วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

HTMS Makut Rajakumarn Behind the Scenes


วันสบายๆ กับเรือหลวงมกุฎราชกุมาร

ใกล้เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2019 แล้ว ปีนี้เป็นปีที่ผู้เขียนประสบความวุ่นวายมากที่สุด และเป็นปีที่เขียนบทความทางทหารมากที่สุด มีเพียงกันยายนเดือนเดียวหาเวลาว่างไม่ได้จริงๆ แรกสุดตั้งใจเขียนหนักไปทางเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อได้อ่านทบทวนปรากฏว่าเป็นเรื่องเครียดๆ เยอะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นบทความนี้จะอ่านง่ายไม่ปวดหัว อ่านไปดื่มกาแฟกินทองหยิบฝอยทองไป มารู้ตัวอีกทีเบาหวานขึ้นตาเสียแล้ว โดยจะเป็นเรื่องราวเรือหลวงมกุฎราชกุมารในมุมมองสบายๆ
วันที่ 21 สิงหาคม 1969 กองทัพเรือลงนามสัญญาสร้างเรือกับบริษัท ยาร์โรว์ จำกัด เพื่อจัดหาเรือฟริเกตจากอังกฤษเข้าประจำการ เรือหลวงมกุฎราชกุมารทำพิธีปล่อยน้ำวันที่ 18 พฤศจิกายน 1971 ก่อนที่เรือราคา 375 ล้านบาทจะเดินทางไกล 14,476 ไมล์กลับมายังประเทศไทย จากนั้นทำพิธีเข้าประจำการในวันที่ 7 พฤษภาคม 1973

ในภาพเป็นแสตมป์เฉลิมฉลองกองทัพเรือ ในชุดนี้ประกอบไปด้วย เรือหลวงมกุฎราชกุมารราคา 2 บาท เรือหลวงตาปีราคา 3 บาท เรือหลวงปราบปรปักษ์ราคา 5 บาท และเรือต.91 ราคา 6 บาท มีวางขายอยู่ใน EBAY ราคาดวงละ 753.05 บาทเท่ากันทุกดวง ผู้อ่านท่านใดสนใจเข้าไปตามเก็บแต้มได้เดี๋ยวนี้เลย
เรือหลวงมกุฎราชกุมารมีระวางขับน้ำปกติ 1,948 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,072 ตัน ยาว 97.56 เมตร กว้าง 10.97 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.50 เมตร เป็นเรือรบที่ทันสมัยที่สุดของราชนาวีไทย ติดอาวุธจากอังกฤษทั้งหมดประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 4.5 นิ้วจำนวน 2 กระบอก ปืนกลขนาด 40/60 มม.จำนวน 2 กระบอก จรวดต่อสู้อากาศยาน Seacat 1 แท่นยิง และจรวดปราบเรือดำน้ำ Limbo อีก 1 แท่นยิง โซนาร์ตรวจจับเรือดำน้ำใช้ของของอังกฤษ แต่เลือกติดตั้งระบบเรดาร์ทั้งหมดจากเนเธอร์แลนด์ ไม่สนใจเรดาร์รุ่นส่งออกของอังกฤษแต่อย่างใด ทำให้เรือทันสมัยกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า

นี่คือภาพถ่ายตอนเพิ่งเข้าประจำการ เสากระโดงดูโล่งๆ เพราะยังไม่มีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์กับเรดาร์ตรวจการณ์ระยะใกล้ เป็นแบบเรือจากอังกฤษก็จริงแต่ไม่เหมือนเรือรบเขาสักลำ เพราะเป็นรุ่นส่งออกมีลูกค้าอยู่แค่เพียง 2 ราย เพ่งมองที่กราบเรือข้างปืนใหญ่กระบอกหน้า จะเห็นว่าเป็นผิวเรียบทั้งหมดและไม่มีท่อน้ำทิ้ง ตอนนี้เริ่มกันงงแล้วใช่ไหมเอ่ย
หลังเข้าประจำการได้เพียงไม่กี่ปี เรือหลวงมกุฎราชกุมารถูกปรับปรุงให้ทันสมัยกว่าเดิม (หรืออีกนัยก็คือเพิ่งได้งบประมาณ) โดยเฉพาะระบบตรวจจับและระบบสงครามสงครามอิเล็กทรอนิกส์ มีการติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ ZW06 ซึ่งสามารถช่วยนำทางการลงจอดเฮลิคอปเตอร์ได้ ติดระบบตรวจจับการแพร่คลื่นเรดาร์ Elettronica ELT 211 ติดระบบรบกวนการแพร่คลื่นเรดาร์ Elettronica ELT 318 โดยใช้จาน ELT 828 Antennas จำนวน 4 จาน สุดท้ายติดระบบเป้าลวง Sippican Mk 33 RBOC อีก 2 แท่นยิง หมายความว่ากองทัพเรือไทยจัดอุปกรณ์มาครบองค์ประชุม

ภาพนี้ค่อนข้างชัดเจนมากและสวยงามมาก ผู้เขียนได้มาจากท่านจูดาสซึ่งน่าจะแสกนจากนิตยสารสงคราม เห็นปืนใหญ่ 4.5 นิ้วกระบอกท้ายอย่างชัดเจน และเห็นท่อยิง Limbo กระดกขึ้นอยู่ในโหมดพร้อมยิง แบบเรือเดิมๆ จากอังกฤษมีแค่ปืนใหญ่ 4.5 นิ้วกระบอกหน้า ตอนที่เราซื้อเรือมี 2 แนวความคิดแตกต่างกัน ทหารเรือบางส่วนต้องให้ติดปืนใหญ่ 2 กระบอกเพิ่มอำนาจการระดมยิง ทหารเรืออีกส่วนต้องการให้มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็ก ผลสรุปก็อย่างที่รู้คือฝ่ายแรกเอาชนะไปได้ โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบเรือติดปืนเยอะๆ ชนิดล้นลำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงยอมรับได้ทั้งสองแนวความคิด
อยากให้เปรียบเทียบสักเล็กน้อย ภาพที่สองเรือเล็กจะเห็นเรือบดอยู่ด้านข้างจรวด Seacat มองไปที่หัวเรือเห็นท่อน้ำทิ้งกำลังทำงานอย่างชัดเจน (ใต้กระบอกปืนใหญ่ไม่ไกลจากเลข 7) ทีนี้อยากให้ผู้อ่านย้อนกลับไปชมภาพแรกอีกครั้ง เรือเล็กจะเป็นเรือติดเครื่องยนต์สีขาวและไม่มีท่อน้ำทิ้งใต้ปืนใหญ่ นี่คือข้อแตกต่างที่พอสังเกตได้ระหว่างกราบซ้ายกราบขวา
เนื่องมาจากเรือหลวงมกุฎราชกุมารมีรูปร่างสง่างาม บวกกับอาวุธและเรดาร์ทันสมัยเต็มลำเท่าที่จะติดได้ เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากบรรดามิตรรักแฟนเพลงทั่วโลก ผู้เขียนสืบค้นข้อมูลบางส่วนมาได้อยากนำมาอวด

เริ่มกันจากดินแดนเมืองน้ำหอมฝรั่งเศส มีคนนำภาพเรือหลวงมกุฎราชกุมารจากนิตยสารฉบับหนึ่ง มาแสกนใส่คอมพิวเตอร์พร้อมเขียนระบุเวอร์ชันปี 1975 ภาพนี้ได้ถูกสลับด้านเพื่อความสวยงาม เพราะเรือเล็กเป็นเรือบดและมีท่อน้ำทิ้งใต้ปืนใหญ่หัวเรือ ยังไม่ได้ติดตั้งระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ มองไม่เห็นหมายเลขเรือแต่เห็นธงราชนาวีชัดเจน ภาพถ่าย 3 ใบจาก 3 มุมสวยทุกมุมเลยนะครับ หาเรือที่ถ่ายภาพขึ้นแบบนี้ได้น้อยเต็มที ยกตัวอย่างเช่นเรือฟริเกต DW3000F บางมุมโคตรขี้เหล่ บางมุมสูงอย่างกับเครนหน้าท่า และบางมุมถือว่าสวยใช้ได้เลย แต่ใม่ใช่กับเรืออังกฤษลำนี้อย่างแน่นอน

ความนิยมชมชอบได้มาโผล่ที่เอเชียเช่นกัน คนวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่นแอบขโมยเรือเรามาติดธงญี่ปุ่นเสียเลย ก่อนส่งการ์ตูนไปขายที่ฝรั่งเศสอีกแล้วสินะ (เป็นภาพการ์ตูนก็ยังสวยนี่มันเรืออะไรกัน) เนื้อหาในภาพน่าจะประมาณต้นหนบอกว่าเรือมาถึงจุดนัดหมายแล้ว กัปตันเรือจึงสั่งให้ส่งสัญญาณไฟไปยังเรืออีกลำ แต่ไม่ทราบจริงๆ ว่ามาจากการ์ตูนเรื่องอะไร
ประเทศญี่ปุ่นวงการการ์ตูนใหญ่โตมากและมีมูลค่าสูงมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเขียนเป็นการ์ตูนเพื่อสื่อความหมายในวงกว้าง และมีการ์ตูนเกี่ยวกับสงครามเป็นจำนวนมาก ของฝรั่งก็มีเหมือนกันผู้เขียนเคยอ่านตอนเด็กๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่สอง บางเรื่องก็พวกสายลับทำนองนี้ เส้นสายค่อนข้างมืด เนื้อหาเดินเร็วมาก ภาพไม่ค่อยสมจริง โชคร้ายที่ตอนนี้จำชื่อนิตยสารไม่ได้แล้ว น่าจะอยู่สำนักพิมพ์เดียวกับ กีฬา&การ์ตูน ที่เมื่อนานมาแล้วโด่งดังมาก ใครจำ ฮามิชตีนระเบิด รองเท้าของทอมมี่ ปัญหาของบิลลี่ หรือ รอยแห่งโรเวอร์ได้โปรดมารายงานตัวด้วย

