วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Netherlands Navy Common Fleet

 

rMCM Programme

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2021 บริษัท Naval Group ทำพิธีวางกระดูกงูเรือกวาดทุ่นระเบิดลำแรกของกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม ตามโครงการ rMCM Programme ซึ่งมียอดรวมจำนวนเรือเท่ากับ 12 ลำ แบ่งเป็นกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จำนวน 6 ลำกับกองทัพเรือเบลเยียมจำนวน 6 ลำ

เรือลำแรกพร้อมส่งมอบภายในปี 2024 ส่วนเรือลำสุดท้ายพร้อมส่งมอบภายในปี 2030 เรือกวาดทุ่นระเบิดตามโครงการ rMCM Programme มีระวางขับน้ำ 2800 ตัน ยาว 82.6 เมตร กว้าง 17 เมตร ความเร็วสูงสุด 15.3 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3500 ไมล์ทะเล มีพื้นที่รองรับลูกเรือ 63 นาย อาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40mm Mk4 ขนาด 40 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติ Oto Melara Hitrole NT ขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลเบา FN MAG ขนาด 7.62 มม.อีก 2 กระบอก

แบบเรือรุ่นใหม่จากฝรั่งเศสทำหน้าที่ประหนึ่งยานแม่หรือ Mother Ship ท้ายเรือวางตู้คอนเทนเนอร์อเนกประสงค์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 3 ตู้ มาพร้อมเครนขนาด 15 ตันสำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์และอุปกรณ์อื่นๆ กลางเรือเป็นจุดติดตั้งยานผิวน้ำไร้คนขับปราบทุ่นระเบิดรุ่น Inspector 125 จำนวน 2 ลำ สามารถติดตั้งโซนาร์ตรวจจับทุ่นระเบิด โซนาร์ลากท้าย และยานใต้น้ำปราบทุ่นระเบิดได้หลายรุ่นตามความต้องการ

เรือกวาดทุ่นระเบิด rMCM ช่วยให้กองเรือปราบทุ่นระเบิดเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมแข็งแกร่งกว่าเดิม

ชมภาพประกอบที่สองกันต่อ นี่คือภาพกราฟิกเรือกวาดทุ่นระเบิด rMCM ซึ่งถูกเผยแพร่ในปี 2020 เรือติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติ Terma Scanter 4100 และติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Oto Melara Marlin 30 ขนาด 30 มม. เมื่อมีการสร้างเรือจริงปรากฏว่า Scanter 4100 กับ Marlin 30 ถูกปรับเปลี่ยนเป็นเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ AESA Thales NS50 กับปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40mm Mk4 ขนาด 40 มม.

Marlin 30 เป็นอาวุธมาตรฐานกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ มีใช้งานบนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งกับเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์จำนวนหลายลำ แล้วเหตุใดเล่าเรือกวาดทุ่นระเบิดลำใหม่ถึงล่วงละเมิดความเป็น Common Fleet มิตรแฟนเพลงชาวไทยหลายคนพร้อมลงคอมเมนต์ว่านี่คือหายนะของการซ่อมบำรุงและความพร้อมรบ เป็นภาระให้กับลูกหลานไปอีกหลายสิบปีทีเดียวเชียว เนเธอร์แลนด์รวมทั้งเบลเยียมไม่มีความคิดกันบ้างเลยหรือไร

ผู้เขียนขอเก็บเรื่อง Common Fleet ไว้พูดคุยตอนจบบทความ

เหตุผลที่เนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมเปลี่ยนมาใช้งาน Bofors 40mm Mk4 เพราะเรื่องประสิทธิภาพ

