วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

Australian Defence Industry


อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศออสเตรเลีย

    ความเดิมตอนที่แล้วจากบทความเรื่อง  Australian Defence White Paper 2016 ผู้เขียนได้ขอยกเรื่องอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศออสเตรเลีย เพื่อนำมาเขียนแยกต่างหากในบทความนี้ ลิงค์ต้นฉบับตรงนี้ครับ

http://thaimilitary.blogspot.com/2016/03/australian-defence-white-paper-2016.html

    หลังจากอ่านต้นเรื่องเสร็จแล้วเราก็มาว่ากันต่อเลย ผู้เขียนจะเขียนถึงทั้งโครงการที่ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จหรือถูกยกเลิกในที่สุด เพื่อให้สามารถมองภาพโดยรวมได้อย่างไม่มีอะไรตกหล่น

Malkara Project

    ระหว่างปี 1951-1954 อังกฤษและออสเตรเลียได้ร่วมมือกันพัฒนาจรวดต่อสู้รถถังรุ่นใหม่ โครงการนี้ได้รับการออกแบบพัฒนาและปรับปรุงในออสเตรเลีย ก่อนนำเข้าประจำการจริงในปี 1958 ระบบจรวดถูกติดตั้งอยู่บนรถบรรทุกขนาดเล็ก สามารถจัดส่งทางอากาศด้วยเครื่องบินขนส่งรุ่นมาตราฐานได้ สามารถทิ้งร่มทางอากาศลงสู่พื้นที่เป้าหมายได้ สามารถเคลื่อนที่และเล็งยิงเป้าหมายได้อย่างอิสระ ตัวจรวดพัฒนาขึ้นใหม่หมดด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด นับได้ว่าเป็นโครงการที่มีแนวคิดความทันสมัยและมีประสิทธิภาพค่อนข้างสุงในยุคนั้น

    Malkara ยาว 1.9 เมตร หนัก 93.5 กิโลกรัม ใช้หัวรบรุ่นใหม่ High Explosive Squash Head (HESH) ขนาด 26 กิโลกรัม นำวิถีด้วยสัญญานไฟฟ้าจากเส้นใยไฟเบอร์ออปติค หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่านำวิถีด้วยเส้นลวดนั่นเอง มีระบบควบคุมการนำวิถีแบบ  MCLOS ( Manual Command to Line of Sight ) พลยิงทำการบังคับจรวดผ่านสายสัญญานจนกระทั่งจรวดวิ่งชนเป้าหมาย โดยมีระยะยิงไกลสุดอยู่ที่ 4,000 เมตร ผลการทดสอบ  Malkara ทำผลงานด้านความแม่นยำได้ถึง 90 เปอร์เซนต์

    รถบรรทุก 4x4 ขนาด 1 ตันรุ่น FV1620 Humber Hornet  ได้รับการปรับปรุงมาจากรถบรรทุกขนส่งรุ่น FV1611 Humber Pig ซึ่งมีใช้อยู่ในกองทัพบกออสเตรเลียและอังกฤษอยู่แล้ว ตู้ทืบด้านท้ายถูกถอดออกเพื่อติดตั้งแท่นยิงจรวดชนิด 2 ท่อยิง พลยิงสามารถยกแท่นยิงขึ้นลงได้ด้วยระบบกลไก Humber Hornet วิ่งบนถนนหลวงได้เร็วสุดถึง 64 กม./ชม ระบบต่อต้านรถถังใหม่เอี่ยมรุ่นนี้จึงมีทั้งความแม่นยำและความรวดเร็ว ทว่าเมื่อเข้าประจำการจริงกลับทำผลงานได้ไม่ดีเลย นั่นก็เพราะแท่นยิงมีขนาดใหญ่เทอะทะมากเกินไป การควบคุมบังคับจรวดทำได้ยากไม่เหมือนตอนทดสอบ และความเร็วของจรวดตกลงอย่างรวดเร็วหลังผ่าน 3,000 เมตรไปแล้ว

    ปลายทศวรรษ 1960 กองทัพบกอังกฤษได้นำจรวดต่อสู้รถถัง Vickers Vigilant มาแทนที่ Malkara เป็นจรวดนำวิถีเส้นลวดเช่นเดียวกันแต่มีขนาดเล็กกว่ากันมาก คือหนักแค่ 14 กิโลกรัมเท่านั้น จรวดรุ่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศอังกฤษ (อเมริกาได้ขอซื้อลิคสิทธิ์ไปผลิตให้กับนาวิกโยธินตัวเอง)  Vickers Vigilant  มีทั้งรุ่นประทับบ่ายิงหรือ MANPADS รุ่นติดตั้งบนพื้นดินควบคุมผ่านคันบังคับ รุ่นติดตั้งบนรถบรรทุกทหารและรถหุ้มเกราะล้อยางพร้อมแท่นยิงหลายรุ่น จึงมีความเอนกประสงค์และความคล่องตัวในการใช้งานมาก แม้จะมีขนาดหัวรบเล็กกว่าพอสมควรก็ตาม ทางด้านออสเตรเลียซึ่งมี Malkara ใช้งานไม่มากเท่าไหร่ ก็ทยอยปลดประจำการในภายหลัง

    แม้โครงการ Malkara จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่บทเรียนและความผิดพลาดจากโครงการนี้ ถูกนำไปวิจัยพัฒนาและปรับปรุงต่อในภายหลัง อังกฤษสามารถพัฒนาจรวดต่อสู้อากาศยานระยะสั้นประจำเรือรบรุ่น Seacat อันโด่งดังสำเร็จ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายใช้งานอยู่ในกองทัพเรือทั่วโลกถึง 22 ประเทศ รวมทั้งราชนาวีไทยบนเรือหลวงมกุฎราชกุมารด้วย ทางด้านออสเตรเลียได้นำประสบการณ์จากโครงการ Malkara ไปพัฒนาเป็นระบบจรวดปราบเรือดำน้ำระยะไกลรุ่นใหม่ ซึ่งผู้เขียนกำลังจะกล่าวถึงถัดจากนี้