จากเอเชียเราไปทวีปอเมริกาใต้กันบ้าง ศิลปินท่านหนึ่งแสดงฝีมือตัวเองด้วยการวาดภาพ และนี่ก็คือภาพวาดเรือหลวงมกุฎราชกุมารเวอร์ชัน 1973 เขาใช้สเกล 20 พิกเซลเท่ากับ 1 เมตร ภาพจึงมีขนาดใหญ่กว่าเว็บไซต์ Shipbuckket.com ที่กำหนดให้ 2 พิกเซลเท่ากับ 1 ฟุต ถือว่าวาดสวยใช้ได้เลยนะสวยกว่าภาพวาดของผู้เขียนด้วยซ้ำ เพียงแต่รายละเอียดหลายๆ ส่วนอาจไม่ตรงความจริง คงว่าอะไรไม่ได้เพราะผิดมาตั้งแต่ภาพกราฟิกของ Thales แล้ว
ความนิยมชมชอบไม่ได้หยุดแค่เพียงเท่านี้ ผู้เขียนขอพาขึ้นเหนือไปเที่ยวทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อตามรอยหาภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามเรื่องหนึ่ง และนี่ก็คือโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องที่เป็นเป้าหมาย

‘Bermuda Tentacles’ สร้างโดยค่าย The Asylum ซึ่งภาพยนตร์ส่วนใหญ่ไม่ฉายโรงแต่ออกแผ่น DVD ส่วนเรื่องนี้มีฉายในเคเบิลทีวีด้วย เข้าวันที่ 12 เมษายน 2014 เป็นภาพยนตร์แนวไซไฟแอคชั่นสยองขวัญความยาว 89 นาที เห็นภาพครั้งแรกผู้เขียนตื่นเต้นดีใจมาก เรือรบไทยได้เข้าฉากภาพยนตร์อเมริกาเชียวนะ ว่าแล้วจึงออกค้นหาแผ่นซีดีซึ่งบอกได้คำเดียวยากมาก เพราะผ่านมาแล้วตั้ง 2 ปีกว่าและตัวเองดันอยู่ต่างจังหวัด ใช้เวลาอยู่หลายเดือนก่อนทำใจว่าคงหาไม่เจอ
แต่แล้วเหมือนมีโชคช่วยอำนวยชัย แฟนเก่าทอดทิ้งไปแต่ได้ของเด็ดโดนใจกลับคืน ปลายปี 2018 ผู้เขียนแวะซื้อของกินที่เทสโก้ โลตัสใกล้บ้าน ก่อนจากมาพร้อมภาพยนตร์มา 6 เรื่องรวมทั้งเรื่องนี้

มฤตยูเบอร์มิวด้าคือชื่อเรื่องภาษาไทย ใช้ภาพเดียวกับโปสเตอร์อเมริกาแต่ลงชื่อเรื่องคนละจุด เล่นบังหัวเรือเสียจนมิดชิดเห็นแต่หมายเลข 433  โปรยหัวตัวอักษรแดงว่า ปฏิบัติการกู้ชีวิตประธานาธิบดี ที่มีสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นสมรภูมิ นี่เรือรบไทยช่วยเหลือประธานาธิบดีอเมริกาเชียวหรือ? น่าจะสนุกสนานเร้าใจและเร้าหรืออย่างแน่นอน
ปรากฏว่างานนี้เนื้อเรื่องไม่ตรงปก เรื่องราวส่วนใหญ่อยู่บนเรือประจัญบานอเมริกากับเรือคุ้มกัน ที่จับพลัดจับพลูได้เผชิญหน้าภัยร้ายจากใต้มหาสมุทร ต้องระดมทหารทั้งหมดมายืนเรียงแถวยิงเอ็มสิบหกใส่ตัวประหลาด ส่วนอาวุธปืนอาวุธจรวดซึ่งมีล้นลำไม่รู้ว่าติดไปเพื่ออะไร ภาพยนตร์เรื่องนี้พอดูเอาสนุกได้แต่อย่างจริงจัง คิดเสียว่านั่งดูเรือรบอเมริกาของจริงบ้างของปลอมบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศจากบ้านผีปอบหรือบุญชูผู้น่ารัก
เนื่องมาจากภาพนี้หายากมากผู้เขียนขออนุญาตใส่ลายน้ำ แต่ค่อนข้างเนียนกริบถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นจริงๆ (ฮา) บทความนี้ใช้เวลาค้นหาข้อมูลนานถึง 2 ปี หามาได้แล้วดันลืมเขียนบวกเพิ่มอีก 1 ปี นำมารวมกันจึงเท่ากับ 3 ปีพอดิบพอดี ไม่น่าจะมีบทความไหนของผู้เขียนยาวนานกว่านี้ คือถ้านานกว่านี้คงไม่เขียนแล้วไปเรื่องอื่นเถอะ
ราชนาวีไทยซื้อเรือหลวงมกุฎราชกุมารลำเดียวก็จริง แต่ยังมีพี่น้องร่วมสายโลหิตคลานตามกันมาหนึ่งลำ เธอก็คือเรือฟริเกตมาเลเซียชื่อ KD Rahmat รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกันแต่ขนาดเล็กกว่านิดหน่อย

เรือลำนี้มีระวางขับน้ำเต็มที่ 1,600 ตัน ยาว 93.9 เมตร กว้าง 10.4 เมตร กินน้ำลึก 4.5 เมตร ติดอาวุธอังกฤษแต่ใช้เรดาร์จากเนเธอร์แลนด์เหมือนเรา เพียงแต่ปืนใหญ่ 4.5 นิ้วและระบบเรดาร์โบราณกว่ากัน เพราะสั่งซื้อก่อนประมาณ 3 ปีและเข้าประจำการก่อน 2 ปี เรือมาเลเซียไม่มีปืนใหญ่ 4.5 นิ้วกระบอกท้าย แต่มีลานจอดสำหรับเฮลิคอปเตอร์ Westland Wasp Mk1 เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำรุ่นจิ๋วที่เขามีประจำการถึง 12 ลำ ตั้งแต่หัวเรือจนถึงท้ายเรือคล้ายคลึงกับเรือเรามาก ยกเว้นปล่องระบายความร้อนขยับขึ้นมาข้างหน้า สลับกับเรดาร์ตรวจการณ์ LW02 ขยับไปอยู่ท้ายปล่อง ส่วนเสากระโดงเยื้องมาทางกลางเรือมากกว่าเรือเรา จุดแตกต่างมองเห็นด้วยสายตาน่าจะมีแค่เพียงเท่านี้

ส่วนภาพนี้เป็น F24 KD Rahmat ลำเดิม แต่ปีน่าจะใหม่กว่ากันพอสมควร มีการทาสีเข้มด้านบนปล่องระบายความร้อน รวมทั้งถอดจรวดปราบเรือดำน้ำ Limbo ออกเพื่อสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์เต็มพื้นที่ เสากระโดงท่อนบนทาสีเข้มเหมือนเรือรบราชนาวีอังกฤษ เรือเราไม่ได้ทาเพราะเสาอยู่ห่างปล่องระบายความร้อนค่อนข้างเยอะ
ปี 1983 มาเลเซียถอดจรวดต่อสู้อากาศยาน Seacat ออกเพราะหมดอายุการใช้งาน ติดตั้งปืนกลขนาด 40/70 มม.กระบอกที่ 3 เข้าไปทดแทน F24 KD Rahmat ถูกปลดประจำการปี 2004 สุดท้ายกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำให้ประชาชนเข้ามาเยี่ยมชม ครั้นถึงปี 2017 เกิดอุบัติเหตุทำให้เรือจมโดยการเอียงซ้าย ไม่ทราบเหมือนกันว่าแก้ไขเรียบร้อยหรือยัง
หลังจากเข้าประจำการประมาณ 15-20 ปี เรือหลวงมกุฎราชกุมารมีการปรับปรุงช่วงครึ่งอายุ ด้วยการถอดจรวดต่อสู้อากาศยาน Saecat และเรดาร์ควบคุมการยิงออก ทดแทนด้วยปืนกล 40 มม.แท่นคู่จากอิตาลี ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงใกล้เคียงระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด เปลี่ยนโซนาร์ตรวจจับเรือดำน้ำเป็นรุ่นใหม่จากเยอรมัน ใส่แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเข้าไป แต่ต้องถอดปืนกล 40/60 มม.ออกเสียก่อน ถือว่าปรับปรุงไม่มากใช้งบประมาณแค่พอสมควร

