายไปไม่มีข่าวสารความเคลื่อนไหวแม้สักนิดเดียว

เรือคอร์เวตชั้น F2000

        ปี 2012 กองทัพเรืออินโดนีเซียซื้อเรือคอร์เวต F2000 จากบริษัท Yarrow ประเทศอังกฤษจำนวน 3 ลำ โดยสามารถต่อราคาจาก 600 ล้านเหรียญลงมาอยู่ที่ 380 ล้านเหรียญ เรือทั้ง 3 ลำสร้างเสร็จแล้วพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าตั้งแต่ปี 2003 บังเอิญรัฐบาลบรูไนบอกปัดไม่ยอมรับเรือเข้าประจำการ จนเกิดเป็นคดีความต้องฟ้องร้องข้ามชาติกินเวลาหลายปี

        เหตุผลที่กองทัพเรืออินโดนีเซียตัดสินใจซื้อเรือคอร์เวตสร้างเสร็จแล้วแต่ขายไม่ออก เนื่องจากงบประมาณในการจัดหาเรือคอร์เวต/ฟรีเกตค่อนข้างอัตคัด และมีแนวโน้มลดลงกว่าเดิมเนื่องจากตัวเองต้องการจัดหาเรือดำน้ำเพิ่มจำนวน 6 ลำ เมื่อมีโอกาสซื้อเรือคอร์เวตสภาพดีมาใช้งานพวกเขาจึงไม่ลังเลใจ เรือคอร์เวต F2000 เป็นเรือเก่าเก็บสามารถใช้งานได้อีก 40 ปี เพียงแต่ต้องมีการปรับปรุงเรือให้ทันสมัยมากกว่าเดิม และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นมาตรฐานกองทัพเรืออินโดนีเซีย

วันที่ 14 กรกฎาคม 2014 เรือคอร์เวต F2000 ทั้ง 3 ลำเข้าประจำการกองทัพเรืออินโดนีเซีย ประกอบไปด้วย KRI Bung Tomo หมายเลข 357 KRI John Lie หมายเลข  358 และ 359 KRI Usman-Harun หมายเลข 359 เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 1,500 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,000 ตัน ยาว 95 เมตร กว้าง 12.8 เมตร กินน้ำลึก 3.6 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.รุ่น DS30B จำนวน 2 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III จำนวน 8 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL-Sea Wolf ไม่มีสินค้าวางขาย เรือจึงมีแค่เพียงพื้นที่ว่างสำหรับติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 ท่อยิง

        เรือทั้ง 3 ลำเข้าประจำการรับใช้ชาติตามปรกติ กระทั่งวันที่ 4 พฤศจิกายน 2022 เรือ KRI Bung Tomo 357 เข้ารับการปรับปรุงใหญ่ให้เหมือนภาพประกอบที่ 4 โดยการติดตั้งระบบอำนวยการรบ TACTICOS เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Smart-S Mk2 เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 EO Mk2 โซนาร์หัวเรือ KINGKLIP และแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA จำนวน 12 นัด ส่งผลให้เรือมีความทันสมัยใกล้เคียงเรือฟริเกต Sigma 10514

        การปรับปรุงเรือจะทำทีละ 1 ลำใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี อินโดนีเซียไม่รีบเนื่องจากตัวเองมีเรือใช้งานมากเพียงพอ ปัจจุบันเรือฟริเกต/คอร์เวตติดอาวุธ 3 มิติขนาดไม่เกิน 3,000 ตันของพวกเขามีจำนวน 9 ลำประกอบไปด้วย

        -เรือคอร์เวต Sigma 9113 จำนวน 4 ลำ

-เรือฟริเกต Sigma 10514 จำนวน 2 ลำ

-เรือคอร์เวตชั้น F2000 จำนวน 3 ลำ

        เนื่องจากจำนวนเรือเกินความต้องการมา 1 ลำ อินโดนีเซียจึงระงับการสั่งซื้อเรือฟริเกต Sigma 10514 เฟสสอง ส่วนเรือคอร์เวตรุ่นเก่าที่ยังใช้งานได้ยังคงใช้งานต่อ เมื่อปลดประจำการจะถูกแทนที่ด้วยเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบขนาด 2,000 ตัน ปัจจุบันมีการสร้างจริงจำนวน 2 ลำและอยู่ระหว่างการติดตั้งอาวุธ

เรือฟริเกต Arrowhead 140

        ระหว่างเดือนกันยายน 2021 กองทัพเรืออินโดนีเซียซื้อแบบเรือฟริเกต Arrowhead 140 จากบริษัท Babcock ประเทศอังกฤษมาสร้างเองจำนวน 2 ลำ ปัจจุบันเรือฟริเกตทั้ง 2 ลำอยู่ระหว่างการสร้างโดยอู่ต่อเรือบริษัท PT PALประเทศอินโดนีเซีย

นี่คือก้าวแรกของโครงการจัดหาเรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000 ตัน

        เรือฟริเกต Arrowhead 140 มีระวางขับน้ำ 5,700 ตัน ยาว 138.7 เมตร กว้าง 19.8 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.8 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU 20V 8000 M71 จำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 ระยะปฏิบัติการไกลสุด 9,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็วเดินทาง ถือเป็นเรือฟริเกตขนาดใหญ่โตมากที่สุดในย่านอาเซียน

        อาวุธและเรดาร์ที่ติดตั้งบนเรือยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ภาพประกอบที่ 5 มาจากวันประกอบพิธีวางกระดูกงูเรือฟริเกตลำที่ 1 เรือลำจริงน่าจะติดตั้งอาวุธและเรดาร์ใกล้เคียงเรือในภาพประกอบ หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 2 กระบอก ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AESA จำนวน 4 ตัวฝังรอบเสากระโดง กลางเรือคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบและอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ห้องตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำซ่อนอยู่สองกราบเรือ ส่วนระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดบนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ น่าจะเป็น Millennium Gun เหมือนเรือฟริเกต Sigma 10514 รวมทั้งมีเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกลเพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว

        เรือฟริเกต Arrowhead 140 คือก้าวกระโดดสำคัญของอุตสาหกรรมสร้างเรือประเทศอินโดนีเซีย

เรือฟริเกต PPA

วันที่ 28 มีนาคม 2024 บริษัท Fincantieri ประเทศอิตาลีและกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย ลงนามร่วมกันในสัญญามูลค่า 1.18 พันล้านยูโร เพื่อจัดหาเรือฟริเกต  PPA ในกรณีพิเศษให้กับกองทัพเรืออินโดนีเซียจำนวน 2 ลำ โดยการโอนเรือ Marcantonio Colonna (P434) กับเรือ Ruggiero di Lauria (P435) ซึ่งเป็นของกองทัพเรืออิตาลี ให้กับลูกค้าเงินถุงเงินถังคนสำคัญจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เรือทั้งสองลำเป็นเรือฟริเกต PPA รุ่น Light+ ระวางขับน้ำปรกติ 4,994 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 6,270 ตัน ยาว 143 เมตร กว้าง 16.5 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG ความเร็วสูงสุด 31.6 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต

การสั่งซื้อเรือครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน กองทัพเรืออินโดนีเซียเคยมีข่าวอยากได้เรือฟริเกต FREMM เวอร์ชันอิตาลีจำนวน 6-8 ลำ แต่แล้วปุบปับกลับจัดหาเรือฟริเกต PPA และได้เรือที่สร้างเสร็จแล้วจากกองทัพเรืออิตาลี ผู้เขียนมีความเห็นเกี่ยวข้องกับดีลหยุดโลกประจำปี 2024 ตามนี้

1.เศรษฐกิจอินโดนีเซียอยู่ในช่วงขาขึ้น รัฐบาลจึงเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ

2.สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ไม่ดีเอาเสียเลย แม้อินโดนีเซียไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรงกับจีนหรือสหรัฐอเมริกา แต่พวกเขาจำเป็นต้องมีเรือรบขนาดใหญ่ใช้เป็นไม้เท้าตีสุนัข และควรได้รับเรือให้เร็วที่สุดไม่ใช้รอสร้างเรือไปอีก 5 ปีเหมือนดั่งเรือฟริเกต Arrowhead 140

3.บริษัท Fincantieri เล็งเห็นช่องทางทำมาหากินกับลูกค้าใหม่ จึงยื่นข้อเสนอขายเรือฟริเกต PPA ให้กับอินโดนีเซีย รวมทั้งเป็นคนกลางช่วยเจรจากับรัฐบาลทั้งสองฝ่าย

4.กองทัพเรืออินโดนีเซียบังเอิญได้ส้มหล่นจำเป็นต้องรีบคว้าไว้

เบื้องลึกเบื้องหลังดีลหยุดโลกน่าจะเป็นไปตามนี้ เรามาพิจารณาเรือฟริเกต PPA เวอร์ชันอินโดนีเซียลำจริงกันให้ละเอียดตามภาพประกอบที่ 6

หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 127/64 Vulcano หน้าสะพานเดินเรือติดตั้งท่อยิงแนวดิ่ง SYLVER A50 จำนวน 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aster 15/30 หรือ Albatross NG ถัดไปเล็กน้อยคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8 ท่อยิง อินโดนีเซียคงติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III ในภายหลัง กลางเรือติดปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก หลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด OTO 76/62 Sovraponte หายไป อินโดนีเซียคงติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium Gun ในภายหลัง

เรือฟริเกต PPA รุ่น Light+ ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Phase Array รุ่น KRONOS C-band จำนวน 4 ตัว แต่ไม่มีเรดาร์ KRONOS X-band เหมือนดั่งรุ่น Full ประสิทธิภาพจึงไม่เต็มร้อย ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ใช้รุ่น ZEUS System ซึ่งมีทั้งระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ RESM และระบบก่อกวนคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ RECM ส่วนระบบปราบเรือดำน้ำปรกติเรือฟริเกต PPA รุ่น Light+ มีพื้นที่รองรับแต่ไม่ได้ติดตั้ง ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรืออินโดนีเซียได้โซนาร์ลากท้ายกับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเพิ่มเติมหรือไม่

เรือฟริเกต PPA ทั้ง 2 ลำพร้อมส่งมอบภายในปี 2025

โครงการในอนาคต

อินโดนีเซียเพิ่งจัดหาเรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000 ตันได้เพียง 4 ลำ ยังขาดอีก 4 ลำถือเป็นชาติใหญ่ในย่านอาเซียนที่เนื้อหอมเอามากๆ บริษัทสร้างเรือหลายรายแวะเวียนมาเยี่ยมชนิดหัวกระไดไม่แห้ง แบบเรือซึ่งอาจได้รับการคัดเลือกในอนาคตประกอบไปด้วย

-เรือฟริเกต FDI

เดือนพฤษภาคม 2024 เจ้าหน้าที่บริษัท Naval Group ประเทศฝรั่งเศสเดินทางมานำเสนอแบบเรือฟริเกต FDI ต่อกองทัพเรืออินโดนีเซีย โดยมีออปชันเสริมเรือลำที่ 1 สร้างในฝรั่งเศส เรือลำถัดไปสร้างในอินโดนีเซียพร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมทั้งมีออปชันพิเศษเรือลำที่ 1 พร้อมส่งมอบภายในเวลา 24 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริงเพราะ Naval Group กำลังสร้างเรือฟริเกต FDI จำนวนมากให้กับกองทัพเรือฝรั่งเศสและกรีซ

ตัวเลือกจากฝรั่งเศสมีความเป็นไปได้ก็จริงแต่ค่อนข้างน้อย ฝรั่งเศสต้องมีออปชันที่ดีมากเป็นตัวช่วยในการขายเรือ เหตุผลก็คือราคาเรือค่อนข้างแพงเพราะติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Sea Fire 4D ฝังรอบเสากระโดง

-เรือฟริเกต Mogami

ญี่ปุ่นอยากขายเรือฟริเกต Mogami ให้กับอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2021 ความพยายามล่าสุดมาพร้อมข้อเสนอสร้างเรือในอินโดนีเซียทุกลำพร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ว่ากันตามจริงถือเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นไม่เคยขายเรือรบให้กับต่างชาติแม้แต่ลำเดียว ถือเป็นมือใหม่หัดขายอาจประสบปัญหาวุ่นวายขายปลาช่อน เหมือนดั่งสมัยเกาหลีใต้ขายเรือรบครั้งแรกให้กับกองทัพเรือบังกลาเทศ

แต่ถ้าเราตัดความเสี่ยงเรื่องพ่อค้าป้ายแดงออก เรือฟริเกต Mogami เป็นตัวเลือกที่ผู้เขียนให้คะแนนความเป็นไปอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบ ถ้ารัฐบาลญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือเป็นเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำพร้อมของแถมโน่นนั่นนี่ เราอาจเห็นเรือรบจากดินแดนอาทิตย์อุทัยพากันแล่นฉิวรอบเกาะชวาก็เป็นได้

-เรือฟริเกต Arrowhead 140 เฟสสอง

ความเห็นส่วนตัวนี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดเหมาะสมมากที่สุด แต่รัฐบาลและกองทัพเรืออินโดนีเซียต้องใจเย็นและใจแข็งพอสมควร พวกเขาต้องสร้างเรือฟริเกต Arrowhead 140 เฟสแรกทั้ง 2 ลำให้เสร็จเรียบร้อยและเข้าประจำการเสียก่อน จากนั้นจึงหันมาวิเคราะห์ความเหมาะสมก่อนตัดสินใจสั่งซื้อเรือจากอังกฤษเพิ่มอีกกี่ลำก็ว่ากันไป

-เรือฟริเกต Sigma 10514 เฟสสอง

มีความเป็นไปได้เช่นกันแต่ค่อนข้างน้อย จะเกิดขึ้นในกรณีรัฐบาลต้องการประหยัดงบประมาณในการจัดหาเรือ กองทัพเรืออินโดนีเซียจึงเลือกแบบเรือ Sigma 10514 รุ่นใหม่ซึ่งยาวกว่าเดิม 2 เมตร ระวางขับน้ำปรกติเพิ่มเป็น 2,800 ตัน ระวางขับน้ำสูงสุดมากกว่า 3,000 ตัน ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA NG จำนวน 16 นัด เปลี่ยนมาใช้งานเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS100 ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม และติดตั้งโซนาร์ลากท้าย CAPTAS-2 ช่วยค้นหาเป้าหมายใต้น้ำไกลสุดมากถึง 60 กิโลเมตร