Ikara Project

    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบอาวุธปราบเรือดำน้ำจากค่ายตะวันตกประกอบไปด้วย ระเบิดลึกหรือระเบิดน้ำลึก (Depth charge) โดยมีทั้งแบบทิ้งลงจากท่อด้านท้ายเรือ (Depth Charge Rack) และใช้อุปกรณ์ช่วยดีดให้ลอยไกลออกไปหลายร้อยเมตร (Depth Charge Projector หรือ Depth Charge Gun) อาวุธอีกชนิดที่มีความแม่นยำกว่าและทันสมัยกว่าก็คือ จรวดปราบเรือดำน้ำระยะใกล้ (Mortar) อาทิเช่น Limbo  Squid และ Hedgehog ซึ่งอันที่จริงควรจะเรียกว่าเครื่องยิงลูกระเบิดนำวิถีปราบเรือดำน้ำมากกว่า อาวุธทั้ง 2 ชนิดทำงานได้อย่างดีระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งสงครามเกาหลีที่แทบไม่มีการปราบเรือดำน้ำเลย

    ทว่าเรือดำน้ำรุ่นใหม่ก็มีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก ภายในไม่กี่ปีหลังสงครามเกาหลี โซเวียตสามารถสร้างเรือดำน้ำรุ่นใหม่ๆอย่างชั้น  Zulu และโดยเฉพาะชั้น Whiskey เข้าประจำการจริงเป็นจำนวนมาก เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้น November ก็เริ่มทยอยเข้าประจำการตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1950 ทำให้อเมริกาและหลายประเทศในกลุ่มนาโต้นิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ต้องพัฒนาระบบอาวุธปราบเรือดำน้ำแบบใหม่ขึ้นมาบ้าง

    ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mark 44 คืออาวุธรุ่นใหม่ล่าสุดของอเมริกา มีน้ำหนักเบาขนาดเล็กใช้งานได้ทั้งบนเรือรบและอากาศยาน วิ่งในน้ำด้วยความเร็ว 30 น๊อต ระยะทำการอยู่ที่ 5.5 กิโลเมตร ติดตั้งระบบค้นหาเป้าหมายด้วย active sonar สามารถแพร่คลื่นเสียงใต้น้ำหรือการ Ping ค้นหาเป้าหมายได้ด้วยตัวเอง ตอร์ปิโด Mark 44 คือพัฒนาการที่ก้าวกระโดดจากค่ายตะวันตก แม้จะมีความทันสมัยมากขึ้น ความแม่นยำสุงขึ้น และระยะทำการมากขึ้นกว่าเดิมก็ตาม ทว่าก็ยังน้อยกว่าระยะทำการของตอร์ปิโดขนาดใหญ่จากเรือดำน้ำอยู่ดี

    หลายชาติจึงได้พยายามพัฒนาระบบอะไรก็ตาม ที่สามารถส่งตอร์ปิโด Mark 44 (หรือรุ่นอื่น) ให้วิ่งไปไกลมากกว่าเดิม อเมริกาใช้วิธีการติดตั้ง Rocket Booster เข้าไปที่ด้านท้ายเพื่อยิงตอร์ปิโดขึ้นฟ้าก่อนตกลงในทะเล (เรียกว่าจรวดปราบเรือดำน้ำ หรือ ASROC) ออสเตรเลียซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกนาโต้ได้พัฒนาระบบใหม่เช่นกัน โดยใช้ประสบการณ์จากจรวดต่อสู้รถถัง Malkara เป็นบทเรียนสำหรับโครงการใหม่ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถแจ้งเกิดระบบจรวดปราบเรือดำน้ำระยะไกล Ikara และเข้าประจำการจริงในช่วงต้นทศวรรษ 1960 สำเร็จ

    Ikara เอาจรวดหรือ Rocket มาช่วยส่งตอร์ปิโด  Mark 44 (หรือแบบอื่นๆ) ให้บินขึ้นฟ้าเช่นกันกับ RUR-5 ASROC ของเมริกา แต่เปลี่ยนมาใช้จรวดไร้คนขับขนาดใหญ่แทน Rocket Booster และติด Mark 44เข้าไปที่ใต้ท้อง สามารถกางปีกหลักออกได้หลังยิงไปแล้ว บนสุดของแพนหางติดตั้งเสาอากาศรับส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุ Ikara มีหลักการทำงานคร่าวๆคือ เมื่อโซนาร์ของเรือรบตรวจจับเป้าหมายได้ จะส่งข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ไปยังห้องศูนย์ยุทธการ (Combat Information Center) และเมื่อยิงจรวดออกไปแล้ว เรือรบยังสามารถช่วยตรวจหาและสั่งเปลี่ยนแปลงเป้าหมาย ด้วยระบบควบคุมการยิงที่ติดอยู่ภายในราโดมขนาดใหญ่ จรวดไร้คนขับมีระยะทำการไกลถึง 19 กิโลเมตร (ไม่รวมระยะยิงของตอร์ปิโด) มากเป็น 2 เท่าของ RUR-5 ASROC เลยทีเดียว ออสเตรเลียได้ติดตั้งกับเรือพิฆาตอาวุธนำวิถีชั้น Perth หรือ Charles F. Adams และเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น River หรือ Type 12M ส่วนกองทัพเรืออังกฤษนำไปติดตั้งกับเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Leander หรือ Type 12I และเรือพิฆาตอาวุธนำวิถีชั้น Bristol หรือ Type 82 นอกจากนี้แล้วกองทัพเรือบราซิล ชิลี และนิวซีแลนด์ ยังได้จัดหาไปใช้งานอีกด้วย

    Ikara สามารถต่อกรกับเรือดำน้ำรุ่นใหม่ได้อย่างดี สามารถติดตั้งระเบิดลึกหัวรบนิวเคลียร์เพื่อจัดการเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ เมื่อใช้งานจริงไปได้ระยะหนึ่ง อาวุธจากออสเตรเลียก็ประสบปัญหายุ่งยากพอสมควร นั่นเป็นเพราะจรวดไร้คนขับมีขนาดใหญ่มากจึงยิงได้ที่ล่ะ1นัด ระบบโหลดจรวดใหม่และแมกกาซีนก็ยุ่งยากซับซ้อนทั้งการใช้งานและการซ่อมบำรุง นอกจากนี้ยังต้องใช้พื้นที่มหาศาลตามขนาดจรวดไปด้วย แตกต่างจาก RUR-5 ASROC ที่จำนวน 1 แท่นยิงสามารถใส่จรวดได้ถึง 8 นัด ระบบแมกกาซีนมีขนาดเล็กกว่ากันพอสมควร ระบบโหลดจรวดใหม่ก็รวดเร็วกว่าและคล่องตัวกว่า ภาพรวมจึงใช้งานง่ายกว่าและยุ่งยากน้อยกว่า