แต่การปรับปรุงยังไม่โดนกองเชียร์สักเท่าไร หลายคนจึงสร้างเรือหลวงมกุฎราชกุมารเวอร์ชันตัวเองขึ้นมา รวมทั้งภาพนี้ซึ่งเป็นเวอร์ชันท่านจูดาส มีการติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon บริเวณท้ายเรือซึ่งเป็นที่ว่างโล่ง มิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนหลายคนก็เลือกจุดนี้ เพราะเป็นจุดที่ง่ายที่สุดไม่ต้องดัดแปลงเรือ รวมทั้งไม่เกะกะทั้งปืนใหญ่และปืนกล
ผู้เขียนเคยวาดภาพเรือหลวงมกุฎราชกุมารเช่นกัน เป็นเรือลำแรกของกองทัพเรือไทยกันเลยทีเดียว ตอนนั้นมีความพยายามปรับปรุงเรือเหมือนท่านจูดาส ใช้เวลาออกแบบและแก้ไขอยู่ประมาณ 3-4 เดือนเต็ม จนได้ข้อสรุปว่าไม่มีจุดเหมาะสมในการติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon คือถ้าจะทำจริงๆ ต้องถอดปืนใหญ่ 4.5 ท้ายเรือออกไปสถานเดียว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแนวความคิดต่างจากคนอื่น ด้วยเหตุผลที่กำลังจะกล่าวถึงโปรดรอสักประเดี๋ยว
ตอนนั้นเองผู้เขียนแอบคิดในใจว่าแล้วกองทัพเรือไทยล่ะ พวกเขามีแนวคิดปรับปรุงเรือให้ทันสมัยกว่านี้หรือไม่? และถ้าต้องการปรับปรุงเขาเลือกวิธีไหน? วันเวลาผ่านพ้นมาถึงกลางเดือนที่แล้ว ปริศนาคาใจจึงได้คลี่คลายกระจ่างชัดเจน

นี่คือภาพจากแสกนนิตยสารสงครามปี 1990 เป็นข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเรือหลวงมกุฎราชกุมาร ด้วยระบบเรดาร์และอาวุธทันสมัยระดมใส่เข้ามาชนิดล้นลำ โดยพอจะเรียบเรียงให้ชัดเจนได้ดังนี้
-ติดปืนใหญ่ 76/62 มม.Super Rapid อัตรายิง 120 นัดต่อนาทีแทนปืนใหญ่ 4.5 นิ้วกระบอกหัวเรือ
-ติดเรดาร์ควบคุมการยิงจรวดรุ่น STIR 180 จำนวน 2 ตัวแทนรุ่น M44
-ติดระบบเป้าลวง DAGAIE รุ่นใหม่ทันสมัยแทน Sippican Mk 33 RBOC
-ติดจรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon แทนปืนกล 40/60 มม.
-ติดระบบป้องกันตนเองระยะประชิด Phalanx หรือ Goldkeeper แทนแท่นยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน Seacat
-ติดแทนยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน Aspide จากอิตาลี แทนปืนใหญ่ 4.5 นิ้วกระบอกท้ายเรือ
-ติดแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Stringray แทนจรวดปราบเรือดำน้ำ Limbo
-ติดระบบโซนาร์ลากท้าย Towed Array System Sonar (TASS) หรือ Variable Depth Sonar (VDS) แทนรางปล่อยระเบิดลึก
-ถ้ามีงบประมาณเหลือจะปรับปรุงระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ให้ทันสมัยกว่าเดิม

ภาพนี้ติด Phalanx กับ Towed Array System Sonar เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 180 โดนบังเล็กน้อยแต่ไม่มีปัญหา ซึ่งอันจริงติด STIR 180 แค่ตัวเดียวก็พอ เพราะปืนใหญ่หัวเรือมีเรดาร์ WM22 ช่วยจัดการอยู่แล้ว

ส่วนภาพนี้ติด Goldkeeper กับ Variable Depth Sonar เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 180 โดนบังน้อยลง แต่เนื่องมากจาก Goldkeeper ต้องใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือเป็นคลังกระสุน จึงไม่เหลือพื้นที่ไว้ใส่จรวด Aspide ต้องไปโมจุดอื่นเพิ่ม
จะเห็นได้ว่าราชนาวีปรับปรุงเรือโดยการจัดชุดใหญ่จัมโบ้ กลายเป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ติดอาวุธล้นลำตัวจริงเสียงจริง เห็นภาพนี้ครั้งแรกผู้เขียนถึงกับอึ้งทึ่งเสียว ไม่คิดมาก่อนว่าจะออกมาในแนวนี้ เกิดคำถามในใจขึ้นมาทันทีว่าติดจรวด Harpoon ไหวเหรอ? คำถามข้อนี้มีคำตอบรวดเร็วมากครับ เรามาดูภาพถัดไปกันต่อเลย

ภาพถ่ายใบนี้น่าจะไม่นานสักเท่าไร เพราะเรือบดถูกแทนที่ด้วยเรือยางท้องแข็งเสียแล้ว ที่นี้ถ้ามองที่กราบเรือข้างปล่องระบายความร้อน จุดที่ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ จะเห็นว่ามีพื้นที่โล่งทั้งยาวและลึกพอสมควร สามารถติดตั้งแท่นยิงจรวด Harpoon ให้เฉียงทำมุมออกด้านนอกเล็กน้อย เพียงแต่ต้องเสริมเสาและคานรองรับน้ำหนักจรวด จากนั้นมาดูที่ท้ายเรือโล่งๆ กันบ้าง ปรกติจะมีรางปล่อยระเบิดลึกเพียงรางเดียว ทำไมในข้อเสนอถึงไม่เลือกติดจรวด Harpoon จุดนี้? ทั้งๆ ที่มันง่ายดายกว่ากันตั้งเยอะแยะ ผู้อ่านลองคิดเล่นๆ สัก 5 นาทีค่อยอ่านบทความต่อนะครับ
เหตุผลหลักน่าจะมาเรื่องความเตี้ยของท้ายเรือ เนื่องจากออกแบบให้ใช้งานจรวดปราบเรือดำน้ำ Limbo ซึ่งมีแท่นยิงค่อนข้างใหญ่ กินพื้นที่มาก มีน้ำหนักรวมถึง 35 ตัน ถ้าตั้งชั้นเดียวกับอาวุธชนิดอื่นจะเกะกะมาก ไหนยังต้องมีคลังแสงเก็บลูกจรวดอีกจำนวนหนึ่ง อู่ต่อเรือจึงกำหนดให้ Limbo อยู่ต่ำลงไปจากดาดฟ้าเรือ มีช่องเปิดปิดอย่างดีป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ แล้วทำท้ายเรือเปิดโล่งเพื่อความสะดวกในการดูแล รวมทั้งสะดวกในการขนย้ายลูกจรวดเข้ามาเก็บในคลังแสง
ทีนี้ถ้าเราเอาจุดท้ายเรือมาติดจรวด Harpoon จรวดจะอยู่ใกล้ระดับน้ำมากเกินไป มีคลื่นซัดสาดเข้ามารับรองว่าโดนแท่นยิงทุกลูกคลื่น ความเสียหายเล็กๆน้อยๆ อาจเกิดได้ง่ายกว่าและมากกว่า โดยเฉพาะเทียบกับดาดฟ้าเรือชั้นสองที่กำหนดไว้ตามข้อเสนอ เหตุผลเดียวกันนี้เองที่ผู้เขียนเลือกติดจรวด Harpoon แทนปืนใหญ่ 4.5 นิ้วกระบอกท้ายเรือ แต่แผนปรับปรุงของกองทัพเรือเหนือชั้นกว่าหน้าตาเฉย บอกตามตรงว่าไม่เคยคิดถึงจุดนี้แม้แต่ครั้งเดียว
เหตุผลข้อถัดไปอาจฟังแล้วคิดว่าตลกคาเฟ่ โดยปรกติท้ายเรือจะเป็นจุดผูกเรือกับเสาบนชายฝั่ง ถ้าติดแท่นยิงจรวด Harpoon เข้าไปมันจะเกะกะ ถามว่าติดได้ไหม-ผูกได้ไหม-เป็นจุดติดตั้งได้ไหม คำตอบก็คือติดได้-ผูกได้-เป็นจุดติดตั้งได้ แต่ไม่ใช่จุดติดทั้งที่ดีที่สุดและอาจมีปัญหาตามมา มันจะวุ่นวายเกินไปจนไม่เหมาะสมในการใช้งาน
แต่ถ้าติดโซนาร์ลากท้ายตัวเล็กๆ กลางท้ายเรือพร้อมสร้างห้องขึ้นมาคลุม (เรือลำเล็กติดได้แค่โซนาร์ตัวเล็กแหละครับ เหมือนเรือคอร์เวตของสิงคโปร์ที่สร้างจากเยอรมัน ลำนั้นติด VDS โซนาร์โดยใช้พื้นที่นิดเดียว) ยังเหลือพื้นที่ด้านข้างส่วนหนึ่งสำหรับผูกเชือกเรือ และไม่มีปัญหาเรื่องโดนน้ำทะเลเหมือนจรวด Harpoon เพราะโซนาร์ถูกออกแบบให้ทำงานใต้น้ำอยู่แล้ว เรือบางลำแค่ยกโซนาร์พ้นจากระดับน้ำเพียงหนึ่งฟุต ที่เขียนทั้งหมดเป็นการคาดเดาของผู้เขียนคนเดียวนะครับ
สุดท้ายท้ายสุดแผนปรับปรุงเรือหลวงมกุฎราชกุมารถูกยกเลิก เหลือแค่เพียงติดปืนกล 40 มม.แท่นคู่กับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ (ตามภาพสวยๆ ภาพนี้แหละ) กองทัพเรือไทยต้องรอต่อไปอีกประมาณ 7 ปีกว่า ถึงจะได้เรือฟริเกตมือสองชั้น KNOX จากอเมริกาเข้าประจำการ ทำให้มีเรือฟริเกตติดระบบโซนาร์ลากท้ายลำแรกใช้งาน อุปกรณ์ชิ้นนี้สำคัญจริงๆ นะครับ ถึงมีเฮลิคอปเตอร์ติดโซนาร์แบบชักหย่อนก็ทดแทนไม่ได้ เพราะเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินในสภาพอากาศแปรปรวนไม่ได้ ระยะเวลาปฏิบัติการณ์สั้นกว่ากันหลายเท่าตัว ปัจจุบันเรามีเรือฟริเกตติดโซนาร์ลากท้ายเพียง 1 ลำเท่านั้น