ก่อนปี 2000 เรือรบจำนวนมากใช้งานปืนกลต่อสู้อากาศยานขนาด 30 มม.อัตรายิงสูงสุด 600 นัดต่อนาที ต่อมาไม่นานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานประสิทธิภาพสูงขึ้นและเข้าถึงง่ายกว่าเดิม ประกอบกับมีภัยคุกคามรูปแบบใหม่นั่นคือเรือยางท้องแข็งติดระเบิด จึงได้มีการพัฒนานำปืนกลอเนกประสงค์ขนาด 30 มม.อัตรายิง 200 นัดต่อนาที มาใช้งานบนเรือทดแทนปืนกลต่อสู้อากาศยานซึ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป อัตรายิงลดลงแลกกับอายุการใช้งานยาวนานกว่าเดิม ดูแลซ่อมบำรุงสะดวกกว่าเดิม รวมทั้งมีความเหมาะสมกับเป้าหมายผิวน้ำมากกว่าเดิม

นับจากนั้นเป็นต้นมาปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.ก็เข้ามาแทนที่ปืนกลต่อสู้อากาศยานขนาด 30 มม.

ต่อมาในปี 2020 กองเรือน้อยใหญ่ทั่วโลกมีการปรับปรุงตัวเอง เพื่อรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่นั่นคืออากาศยานไร้คนขับติดอาวุธกับอากาศยานไร้คนขับติดระเบิด เนื่องจากเรือกวาดทุ่นระเบิด rMCM มีอ่าวุธหลักเป็นปืนกลอัตโนมัติขนาดใหญ่จำนวน 1 กระบอก เนเธอร์แลนด์มองว่าไม่เพียงพอในการรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้งาน Bofors 40mm Mk4 ขนาด 40 มม.เพราะมีอัตรายิงสูงกว่า ระยะยิงไกลกว่า ประสิทธิภาพในการทำลายเป้าหมายมากกว่า รวมทั้งใช้งานกระสุนฉลาด 3P ซึ่งสามารถตั้งชนวนแบบอัตโนมัติได้ถึง 6 รูปแบบ มากเพียงพอในการรับมือทั้งเป้าหมายผิวน้ำและเป้าหมายกลางอากาศ

ASWF Programme

วันที่ 29 มิถุนายน 2023 บริษัท Damen กับ Thales Netherlands เซ็นสัญญาร่วมกับกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม ในการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่จำนวน 4 ลำ แบ่งเป็นกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จำนวน 2 ลำกับกองทัพเรือเบลเยียมจำนวน 2 ลำ กำหนดส่งมอบเรือฟริเกตลำแรกภายในปี 2029 ส่วนเรืออีกสามลำจะทยอยส่งมอบห่างกันประมาณปีละหนึ่งลำ

เรือฟริเกตตามโครงการ ASWF Programme มีระวางขับน้ำ 5,865 ตัน ยาว 134.5 เมตร กว้าง 17.5 เมตร กินน้ำลึก 5.45 เมตร เป็นเรือฟริเกตทันสมัยที่สุดในยุโรปมาพร้อมออปชันครบถ้วน หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ Oto Melara 76/62 Sovraponte ทำงานร่วมกับกระสุนนำวิถีต่อสู้อากาศยาน DART ถัดไปเป็นแท่นยิงแนวดิ่ง Mk.41 จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM Block 2 ต่อด้วยปืนกลอัตโนมัติ Oto Melara Marlin 40 ขนาด 40 มม.ที่ว่างกลางเรือติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 นัด มีพื้นที่ว่างสำหรับคอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ตู้หรือติด NSM เพิ่มได้อีก 8 นัด ถัดไปคือแท่นยิงเป้าลวง NGDS จำนวน 4 แท่นยิง ปืนกลอัตโนมัติ Oto Melara Marlin 40 กระบอกที่สอง และระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM Block 2 ขนาด 21 ท่อยิง ส่วนแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mk-54 ซ่อนอยู่ที่สองกราบเรือ