    บริษัทผู้ผลิตและกองทัพเรือออสเตรเลียได้เล็งเห็นจุดอ่อนเรื่องนี้เช่นกัน จึงได้พยายามพัฒนาระบบท่อยิงเดี่ยวเหมือนจรวดปราบเรือรบรุ่นใหม่ขึ้นมา รวมทั้งมีความพยายามที่จะพัฒนา Super Ikara ที่มีระยะยิงไกลสุดถึง 100 กิโลเมตรด้วย ทว่าทั้ง 2 โครงการก็ต้องยุติลงและยกเลิกไปในที่สุด สาเหตุเป็นเพราะเมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1970 มีอาวุธชนิดใหม่ที่สามารถส่งตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำไปได้ไกลกว่ากันมาก และยังสามารถทำภารกิจอื่นๆได้อีกนานับประการ อาวุธที่ว่าก็คือเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่นั่นเอง กองทัพเรืออังกฤษและออสเตรเลียเลิกใช้งาน Ikara ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ปิดตำนานจรวดปราบเรือดำน้ำระยะไกลจากแดนจิงโจ้ลงในที่สุด


Bushranger Project

    โครงการจัดหารถหุ้มเกราะล้อยาง4x4เพื่อทดแทนรถรุ่นเดิมคือ Land Rover Perentie หรือ Land Rover 110 ที่ได้รับใช้ชาติมาอย่างยาวนาน กองทัพบกออสเตรเลียได้กำหนดความต้องการไว้ดังนี้ บรรทุกทหารได้ 9 นายไม่รวมพลขับ มีน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆสำหรับ 3 วัน น้ำดื่ม 270ลิตร ระยะปฏิบัติการ 600 -1000 กิโลเมตร ด้วยความเร็วเดินทาง 90 กม./ชม.บนทางหลวง สามารถใช้งานเส้นทางออฟโรดได้เทียบเท่ารถบรรทุก Unimog ของเยอรมัน มีจุดติดตั้งแท่นยิงปืนกล เกราะรอบคันป้องกันกระสุนปืนขนาด 7.62 มม.และ 5.56 มม.ได้ ติดตั้งเกราะใต้ท้องรถเพื่อป้องกันทุ่นระเบิดบกชนิดต่างๆได้ มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และมีน้ำหนักเปล่าประมาณ 10-12 ตัน

    โครงการนี้เริ่มต้นในปี 1994 มีบริษัทภายในประเทศจำนวน 13 บริษัทส่งแบบรถตัวเองเข้าร่วม ในปีต่อมาเป็นการคัดเลือกรอบสุดท้าย มีบริษัทผ่านด่านเข้าร่วมชิงชัยในรอบนี้จำนวน 3 บริษัทด้วยกัน คือ

 1   Australian Specialised Vehicle Systems (ASVS) (Australian National Industries / Reumech OMC of South Africa) เสนอแบบรถ Taipan 4X4
  2  British Aerospace Australia (BAeA) เสนอแบบรถ Foxhound 4X4
  3  Perry Engineering / Stewart & Stevenson (USA) เสนอแบบรถ Bushmaster 4X4 ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นบริษัท Australian Defence Industries (ADI) ภายใต้ลิคสิทธิ์เดิม

    Taipan พัฒนามาจากรถหุ้มเกราะล้อยาง  Mamba ของแอฟริกาใต้ ส่วน Foxhound พัฒนามาจากรถ Brothers S600 รุ่นช่วงสั้น ทั้งคู่ใช้โครงสร้างรถและเกียร์จากรถ Unimog อีกที ขณะที่ Bushmaster ออกแบบใหม่หมดใช้ตัวถังโมโนค็อกและระบบกันสะเทือนแบบอิสระ ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงดีกว่า ลดน้ำหนัก ลดความสุงตัวถัง และควบคุมการขับขี่ได้ดีมากขึ้น การทดสอบจริงมีขึ้นในปี 1998 ก่อนจะมีการประกาศผลในเดือนมีนาคมปีถัดไป  ADI's Bushmaster 4x4 เป็นผู้ชนะในโครงการนี้ คะแนนทิ้งห่างรถอีก 2 คันด้วยคุณสมบัติที่ดีกว่าในเกือบทุกด้าน

    Project Bushranger มีการสั่งซื้อจำนวนหลายเฟสด้วยกัน โดยมีตัวเลขยอดรวมปัจจุบันอยู่ที่ 1,072 คัน นับเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จสุงกว่าที่คาดคิด รถได้เคยออกปฎิบัติการจริงมาแล้ว ทั้งในติมอร์ตะวันออก อิรัค และอัฟกานิสถานซึ่งรบกันค่อนข้างหนัก รวมทั้งโดนระเบิดแสวงเครื่องของจริงมาแล้วด้วย ADI ยังสามารถขาย Bushmaster ให้กับ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ อินโดนีเซีย จาไมก้า และญี่ปุ่นตามลำดับ แม้จะเป็นจำนวนไม่มากนักคือ 149 คันก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศออสเตรเลีย

Waler Project

    ต้นทศวรรษ 1980 กองทัพบกออสเตรเลียเริ่มต้นโครงการจัดหายานเกราะลำเลียงพลรุ่นใหม่ เพื่อนำมาทดแทนรถรุ่นเดิมคือ  M113 ที่มีอยู่ประมาณ 700 คัน รถรุ่นใหม่จะต้องออกแบบและผลิตได้เองภายในประเทศ โดยมีความต้องการรวมทั้งหมดประมาณ 800-1,000 คัน ประเมินยอดรวมโครงการว่าอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านเหรียญ โดยรถคันแรกจะต้องเข้าประจำการ ในปี 1995 ในปี 1981 มี 14 บริษัทเสนอตัวเข้าร่วมโครงการ และมีการคัดเลือกให้เหลือ 3 บริษัทเข้ารอบสุดท้ายในปีถัดมาประกอบไปด้วย

1 EASAMS Ltd of Sydney ภายใต้ความร่วมมือกับ Vickers Defence Systems ของอังกฤษ
2 Evans Deakin Industries Ltd ภายใต้ความร่วมมือกับ GIAT จากฝรั่งเศส
3 Goninan and Co. ภายใต้ความร่วมมือกับ FMC จากอเมริกา