-เรือฟริเกต PPA เฟสสอง

ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยจนถึงน้อยมาก บริษัท Fincantieri ไม่ชอบถ่ายทอดเทคโนโลยีสร้างเรือรบรุ่นใหม่ให้กับลูกค้า ที่ผ่านมามักใช้วิธีหักคอโดยการลดราคาสินค้าให้ต่ำกว่าคู่แข่ง รัฐบาลและกองทัพเรืออินโดนีเซียจึงไม่น่าให้ความสนใจสักเท่าไร

-เรือพิฆาต Type 052D รุ่นส่งออก

จีนค่อนข้างจริงจังกับการขายเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศขนาด 6,000 ตัน โดยบอกออปชันเรือดำน้ำ S26T สร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่มีเครื่องยนต์ให้กับอินโดนีเซีย (ก็ลำที่สร้างให้ไทยนั่นแหละครับ) เหตุผลก็คือปากีสถานลูกค้ารายใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด ซื้ออาวุธจากจีนจำนวนมหาศาลจนเป็นหนี้ไปอีกหลายสิบปี เท่ากับว่านับจากวันนี้จะไม่มีคำสั่งซื้อจากปากีสถาน จำเป็นต้องหาลูกค้ากระเป๋าหนักรายใหม่มาช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ความเป็นไปได้ผู้เขียนไม่กล้าให้คะแนน อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดไม่มีใครห้ามได้

บทสรุป

        การจัดหาเรือฟริเกตจำนวน 16 ลำเป็นเรื่องยากมากจนถึงมากที่สุด อินโดนีเซียใช้เวลา 20 กว่าปียังจัดหาเข้าประจำการไม่ครบถ้วน ระหว่างนี้มีความแปรปรวนของโครงการตลอดเวลา แปรปรวนเสียจนผู้เขียนไม่กล้าแตะทำได้เพียงเฝ้ามองห่างๆ กระทั่งเล็งเห็นแล้วว่าคงไม่มีเหตุการณ์คดีพลิกเกิดขึ้น จึงตัดสินใจเขียนบทความถึงกองทัพเรืออินโดนีเซียเป็นครั้งแรก โดยหวังว่าจะมีบทความที่สองบทความที่สามตามมาในอีกไม่ช้าไม่นาน

อ้างอิงจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_active_Indonesian_Navy_ships

https://en.wikipedia.org/wiki/Martadinata-class_frigate

https://www.reddit.com/r/WarshipPorn/comments/2p65e4/indonesias_sigma_class_corvette_built_in_the/

https://www.navalnews.com/naval-news/2023/08/indonesia-lays-keel-of-first-red-white-frigate/

https://x.com/gara_nam/status/1878779191833108957

https://x.com/The_Ascalon/status/1862744898472157691

 

       

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2568

Fuel Consumption

 

อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือรบชนิดต่างๆ มีความสำคัญไม่แพ้ระบบอาวุธหรือระบบอำนวยการรบรุ่นใหม่ทันสมัย เพราะเป็นค่าใช้จ่ายประจำวันต้องเสียเงินทุกครั้งที่ติดเครื่องยนต์ บทความนี้จะพูดถึงอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเรือรบชนิดต่างๆ แห่งราชนาวีไทย ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาได้จัดเก็บเมื่อกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แต่ยังคงมีคุณค่าเหมาะสมในการศึกษาสั่งสมความรู้ให้กับตัวเอง รวมทั้งเปรียบเทียบระบบขับเคลื่อนชนิดต่างๆ ที่มีใช้งานบนเรือรบลูกประดู่ไทย

        ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาพบกับเรือลำแรกกันเลยก็แล้วกัน

1.เรือฟริเกตชุดเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

        เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำจากสหรัฐอเมริกามีระวางขับน้ำ 3,500 ตัน ยาว 134 เมตร กว้าง 14.25 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนกังหันไอน้ำจากยุคสงครามโลก ติดตั้งเครื่องยนต์กังหันไอน้ำ Westinghouseจำนวน 1 ตัว ทำงานร่วมกับหม้อต้มไอน้ำจำนวน 2 ตัว มีใบจักร 1 เพลา ให้กำลังสูงมากถึง 35,000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 27 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 20 นอต

        เรือฟริเกตชุดเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกถูกออกแบบให้คุ้มกันกองเรือจากเรือดำน้ำสหภาพโซเวียต ความเร็วมัธยัสถ์จึงค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับเรือรบยุคใหม่ อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 20 นอตเท่ากับ 2,730 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 27 นอตเท่ากับ 6,375 ลิตรต่อชั่วโมง เป็นอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือรบยุคเก่านั่นแหละครับ เครื่องยนต์กังหันไอน้ำมีกำลังสูงเพิ่มความเร็วให้เรือได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องแลกเปลี่ยนกับความสิ้นเพลิงน้ำมันเชื้อเพลิงตามระดับความเร็วในการใช้งาน

2.เรือฟริเกตชุดเรือหลวงมกุฎราชกุมาร

        เรือฟริเกตรุ่นส่งออกจากอังกฤษมีระวางขับน้ำ 1,782 ตัน ยาว 97.56 เมตร กว้าง 10.97 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG หรือ Combined diesel or gas ติดตั้งเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ Rolls-Royce Olympus จำนวน 1 ตัวให้กำลัง 19,500 แรงม้า กับเครื่องยนต์ดีเซล Crossley Pelstick PA6S จำนวน 1 ตัวให้กำลัง 6,000 แรงม้า มีใบจักร 2 เพลา ความเร็วสูงสุด 26 นอตเมื่อใช้เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ ความเร็วสูงสุด 18 นอตเมื่อใช้เครื่องยนต์ดีเซล ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16 นอตเมื่อใช้เครื่องยนต์ดีเซล

        เรือฟริเกตชุดเรือหลวงมกุฎราชกุมารเป็นเรือลำแรกของกองทัพเรือไทยที่ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 16 นอตเท่ากับ 750 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 26 นอตเท่ากับ 5,000 ลิตรต่อชั่วโมง เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ถ้าใช้เครื่องยนต์ดีเซลจะกินน้ำมันเชื้อเพลิงค่อนข้างน้อย เมื่อเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์เพื่อทำความเร็วสูงสุด อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงกลับพุ่งทะยานขึ้นสูงมากถึง 6.66 เท่าตัว

3.เรือฟริเกตชุดเรือหลวงตาปี

        เรือฟริเกตตรวจการณ์รุ่นส่งออกจากสหรัฐอเมริกามีระวางขับน้ำ 1,079.1 ตัน ยาว 82.5 เมตร กว้าง 9.5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนดีเซล ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Detroit Diesel 16V-149TI กำลัง 1,400 แรงม้าจำนวน 2 ตัว มีใบจักร 2 เพลา ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 20 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,203 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต

        เรือฟริเกตชุดเรือหลวงตาปีคือเรือรุ่นเดียวกับเรือฟริเกตชุด Bayandor ของกองทัพเรืออิหร่าน แบบเรือค่อนข้างเก่าระบบขับเคลื่อนย่อมเก่าตามกัน แต่ใช้งานได้อย่างดีดีเยี่ยมไม่มีปัญหารบกวนจิตใจ จนถึงทุกวันนี้เรือฟริเกตอิหร่านซึ่งมีอายุมากกว่าเรือฟริเกตไทยมากถึง 10 ปี ยังคงรับใช้ชาติครบทุกลำที่ยังไม่ถูกยิงจมระหว่างสงคราม ขณะที่เรือฟริเกตไทยปลดประจำการไปแล้ว 1 ลำจาก 2 ลำ

        อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 15 นอตเท่ากับ 650 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 20 นอตเท่ากับ 1,180 ลิตรต่อชั่วโมง เป็นตัวเลขที่ไม่ได้กระโดดสูงแบบฮวบฮาบจนน่าตกใจ นี่คือข้อดีเรือรบรุ่นส่งออกแท้ๆ ทั้งลำของสหรัฐอเมริกาซึ่งในปัจจุบันหาซื้อไม่ได้แล้ว

4.เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชุดเรือหลวงราชฤทธิ์

        เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีจากอิตาลีมีระวางขับน้ำ 300 ตัน ยาว 49.8 เมตร กว้าง 7.5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนดีเซล ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU 20V 538 TB91 จำนวน 3 ตัว มีใบจักร 3 เพลา ความเร็วสูงสุด 36 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต

        เร็วโจมตีอาวุธนำวิถี BMB-230 ถูกออกแบบให้บุกโจมตีแบบฉาบฉวย ใช้เครื่องยนต์ดีเซลตัวแรงจากเยอรมันจำนวน 3 ตัวในการขับเคลื่อน อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 15 นอตเท่ากับ 457 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 36 นอตเท่ากับ 2,155 ลิตรต่อชั่วโมง ตัวเลขค่อนข้างดีเพราะเรือมีระวางขับน้ำเพียง 300 ตัน แม้ความเร็วสูงสุดจะสูบน้ำมันเชื้อเพลิงค่อนข้างเยอะมาก แต่เมื่อแลกกับความเร็วที่ได้รับถือว่าคุ้มค่าน้ำมันทุกหยด ทว่าลูกเรือต้องใช้ชีวิตลำบากพอสมควรเพราะตัวเรือมักโคลงไปโคลงมาตามระดับความเร็ว

        ปัจจุบันเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชุดเรือหลวงราชฤทธิ์ปลดประจำการหมดแล้ว กองทัพเรือไทยไม่จัดหาเรือชุดใหม่มาใช้งานทดแทนด้วยหลักนิยมเปลี่ยนไป เราจึงไม่มีโอกาสเห็นภาพเรือหัวแหลมวิ่งฝ่าคลื่นลูกใหญ่ก่อนมุดน้ำหายไปครึ่งค่อนลำเหมือนในอดีต

5.เรือตรวจการณ์ปืนชุดเรือหลวงหัวหิน

        เรือตรวจการณ์ปืนชุดนี้ออกแบบโดยกรมอู่ทหารเรือ (แต่ใช้แบบเรืออังกฤษเป็นต้นแบบ) มีระวางขับน้ำ 645 ตัน ยาว 61.67 เมตร กว้าง 8.9 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนดีเซล ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MAN Diesel 12VP185 จำนวน 3 ตัว มีใบจักร 3 เพลา ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,667 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต

        เรือตรวจการณ์ปืนชุดเรือหลวงหัวหินปรับปรุงจากเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้น เรือหลวงคำรณสินธุ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลรอบต่ำจากอังกฤษจำนวน 3 ตัวในการขับเคลื่อน อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 15 นอตเท่ากับ 438 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 25 นอตเท่ากับ 1,882 ลิตรต่อชั่วโมง ตัวเลขจัดว่าดีเมื่อเทียบกับเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชุดเรือหลวงราชฤทธิ์ เรือมีระวางขับน้ำมากขึ้นสองเท่าและใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่าเล็กน้อย เหมาะสมกับภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์ในน่านน้ำโดยใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน

6.เรือคอร์เวตชุดเรือหลวงรัตนโกสินทร์

        เรือคอร์เวตรุ่นส่งออกจากสหรัฐอเมริกามีระวางขับน้ำ 870 ตัน ยาว 76.8 เมตร กว้าง 9.6 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนดีเซล ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU 20V1163 TB83 จำนวน 2 ตัว มีใบจักร 2 เพลา ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,568 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 นอต

        เรือคอร์เวต PFMM Mk.16 จากบริษัททาโคม่า โบ้ทบิลดิ้ง ถูกออกแบบและปรับปรุงให้สามารถทำการรบครบทั้ง 3 มิติ ติดตั้งอาวุธและเรดาร์รุ่นที่ดีที่สุดทันสมัยที่สุด ใช้เครื่องยนต์ดีเซลตัวแรงจากเยอรมันจำนวน 2 ตัวในการขับเคลื่อน อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 18 นอตเท่ากับ 785 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 24 นอตเท่ากับ 2,810 ลิตรต่อชั่วโมง ตัวเลขถือว่าไม่เลวเมื่อเทียบกับเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชุดเรือหลวงราชฤทธิ์ แต่ถ้าไปท้ารบเรือฟริเกตชุดหลวงตาปีต้องบอกว่าพ่ายแพ้แบบสู้กันไม่ได้ เนื่องจากเรือหลวงตาปีใช้เครื่องยนต์ดีเซลรอบต่ำจากสหรัฐอเมริกา

        เรือหลวงรัตนโกสินทร์เปรียบได้กับเรือคอร์เวตสหรัฐอเมริกาที่ใช้เครื่องยนต์เยอรมัน ใช้ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบจากยุโรป ติดตั้งอาวุธจากสหรัฐอเมริกากับยุโรปผสมปนเป เป็นไปตามความต้องการผู้ใช้งานซึ่งอยากได้สิ่งที่ตัวเองคุ้นมือเป็นอย่างดี

7.เรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา

        เรือฟริเกตเจียงหูจากประเทศจีนมีระวางขับน้ำ 1,840 ตัน ยาว 102.87 เมตร กว้าง 11.36 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD หรือ Combined diesel and diesel ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU 30 V 1163 TB 83 จำนวน 4 ตัว มีใบจักร 2 เพลา ความเร็วสูงสุด 30 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 นอต

        เรือฟริเกตเจียงหูจากจีนซึ่งถูกปรับปรุงให้ใช้งานเครื่องยนต์ดีเซลตัวแรงจากเยอรมัน มีประสิทธิภาพที่ผู้เขียนรู้สึกตกใจปานกลางค่อนไปในทางสูง  อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 18 นอตเท่ากับ 1,350 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 30 นอตเท่ากับ 5,730 ลิตรต่อชั่วโมง หรือเพิ่ม 4.24 เท่าเมื่อเทียบกับความเร็วมัธยัสถ์