ระบบตรวจจับเรือฟริเกตลำนี้ไม่น้อยหน้าใคร ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales APAR Block 2.0 จำนวน 4 ตัว ในการตรวจจับระยะกลางและควบคุมอาวุธปล่อยนำวิถี ESSM Block 2 ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales SM400 block 2 จำนวน 4 ตัวในการตรวจจับระยะไกล ใช้ออปโทรนิกส์/เรดาร์ควบคุมการยิง Thales PHAROS ทำงานร่วมกับปืนใหญ่ Oto Melara 76/62 Sovraponte และใช้ใช้ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง Thales Mirador จำนวน 2 ตัวทำงานร่วมกับปืนกลอัตโนมัติ Oto Melara Marlin 40 จำนวน 2 กระบอก

Mirador ตัวแรกติดอยู่หน้าเสากระโดงหลัก ส่วน Mirador ตัวที่สองติดอยู่กราบขวาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ (อยู่ด้านล่างแท่นยิง RAM Block 2) ไม่ทราบเหมือนกันว่ามุมซ้ายของปืนจะถูกตัวเรือบดบังหรือไม่

ดูเหมือนว่ากองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จะสร้างปัญหาให้กับลูกหลานอีกแล้ว

แทนที่จะใช้งาน Bofors 40mm Mk4 เหมือนเรือกวาดทุ่นระเบิด คุณพรี่กลับเลือกสินค้าใหม่เอี่ยมจากอิตาลีนั่นคือ Marlin 40 ผู้เขียนคาดเดาว่าภารกิจหลักของ Marlin 40 คือจัดการเป้าหมายผิวน้ำ ส่วนเป้าหมายกลางอากาศปล่อยให้ ESSM Block 2 กับ RAM Block 2 รวมทั้ง Sovraponte ได้แสดงฝีมือบ้าง เหตุผลที่ไม่เลือกใช้งาน Marlin 30 เหมือนเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง อาจเป็นเพราะเผื่อเหลือเผื่อขาดในกรณีอากาศยานไร้คนขับเล็ดลอดสามทหารเสือเข้ามา ถึงอย่างไรปืนกล 40 มม.อัตรายิง 300 นัดต่อนาทีย่อมดีกว่าปืนกล 30 มม.อัตรายิง 200 นัดต่อนาที

มิตรรักแฟนเพลงชาวไทยอาจมีคำถามแล้วภารกิจระดมยิงชายฝั่งล่ะ?

คำตอบก็คือเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น De Zeven Provinciën จำนวน 4 ลำได้รับมอบภารกิจนี้

กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์อยู่ระหว่างการจัดหาปืนใหญ่ Oto Melara 127/64 ขนาด 127 มม.จำนวน 4 กระบอกพร้อมกระสุนต่อระยะยิงได้ไกลสุด 100 กิโลเมตร มาติดตั้งบนเรือฟริเกตชั้น De Zeven Provinciën ซึ่งคนเนเธอร์แลนด์เรียกว่าเรือ LCF ในช่วงกลางปี 2024 (ทยอยติดตั้งไปเรื่อยๆ จนครบทุกลำ) รวมทั้งอยู่ระหว่างการคัดเลือกอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีชายฝั่งระยะไกลมาใช้งานบนเรือ (คาดว่าจะเป็น Tomahawk) เท่ากับว่าอีกไม่ช้าไม่นานเรือ LCF จะกลายเป็นเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศ/โจมตีชายฝั่งระยะไกล

Future Netherlands Navy

          ปี 2028 หรือถัดจากนี้ประมาณ 5 ปี เรือผิวน้ำสำคัญๆ กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์จะประกอบไปด้วย

          1.เรือฟริเกตชั้น De Zeven Provinciën ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales APAR กับ Thales Smart-L อาวุธป้องกันตัวคือปืนใหญ่ Oto Melara 127/64 กับระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Goalkeeper

2.เรือฟริเกตชั้น ASWF ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales APAR Block 2.0 กับ Thales SM400 block 2 อาวุธป้องกันตัวคือปืนใหญ่ Oto Melara 76/62 Sovraponte กับปืนกลอัตโนมัติ Marlin 40