    ยานเกราะรุ่นใหม่จะมีความทันสมัยในทุกๆด้าน ทั้งเรื่องการออกแบบตัวถังรถ เครื่องยนต์และเกียร์ ระบบเกราะป้องกัน และระบบอาวุธที่สามารถติดตั้งได้อย่างหลากหลาย จัดว่าเป็นก้าวกระโดดสำคัญของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศออสเตรเลีย และนี่ก็คือภาพแบบรถในโครงการนี้ที่ถูกเปิดเผยในช่วงแรกๆ ซึ่งคอนเซ็ปทั้งหมดตรงตามความต้องการของกองทัพบกออสเตรเลีย เป็นแบบรถของ Goninan ร่วมือกับ FMC จากอเมริกา สังเกตได้ว่าด้านรถจะลาดเอียงมากกว่า M113เยอะมาก ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.พร้อมระบบช่วยเล็ง

    ทีนี้เรามาดูแบบรถจากบริษัท ESAMS กันบ้างนะครับ โดยความร่วมมือกับบริษัท Vickers จากอังกฤษเพื่อเข้าร่วมชิงชัยเค๊กก้อนโต โดยมีทั้งยานเกราะสายพานลำเลียงพล ติดปืนกลขนาด 7.62  มม.ด้านขวามือพลขับอยู่ด้านซ้ายของรถ และยานเกราะล้อยางลำเลียงพล 6X6 ติดเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 81 มม.ตรงกลางรถโดยที่พลขับโยกไปอยู่ด้านขวาแทน นั่นหมายความว่ารถในโครงการนี้จะมีด้วยกัน 2 รูปแบบ และกองทัพบกออสเตรเลียมีความต้องการใช้งานยานเกราะล้อยางตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 แล้ว

    ปี 1985 รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลียได้ประกาศเลื่อนโครงการนี้ออกไปก่อน นับเป็นลางร้ายบอกให้รู้ให้เตรียมใจกับทุกๆคน หลังจากมีการเลื่อนออกไปอีก 2-3 รอบ Waler Project ก็ปิดตัวลง สาเหตุสำคัญมาจากงบประมาณบานปลายไปเรื่อยๆ (อีกแล้ว) จนยอดรวมทั้งโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าถ้ายังต้องการไปต่อ เมื่อไม่มียานเกราะลำเลียงพลรุ่นใหม่แล้ว กองทัพบกออสเตรเลียก็ต้องเปลี่ยนแผนอีกครั้งหนึ่ง Land 106 Project  จึงเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน  M113 จำนวน 431 คันถูกปรับปรุงให้เป็นรุ่น M113 AS4 ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

    ทว่า M113 AS4 ที่ปรับปรุงใหม่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ทั้งหมด พอถึงปี 1990 กองทัพบกออสเตรเลียจึงเริ่มทำงานใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โครงการจัดหายานเกราะล้อยางลำเลียงพล 8X8 ภายใต้ชื่อ  Australian Light Armoured Vehicle หรือ ASLAV ได้ถือกำเนิดขึ้น บริษัท General Dynamics Land Systems ภายใต้ความร่วมมือระหว่างออสเตรเลียและแคนาดาเป็นผู้ได้รับคัดเลือก โดยใช้แบบรถ 8X8 ที่ปรับปรุงมากจาก MOWAG Piranha 8x8 ของสวิสเซอร์แลนด์ให้ตรงตามความต้องการ ASLAV ได้รับการสั่งซื้อจนถึงปัจจุบัน 257 คัน มีแบบย่อยรวมทั้งสิ้น 7 รุ่นเพื่อตอบสนองในทุกความต้องการ

Australian Light Destroyer Project และ Vickers Vedette Project

    ผู้เขียนได้เขียนถึง Australian Light Destroyer Project ไปแล้วในบทความก่อน จึงไม่อยากฉายหนังซ้ำอีกครั้งนอกจากจะเอาหลักฐานสำคัญมาแสดง แบบเรือจาก Yarrow ถูกขยายขนาดจากความยาว 102 เมตร ระวางขับน้ำ 2,100 ตัน ติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว 1-2 กระบอกพร้อมปืนรอง มีลานจอดและโรงเก็บสำหรับเฮลิคอปเตอร์เบาจำนวน 1 ลำ กระทั่งปี 1970 แบบเรือก็มีขนาดใหญ่ขึ้น จนมีความยาว 129.5 เมตร ระวางขับน้ำ 4,200 ตัน ติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบฮาร์พูน ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ และจรวดต่อสู้อากาศยานระยะกลางรุ่น SM-1เพิ่มเติม และนี่ก็คือจุดจบของการจับจีบที่ไม่น่าจดจำ เพราะการขยายแบบเรือเพื่อติดอาวุธทันสมัยโดยที่แบบเรือไม่ได้รองรับมาแต่แรก ผลก็คืองานแก้ไขที่ไม่มีวันจบและงบประมาณที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม

    หลัง Australian Light Destroyer Project ถูกยกเลิกโครงการ ปี 1974 หรือถัดไปแค่เพียงปีเดียว รัฐบาลออสเตรเลียได้แสดงความสนใจที่จะจัดหาเรือคอร์เวตอเนกประสงค์ Vickers Vedette แบบเรือจากอังกฤษแต่ติดอาวุธอเมริกาตามความต้องการกองทัพเรือ มีระวางขับน้ำประมาณ 1,200 ตัน ยาว 72 เมตร กว้าง 10 เมตร เรือมีความเร็วสุงอเนกประสงค์และคล่องตัวมาก มีราคาไม่แพงค่าใช้จ่ายในการออกปฎิบัติการไม่แพง โดยจะมีทั้งแบบเรือรุ่นปราบเรือดำน้ำ Type 642 ที่มีลานจอดและโรงเก็บแบบพับได้สำหรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ และแบบเรือรุ่นเอนกประสงค์ Type 633 ติดตั้งจรวดปราบเรือรบ Harpoon พร้อมปืนรอง GDM-C ขนาด 35 mm ลำกล้องคู่ รวมทั้งตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสาม 2 แท่นยิง และปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว 1 กระบอกที่หัวเรือเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น จำนวนที่ต้องการสั่งซื้อมีสุงถึงประมาณ 8-10 ลำ ทว่าท้ายที่สุดกองทัพเรือตัดสินใจไม่เอาเพราะมีขนาดเล็กเกินไป และตัดสินใจเลือกเรือฟริเกตชั้น Oliver Hazard Perry จำนวน 6 ลำจากอเมริกาแทน ผู้เขียนเพิ่งเอามาลงเพราะบทความก่อนค่อนข้างยาว และโครงการนี้จะสร้างเรือทุกลำในประเทศออสเตรเลียอีกด้วย