        เครื่องยนต์ดีเซล MTU ช่วยให้เรือหลวงเจ้าพระยามีความเร็วสูงไม่แพ้เรือฟริเกตจากยุโรป แต่ต้องแลกกับอัตราการผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งได้เปลี่ยนจาก จิบ เป็น เขมือบ อาจเป็นเพราะธรรมชาติของเครื่องยนต์ดีเซลเมื่อทำงานในรอบค่อนข้างสูง ความประหยัดได้พลันแปรเปลี่ยนเป็นความกำหมัด น้ำมันเชื้อเพลิงจึงถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว

8.เรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร

        เรือฟริเกตรุ่นส่งออก F25T จากประเทศจีนมีระวางขับน้ำ 2,800 ตัน ยาว 120 เมตร กว้าง 13.7 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG เหมือนเรือหลวงมกุฎราชกุมาร แต่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU 20V1163 จำนวน 2 ตัว กับเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ LM-2500 จำนวน 1 ตัว มีใบจักร 2 เพลา ความเร็วสูงสุด 32 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 นอต

        เรือฟริเกตลูกผสมจีน-ยุโรปมีต้นกำเนิดจากสยามเมืองยิ้ม พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์คือผู้เขียนแบบ Conceptual Design ด้วยตัวเอง ก่อนส่งให้บริษัทสร้างเรือประเทศจีนออกแบบรายละเอียดเป็นพิมพ์เขียวพร้อมทำ Model Tank Test เรือมีประสิทธิภาพที่ผู้เขียนรู้สึกตกใจปานกลางค่อนไปในทางสูง  อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 18 นอต (ใช้เครื่องยนต์ดีเซล) เท่ากับ 1,500 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 32 นอต (ใช้เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์) เท่ากับ 2,200 ลิตรต่อชั่วโมงประหยัดน้ำมันยิ่งกว่าออลนิวอีซูซุ

เทียบกับเรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยาผู้เขียนตกใจขนหัวตั้งชั้น เครื่องยนต์ดีเซล MTU 30 V 1163 TB 83 ใช้ความเร็ว 30 นอตจะผลาญน้ำมันเชื้อเพลิง 5,730 ลิตรต่อชั่วโมง ส่วนเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ LM-2500 ใช้ความเร็ว 32 นอตจะผลาญน้ำมันเชื้อเพลิง 2,200 ลิตรต่อชั่วโมง คล้ายดั่งตัวเลขสลับร่างสร้างรักแต่เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย

ผู้เขียนนึกถึงเรือฟริเกต Oliver Hazard Perry ที่สหรัฐอเมริกาอยากมอบให้ไทยขึ้นมาทันที เรือลำนี้ใช้เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ LM-2500 จำนวน 2 ตัว มีใบจักร 1 เพลา มิตรรักแฟนเพลงทั่วประเทศบอกว่าสิ้นเปลืองเกินไปไม่เหมาะสมกับราชนาวีไทย เจอ MTU 30 V 1163 TB 83 เรือหลวงเจ้าพระยาเข้าไปบอกได้คำเดียวฮานาก้า!!!

9.เรือฟริเกตชุดเรือหลวงปิ่นเกล้า

        เรือพิฆาตคุ้มกันจากสหรัฐอเมริกามีระวางขับน้ำ 1,178 ตัน ยาว 91.8 เมตร กว้าง 11.12 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนดีเซล-ไฟฟ้าจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล General Motors 16-278A พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 4 เครื่อง ให้กำลังสูงสุด 6,400 แรงม้า มีใบจักร 2 เพลา ความเร็วสูงสุด 20 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,340 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต

        เรือพิฆาตคุ้มกันยุคสงครามโลกครั้งที่สองสร้างผลงานได้อย่างสุดเหลือเชื่อ อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 12 นอตเท่ากับ 570 ลิตรต่อชั่วโมง อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 20 นอตเท่ากับ 780 ลิตรต่อชั่วโมง เทียบกับเรือหลวงตาปีที่ว่าโคตะระประหยัดยังเอาชนะได้อย่างใสสะอาด เรือฝึกอายุเก่าแก่มากที่สุดในประเทศคือผู้ชนะเลิศการแข่งขันน้ำมันถังเดียวเที่ยวทั่วไทย

บทสรุปปิดท้าย

        เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ LM-2500 เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ระหว่างยุค 90 มักทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัวโดยใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG ปัจจุบันระบบขับเคลื่อน CODOG กำลังเลือนหายไปจากตลาดเรือรบทั่วโลก เรือฟริเกตจำนวนมากรวมทั้งเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG หรือ Combined diesel and gas ซึ่งมีความทันสมัยมากกว่า ส่วนเรือฟริเกตที่เลือกใช้งานเครื่องยนต์ดีเซลล้วนก็มีมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ทันสมัยเป็นออปชันเสริม อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงย่อมลดลงกว่าเรือที่ใช้ระบบขับเคลื่อนรุ่นเก่าไม่มากก็น้อย

สำหรับเรือรบราชนาวีไทยผู้เขียนกำหนดผู้ชนะเลิศได้ตามนี้ อันดับหนึ่งเรือหลวงปิ่นเกล้า อันดับสองเรือหลวงตาปี และอันดับสามเรือหลวงนเรศวร

++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก

 เอกสารดาวน์โหลดของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาเรื่อง : ‘อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือและอากาศยานแต่ละประเภท

https://thaidefense-news.blogspot.com/2021/04/blog-post_22.html

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:HTMS_Klang_-_PC_542.jpg

https://x.com/WassanaNanuam/status/1436324575424376838

https://x.com/Prachaya_Ice/status/932516613516955648

https://www.getit01.com/p2018012525095627/

http://thaimilitary.blogspot.com/2017/10/the-missing-radar.html

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567

Offshore Patrol Vessel made in Thailand

  

บทความยาวบทความสุดท้ายประจำปี 2567 ค่อนข้างพิเศษ ผู้เขียนขอย้อนเวลากลับไปยังโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งในประเทศลำแรก โครงการนี้มีเรื่องราวน่าสนใจมากมายที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสรับรู้ เรื่องราวซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารถึงทุกคนก็คือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งออกแบบโดยกรมอู่ทหารเรือ

จุดเริ่มต้นโครงการ

ปลายปี 2549 ผู้บัญชาการทหารเรือโทรศัพท์สอบถามเจ้ากรมอู่ทหารเรือว่า กรมอู่ทหารเรือสามารถสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้หรือไม่ หลังได้รับคำยืนยันว่าทำได้มีการสนทนารายละเอียดทั่วไปเล็กน้อย ก่อนที่ผู้บัญชาการทหารเรือจะพูดปิดประเด็นให้ฝ่ายอำนวยการติดต่อกลับมาเพื่อขอประสานงาน