เรือหลวงมกุฎราชกุมารเข้าประจำการปี 1973 เวลาผ่านพ้นจนถึงปลายปี 2016 หรือ 43 ปีให้หลัง ได้มีการทดสอบยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Limbo โดยกองทัพเรือไทย ผู้เขียนนำภาพและข่าวให้เพื่อนชาวอังกฤษอ่าน เขาบอกว่านี่คือการทดสอบ Limbo ครั้งล่าสุดและอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย จากเรือรบเพียงลำเดียวบนโลกที่ยังคงประจำการอาวุธนี้ ชมภาพเคลื่อนไหวกันสักนิดดีกว่านะครับ

Limbo มีระยะยิงไกลสุด 914 เมตร แท่นยิงแฝดสามจะส่งลูกจรวดหนัก 177 กิโลกรัมพร้อมรบหัวขนาด 94 กิโลกรัมขึ้นไปบนอากาศ ก่อนตกลงมาเป็นรูปสามเหลี่ยมล้อมเป้าหมายที่เล็งไว้ ผลลัพธ์ก็คือเกิดการระเบิดในวงกว้างใต้ท้องทะเล ถ้าเรือดำน้ำเป้าหมายหลบอยู่แถวนั้นก็ซวยไป ปรกติในคลังแสงมีลูกจรวด 51 นัดสามารถยิงถล่มเป้าหมายได้ถึง 17 ครั้ง
ผลการทดสอบบนเรือเรือหลวงมกุฎราชกุมารเป็นไปด้วยดี ลูกจรวดตกใกล้เคียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเกือบเท่า นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็น Limbo ทำงาน หาไม่ได้อีกแล้วขนาดเขียนเองยังแอบใจหายเอง
แล้วบทความนี้ก็เดินทางมาถึงตอนจบ เรือหลวงมกุฎราชกุมารประจำการมาแล้ว 46 ปีครึ่ง แต่ยังไม่มีเรือฟริเกตลำใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน นับรวมเรือหลวงตาปี เรือหลวงคีรีรัฐเข้าไปด้วย เท่ากับเรามีเรือติดอาวุธปราบเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำที่มีอายุถึง 45-48 ปี และยังไม่มีกำหนดว่าวันไหนพวกเธอจะได้พักผ่อน จั่วหัวว่าเป็นบทความสบายๆ อ่านแค่พอขำๆ เหตุไฉนลงท้ายกลายเป็นเรื่องเคร่งเครียดอีกแล้วล่ะหนอ วันนี้ขอลาแบบแอบเศร้าเล็กน้อยสวัสดีครับ J
                     -------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก
            นิตยสารสงครามปี 1990
หนังสือ A Compendium of Armaments and Military Hardware (Routledge Revivals)

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

The Kolonka


 โคลอนคา ระบบควบคุมการยิงสุดเก๋าจากรัสเซีย

ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณเขียนบทความสั้นๆ กระชับและชัดเจนคุณจะได้แฟนพันธ์แท้มากขึ้นหลายเท่าตัว ใครคนนั้นยังได้กล่าวต่อไปว่า ถ้าคุณเขียนบทความสั้นๆ กระชับและชัดเจนคุณจะไม่สามารถเขียนบทความยาวๆ ได้อีกเลย ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้เป็นจริงหรือเท็จ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจมากนั่นก็คือ..บทความที่กำลังอ่านอยู่นี้ยาวแน่นอน อยากให้อ่านและอยากให้อ่านจนจบนะครับ เพราะคนเขียนมีอะไรที่อยากเขียนเยอะแยะมาก
ปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ทวีปยุโรปถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ฝั่งตะวันตกมีการจัดตั้งองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโตขึ้นมา นำโดยอเมริกาซึ่งไม่ได้มีพื้นที่ในยุโรปแม้แต่ฟุตเดียว ส่วนฝั่งตะวันออกมีการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอหรือหรือกติกาสัญญาวอร์ซอขึ้นมา นำโดยสหภาพโซเวียตซึ่งมีพื้นที่ใหญ่โตครึ่งค่อนโลก ทั้งนาโต้และวอร์ซอต่างเผชิญหน้ากันโดยเปิดเผย มีการสั่งสมกำลังทหารและอาวุธจำนวนมหาศาล เพื่อเตรียมความพร้อมถ้าเกิดสงครามที่ชายแดนประเทศเยอรมัน ช่วงเวลานี้ผู้คนทั่วโลกต่างเรียกขานว่า สงครามเย็น
ช่วงเวลาที่เกิดสงครามเย็นนั้น เครื่องบินไอพ่นถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างจริงจัง นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในทุกๆ สมรภูมิ เรือรบทุกลำของทุกประเทศตกอยู่ในสภาวะเสี่ยง เพราะปืนกลต่อสู้อากาศยานที่ตนเองครอบครองอยู่นั้น อาจมีอัตรายิงมากเพียงพอที่จะรับมือก็จริงอยู่ แต่ระบบป้อนกระสุนยังใช้แรงงานจากมนุษย์เป็นหลัก ปืนกลกระบอกเล็กมีกล่องกระสุนก็จริงแต่จำนวนกระสุนจำกัด ไม่สามารถยิงสกัดเครื่องบินไอพ่นรุ่นใหม่ได้ดีเท่าที่ควร
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนสักนิด ในสงครามเกาหลีกองกำลังสหประชาชาติเผชิญหน้าเครื่องบิน Mig-15 เรือรบที่เข้าร่วมปฏิบัติการณ์ต้องติดปืนกลต่อสู้อากาศยานให้มากที่สุด อย่างน้อยก็คือ 8-10 กระบอกเพื่อที่จะสามารถป้องกันตนเองได้ (ถ้าน้อยกว่านี้ต้องพยายามอยู่ใกล้เพื่อนเข้าไว้) ที่ว่าป้องกันตัวเองคือยิงขับไล่จนเครื่องบินล่าถอยไปเอง ส่วนเรื่องยิงโดนทำให้เครื่องบินเสียหายหรือตกลงทะเลนั้น เปอร์เซ็นต์น้อยลงกว่าสงครามโลกครั้งที่สองอย่างลิบลับ
ปัญหาข้อนี้ถูกปรับปรุงแก้ไขอย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาปืนกลอัตโนมัติพร้อมเรดาร์ควบคุมการยิง ฝั่งนาโต้มีการพัฒนาจากหลายประเทศ ส่วนฝั่งวอร์ซอโต้โผใหญ่คือโซเวียตเป็นผู้ออกโรง ต่อมาไม่นานจึงเกิดอาวุธปืนประจำเรือที่ดีกว่าเดิม แต่ด้วยเหตุผลทางกายภาพรวมทั้งหลักนิยม ทำให้โซเวียตพัฒนาระบบควบคุมการยิงขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมา และถูกใช้งานบนเรือตัวเองตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ อุปกรณ์ชิ้นดังกล่าวผู้คนทั่วโลกต่างเรียกขานว่า ‘Kolonka’

เมื่อคุณมองโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ผ่าน Kolonka คุณจะพบว่าตัวเองกลับมาอายุสิบสี่อีกครั้ง เพราะมันช่างเหมือนตู้เกมที่ชอบโดดเรียนไปเล่นเหลือเกิน ทาบวงกลมให้ตรงกลางเป้าแล้วยิงเข้าไปสิ มีห้าสิบบาทหมดทั้งห้าสิบบาทวันนั้นแหละ ผู้เขียนมีปริศนาคาใจมาร่วมเล่นสนุก คำถามก็คือถ้าเราบังคับ Kolonka ไปทางขวามือหรือซ้ายมือนิดหน่อยแล้วกดปุ่มยิง เสาวิทยุที่เห็นอยู่ในภาพจะมีสภาพอย่างไร? ท้ายบทความมีเฉลยตอนนี้ผู้อ่านคิดคำตอบเล่นๆ ไปก่อน
Kolonka คืออะไร? มีการกำหนดคำนิยามอุปกรณ์ชิ้นนี้ไว้อย่างมากมาย ส่วนใหญ่เรียกกันง่ายๆ ว่า Optical Director แต่ถ้าจะให้วุ่นวายหน่อยก็เรียกว่า Simple Optical Director หรือ Optical Backup Director ทีนี้ถ้าพิจารณาตามรูปลักษณ์อุปกรณ์ อาจเรียกว่า Optical Sights หรือกล้องเล็งที่ชาวบีบีกันทุกคนรู้จักดี เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผู้เขียนขอเรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่าระบบความคุมการยิง ง่ายๆ แบบนี้แหละครับจะได้เขียนบทความต่อเสียที