          3.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Holland ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ I-MAST 400 อาวุธป้องกันตัวคือปืนใหญ่ Oto Melara 76/62 Super Rapid กับปืนกลอัตโนมัติ Marlin 30

          4.เรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น rMCM ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Thales NS50 อาวุธป้องกันตัวคือปืนกลอัตโนมัติ Bofors 40mm Mk4

          เรือ 4 แบบของเนเธอร์แลนด์ติดตั้งเรดาร์และอาวุธปืนไม่เหมือนกันเลย ถ้าเป็นประเทศไทยผู้หลงใหล Common Fleet รับรอง Marlin 40 กับ Bofors 40mm Mk4 รวมทั้ง Sovraponte ไม่ได้เกิดแน่นอน

          แท้จริงแล้วกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์ติดตั้งเรดาร์และอาวุธปืนตามความเหมาะสมชนิดเรือ ทว่าพวกเขาคิดถึงเรื่อง Common Fleet เช่นเดียวกัน โดยการจัดหาเรือฟริเกตกับเรือกวาดทุ่นระเบิดรุ่นเดียวกับกองทัพเรือเบลเยียม จำนวนเรือที่สั่งซื้อเพิ่มขึ้นสองเท่า ราคาสร้างเรือลดลงไม่มากก็น้อย การสั่งซื้ออาวุธเพิ่มขึ้นสองเท่า ราคาอาวุธลดลงไม่มากก็น้อย การซ่อมบำรุงและจัดหาอะไหล่เพิ่มขึ้นสองเท่า ราคาอะไหล่ลดลงไม่มากก็น้อย การปรับปรุงครึ่งอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นสองเท่า ราคาปรับปรุงเรือลดลงไม่มากก็น้อย ซึ่งมันเห็นผลชัดเจนกว่าการซื้อเรือทีละหนึ่งลำแต่ติดอาวุธเหมือนเรือชนิดอื่นโดยไม่คำนึงถึงภารกิจ ประสิทธิภาพ และภัยคุกคาม

          นี่แหละ Common Fleet ของกองทัพเรือเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม

++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก :

https://swzmaritime.nl/news/2022/06/16/construction-of-first-new-dutch-mine-countermeasure-vessel-kicks-off/

https://web.facebook.com/photo?fbid=742678807863213&set=pcb.742678831196544

https://www.seaforces.org/marint/Netherlands-Navy/Offshore-Patrol-Vessel/Holland-class.htm

https://www.abc-engines.com/de/news/abc-selected-for-the-new-belgian-and-dutch-navy-mine-counter-measures-vessel-programme-mcmv

https://www.defensie.nl/actueel/nieuws/2023/06/29/defensie-in-zee-met-bouwers-nieuwe-anti-submarine-warfare-fregatten

https://www.navalnews.com/naval-news/2021/11/naval-group-lays-keel-of-1st-mcm-vessel-of-belgian-dutch-rmcm-program/

 

         

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2566

VENARI-85 for RTN

 

โครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ปฏิบัติการสงครามทุ่นระเบิด

สมุดปกขาวกองทัพเรือ พ..2566 มีข้อมูลน่าสนใจเรื่องหนึ่งก็คือ การสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศของกองทัพเรือ ข้อมูลสมุดปกขาวหน้าที่ 29 ส่วนหนึ่งระบุไว้ตามนี้

5.1 กองทัพเรือมุ่งเน้นและสนับสนุนอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศเพื่อการพึ่งพาตัวเอง โดยที่ผ่านมากองทัพเรือได้ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ในการต่อเรือประเภทต่างๆ อาทิ เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง และเรือตรวจการณ์ประเภทอื่นๆ เรือสำรวจอุทกศาสตร์ เรือระบายพล เรือลากจูง เรือปฏิบัติการความเร็วสูง อีกทั้งสนับสนุนในการซ่อมบำรุงเรือของกองทัพเรือ โดยในอนาคตกองทัพเรือมุ่งเน้นการดำเนินโครงการจัดหายุทโธปกรณ์สำคัญ ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศมากยิ่งขึ้น เช่น โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 4 ลำ และโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ปฏิบัติการสงครามทุ่นระเบิด ซึ่งมีวงเงินรวม 82,950 ล้านบาท อีกทั้งมีแผนการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง และเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ภายในประเทศในอนาคตอีกด้วย อย่างไรก็ตามในระยะแรกยังคงมีความจำเป็นต้องจัดหายุทโธปกรณ์ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยยังไม่มีขีดความสามารถดำเนินการได้เอง