ต่อมาไม่นานกรมอู่ทหารเรือได้รับข้อมูลเรื่องคุณลักษณะเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ผู้เกี่ยวข้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์และคำนวณการออกแบบในระดับหลักการ รวมทั้งปรับปรุงแบบเรือตามความต้องการซึ่งทยอยเพิ่มเติมเข้ามา กระทั่งพอมองเห็นภาพจึงเริ่มเดินหน้าโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ลำใหญ่ที่สุดเท่าที่กรมอู่ทหารเรือเคยทำ

หัวหน้าคณะทำงานให้ความสนใจเรือชั้น SIGMA 9113 ของบริษัท Schelde Naval Shipbuilding ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเรือชั้น Meko 100 ของบริษัท Thyssen Krupp Marine ประเทศเยอรมันค่อนข้างมาก โดยจะขอซื้อแบบเรือที่ได้จากการออกแบบเบื้องต้นหรือ Basic Design จากบริษัทที่กองทัพเรือคัดเลือก นำมาให้นักออกแบบกรมอู่ทหารเรือจัดการรายละเอียดทั้งหมด วิธีนี้จะช่วยให้นักออกแบบกรมอู่ทหารเรือได้รับประสบการณ์มากขึ้น โดยใช้เวลาทำงานแบบเต็มตัวหรือ Full Time Designing ประมาณ 1 ปี

ปัญหาสำคัญ

        อุปสรรคชิ้นใหญ่ส่งผลกระทบต่อคณะทำงานก็คือ โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งยังไม่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงกลาโหม ขาดความชัดเจนเรื่องกองทัพเรือจะเริ่มต้นเดินหน้าโครงการตอนไหน  ส่งผลให้การทำงานทั้งหมดเป็นไปอย่างตะกุกตะกัก

        วันหนึ่งเจ้ากรมอู่ทหารเรือได้รับแจ้งข้อมูลสำคัญว่า กองทัพเรือเสนอให้โครงการสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ดังนั้นเรือต้องเสร็จเรียบร้อยในปี  2554 เพื่อให้กองทัพเรือนำขึ้นน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายภายในเดือนธันวาคม 2554

        ปัญหาสำคัญของวิธีซื้อแบบเรือเบื้องต้นจากบริษัทเอกชนก็คือ นอกจากกรมอู่ทหารเรือจะต้องออกแบบเรือทั้งลำให้ตรงตามความต้องการ ระยะเวลาในการสร้างตัวเรือหรือ Hull Structure ก็มีมากถึง 2 ปี 9 เดือน โอกาสที่เรือจะสร้างเสร็จทันเดือนธันวาคม 2554 เป็นไปอย่างฉิวเฉียด และมีแนวโน้มว่าโครงการอาจล้มเหลวไปไม่ถึงฝั่งฝัน กรมอู่ทหารเรือจึงเสนอทางเลือกใหม่จำนวน 2 วิธีในการสร้างเรือประกอบไปด้วย

        1.กรมอู่ทหารเรือจะจัดทำแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design ก่อนส่งมอบให้ผู้รับจ้างจัดทำแบบรายละเอียดหรือ Construction Drawings จนเสร็จสมบูรณ์ ส่วนพัสดุสำหรับการสร้างเรือให้ผู้รับจ้างเป็นผู้ดำเนินการ

        2.กองทัพเรือเลือกแบบเรือเสร็จสมบูรณ์จากบริษัทเอกชน ส่วนพัสดุสำหรับสร้างเรือจัดหาโดยเจ้าหน้าที่กองทัพเรือ

        เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีกองทัพเรือเลือกวิธีที่ 1 กรมอู่ทหารเรือเดินหน้าทำแบบเบื้องต้นให้เสร็จเรียบร้อย กระทั่งได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งตามภาพประกอบที่หนึ่ง และพร้อมส่งมอบให้ผู้รับจ้างจัดทำแบบรายละเอียดเพื่อสร้างเรือลำจริง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสร้างโดยคนไทยมีความยาว 72 เมตร กว้างประมาณ 9.7 เมตร กินน้ำลึกสุดประมาณ 3.3 เมตร รูปทรงโดยรวมมีความคล้ายคลึงเรือชั้น SIGMA 9113 โดยความตั้งใจ ตัวเรือมีคุณลักษณะลดการตรวจจับด้วยคลื่นเรดาร์ในระดับหนึ่ง ความสวยงามผู้เขียนให้คะแนนสิบเต็มสิบโดยไม่ต้องคิดมาก

หัวเรือค่อนข้างสูงใช้ราวกันตกแบบทึบเพิ่มความแข็งแกร่ง ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.เป็นปืนหลัก สะพานเดินเรือรูปทรงหกเหลี่ยมมาพร้อมเสากระโดงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีจุดติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ เรดาร์เดินเรือ และเรดาร์ควบคุมการยิง พื้นที่ว่างกลางเรือคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 นัด ข้างปล่องระบายความร้อนขนาดใหญ่คือจุดติดตั้งแท่นยิงเป้าลวง ถัดไปเล็กน้อยคือจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.ปิดท้ายด้วยลานจอดเฮลิคอปเตอร์น้ำหนักไม่เกิน 7 ตัน

สังเกตนะครับเรือลำนี้มีเรือยางท้องแข็งเพียง 1 ลำที่กราบขวา น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับภารกิจลาดตระเวนตรวจการณ์ทั่วน่านน้ำไทย เหตุผลที่เป็นไปได้ก็คือคนออกแบบจงใจใส่เรือเพียงลำเดียว หรือใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์มีจุดจอดเรือยางท้องแข็งขนาดใหญ่อีก 1 ลำ ส่วนตัวผู้เขียนให้น้ำหนักเหตุผลข้อที่หนึ่งมากกว่า

ผู้อ่านเดาถูกหรือเปล่าว่าเรือลำนี้มีต้นกำเนิดจากเรือประเทศไหน?

คำใบ้อยู่ที่ปล่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ยักษ์

คิดว่าเดากันถูกทุกคนนะครับ แต่ถ้าไม่ถูกผู้เขียนจะช่วยอธิบาย

ที่มาของเรือ

        การออกแบบเบื้องต้นจะนำข้อมูลเรื่องเรือถูกนำไปใช้ในภารกิจอะไรเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้ทราบจำนวนกำลังพล จำนวนวันที่เรือต้องออกทะเล รวมทั้งลักษณะการทำงานของเครื่องจักรใหญ่ มาประมวลผลก่อนออกแบบเรือให้ตรงตามความต้องการ บังเอิญช่วงนั้นกองทัพเรือมีโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงหัวหินจำนวน 3 ลำ เรือชุดนี้กรมอู่ทหารเรือเป็นผู้ออกแบบก่อนส่งข้อมูลไปทำ Model Test ที่สถาบัน WUXI ประเทศจีน คณะทำงานจึงตัดสินใจนำเรือหลวงหัวหินมาขยายความยาวเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์หรือ 12 เมตร กลายเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำแรกสร้างโดยฝีมือคนไทย

        ผู้เขียนขอสรุปง่ายๆ แต่เข้าใจค่อนข้างยากให้ตรงกันตามนี้

        -เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 72 เมตร ถูกปรับปรุงจากเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงหัวหิน

        -เรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงหัวหิน ถูกปรับปรุงจากเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ

        -เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุ ถูกปรับปรุงจากเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Province ของบริษัทวอสเปอร์ ธอร์นิครอพท์ประเทศอังกฤษ

        แม้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 72 เมตรจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายเรือเนเธอร์แลนด์ ทว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงมาจากเรือประเทศอังกฤษเมืองผู้ดี

ภาพประกอบที่สองเป็นการเปรียบเทียบของใหม่กับของเก่า กรมอู่ทหารเรือนำเรือหลวงหัวหินมาขยายความยาว 12 เมตร สร้างหัวเรือให้สูงขึ้นเหมาะสมกับการเผชิญหน้าคลื่นลมแรง สร้างจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบหลังเสากระโดง และสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือด้วยตัวเอง โดยนำโครงสร้างดาดฟ้าเรือหลวงจักรีนฤเบศรมาศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนย่อขนาดให้เล็กลงแต่รักษาอัตราส่วนความยาวต่อความกว้างให้คงที่ นำมาใช้เป็นโครงสร้างดาดฟ้าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้โดยไม่ขัดเขิน

        ความเห็นส่วนตัว : กรมอู่ทหารเรือทำดีที่สุดเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้

นี่คือจุดสุดยอดของเรือตระกูล Province ไม่สามารถไปต่อได้มากกว่านี้ ในอนาคตถ้ามีการทำแบบรายละเอียดหรือ Construction Drawings และสร้างเรือเข้าประจำการจริง จะเป็นเรือที่ผู้เขียนภูมิใจมากที่สุดติดอันดับหนึ่งในสามตลอดกาล

ผู้ถูกคัดเลือก

        เนื่องจากระยะเวลาในการส่งมอบเรือค่อนข้างกระชั้นชิด คณะกรรมการตัดสินใจเลือกวิธีที่ 2 คือเลือกแบบเรือเสร็จสมบูรณ์จากบริษัทเอกชน กำหนดให้เป็นเรือแบบ Well Proven หรือเคยสร้างใช้งานมาแล้ว โดยต้องส่งผลการทดสอบ Model Test ของเรือมาพร้อมเอกสารเสนอราคา วิธีนี้จะใช้เวลาน้อยกว่าวิธีที่ 1 ซึ่งการทำงานมีเรื่องจุกจิกมากกว่า

การประกวดราคาแบบเรือต้องทำถึง 3 ครั้งกว่าจะได้ผู้ชนะเลิศ ปรากฏว่าบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัดซึ่งใช้แบบดัดแปลงจากเรือชั้น River ของบริษัท BVT Surface Fleet ผ่านการคัดเลือกได้รับการเซ็นสัญญาตามภาพประกอบที่สาม และด้วยเหตุผลนี้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 72 เมตรของกรมอู่ทหารเรือจึงไม่ได้ไปต่อ มีเพียงแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design ซึ่งยังไม่ผ่านการทำ Model Test


แบบเรือในวันนี้

        เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างปี 2550 หรือผ่านมาแล้ว 17 ปี ถ้าวันนี้ผู้บัญชาการทหารเรืออยากนำแบบเรือกลับมาใช้งาน กรมอู่ทหารเรือต้องปรับปรุงแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design ให้กลายเป็นแบบรายละเอียดหรือ Construction Drawings แล้วส่งข้อมูลไปทำ Model Test ที่สถาบัน WUXI ประเทศจีนหรือที่ไหนก็ได้ การทำงานจนแล้วเสร็จน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีบวกลบ 1 เดือน

        แบบเรือที่เสร็จสมบูรณ์กรมอู่ทหารเรือได้รับลิขสิทธิ์เต็มตัว กองทัพเรือนำแบบเรือไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร ส่วนขั้นตอนการสร้างเรือให้บริษัทเอกชนจัดการแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ กองทัพเรือแค่รับมอบเรือมาใช้งานเท่านั้นก็พอ

        เราสามารถนำแบบเรือลำนี้ไปทำอะไรได้บ้าง ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสัก 4 เรื่อง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง

        เรือได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยกว่าเดิมตามภาพประกอบที่สี่ โดยการติดตั้ง Bulbous Bow ที่หัวเรือช่วยลดแรงกระแทกจากคลื่น มีทุกอย่างเหมือนเรือชั้นเรือหลวงปัตตานีหลังการปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งาน แต่ติดอาวุธมากกว่าและทันสมัยกว่าสมความตั้งใจกองทัพเรือประกอบไปด้วย หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ข้างสะพานเดินเรือคือปืนกลขนาด 12.7 มม.รุ่น M2 จำนวน 2 กระบอก กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 4 นัด หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.รุ่น Sentinel 30 จำนวน 1 กระบอก

        ระบบตรวจจับบนเรือประกอบไปด้วย ระบบอำนวยการรบ CATIZ เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 Mk2 (ย้ายมาติดบนหลังคาสะพานเดินเรือ) เรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS ระบบดาต้าลิงก์ Link Y Mk2 ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ Vigile 100 Mk2 และแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12 ท่อยิงรุ่น SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง

        ข้อเสียของเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำนี้ก็คือขนาดเล็กเกินไป ทหารเรืออาจไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งานเพราะเรือก็คือเรือ แต่บรรดามิตรรักแฟนเพลงจะบอกว่าไม่เหมาะสมอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าดันทุรังสร้างเข้าประจำการอาจทำให้เกิดโน่นนุ่นนี่นั่นแน่

        ข้อดีของเรือลำนี้ก็คือขนาดเรือและแบบเรือ เราไม่ต้องจ่ายค่าแบบเรือให้กับบริษัทเอกชนเหมือนเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ ราคาสร้างเรือย่อมถูกกว่าเดิมมากไปกันใหญ่ และด้วยความยาว 72 เมตรบริษัทเอกชนทุกแห่งสร้างเรือลำนี้ได้อย่างสบาย กองทัพเรือแบ่งให้บริษัทมาร์ซันกับเอเชียนมารีน เซอร์วิส สร้างเรือบริษัทละ 1 ลำพร้อมกันก็ยังได้ ภายใน 4 ปีกองทัพเรือจะได้รับมอบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งพัฒนาโดยฝีมือคนไทยพร้อมกันจำนวน 2 ลำ

        เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเป็นทางเลือกที่ดีแต่ยังไม่ดีที่สุดและเหมาะสมมากที่สุด

เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์

        ทางเลือกที่ดีที่สุดและเหมาะสมมากที่สุดก็คือ โครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์หรือเรือตรวจการณ์ขนาดปานกลาง ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ขนาดปานกลางราชนาวีไทยลดจำนวนลงจาก 10 ลำเหลือ 8 ลำ และมีแนวโน้มจะลดเหลือ 4 ลำภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี แบบเรือพัฒนาโดยกรมอู่ทหารเรือจะเข้ามาอุดช่องว่างตามภาพประกอบที่ห้า