Kolonka มีรูปร่างหน้าตาประมาณนี้ ในภาพเป็นเวอร์ชันโปแลนด์นะครับ อาจมีบางอย่างแตกต่างกับต้นฉบับแต่น้อยมาก มีขาตั้งสูงขึ้นมาจากพื้นระดับสายตา มีก้านจับซ้ายขวา มีเครื่องเล็ง มีสายไฟ มีปุ่มบังคับ รวมทั้งมีระบบไฮโดรลิคช่วยในการหมุน โซเวียตพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นระบบสำรอง ในกรณีที่เรดาร์ควบคุมการยิงไม่สามารถทำงานได้ หรือกรณีต้องยิงปืนพร้อมกันหลายกระบอกในหลายทิศทาง Kolonka จะเป็นนารีขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ
แต่พอใช้ไปใช้มาจนมาถึงปัจจุบัน มีการนำ Kolonka มาเป็นระบบหลักกับอาวุธปืนรุ่นใหม่ เนื่องมาจากภัยคุมคามเปลี่ยนไป หลักนิยมเปลี่ยนไป รวมทั้งภารกิจของเรือก็เปลี่ยนไป หน่วยยามฝั่งรัสเซียใช้กับเรือตรวจการณ์เป็นชาติแรกสุด ก่อนแพร่กระจายไปยังประเทศอื่นต่อไปเรื่อยๆ การใช้งานเป็นระบบสำรองก็ยังคงได้รับความนิยม ขนาดโปแลนด์ซึ่งปัจจุบันย้ายค่ายเรียบร้อยแล้ว มีโครงการพัฒนาปืนกล 35 มม.ประจำเรือรบรุ่นใหม่ ให้มีคุณสมบัติเทียบเท่าระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด พี่แกยังพ่วง Kolonka เวอร์ชันตัวเองเป็นระบบสำรอง แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในประสิทธิภาพ

เรามาชมภาพของจริงบนเรือรบจริงกันบ้าง เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด การติดตั้ง Kolonka ควรอยู่ไม่ไกลจากอาวุธปืนที่ใช้ควบคุม เพราะถูกออกแบบให้เล็งยิงด้วยสายพลยิง ถ้าติดห่างเกินไปต้องฝึกฝนพลยิงให้ใช้งานคล่อง แต่ถ้าติดตามภาพจะเล็งยิงง่าย ใช้งานก็ง่าย โอกาสยิงโดนมีมากขึ้น เพียงแต่เกะกะไปบ้างโดยเฉพาะเรือฟริเกตหรือเรือพิฆาต ที่ต้องแบกจรวดต่อสู้เรือรบหรือจรวดต่อสู้อากาศยานไปด้วย ฉะนั้นสมควรออกแบบจุดติดตั้งกันตั้งแต่พิมพ์เขียว
ภาพถ่ายใบนี้เห็นอะไรบ้าง? เห็น Kolonka ตั้งอยู่บนแท่นยิงยกสูงเล็กน้อย มีตู้ไฟอยู่ในคอกเหล็กที่ล้อมเอาไว้เพื่อกันตก สามารถเข้าไปยืนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวทีแห่งนี้ไม่มีพี่เลี้ยงจะคอยเสี้ยมสอน พลยิงต้องได้รับการฝึกอบรมจนเกิดความชำนาญ ถัดไปหน่อยเดียวเป็นปืนกล 30 มม.รุ่น AK-630 เห็นอะไรแปลกๆ กันบ้างไหมครับ
AK-630 คือระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดรุ่นแรกของโซเวียต ใช้ปืนกล 30 มม.หกลำกล้องรวบควบคุมด้วยระบบเรดาร์ มีอัตรายิงสูงถึง 4,000-5,000 นัดต่อนาที ป้อมปืนมีขนาดเล็กและเป็นป้อมโล้นๆ (ใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือพอสมควร) ไม่สามารถเดินไปหลังป้อมเพื่อบังคับยิงด้วยมือได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรดาร์ควบคุมการยิงกลับบ้านเก่าไปก่อน อาวุธปืนทันสมัยจะมีค่าเท่ากับเศษเหล็กผุพัง พวกเขาจำเป็นต้องพัฒนา Kolonka ขึ้นมาควบคู่กัน เป็นระบบสำรองที่ใช้งานง่าย ซ่อมบำรุงก็ง่าย แข็งแรงทนทาน ราคาไม่แพง และต้องมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง
ถ้าเปรียบเทียบกับระบบอาวุธในยุคปัจจุบัน เรียก Kolonka ว่าระบบควบคุมปืนด้วยรีโมทแบบเปิดโล่งก็คงไม่ผิด มีหลักการทำงานง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แต่ทำงานได้จริงผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน ทีนี้มาชมภาพถ่ายที่ชัดเจนกันต่อเลย

ในภาพเห็นพลยิงเล็ง Kolonka ไปทางซ้ายพร้อมยกแป้นขึ้นสูง ปืนกลจะหันไปทางเดียวกันพร้อมพ่นกระสุนปืนจนไฟลุก อุปกรณ์มีน้ำหนักรวมเทียบเท่าเด็กประถม การควบคุมทำได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าขี่จักรยาน ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวก็ยังสามารถยิงปืนได้ อาจมีปัญหาบ้างเรื่องความสูงแก้ไขโดยใส่รองเท้าส้นตึก
ในปี 1960 ปืนกล AK-230 เข้าประจำการบนเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถีชั้น Osa (หรือ Project 205) ต่อมาไม่นานเริ่มมีการใช้งาน Kolonka บนเรือจริง ผ่านไปประมาณ 10 ปีปืนกล AK-630 เข้าประจำการบ้าง พร้อมกับ Kolonka ถูกใช้เป็นระบบควบคุมการยิงสำรองแบบเต็มตัว ผ่านไปอีก 10 ปีกองทัพเรือโซเวียตมีแนวคิดใหม่ ต้องการลดจำนวนอาวุธปืนกลให้น้อยที่สุด เพื่อให้การซ่อมบำรุงจัดหาอะไหล่เป็นไปอย่างสะดวก จึงได้มีการพัฒนาปืนกล AK-306 ขึ้นมาอีกหนึ่งรุ่น
AK-306 คือปืนกลที่เห็นอยู่ภาพ รูปร่างหน้าตาภายนอกเหมือนกับ AK-630 แต่ลดอัตรายิงจาก 5,000 นัดต่อนาทีลงมาเหลือ 1,000 นัดต่อนาที นำมาใช้เป็นแทน AK-230 บนเรือตรวจการณ์ตัวเองและประเทศพันธมิตร ข้อแตกต่างที่สำคัญก็คือ AK-630 มีปลอกหุ้มลำกล้องปืนติดตั้งไว้ด้วย ส่วน AK-306 ไม่มีมองเห็นลำกล้องปืน 6 ลำกล้องมัดติดกัน
ผู้อ่านอาจมีข้อสงสัยว่า การใช้ Kolonka ควบคุมการยิงปืนกล AK-306 ทั้งเป็นระบบหลักและระบบสำรอง จะมีความแม่นยำสักแค่ไหน? จะยิงเครื่องบินหรือเรือโจรสลัดโดนไหม? ในเมื่ออุปกรณ์ใช้เทคโนโลยีปลายสงครามโลกครั้งที่สอง นี่คือคำถามที่ดีมาก เพื่อให้คำอธิบายมีความชัดเจนมากขึ้น ผู้เขียนขอเปรียบเทียบกับอาวุธปืนชนิดอื่นด้วย