จากข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าระหว่างปี 2566 ถึง 2580 กองทัพเรือมีแผนจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 4 ลำ กับเรืออเนกประสงค์ปฏิบัติการสงครามทุ่นระเบิดไม่ระบุจำนวน แต่จากข้อมูลเก่าคาดเดาได้ว่าจำนวน  1 ลำทดแทนเรือหลวงถลาง (MCS 621) ซึ่งเป็นเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด ราคาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 4 ลำเท่ากับ 80,400 ล้านบาท ฉะนั้นเรืออเนกประสงค์ปฏิบัติการสงครามทุ่นระเบิดจำนวน 1 ลำจึงมีราคา 2,550 ล้านบาท ซึ่งอาจรวมยานผิวน้ำไร้คนขับหรือยานใต้น้ำไร้คนขับเพิ่มเติมเข้ามาในโครงการ

เป็นการจัดหาโดยมีข้อกำหนดต้องสร้างเรือเองในประเทศ ทั้งนี้ทั้งนั้นมีรายละเอียดเติมปิดท้ายอาจจัดหาจากต่างประเทศ ถ้าบริษัทในประเทศไม่มีขีดความสามารถดำเนินการได้เอง ฉะนั้นถ้ากองทัพเรือซื้อเรือฟริเกตจากประเทศจีน2 ลำกับสร้างเอง 2 ลำ ย่อมไม่ผิดไปจากข้อกำหนดสมุดปกขาวเพราะเขียนไว้แล้วอย่างชัดเจนแล้ว

เอกสารทางราชการต้องอ่านให้ละเอียดและแตกฉานนะครับ

ที่ผ่านมากองทัพเรือยังไม่เคยริเริ่มโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ปฏิบัติการสงครามทุ่นระเบิด ทว่าในปี 2560 เคยมีโครงการจัดหาเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์ เพื่อทดแทนเรือหลวงถลางซึ่งใกล้ปลดประจำการเต็มที โดยมีบริษัทสร้างเรือในไทยจับมือกับบริษัทต่างชาติเสนอแบบเรือเข้าร่วมโครงการ 2 บริษัท บังเอิญโครงการนี้ไปไม่ถึงดวงดาวถูกเก็บเข้ากรุตามระเบียบพักไปเสียก่อน

ผู้เขียนไม่ทราบความต้องการในปัจจุบันของกองทัพเรือ จึงใช้วิธีคาดเดาว่าเรืออเนกประสงค์ปฏิบัติการสงครามทุ่นระเบิดต้องเป็นศูนย์สงครามทุ่นระเบิดเคลื่อนที่ เป็นฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในพื้นที่ฝ่ายตรงข้าม รองรับการจัดเก็บทุ่นระเบิดแบบลอยตามกระแสน้ำ เป็นฐานปฏิบัติการของยานใต้น้ำไร้คนขับหรือ UUV เป็นฐานปฏิบัติการยานล่าทำลายทุ่นระเบิดหรือ MDV  มีพื้นที่บนเรือรองรับหน่วยปฏิบัติการ วางตู้คอนเทนเนอร์ Mission Module ได้ รวมทั้งมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางสำหรับเจ้าหน้าที่ทำลายวัตถุระเบิดจากทางอากาศ