        การติดตั้งอาวุธและเรดาร์ลดลงจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง หัวเรือเปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จากบริษัท Hundai WIA ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีอัตรายิง 100 นัดต่อนาที (ราคาถูกกว่า OTO 76/62 Super Rapid พอสมควร) ส่วนปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอกกับปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอกถอดออกมาจากเรือเก่า ซ่อมคืนสภาพให้พร้อมใช้งานแล้วนำมาติดตั้งบนเรือใหม่ ส่วนจุดติดอาวุธหลังปล่องระบายความร้อนปล่อยว่างไปก่อน อนาคตภายภาคหน้าหากมีงบประมาณมากพอค่อยว่ากันอีกที

        เรือใช้ระบบอำนวยการรบ CATIZ มีเรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Mirador จำนวน 1 ตัว และกล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS อีก 1 ตัว ลานจอดเฮลิคอปเตอร์วางตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบได้ โดยใช้เครนเรือยางท้องแข็งในการยกยานใต้น้ำชนิดต่างๆ ขึ้น/ลงจากผิวน้ำ เหมาะสมกับการทำภารกิจเสริมอาทิเช่นปราบทุ่นระเบิดหรือสำรวจอุทกศาสตร์

        โครงการนี้สร้างเรือเฟสละ 2 ลำโดยใช้บริษัทเอกชนจำนวน 2 แห่งได้ ยกเว้นกรณีมีงบประมาณมากเพียงพอจึงสร้างเฟสละ 3 ลำ สร้างไปเรื่อยๆ เมื่อยเราก็พักไม่ต้องคิดอะไรมาก ในเมื่อแบบเรือเป็นของกรมอู่ทหารเรือจึงไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ราคาอาจแพงกว่าเรือตรวจการณ์ขนาด 60 เมตรนิดหน่อย แต่มีความอเนกประสงค์มากกว่าและมีอนาคตที่ดีกว่า ที่สำคัญต้องไม่จ่ายเงินค่าแบบเรือให้กับบริษัทเอกชนช่วยประหยัดงบประมาณกองทัพเรือ

เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ

        ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นเรือหลวงคำรณสินธุอายุมากกว่า 30 ปี ฉะนั้นภายในไม่เกิน 10 ปีต้องมีการจัดหาเรือตรวจการณ์รุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน เราก็แค่ต่อยอดจากโครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ให้กลายเป็นภาพประกอบที่หก โดยการติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X และระบบดาต้าลิงก์ Link Y Mk2 เพิ่มเติมเข้ามา แล้วนำปืนกลอัตโนมัติ DS3OM Mk2 จากเรือเก่ามาติดตั้งหลังปล่องระบายความร้อน ช่วยประหยัดงบประมาณเรื่องการจัดซื้ออาวุธได้ประมาณ 132 ล้านบาท

ระบบปราบเรือดำน้ำที่ติดตั้งเพิ่มเติมประกอบไปด้วย โซนาร์หัวเรือ HUMSA HMS-X จากอินเดีย แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Shyena ขนาดสามท่อยิงจำนวน 2 แท่นยิง จากอินเดียเช่นเดียวกัน และแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดขนาด 6 ท่อยิงรุ่น Mk137 จำนวน 2 แท่นยิง เนื่องจากเรือต้องทำงานร่วมกับอากาศยานไร้คนขับปราบเรือดำน้ำรุ่น MQ-8C Fire Scout จากสหรัฐอเมริกา จำเป็นต้องติดตั้งจานรับสัญญาณเพิ่มหน้าปล่องระบายความร้อน นี่คือออปชันเสริมที่ผู้เขียนเพิ่มเติมเข้ามาและคาดหวังว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นจริงเข้าสักวัน

เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำขนาด 72 เมตรถือว่ากำลังเหมาะสม

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นส่งออก

        ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ขนาด 60 เมตรขึ้นไปมักถือเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง โดยที่เรือต้องบรรทุกเชื้อเพลิง อาหาร และน้ำดื่มมากเพียงพอในการออกทะเลมากกว่าเรือตรวจการณ์รุ่นเก่า เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาดเล็กได้รับความนิยมไม่แตกต่างจากเรือขนาดใหญ่ โดยเฉพาะประเทศน้อยใหญ่ในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง รวมทั้งเอเชียกลาง

ถ้ากรมอู่ทหารเรือจับมือกับบริษัทเอกชนอาทิเช่นมาร์ซันหรือเอเชียนมารีน เซอร์วิส ผลึกกำลังเป็นดิ อเวนเจอร์ไล่ล่าลูกค้าซึ่งต้องการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาดไม่ใหญ่เกินไป ราคาไม่แพงเกินไป มีรูปทรงทันสมัยสวยงาม ติดตั้งอาวุธได้มากกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งทั่วไป อุตสาหกรรมสร้างเรือในประเทศไทยอาจโชติช่วงชัชวาลมากกว่านี้ก็เป็นได้

ภาพประกอบที่เจ็ดคือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งที่บริษัทมาร์ซันนำเสนอให้กับกองทัพเรือเติร์กเมนิสถาน โดยจ่ายเงินค่าแบบเรือให้กับกรมอู่ทหารเรือตามสมควร

หัวเรือติดปืนกลอัตโนมัติขนาด 40 มม.ลำกล้องแฝดรุ่น OTO DARDO ถัดไปเล็กน้อยคือแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Roketsan ขนาด 6 ท่อยิง ทำงานร่วมกับโซนาร์ Simrad SP92MKII ข้างปล่องระบายความร้อนติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.รุ่น STAMP จำนวน 2 กระบอก หลังปล่องระบายความร้อนติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้น Spike NLOS ขนาด 8 ท่อยิง ระบบอำนวยการรบและระบบเรดาร์ยกมาจากประเทศทูร์เคีย ตามความต้องการกองทัพเรือเติร์กเมนิสถานซึ่งเป็นเจ้าของเรือตัวจริง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นส่งออกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ค่อนข้างเหมาะสม

บทสรุป

        กรมอู่ทหารเรือเคยออกแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำแรกของประเทศไทย และน่าจะเป็นลำสุดท้ายเนื่องจากแนวคิดเปลี่ยนแปลงไป กองทัพเรือสร้างเรือเองประสบปัญหาเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบเรือค่อนข้างล่าช้า ไม่มีสถานที่สร้างเรือขนาดใหญ่ที่เหมาะสม หรือเรื่องปวดหัวกับบรรดาลูกจ้างซึ่งมีร้อยพ่อพันแม่

ปัจจุบันกองทัพเรือต้องการสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างเรือในประเทศมากกว่าเดิม อนาคตเราอาจเห็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งสัญชาติไทยเชื้อชาติเยอรมันหรือเนเธอร์แลนด์ แต่จะไม่มีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งออกแบบโดยกรมอู่ทหารเรืออีกต่อไป

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาด 72 เมตรลำนี้จึงเปรียบได้กับอดีตอันหอมหวานที่ไม่อาจหวนคืน

อ้างอิงจาก

        นาวิกศาสตร์ ปีที่ 99 เล่มที่ 6 เดือนมิถุนายน 2559

        www.shipbucket.com

http://www.theopv.com/index.php ปัจจุบันเข้าไม่ได้แล้ว