ภาพนี้ก็คือปืนกล 30 มม.รุ่น DS30MR บนเรือหลวงอ่างทอง นี่คือปืนรองมาตรฐานกองทัพเรือไทยปี 2019 แต่เลยจากนี้ไปผู้เขียนไม่แน่ใจแล้วล่ะ นอกจากควบคุมด้วยระบบเรดาร์หรือออปทรอนิกส์แล้ว DS30MR สามารถยิงโดยการบังคับด้วยมือได้ด้วย มีปัญหาสำคัญเรื่องขนาดและน้ำหนักอยู่บ้าง เรามาจินตนาการไปพร้อมๆ กันนะครับ
พลทหารบัวลอยทำหน้าที่บนเรือหลวงอ่างทองตำแหน่งพลยิง วันหนึ่งเขาถูกเรียกตัวให้ไปประจำการที่ปืนตัวเอง เพราะเรดาร์ควบคุมการยิงเสียหายใช้งานไม่ได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือปรับราวกันตกให้แบนราบ จากนั้นเข้าควบคุมปืนและปรับมาเป็นโหมดอัตโนมือ ทันใดนั้นเองเครื่องบินซีโร่ไม่ปรากฏสัญชาติบินผ่านมา พลทหารบัวลอยผู้มีความสูง 165 เซนติเมตรได้รับคำสั่งยิง เขารีบสวมหมวกกันกระแทกแล้วกระโดดเข้าใส่ทันที
DS30MR มีความสูงมากกว่าชายไทยโดยเฉลี่ย มีน้ำหนักรวมกระสุน 2 กล่องประมาณหนึ่งตันกว่าๆ ทหารหนุ่มยืนอยู่บนฐานรองทำให้ตัวเองสูงขึ้น ทว่าเขาต้องออกแรงกดปืนสักเล็กน้อย จากนั้นทำการเล็งด้วยเครื่องเล็งวงกลมความเร็วแบบโลหะเปิด ปรากฏว่าหาไม่เจอเจอแต่สายกระสุน 2 สายในระดับสายตา ครั้นมองเห็นเครื่องบินพลทหารตัดสินใจเหนี่ยวไกปืน ปรากฏว่าไม่โดนเพราะอัตรายิง 200 นัดต่อนาทีช้าเกินไป
ต่อมาไม่นานมีเรือหางยาวแล่นเข้ามาใกล้ ผู้การเรือสั่งให้เปลี่ยนเป้าหมายแล้วรีบยิงสกัด ทั้งนี้เนื่องมาจากเรือหลวงอ่างทองมีขนาดค่อนข้างใหญ่และสูง ส่วนปืนกล DS30MR ก็ติดอยู่ชั้นสะพานเดินเรือ ทำให้ปืนอยู่สูงกว่าระดับผิวน้ำอย่างลิบลับ พลทหารบัวลอยใช้สองมือประคองปืนขึ้นข้างบน เพื่อกดปากลำกล้องปืนให้ลดต่ำลงมากที่สุด จากนั้นจึงเล็งด้วยเครื่องเล็งวงกลมความเร็วแบบโลหะเปิด เอ่อเล็งไม่ได้สินะเพราะไม่มี หรือถ้ามีตอนนี้เครื่องเล็งจะอยู่สูงลิบลับ ต้องเป็นกระเหรี่ยงคอยาวเท่านั้นถึงจะชะโงกหัวมองได้ แต่จะไม่ใช่กับชายไทยหัวใจลูกทุ่งรายนี้แน่นอน
ทหารหนุ่มจำเป็นต้องเหนี่ยวไกปืนตามคำสั่ง ทว่าไม่โดนเพราะเรือหางยาวหลบไปทางขวาเสียก่อน เขาจำเป็นบังคับปืนไปทางซ้ายเพื่อไล่ยิง แม้ระบบควบคุมจะใช้มอเตอร์ช่วยผ่อนแรงก็ตาม แต่ทว่าไม่มีผลต่อความสูงของมนุษย์และอาวุธปืน บัวลอยเขย่งเท้าไปทางขวาราวกับนักบัลเลย์ชื่อดังจากเลนินการ์ด ลำกล้องปืนหันไปทางซ้ายจากการทำงานของมอเตอร์ พลทหารเหนี่ยวไกปืนโดยไม่เล็งเพราะไม่มีเครื่องเล็ง ปรากฏว่ากระสุนกล่องซ้ายดันหมดเสียก่อน เขารีบปรับมาใช้กระสุนกล่องขวาซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 80 นัด ทันใดนั้นเองเครื่องบินซีโร่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!
บัวลอยปล่อยมือจากปืนให้แรงดึงดูดโลกทำงาน จากนั้นออกแรงกดให้ปากกระบอกปืนยกขึ้นสูง แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ทว่าช้าเกินไปไม่สามารถจับเป้าหมายได้ทัน เครื่องบินซีโร่บินตัดจากหัวเรือไปทางท้ายเรือ พลทหารออกแรงเหวี่ยงปืนไปทางขวามือทันที มอเตอร์ควบคุมการหันเหวี่ยงแรงเกินไปจนเขาพลัดหล่นฐานรอง บัวลอยเหยียบปลอกกระสุนปืนเสียหลักหกล้มหงายเก๋ง กระแทกเสากันตกที่วางแบนราบหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงร่วงหล่นลงสู่ท้องทะเลอันดามัน เดือนร้อนมายังเพื่อนๆ ต้องพาขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล ปิดฉากตำนานพลยิง DS30MR ด้วยระบบอัตโนมือ
หนึ่งปีต่อมาพลทหารบัวลอยย้ายมาอยู่เรือต.997 ระหว่างลาดตระเวนบริเวณทะเลอันดามันจุดเดิม เครื่องบินซีโร่กับเรือหางยาวลำเดิมได้ปรากฏตัวขึ้น พลทหารหนุ่มเดินมาประจำการที่ Kolonka บังคับด้วยปลายนิ้วเพื่อยิงปืนกล AK-306 ใส่เครื่องบินไม่ปรากฏสัญชาติ เขาใช้เวลาเหนี่ยวไก 12 วินาทีส่งกระสุนปืนขนาด 30 มม.จำนวน 200 นัดขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นเป็นต้นมาไม่มีใครเจอเครื่องบินซีโร่อีกเลย ตอนนี้เรือหางยาวกำลังแล่นตรงเข้าใกล้เพื่อล้างแค้นแทนเพื่อน
ทหารหนุ่มเริ่มบิดขี้เกียจหนึ่งครั้ง คว้าผ้าสีแดงแขวนบนราวกันตกมาเช็ดหน้า ก่อนหยิบไอโฟนออกมาอ่านข่าวกีฬาที่ตนเองโปรด หงส์จมเรือใบมาเน่ยิงได้แต่ไม่ยอมพุ่ง เขาส่งยิ้มมุมปากให้กับตัวเองก่อนเก็บไอโฟน พร้อมกับจ้องมองเครื่องเล็งวงกลมความเร็วแบบโลหะเปิดของ Kolonka ก่อนบรรจงเหนี่ยวไก 6 วินาทีส่งกระสุนปืนขนาด 30 มม.จำนวน 100 นัดไปยังเรือเป้าหมาย จากนั้นเป็นต้นมาไม่มีใครเจอเรือหางยาวลำนี้อีกเลย
จากตัวอย่างที่ผู้เขียนนั่งเทียนเขียนจะเห็นได้ว่า การใช้งาน Kolonka ทำให้ทุกอย่างง่ายดายกว่าเดิม บวกกับปืนกลรัสเซียมีกระสุนปืนจำนวน 500 นัด สามารถยิงสกัดโดยใช้ปริมาณและอัตรายิงเป็นสิ่งทดแทน ถ้าเรือหลวงอ่างทองมีอุปกรณ์นี้เป็นระบบควบคุมการยิงสำรอง พลทหารบัวลอยคงไม่ตกน้ำป๋อมแป๋มให้เพื่อนล้อยันลูกบวช
ต้องบอกตรงนี้ว่าเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ข้อเท็จจริงการใช้งาน DS30MR อาจง่ายดายกว่านี้

กลับสู่เนื้อหาหลักของบทความกันอีกครั้ง สมาชิกจากอาเซียนมีการใช้งาน Kolonka เช่นกัน และประเทศที่มีใช้งานมากที่สุดก็คือพม่า ในภาพคือเรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถีหมายเลข 557 ยาวประมาณ 45 เมตร ระวางขับน้ำประมาณ 220 ตัน ติดปืนกล AK-230 จำนวน 2 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติ Type 91 ผลิตขึ้นเองอีก 2 กระบอก จรวดต่อสู้เรือรบ C-80X จำนวน 2 นัด ติดเรดาร์ตรวจการณ์ Type 362 1 ระบบ เรดาร์เดินเรือ Furuno 1 ระบบ เรดาร์ควบคุมการยิงปืน Type 347G 1 เรดาร์ควบคุมการยิงจรวด Type-352 อีก 1 ระบบ รวมทั้งระบบควบคุมการยิงสำรอง Kolonka อีก 2 ระบบ
เรือลำนี้เป็นเรือลำแรกๆ ที่มีการติดจรวด อาวุธบางอย่างยังเก่าอยู่อาทิเช่นปืนหลัก รวมทั้งยังไม่มีระบบเป้าลวงและระบบแปลกๆ เป็นแท่งเหลี่ยมๆ มนๆ ซึ่งอาจจะเป็นเรดาร์ 3 มิติควบคุมจรวดหรือระบบดาต้าลิงก์ แต่เรือลำนี้ของพม่าถือว่าจัดแน่นจัดเต็มหนึ่งลำ ผู้เขียนมีข้อสงสัยว่าทำไมต้องติด Kolonka 2 ระบบ ผู้อ่านนึกสงสัยกันบ้างไหมครับ