ในอนาคตถ้ากองทัพเรือขึ้นโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ปฏิบัติการสงครามทุ่นระเบิดจริง แบบเรือจากโครงการจัดหาเรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์อาจได้เกิดใหม่อีกครั้ง บทความนี้ผู้เขียนขอนำแบบเรือจากประเทศอังกฤษมานำเสนออีกครั้งพร้อมทางเลือกใหม่เพิ่มเติม

BMT VENARI-85

วันที่ 2 มิถุนายน 2560 เว็บเพจ "Navy For Live" ลงบทความเกี่ยวข้องกับกองทัพเรือตามนี้

++++++++++++++++++

Navy Updates

บริษัท อิตัลไทย มารีน จำกัด ร่วมมือกับ บริษัท BMT Defense Services ประเทศอังกฤษ ได้ยื่นเสนอแบบเรือเพื่อประกอบการพิจารณากับ กองเรือทุ่นระเบิด ในการจัดเตรียมโครงการ "เรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิดอเนกประสงค์" เพื่อทดแทน ร.ล.ถลาง ที่ใกล้ถึงวาระการปลดระวางประจำการ โดยปัจจุบัน ยังอยู่ในขั้นการเตรียมข้อมูลต่างๆ ให้รอบด้านเพื่อเสนอโครงการต่อไปนั่นเอง

เรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด (Mine Countermeasure Support Ship) นั้น ตามความต้องการของหน่วยผู้ใช้ จะรองรับการปฏิบัติการต่อต้านทุ่นระเบิด ทั้งในและนอกประเทศ โดยจะต้องมีขีดความสามารถในการสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด ร่วมกับ ชุดต่อต้านทุ่นระเบิดเคลื่อนที่ (MCM Mobile Team) เพื่อสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด ในพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะการต่อต้านฯ ก่อนการปฏิบัติการยกพลขึ้นบก

สำหรับแบบเรือที่เสนอโดย BMT Defense Service นั้น จะเป็นไปตามแนวความคิดการใช้เรือสมัยใหม่ คือ Mission Module Concept เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการใช้งานให้มากที่สุด และ ยังสามารถใช้เป็นเรือวางทุ่นระเบิด ไม่น้อยกว่า 150 ลูกต่อเที่ยว ด้วยรางวางทุ่นระเบิดระบบปิดท้ายเรือ จำนวน 4 ราง พร้อมระบบตั้งค่าทุ่นระเบิดภายใน

ภายในห้องศูนย์ยุทธการ จะทำหน้าที่ เป็นศูนย์สงครามทุ่นระเบิดเคลื่อนที่ ให้กับกองกำลังทางเรือ โดยจะสามารถวางแผนร่วมกับ กำลังต่อต้านทุ่นระเบิดอื่นๆ ด้วยระบบ Thales M-cube ที่มีการออกแบบระบบโดยการใช้ MCM Expert Program ซึ่งเป็นโปรแกรมมาตรฐานที่ใช้ในกองกำลังต่อต้านทุ่นระเบิด NATO

ความต้องการของลานจอดเฮลิคอปเตอร์ นั้นเพื่อรองรับการใช้งาน MCM Pouncer คือ เมื่อตรวจพบทุ่นระเบิดแบบลอยตามกระแสน้ำ หรือ ทุ่นระเบิดที่ขาดจากสายยึดทุ่นลอยตามกระแสน้ำนั้น จะดำเนินการส่ง ฮ. พร้อมเจ้าหน้าที่ EOD ในการต่อต้านทุ่นระเบิดให้หมดสภาพจากการเป็นภัยคุกคาม

นอกจากบริษัท อิตัลไทยมารีน จำกัด จะมีการเสนอแบบ เพื่อประกอบการพิจารณาแล้ว ยังมี บริษัท มาร์ซัน จำกัด ที่กำลังเตรียมการจัดหาความร่วมมือจากอู่ต่อเรือตุรกีในครั้งนี้ด้วย