Anzac Project

    เขียนถึงโครงการที่สำเร็จของกองทัพเรือดูบ้างนะครับ กลางทศวรรษ 1980 พวกเขาได้ริเริ่มโครงการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่เพื่อทดแทนของเดิมคือเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Type 12M และ Type 12I (ที่ติดตั้งจรวดปราบเรือดำน้ำระยะไกล Ikara นั่นเอง) ขณะเดียวกันกองทัพเรือนิวซีแลนด์ต้องการจัดหาเรือรบมาแทนที่เรือฟริเกตชั้น Leander ของตัวเองด้วย ทั้งคู่จึงจับมือกันเปรียบเสมือนโครงการซื้อเหล้าพ่วงเบียร์ CN02 Project  หรือ Anzac Project ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1987 สองปีถัดมาแบบเรือ MEKO 200 รุ่นปรับปรุงจากบริษัทเยอรมันคือ Blohm + Voss ที่จับมือกับบริษัท Tenix Defence Systems (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ BAE Systems Australia) ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการร่วม  เรือ 8 ลำของออสเตรเลียและ 2 ลำของนิวซีแลนด์ ถูกสร้างโดยอู่ต่อเรือ AMECON รัฐวิคตอเรีย (ซึ่งก็คือ Tenix นั่นเอง) โครงการนี้เริ่มการตัดเหล็กเรือแผ่นแรกในปี 1992 เรือลำแรกสุดคือ FFH 150 Anzac แห่งราชนาวีออสเตรเลีย เข้าประจำการในวันที่ 18 เมษายน 1996 เรือลำสุดท้ายคือ FFH 157 Perth กองทัพเรือออสเตรเลียเช่นกันเข้าประจำการในวันที่ 26 สิงหาคม 2006 ค่าเฉลี่ยในการสร้างเรือตกอยู่ที่ปีล่ะ 1 ลำ

    เรือฟริเกตชั้น  Anzac มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นเดิมสามารถปฎิบัติการในทะเลลึกได้ดี ระวางขับน้ำ 3,600 ตัน ยาว 118 เมตร กว้าง 14.8 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG ความเร็วสุงสุด 27 น๊อต ระยะทำการไกลสุด 6,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 18 น๊อต ติดปืนใหญ่เรือขนาด 5 นิ้ว 1 กระบอก จรวดปราบเรือรบ Harpoon 8 นัด ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสาม 2 แท่นยิง จรวดต่อสู้อากาศยาน  RIM-7 Sea Sparrow จำนวน 8 นัดโดยยิงจากแท่นยิงแนวดิ่ง Mark 41 Mod 5 VLS ด้านท้ายเรือเป็นลานจอดและโรงเก็บสำหรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด 10 ตัน จำนวน 1 ลำ เฉพาะเรือนิวซีแลนด์ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx CIWS ด้วย

    หลังเข้าประจำการได้ไม่ถึง 10 ปี กองทัพเรือออสเตรเลียได้ริเริ่มโครงการปรับปรุงเรือให้ทันสมัยมากขึ้น โดยต้องการติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ CEAFAR และเรดาร์ควบคุมการยิง CEAMOUNT ทดแทนของเดิม อุปกรณ์สุดทันสมัยจาก CEA Technologies ซึ่งเป็นบริษัทภายในประเทศ จะทำให้เรือฟริเกตชั้น  Anzac ทำภารกิจป้องกันภัยทางอากาศได้อย่างดีเยี่ยม HMAS Perth ซึ่งเข้าประจำการเป็นลำท้ายสุด แต่ได้รับเกียรติให้เป็นเรือลำแรกสุดที่เข้าปรับปรุงใหญ่ เดือนตุลาคม 2010 เธอก็กลับสู่อ้อมออกทะเลอีกครั้ง พร้อมเรดาร์สุดทันสมัยผังอยู่ในเสากระโดงขนาดใหญ่รอบด้าน เรือลำอื่นๆต่างทยอยเข้ารับการปรับปรุงเช่นกัน คาดว่าจะแล้วเสร็จครบทุกลำภายในปี 2017

    Anzac Project เปิดฉากและปิดตัวลงอย่างสวยงาม เป็นการสร้างเรือรบรุ่นใหม่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ภายในประเทศอย่างแท้จริง ระยะเวลา 10 ปีเต็มถือเป็นการสร้างงาน สร้างบุคคลากร สร้างองค์ความรู้และบทเรียนต่างๆมากมาย เป็นพื้นฐานที่สำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมการต่อเรือภายในประเทศ ทว่าอุตสาหกรรมนี้ก็ดันโดนอังกฤษฮุบไปเสียแล้ว เพราะอู่ต่อเรือสำคัญๆของพวกเขาถูกควบรวมเข้ากับ BAE Systems Australia นั่นเอง

Australian Air Force Project

    อุตสาหกรรมการบินออสเตรเลียค่อนข้างเจริญก้าวหน้ามากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาสามารถผลิตเครื่องบินรบรุ่นต่างๆเป็นจำนวนมากเข้าประจำการ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการซื้อลิคสิทธิ์มาปรับปรุงตามความต้องการอีกที จำนวนที่ผลิตอยู่ในระดับ2-3พันลำกันเลยทีเดียว ซึ่งจะว่าไปแล้วการผลิตเครื่องบินในยุคนั้นยังไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ประเทศไทยโดยกรมอากาศยานได้ผลิตเครื่องบินรบขึ้นมาเองจำนวนรวมถึง 170  ลำเช่นกัน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคสมัยของอากาศยานก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เครื่องบินขับไล่ไอพ่นสมรรถนะสุงเข้ามาทำหน้าที่แทนเครื่องบินรบรุ่นเก่าๆ โดยมาพร้อมกับความยุ่งยากซับซ้อนและเทคโนโลยีขั้นสุง