ดูภาพถัดไปกันก่อนดีกว่า เรือตรวจการณ์พม่าทดสอบยิงปืนกล AK-230 กระบอกหัวเรือ จะเห็นว่ากระบอกปืนเล็งไปทางขวาทำมุม 10 นาฬิกา แต่เรดาร์ควบคุมการยิง Type 347G อยู่ในตำแหน่งปรกติ เพราะอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมคือ Kolonka ฝั่งซ้ายของเรือ พลยิงสวมชุดป้องกันไฟครบถ้วนถือว่าดีมาก เยื้องต่ำลงมาเล็กน้อยเห็นปืนกล Type 91 ซึ่งใช้ปืนกลขนาด 14.5 มม.จำนวน 4 กระบอก ปืนรุ่นนี้ออกแบบให้ใช้งานผ่านรีโมทควบคุม สามารถยิงด้วยมือจากหลังป้อมเหมือนกับ DS30MR ได้ ไม่ได้ติดเครื่องเล็งบนป้อมปืนเหมือนกัน แต่น่าจะใช้งานง่ายกว่าเพราะปืนน้ำหนักเบากว่า
เท่ากับว่าเรือลำนี้มีปืนอัตโนมัติหัวเรือถึง 3 กระบอก ที่จำเป็นต้องติดตั้ง Kolonka ถึง 2 ระบบนั้น ผู้เขียนอนุมานเอาเองว่าเพราะ Kolonka ควบคุมปืนได้ 2 กระบอก จึงต้องมี Kolonka ตัวที่สองเพื่อใช้ควบคุมปืนกล AK-230 กระบอกหลังด้วย กวาดตามองไปยังเรือประเทศอื่นก็ติดแบบนี้เช่นกัน คือใช้ Kolonka 1 ระบบกับปืนกล 2 กระบอก
ปืนกล AK-230 มีความสำคัญกับรัสเซียหรือโซเวียตในอดีตมาก สมัยก่อนนี้พวกเขาใช้ปืนกลขนาด 23 มม.แท่นคู่บ้าง ขนาด 25 มม.แท่นคู่บ้าง รวมทั้งขนาด 37 มม.แท่นคู่ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ครั้นพอพัฒนา AK-230 เข้าประจำการได้แล้ว ด้วยขนาดป้อมปืนที่เล็กกะทัดรัด (แต่กินพื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือ) มีระบบบรรจุกระสุนปืนอัตโนมัติ พร้อมอัตรายิงสูงสุด 1,000 นัดต่อนาที ทำให้วอร์ซอประจำการปืนชนิดนี้บนเรือนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะเรือลำเล็กๆ สามารถป้องกันตนเองได้ดีกว่าเดิม นี่คือปืนที่เปลี่ยนหลักนิยมเรือรบค่ายตะวันออกตลอดกาล มีความสำคัญมากแต่ชื่อเสียงน้อยกว่า AK-630 อย่างไม่น่าเชื่อ
 ปัจจุบัน AK-230 แทบจะเลือนหายไปแล้ว เหลือใช้งานบนเรือเก่าจำนวนหนึ่งเท่านั้น เรือตรวจการณ์และเรือช่วยรบรุ่นใหม่จะใช้งาน AK-306 ทดแทน เพราะใช้อะไหล่จำนวนมากร่วมกับ AK-630 ได้เป็นอย่างดี เคยมีการนำ Kolonka มาใช้งานกับปืนกลขนาด 23 มม. 25 มม. และ 37 มม.มาแล้ว ทว่าไม่ได้รับความนิยมจนแทบไม่ปรากฏภาพถ่าย

ภาพต่อไปเป็นเรือฟริเกต F-14 ซึ่งทันสมัยมากที่สุดของพม่า สารภาพบาปว่าเคยวาดภาพเรือลำนี้หลายครั้ง แต่จำชื่อไม่ได้จริงๆ รวมทั้งเรือทุกลำของเขา รวมทั้งเรือทุกลำของชาติอื่นก็เช่นกัน ผู้เขียนจำได้แค่ชื่อชั้นเรือที่คนทั่วมักนิยมเรียกกัน ส่วนชื่อยิบย่อยอะไรพวกนี้บอกได้คำเดียวว่าตาย เพราะฉะนั้นขอเรียกเรือลำนี้ว่า F-14 ง่ายๆ แบบนี้แหละ
เล่นเกมจับผิดกันดูสักหน่อยเป็นไร เรือลำนี้มีอะไรแปลกๆ ติดอยู่เต็มลำ เริ่มกันจากแท่นยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน Igla แบบ 6 ท่อยิง รูปร่างประหลาดเหมือนตู้โทรศัพท์เสียบเสาทิ้งไว้ ต่อด้วยปืนกล AK-630 ใช้ป้อมปืนลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ เพราะฉะนั้นป้อมปืนนี้มาจากจีนไม่ใช่รัสเซีย ก้มลงไปเล็กน้อยเห็นระบบเป้าลวงอาวุธนำวิถี หน้าตาคล้ายคลึงระบบเป้าลวง Dagaie ซึ่งมีใช้งานบนเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ท่อยิงตอร์ปิโดเบาแฝดสามอยู่ใต้สะพานเดินเรือถือว่าแปลก ทีนี้แหงนหน้าขึ้นมองหลังคาสะพานเดินเรือบ้าง จะเห็น Kolonka หน้าตาแปลกพิกลล้อมด้วยราวกันตก
Kolonka บนเรือ F-14 แปลกอย่างไร? ผู้เขียนรู้สึกว่าตรงก้านมันตันๆ เหมือนคอตัวเอง เพียงแต่ภาพไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไร เพื่อให้ข้อสงสัยนี้กระจ่างแจ้งในคืนลอยกระทง จึงถอดจิตเดินทางไปสืบที่กองทัพเรือเวียดนามบ้าง ประเทศนี้ใช้งาน Kolonka บนเรือรบจำนวนมากเช่นกัน และภาพถัดไปมาจากเรือฟริเกตชั้น Gepard ซึ่งพวกเขามีอยู่จำนวน 4 ลำ

ค่อนข้างชัดเจนว่าเหมือนกับเรือ F-14 ของพม่า Kolonka ของโปแลนด์และรัสเซียตรงก้านจับจะแยกซ้ายขวา โดยมีช่องว่างเล็กๆ ตรงกลางใต้เครื่องเล็ง ผู้เขียนขอตั้งชื่อให้เองว่ารุ่นก้านวาย แต่ของเวียดนามก้านจับจะเป็นเหล็กทั้งแท่ง ผู้เขียนขอตั้งชื่อให้เองว่ารุ่นก้านตัน ขนาดเครื่องเล็งอาจต่างกันเล็กน้อยไม่ใช่ประเด็น ที่เป็นประเด็นจนเกิดคำถามตามมาก็คือ ของเวียดนามเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดหรือเปล่า?  หรือเป็นรุ่นส่งออก? หรือเวียดนามกับพม่าพัฒนาขึ้นมาเอง? หรือจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ Kolonka? ทั้งหมดนี้ผู้เขียนขอรวบรวมไว้เป็นคำถามข้อแรก
ก่อนอื่นมาทายคำถามข้อที่สองกันก่อน คำถามมีอยู่ว่า…Kolonka ติดอยู่ตรงไหนของเรือฟริเกตชั้น Gepard? ให้เวลาคิด 5 นาทีแล้วค่อยดูภาพถัดไปนะครับ (จะปิดบังภาพกันอย่างไรละหนอ?)
คำตอบคำถามข้อที่สองก็คือ Kolonka ติดอยู่บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์แบบเปิดโล่งของเรือฟริเกตชั้น Gepard ที่ว่าเปิดโล่งคือมีอุปกรณ์ลากเฮลิคอปเตอร์เข้ามาจอด พับใบพัดเสียบเข้ามาในโรงเก็บขนาดค่อนข้างสั้น ส่วนตัวเครื่องตากแดดตากฝนทนทุกสภาวะเช่นเดิม การใช้งาน Kolonka ค่อนข้างลำบากพอตัว พลยิงจะต้องปีนบันไดลิงจำนวน 3 ชั้นด้วยกัน ขึ้นไปบนจุดที่มีธงเหลืองฟ้าโบกสะบัดนั่นแหละครับ จากนั้นจึงทำการเล็งจำลองไปยังเป้าหมายที่ต้องการ

การยิงปืนกลด้วย Kolonka ทั้งหมดเป็นการเล็งจำลอง เพราะอุปกรณ์ช่วยเล็งไม่ได้อยู่ด้านหลังป้อมปืน ต้องมีการปรับแต่งปืนแต่ละกระบอกให้ยิงดักยิงเผื่อล่วงหน้าไว้ก่อน ถ้าอยู่ใกล้กันแบบเรือภาพที่ 3 หรือ 4 การปรับแต่งจะไม่ยากเท่าไร แต่ถ้าอยู่ห่างไกลแบบภาพที่ 7 หรือ 8 งานนี้เริ่มลำบาก ถ้าต้องบังคับปืน 2 กระบอกที่อยู่ห่างไกลกัน พลยิงจะเกิดอาการเหวอๆ อยู่บ้างในช่วงแรก วิธีแก้ไขคือซ้อมยิงด้วยกระสุนจริงมากครั้งเข้าไว้ และพยายามอย่าเปลี่ยนพลยิงให้บ่อยเกินไป
เนื่องมาจาก Kolonka ไม่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์เลย สงครามอิเล็กทรอนิกส์จึงไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งาน แต่เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมโอกาสผิดเพี้ยนจึงมีสูง ผู้ใช้งานต้องทำความเข้าใจระบบให้ดีเสียก่อน เหมือนรถเก๋งสมัยก่อนมีสายคันเร่งภายในห้องเครื่อง แต่รถเก๋งปัจจุบันใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดอะไรประมาณนี้
กลับมาที่คำถามข้อแรกอีกครั้ง Kolonka รุ่นก้านตันคืออะไรกันแน่? ผู้เขียนสวมวิญญาณโคนันยอดนักสืบจิ๋ว ตามดมกลิ่นกลับไปยังอดีตกาลสมัยตัวเองเป็นเด็กน้อย แล้วในที่สุดก็ได้พบเจอของดีของเด็ดโดนใจ

นี่คือภาพแสกนจากนิตยสารสงครามเมื่อ 32 ปีที่แล้ว เห็นทหารบนเรือลาดตระเวนของโซเวียต ยืนคาบซิการ์ใกล้กับ Kolonka รุ่นก้านตัน ส่วนอีกภาพสหายรัสเซียกำลังทดสอบเครื่องเล็ง ซึ่งในนิตยาสารใช้คำว่า ศูนย์รวมโคลอนคา เพราะฉะนั้นเราได้คำตอบชัดเจนแล้วว่า Kolonka ของเวียดนามไม่ใช่รุ่นล่าสุด ไม่ใช่รุ่นส่งออก ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเอง และเป็น Kolonka ตัวจริงเสียงจริง ส่วนรุ่นก้านตันจะเก่ากว่าหรือใหม่กว่ารุ่นก้านวาย ผู้เขียนขอติดไว้ก่อนแล้วกันนะครับ
เรามาชมแผนภาพระบบควบคุมการยิงของรัสเซียกันบ้าง ผู้อ่านอย่าเพิ่งสับสนกับคำว่าโซเวียตและรัสเซียนะครับ เหตุการณ์ที่เกิดก่อนปี 1991 เป็นโซเวียต เหตุการณ์ที่เกิดหลังจากนั้นเป็นรัสเซียง่ายๆ แค่นี้เอง

จากแผนภาพแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน A คือระบบควบคุมการยิงหลัก ใช้เรดาร์หรือออปทรอนิกส์ในการติดตามเป้าหมาย ทำงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ทันสมัย พลยิงนั่งภายในเรือบังคับอาวุธปืนด้วยปลายนิ้ว เหมือนกับระบบควบคุมการยิงฝั่งตะวันตก ส่วน B คือระบบควบคุมการยิงสำรอง ใช้ Kolonka ตั้งบนดาดฟ้าเรือใกล้กับตู้ไฟ ใช้อุปกรณ์ติดตั้งควบคุมคล้ายคอมพิวเตอร์พกพา หน้าตาโปรแกรมเหมือนสมัยบิล เกตส์ ยังอาศัยอยู่ในโรงรถพ่อตัวเอง
อย่างที่รู้ว่ากองทัพเรือไทยสั่งซื้อปืนกล AK-306 จากรัสเซีย เพราะฉะนั้นเนื้อหาต่อจากนี้จะเกี่ยวข้องกับปืนกระบอกนี้ รวมทั้งอุปกรณ์ควบคุมการยิงรูปแบบแตกต่างกัน ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นทุกคนตามข้าพเจ้ามา

เรือหมายเลข 11 ในภาพคือเรือชั้น Svetlyak หรือ Project 10412 ชื่อ VLN-11 Triglav ของสโลวาเนีย ระวางขับน้ำเต็มที่ 375 ตัน ยาว 49.5 เมตร กว้าง 9.2 เมตร กินน้ำลึก 2.5 เมตร ติดปืนกล AK-306 ที่หัวเรือจำนวน 1 กระบอก มาพร้อมระบบตรวจจับแบบจัดแน่นจัดเต็มล้นลำ เริ่มจากออปทรอนิกส์ควบคุมการยิงจากรัสเซีย ต่อกันด้วยระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม ถัดไปหน่อยเดียวเป็นระบบควบคุมการยิงสำรอง Kolonka บนเสากระโดงเป็นเรดาร์เดินเรือ ถัดจากเรดาร์เป็นกล้องตรวจการณ์กลางคืน เรือลำนี้ทันสมัยมากรวมทั้งราคาแพงมาก ใช้ระบบควบคุมการยิงปืนกล AK-306 แผน AB
ก่อนไปที่เรือลำอื่นผู้เขียนขอเฉลยปริศนาเสียก่อน ภาพถ่ายใบแรกสุดมาจากเรือชื่อ VLN-11 Triglav ของสโลวาเนียลำนี้แหละ เรือติด Kolonka หน้าเสากระโดง ติดเสาวิทยุริมหน้าต่างสะพานเดินเรือ และติดปืนกล AK-306 1 กระบอกที่หัวเรือ ฉะนั้นถ้าเราบังคับ Kolonka ไปทางขวามือหรือซ้ายมือนิดหน่อย เสาวิทยุที่เห็นอยู่ในภาพจะไม่เป็นอะไรเลย เพราะนี่คือการเล็งจำลองไม่ใช่เล็งจริง ผู้อ่านท่านใดทายถูกโทรเลขมาบอกด้วยนะครับ J

ส่วนลำนี้เป็นเรือตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งคาซัคสถาน เรือชั้น Project 300 ถูกปรับปรุงมาจากแบบเรือ Project 22180 ของรัสเซีย ระวางขับน้ำ 218 ตัน ยาว 41.75 เมตร กว้าง 7.8 เมตร ความเร็วสูงสุด 30 นอต ติดปืนกล AK-306 บริเวณหัวเรือ ใช้ระบบควบคุมการยิง Kolonka รุ่นก้านวายบนหลังคาสะพานเรือ จึงถูกจัดให้เป็นแผน B อย่างชัดเจน

ลำถัดไปมาจากกองทัพเรือคาซัดสถานบ้าง Project 250 Patrol Vessel หรือ Kazakhstan Class ปรับปรุงมาจากเรือชั้น Project 300 ของหน่วยยามฝั่งอีกที ระวางขับน้ำ 230 ตัน ยาว 42.2 เมตร กว้าง 7.8 เมตร ใช้เครื่องยนต์ MTU จากเยอรมันจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 30 นอต ติดปืนกล AK-306 บริเวณหัวเรือ ใช้ออปทรอนิกส์ควบคุมการยิง Sens-2-250 พัฒนาขึ้นมาเอง ติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยาน Igla พร้อมแท่นยิงแฝดสี่รุ่น Arbalet-K รวมทั้งระบบแท่นยิงแฝดสี่ Baryer-VK สำหรับจรวดอเนกประสงค์นำวิถีเลเซอร์รุ่น RK-2V ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดประมาณ 7.5 กิโลเมตร
Kazakhstan Class เป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งตัวจิ๊ดลำหนึ่งของโลก ประเทศคาซัดสถานไม่มีพื้นที่ติดกับทะเลหลวง ทั้งกองทัพเรือและหน่วยยามฝั่งต้องทำงานในทะเลแคสเบี้ยน ประเทศเขามีพื้นที่น้อยนิดยังแยกหน่วยงานเลยครับ ไม่ทราบว่าประเทศเราจะทำกันเมื่อไหร่ เรือลำนี้ใช้ระบบควบคุมการยิงปืนกล AK-306 แผน A+ คือใช้ระบบออปทรอนิกส์ของตัวเอง
แล้วแผน A แท้ๆ ที่ใช้ออปทรอนิกส์ของรัสเซียมีหรือไม่? มีสิครับ….เยอะแยะตาแป๊ะไก่
กลับมาที่กองทัพเรือคาซัคสถานกันอีกครั้ง เพื่อได้พบกับเรือกวาดทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง Project 10750E สภาพใหม่เอี่ยม MCM Alatau สร้างโดยอู่ต่อเรือในรัสเซีย ระวางขับน้ำ 169 ตัน ยาว 32 เมตร กว้าง 6.9 เมตร ติดปืนกล AK-306 บริเวณหัวเรือ ใช้ออปทรอนิกส์ควบคุมการยิงจากรัสเซีย รวมทั้งโซนาร์ตรวจจับทุ่นระเบิดกับยานทำลายทุ่นระเบิดใต้น้ำรุ่น A9-M

เรือลำนี้ขนาดเล็กมากจนถูกเรียกว่า Harbor Minesweeper ทว่าติดปืนกลอัตโนมัติพร้อมระบบควบคุมการยิงทันสมัย โดยใช้พื้นที่จำนวนน้อยนิดบนเรือได้อย่างเหมาะเจาะ นี่คือแผน A แท้ๆ จากดินแดนหลังม่านเหล็ก นำมาใช้งานบนเรือลำเล็กลำน้อยกองทัพเรือไทยได้อย่างสบาย ไม่ทราบว่ามีใครสนใจบ้างไหมเอ่ย?
บทความเดินทางมาถึงตอนจบแล้ว ผู้เขียนสามารถสรุปความตามท้องเรื่องได้ 3 ประการดังนี้
1. AK-306 คือปืนกลอัตโนมัติธรรมดาๆ นี่แหละ สามารถใช้เรดาร์หรือออปทรอนิกส์ทุกรุ่นควบคุมการยิงได้ ไม่อยากใช้ของรัสเซียใช้ของสวีเดนหรืออเมริกาก็ได้ เพียงแต่ต้องจ่ายเงินค่าพัฒนาระบบเพิ่มเติมเข้าไปด้วย
2. Kolonka ยังได้รับความนิยมในการใช้เป็นระบบควบคุมการยิงสำรอง แต่มีคู่แข่งมากขึ้นในการใช้เป็นระบบควบคุมการยิงหลัก เนื่องจากใช้งานตอนกลางคืนลำบาก ใช้งานตอนฝนตกก็ลำบาก สู้ควบคุมด้วยรีโมทจากภายในเรือไม่ได้
3. Kolonka จะมาประเทศไทยหรือไม่มีด้วยกัน 2 เงื่อนไข ถ้านำมาติดบนเรือตรวจการณ์ไม่กี่ลำคิดว่าคงไม่มา แต่ถ้าเรือฟริเกตรัสเซียมาตามนัดไม่ว่าลำไหนก็ตาม อาจต้องส่งพลยิงไปฝึกใช้งาน Kolonka ที่เวียดนาม ไปพม่าไม่ได้เพราะระบบผูกกับเรดาร์ควบคุมการยิงของจีน อยากโหดสลัดรัสเซียต้องฮอยอันฉันรักเธอสถานเดียว
บทความนี้ค่อนข้างยาวพอสมควร มีการใส่จินตนาการเหนือความรู้เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อให้เห็นภาพจากมุมมองอื่นชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณมากๆ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าสวัสดีครับ ^_+
                     -------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก
นิตยาสารสงครามฉบับปี 2530