ป.ล. ภาพประกอบ ยังไม่ใช่แบบสำเร็จ หรือ ความต้องการของ กทบ. นะครับ เป็นเพียงแบบที่เสนอ ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุง

By Admin ต้นปืน561

++++++++++++++++++

ภาพประกอบที่ 2 และ 3 มาจากเว็บเพจ Navy For เป็นภาพแบบเรือที่บริษัทอิตัลไทยมารีนกับบริษัท BMT Defense Services ประเทศอังกฤษนำเสนอในโครงการ โดยนำแบบเรือปราบทุ่นระเบิด VENARI-85 มาปรับปรุงเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับภารกิจสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด มีการตัดจุดรับส่งยานผิวน้ำไร้คนขับปราบทุ่นระเบิดท้ายเรือออกไป แล้วสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางขึ้นมาทดแทน ใต้ลานจอดเป็นพื้นที่จัดเก็บทุ่นระเบิดจำนวนมากสุด 150 ลูกพร้อมรางปล่อยทุ่นระเบิด 4 ราง กราบขวาเรือติดตั้งเครนขนาด 15 ตันสำหรับจัดเก็บทุ่นระเบิดบนเรือ ถัดจากเครนเล็กน้อยคือจุดรับส่งสิ่งของกลางทะเลกับปืนฉีดน้ำความดันสูง

ภาพประกอบที่ 2 มองเห็นจุดวางตู้คอนเทนเนอร์ Mission Module จำนวน 1 ตู้ ผู้เขียนเข้าใจว่าใช้จุดนี้ในการหย่อนทุ่นระเบิดลงสู่ห้องเก็บ เสร็จเรียบร้อยถึงนำตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตมาวางปิดท้าย ถ้าต้องวางทุ่นระเบิดหลายรอบติดกันท่าทางคงยุ่งยากพอสมควร เข้าใจว่าจุดที่ปรับปรุงเพิ่มเติมแตกต่างจากเดิมมีเพียงเท่านี้

VENARI-85 มีความยาว 85.9 เมตร น้ำหนักบรรทุกรวมประมาณ 500 ตัน ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัว เครื่องกำเนิดไฟฟ้า 4 ตัว สองกราบเรือติดตั้งเรือยางท้องแข็งขนาด 7 เมตร ใต้ท้องเรือติดตั้งโซนาร์เตือนภัยทุ่นระเบิด เสากระโดงติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติกับเรดาร์เดินเรือ หน้าสะพานเดินเรือมีจุดติดตั้งปืนหลักกับแท่นยิงระบบเป้าลวงอาวุธนำวิถี มีที่พักสำหรับลูกเรือ 58 นาย รองรับการทำงานแบบ Mission Module Concept

กรณีต้องการเรือคุณลักษณะตามเดิม

จากภาพกราฟิกผู้เขียนนำมาวาดเป็นภาพเรือสไตล์ Shipbucket ตามภาพประกอบที่ 4

เรือลำบนติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติ Thales Variant มาพร้อมปืนกลอัตโนมัติ DS-30M Mark2 ขนาด 30 มม.ใช้ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง EOFCS บนเสากระโดง มีปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอกกับปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอก ไม่มีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์และระบบเป้าลวง เสากระโดงหลักเหมือนแบบเรือที่นำเสนอทุกประการ จัดเป็นรุ่นราคาประหยัดมีอาวุธสำหรับป้องกันตัวแค่พอประมาณ

เรือลำล่างติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ Thales NS50 มาพร้อมปืนใหญ่ OTO ขนาด 76/62 มม.รุ่น Sovraponte เป็นปืนรุ่นอเนกประสงค์ธรรมดาไม่มีระบบ Strales System ใช้กระสุนนำวิถีต่อสู้อากาศยานไม่ได้ ราคาจึงไม่แพงเกินไปสามารถจัดหามาใช้งานได้ เหตุผลที่ผู้เขียนเลือกรุ่นนี้เพราะไม่ใช่พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือ บรรจุกระสุนพร้อมยิงในป้อมปืนจำนวน 76 นัด ถ้าต้องการเน้นป้องกันภัยทางอากาศก็ใส่กระสุนแตกอากาศ เน้นป้องกันภัยผิวน้ำก็ใส่กระสุนเจาะเกาะ จัดเป็นรุ่นท็อปราคาแพงติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันตัวอย่างครบถ้วน