    กองทัพอากาศออสเตรเลียยึดนโยบายพึ่งพาตัวเองมาโดยตลอด และโดยส่วนใหญ่จะใช้บริการจากบริษัท Commonwealth Aircraft Corporation หรือ CAC เพื่อผลิตเครื่องบินรบตามลิคสิทธิ์ให้ พวกเขายังคงพยายามทำตามนโยบายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยการผลิตเครื่องบินขับไล่ CAC Sabre ซึ่งก็คือ F-86F Sabre ของ North American Aviation โดยใช้เครื่องยนต์ไอพ่น Rolls-Royce Avon R.A.7 จากอังกฤษแทน  เครื่องต้นแบบ CA-26 Sabre เริ่มทดสอบบินในวันที่ 3 สิงหาคม 1953 ส่วนเครื่องบินจริง CA-27 Sabre ลำแรกสุดเข้าประจำการในปีถัดไป ยอดผลิตรวมทั้งโครงการอยู่ที่ 112 ลำ เป็นเครื่องบินขับไล่ลำสุดท้ายของ CAC ที่ผลิตเพื่อเข้าประจำการ

    ต่อมาในปี 1964 กองทัพอากาศออสเตรเลียได้เลือกเครื่องบินไอพ่นปีกสามเหลี่ยม Dassault Mirage III จากฝรั่งเศส โดยนำมาผลิตเองภายในประเทศภายใต้ลิคสิทธิ์เหมือนเช่นเคย ทว่างานนี้ Government  Aircraft Factories หรือ GAF ได้เป็นเจ้าภาพหลัก ส่วน CAC ช่วยในเรื่องผลิตชิ้นส่วนต่างๆรวมทั้งติดตั้งเครื่องยนต์หลักให้ ยอดรวมทั้งหมดของเครื่องบิน  Mirage IIIO อยู่ที่ 114 ลำ ทางด้านเครื่องบิน CAC Sabre ที่เริ่มชราภาพลงได้ทยอยปลดประจำการตั้งแต่ปี 1971  เครื่องบินส่วนหนึ่งถูกส่งให้กองทัพอากาศมาเลเซียและอินโดนีเซียแบบไม่คิดมูลค่า  

    หลังจบโครงการ  Mirage III อุตสาหกรรมการบินของออสเตรเลียยังคงเดินหน้าไปต่อ เดือนตุลาคม 1981 กองทัพอากาศออสเตรเลียเลือกเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ F/A-18 Hornet จำนวน 75 ลำ เพื่อนำมาทดแทน Mirage IIIO โดย GAF รับเป็นผู้ผลิตภายในประเทศจำนวน 73 ลำเช่นเดิม ส่วนทางด้านบริษัท CAC ซึ่งเคยรุ่งเรืองก็มีแต่ทรงกับทรุดไปตามท้องเรื่อง เพราะโครงการที่ได้รับมาจะเป็นเครื่องบินฝึกบ้าง เครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเลบ้าง แต่ก็มีจำนวนไม่มากเทียบเท่าผลิตเครื่องบินขับไล่ในอดีต ปลายปี 1967 พวกเขาได้เริ่มต้นโครงการเครื่องบินฝึกขั้นสุงปีกสามเหลี่ยม CA-31 ขึ้น โดยสามารถติดอาวุธได้และเป็นเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดได้ ความเร็วสุงสุดถึง 1.5 มัคมากกว่าเครื่องบินฝึกรุ่นเก่าเกือบ 2 เท่า เครื่องบินมีขนาดเล็กกว่าและค่าใช้จ่ายถูกกว่า Mirage III ที่ใช้เป็นเครื่องบินรบหลักอยู่ รวมทั้งยังสามารถบินขึ้นลงเรือบรรทุกเครื่องบินได้อีกด้วย เทียบกับเครื่องบินโจมตีแท้ๆอย่าง A-4 Skyhawk แล้วยังแทบกินกันไม่ลง ถือเป็นความเจริญก้าวหน้าของอุตสาหกรรมการบินออสเตรเลีย

    ทว่าในปี 1975 กองทัพอากาศออสเตรเลียติดสินใจไม่นำ CA-31เข้าประจำการ โดยยังคงใช้งาน  Aermacchi MB-326 เป็นเครื่องบินฝึกขั้นสุงต่อไป CAC จึงต้องพับโครงการอันยิ่งใหญ่ลงอย่างช่วยไม่ได้

อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศออสเตรเลียในปัจจุบัน

    แม้ออสเตรเลียจะไม่ได้ส่งออกอาวุธอย่างเป็นล่ำเป็นสัน รวมทั้งไม่มีสินค้าที่มีชื่อเสียงติดตลาดเฉกเช่นชาติอื่นๆ บริษัทส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กที่ชำนาญการเฉพาะทาง เป็นบริษัทร่วมทุนกับต่างชาติ รวมทั้งเป็นบริษัทย่อยของต่างชาติอีกทีหนึ่ง งานสำคัญก็คือการผลิตชิ้นส่วนต่างๆของอาวุธหลากหลายจากค่ายตะวันตก รวมทั้งผลิตชิ้นส่วนสำหรับอะไหล่ซ่อมบำรุงตามวงรอบ แม้ยอดส่งออกจะยังไม่มากเหมือนประเทศอื่นๆก็ตาม แต่ด้วยกำลังซื้อค่อนข้างสุงจากประเทศตัวเอง ช่วยให้กิจการเจริญก้าวหน้าไปได้ตามเหตุตามผล บริษัทที่มีชื่อเสียงก็คือ CEA Technologies ซึ่งผลิตเรดาร์ชนิดต่างๆ ระบบควบคุมการยิง รวมทั้งระบบสื่อสารข้อมูลบนเรือรบ ประเทศไทยเองก็เป็นลูกค้า CEA เช่นกัน โดยได้สั่งซื้อระบบ SSCWI (Solid State Continuous Wave Illuminator) มาติดตั้งบนเรือชั้นนเรศวรปรับปรุงใหญ่ และเรือฟริเกตสมรรถนะสุงลำใหม่จากเกาหลีใต้

    ทางด้านระบบอาวุธอื่นๆที่ออสเตรเลียมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความร่วมมือกับกองทัพเรืออเมริกา อาทิเช่น ระบบอำนวยการรบ  AN/BYG-1 combat system ตอร์ปิโด 21 นิ้วรุ่น  Mark 48 MOD 7 สำหรับใช้งานในเรือดำน้ำโจมตี ระบบเป้าลวงรุ่นใหม่ Nulka Active Expendable Decoy สำหรับใช้งานบนเรือรบ นอกจากนี้แล้วก็จะเป็นอาวุธขนาดเล็กต่างๆ เช่น ระเบิดขว้างสังหาร F1 และ F3 Hand Grenades ของ Thales Australia อาจจะมีอาวุธชนิดอื่นๆเพิ่มเติมอีกนะครับ ทว่าตอนนี้ผู้เขียนมีอาการสมองทืบเสียแล้ว และบทความก็ค่อนข้างยาวมากแล้ว จึงต้องขอปิดฉากเรื่องราวของประเทศออสเตรเลียไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน

                 ---------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Australian_Army
http://www.nuclear-weapons.info/vw.htm
http://tonnel-ufo.ru/eanglish/weapon/asw-complex-ikara.php
https://en.wikipedia.org/wiki/Ikara_%28missile%29
http://www.secretprojects.co.uk/forum/index.php/topic,11820.0.html
http://www.secretprojects.co.uk/forum/index.php/topic,13157.msg130056.html#msg130056
https://eamonh.wordpress.com/2014/01/03/the-ca-31-the-best-little-jet-trainer-that-never-was/
http://www.gonzales.com.au/joe/resume/gaf.htm
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_aircraft_of_the_Royal_Australian_Air_Force

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

Australian Defence White Paper 2016



Australian Defence Force

                ออสเตรเลีย (Australia) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าเครือรัฐออสเตรเลีย (Commonwealth of Australia) ตั้งอยู่บนทวีปออสเตรเลีย มีพื้นที่รวม 7,692,024 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 23,897,300 คน แม้จะมีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยถึงเกือบ 15 เท่าก็ตาม ทว่ากองกําลังป้องกันประเทศของออสเตรเลีย ( Australian Defence Force) หรือ ADF ก็มีจำนวนไม่มากนัก นั่นคือกองทัพเรือมีจำนวน 13,921 คน กองทัพอากาศ 13,991 คน และกองทัพบก 29,010 คน รวมเท่ากับ 56,922 คน นอกจากนี้ยังมีกำลังพลสำรองรวมทุกเหล่าทัพอีก 23,232 คนเท่านั้น เทียบกับกองทัพเรือไทยรวมนาวิกโยธินด้วยก็มีจำนวนถึง 71,000 คนเข้าไปแล้ว งบประมาณที่ได้รับในแต่ละปีแปรผันกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือค่าGDP ในปีงบประมาณ 2014-2015 ที่ผ่านมารัฐบาลออสเตรเลียจัดสรรงบประมาณมาให้ จำนวน 29.2 พันล้านเหรียญ หรือ 1.8 เปอร์เซ็นต์ของค่า GDP


                เพราะประเทศเป็นเกาะขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก การป้องกันจึงเน้นไปยังภัยคุกคามบนน้ำและใต้น้ำเป็นหลัก กองทัพเรือออสเตรเลียประกอบไปด้วยเรือดำน้ำโจมตีชั้น Collins จำนวน 6ลำ เรือฟริเกตอาวุธจรวดนำวิถีชั้น  Adelaide จำนวน 3 ลำ เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น  Anzac จำนวน 8 ลำ เรือตรวจการณ์ชั้น Armidale ความยาว 56.8 เมตรจำนวน 13 ลำ เรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ เรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น Huon จำนวน 6 ลำแต่มีสถานะประจำการเพียง 4 ลำ ทางด้านอากาศยานราชนาวีประกอบไปด้วยเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B Seahawk จำนวน 16 ลำ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MRH-90 จำนวน 6 ลำ และเฮลิคอปเตอร์เบา AS350B อีกจำนวน 13 ลำ

                กองทัพอากาศออสเตรเลียมีความสำคัญเป็นอันดับต่อไป พวกเขามีเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินขับไล่ F-35A Lightning II จำนวน 2 ลำจากยอดรวม 72 ลำ F/A-18 A/B Hornet จำนวน 71 ลำ เครื่องบินขับไล่โจมตี F/A-18 F Super Hornet จำนวน 24 ลำ เครื่องบินสงครามอิเลคทรอนิค EA-18G Growler จำนวน 1 ลำจากยอดรวม 12 ลำ เครื่องบินเตือนภัยทางอากาศ E-7 Wedgetail จำนวน 6 ลำ เครื่องบินฝึกขั้นสุง Hawk 127 จำนวน 33 ลำ ฝูงบินลาดตระเวณทางทะเลประกอบไปด้วยเครื่องบิน P-8 Poseidon จำนวน 8 ลำ เครื่องบิน AP-3C Orion จำนวน 19 ลำ (ซึ่งจะทยอยปลดประจำการทั้งหมดในปี 2019) ฝูงบินลำเลียงประกอบไปด้วย เครื่องบิน C-17 Globemaster III จำนวน 8 ลำ เครื่องบิน C-130J Super Hercules จำนวน 12 ลำ เครื่องบิน C-27J Spartan จำนวน 2 ลำและสั่งซื้ออีก 8 ลำ และเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศ KC-30A จำนวน 7 ลำและสั่งซื้ออีก 2 ลำ ที่น่าแปลกใจก็คือกองทัพอากาศไม่มีเฮลิคอปเตอร์เลย หลังจากได้โอน S-70 A Blackhawk ทั้งหมดให้กับกองทัพบกในปี 1989 พร้อมกับปลดประจำการเฮลิคอปเตอร์รุ่นเก่าๆทั้งหมดในปี 1990


                ทางด้านกองทัพบกที่ดูจะเป็นลูกเมียน้อยของคนขับรถอีกที มีรถถังหลัก M1A1 Abrams จำนวน 59 คัน และยานเกราะล้อยาง 8X8 Australian Light Armoured Vehicle (ASLAV) จำนวน 253 คันเป็นกำลังรบหลัก ทางด้านยานเกราะสำหรับขนส่งประกอบไปด้วย M113 จำนวน 431 คัน กับยานเกราะล้อยาง 4X4 Bushmaster PMVs จำนวน 737 คัน มีปืนใหญ่ 155 มม.จำนวน 54 กระบอก ปืนครกขนาด 81 มม.จำนวน 188 กระบอก จรวดต่อสู้อากาศยานประทับบ่า RBS-70 19 ระบบ ทางด้านอากาศยานประกอบไปด้วย เฮลิคอปเตอร์โจมตี AS-665 Tiger จำนวน 22 ลำ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง S-70 A Blackhawk จำนวน 34 ลำ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MRH-90 จำนวน 16 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง CH-47D  จำนวน 6 ลำ  ที่น่าสนใจก็คือมีเรือระบายพลขนาดกลางและรถสะเทินน้ำสะเทินบกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนจะย้อนกลับมามาเฉลยปริศนาให้ในภายหลัง