ปืนรองเป็นปืนกลขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอกกับปืนกลขนาด 12.7 มม.อีก 2 กระบอก ติดตั้งระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ VIGILE Mk2 R-ESM และแท่นยิงเป้าลวง SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง ใช้ระบบอำนวยการรบ TACTICOS มาพร้อมระบบดาต้าลิงก์ Link-Y มีกล้องตรวจการณ์ตอนกลางคืนอีก 1 ตัว

เฉพาะราคาเรือไม่น่าเกิน 2,550 ล้านบาทนะครับ

กรณีต้องการเรือคุณลักษณะใหม่

          ถ้ากองทัพเรือเปลี่ยนใจอยากได้ออปชัน Mother Ship มาใช้งานทดแทนการวางทุ่นระเบิด ผู้เขียนขอนำเสนอภาพประกอบที่ 5 ซึ่งใช้แบบเรือ VENARI-85 รุ่นดั้งเดิมของบริษัท BMT Defense Services

          เรือลำบนติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติ Thales Variant กับปืนกลอัตโนมัติ DS-30M Mark2 ขนาด 30 มม.กลางเรือเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดไม่เกิน 7 ตัน ใต้ลานจอดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีจุดรับส่งยานใต้น้ำไร้คนขับเฉพาะกราบขวาจุดเดียว ท้ายเรือเป็นจุดรับส่งยานผิวน้ำไร้คนขับปราบทุ่นระเบิดจำนวน 2 ลำ วางตู้คอนเทนเนอร์ Mission Module ได้จำนวน 2 ตู้ ติดตั้งเครนขนาด 15 ตันไว้ที่บั้นท้ายเรือ

          เรือลำล่างติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ Thales NS50 กับปืนใหญ่ OTO ขนาด 76/62 มม.รุ่น Sovraponte ท้ายเรือถอดจุดรับส่งยานผิวน้ำไร้คนขับปราบทุ่นระเบิดออก สามารถวางตู้คอนเทนเนอร์ Mission Module ได้มากสุดถึง 6 ตู้ รองรับภารกิจอื่นอาทิเช่น ขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขนส่งยุทโธปกรณ์ สำรวจอุทกศาสตร์ รวมทั้งปราบเรือดำน้ำด้วยระบบ Mission Module ในอนาคตภายภาคหน้า

บทสรุป

          แบบเรือ VENARI-85 ทั้งรุ่นดั้งเดิมและรุ่นปรับปรุงเพื่อกองทัพเรือไทย มีความอเนกประสงค์รองรับการทำสงครามรูปแบบใหม่ได้เป็นอย่างดี ติดขัดแค่เพียงบริษัท BMT Defense Services วางขายสินค้าตัวนี้กำลังจะขึ้นปีที่ 8 ปรากฏว่ายังหาลูกค้าเงินถุงเงินถังไม่ได้สักรายรวมทั้งกองทัพเรืออังกฤษประเทศผู้ผลิต

ถ้ากองทัพเรือไทยจัดหามาใช้งานอาจเป็นลำเดียวบนโลก

ถ้าไม่คิดมากก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ

++++++++++++++++++++

อ้างอิงจาก :

เอกสารดาวน์โหลด : สมุดปกขาวกองทัพเรือ พ..2566

https://web.facebook.com/NavyForLifePage/posts/pfbid0XmSYeGnBsBE1cWqCdMbKbWgkPuMfNL7xzwy8xVQwqGyi4qN32YxVPFMtq7rdwxNDl

https://www.bmt.org/projects/project/3355/bmt-venari-85