Defence White Paper 2016

                เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมออสเตรเลียได้เปิดเผยสมุดปกขาวประจำปี 2016 เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และพัฒนากองทัพในช่วงเวลา 20 ปีข้างหน้า เพียง 3 ปีหลังจากที่เคยจัดทำสมุกปกขาวประจำปี 2013 นับว่าสั้นที่สุดยิ่งกว่าครั้งจัดทำสมุดปกขาวประจำปี 2009 เป็นเพราะภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบกับประเทศออสเตรเลียทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นคือเรื่องความสัมพันธ์ของอเมริกาและจีนที่เริ่มตรึงเครียดมากขึ้น กรณีพิพาทระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ความขัดแย้งในพื้นที่ทับซ้อนทะเลจีนใต้บริเวณหมู่เกาะพาราเซลและหมู่เกาะสเเปรตลีย์ ภัยจากการก่อการร้ายในตะวันออกกลาง ที่ได้ลุกลามเป็นสงครามเต็มตัวไปแล้วในหลายๆประเทศ กระทั่งการรบกันเองของคนในประเทศยูเครนที่อยู่ในในยุโรป  ภัยคุกคามทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องใหม่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก รัฐบาลและกระทรวงกลาโหมออสเตรเลียทนอยู่เฉยต่อไปไม่ได้  จึงได้จัดทำสมุกปกขาวเล่มใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับความเสี่ยงทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งกำหนดนโยบายเสริมสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะโครงการสร้างเรือผิวน้ำทั้งหมดจะต้องทำในออสเตรเลียทุกขั้นตอน


                งบประมาณสำหรับป้องกันประเทศถูกจัดสรรออกเป็นหลายส่วน มีทั้งเหมือนและแตกต่างกับที่ประเทศไทยเราจัดสรรในแต่ละปี โดยหน่วยงานกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือจะได้รับส่วนแบ่งมากที่สุดเท่ากันคือ 25 เปอร์เซนต์สำหรับภารกิจ Key Anablers และ  Maritime and Anti-Submarine Warfare ตามลำดับ กองทัพบกได้รับงบประมาณ 18 เปอร์เซนต์สำหรับภารกิจ  Land Combat and Amphibious Warfare กองทัพอากาศได้รับงบประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์สำหรับภารกิจ Strike and Air Combat งบประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์สำหรับระบบการข่าวกรองการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ สงครามอิเลคทอนิค  สงครามอวกาศ และสงครามไซเบอร์ และงบประมาณ 6 เปอร์เซนต์สุดท้ายสำหรับการลำเลียงขนส่งร่วมทางอากาศและทางทะเล การจัดแบ่งงบประมาณจะอิงกับภารกิจเป็นหลักหาใช่ตามเหล่าทัพไม่

            งบประมาณในส่วนหน่วยงานกระทรวงกลาโหม( Key Anablers )จะเกี่ยวข้องกับ รายจ่ายประจำปี รายจ่ายทางธุรการ การฝึกอบรมบุคลาการและกำลังพลในทุกเหล่าทัพ ระบบสื่อสารคมนาคมและเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งการปรับปรุงและก่อสร้างฐานทัพทางทหารทั่วประเทศด้วย สมุดปกขาว 2016 ดูจะเน้นไปยังกองทัพเรือออสเตรเลียซึ่งมีภารกิจ  Maritime and Anti-Submarine Warfare เป็นสำคัญ โดยเฉพาะการจัดการกับเรือรบที่เป็นกำลังหลักในการป้องกันประเทศ และให้ความสำคัญกับโครงการจัดหาเรือดำน้ำรุ่นใหม่มากเป็นอันดับ

Maritime and anti-submarine warfare

                บทความนี้ผู้เขียนจะเน้นไปที่กองทัพเรือออสเตรเลียเป็นหลัก เพราะมีโครงการจัดหาอาวุธใหม่เป็นจำนวนมาก และขนาดโครงการก็ใหญ่มากน่าสนใจมากตามไปด้วย ดูแผนภาพที่กระทรวงกลาโหมออสเตรเลียจัดทำประกอบไปด้วยนะครับ



Project SEA1000 : Future Submarine Programme

            โครงการจัดหาเรือดำน้ำทดแทนเรือชั้น Collins เริ่มเดินหน้าตั้งแต่ปี 2009 เพื่อสรรหาเรือดำน้ำรุ่นใหม่จำนวน 12 ลำเพื่อทดแทนเรือเก่าจำนวน 6 ลำในอนาคต ออสเตรเลียต้องการเรือดำน้ำขนาด 4,000 ตัน ใช้ระบบอำนวยการรบ  AN/BYG-1 combat system และตอร์ปิโดรุ่น  Mark 48 MOD 7 ที่พัฒนาร่วมกันระหว่างออสเตรเลียกับอเมริกา ติดตั้งระบบ Datalink สามารถติดต่อสื่อสารกับเรือผิวน้ำรวมทั้งอากาศยานได้ ใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งสามารถบรรทุกอาวุธได้ตามความต้องการ คือ ตอร์ปิโด ทุ่นระเบิด จรวดต่อสู้เรือรบ รวมทั้งจรวดร่อนโจมตีชายฝั่งระยะไกล Project SEA1000 หรือ SEA100 Programme มีบริษัทผู้ผลิตเรือดำน้ำเข้าร่วมชิงชัย 3รายด้วยกันคือ DCNS จากฝรั่งเศส TKMS จากเยอรมัน และ Mitsubishi Heavy Industries ในนามรัฐบาลญี่ปุ่น โดยก่อนหน้านี้ออสเตรเลียได้ตัดบริษัทจากสวีเดนออกไป ด้วยเหตุผลว่าไม่ได้มีการสร้างเรือดำน้ำมานานพอสมควร ทั้งที่สวีเดนคือผู้ผลิตเรือดำน้ำชั้น Collins ทั้ง 6 ลำ

                เรือดำน้ำรุ่นใหม่ลำแรกสุดจะเข้าประจำการได้ในช่วงต้นทศวรรษ 2030 ลำที่เหลือจะทยอยเข้าประจำการไปจนถึงปลายทษวรรษ 2040 หรือช้าสุดก็ประมาณปี 2050 ขณะที่เรือดำน้ำชั้นชั้น Collins เริ่มเข้าประจำการในปี 1996 และมีกำหนดปลดประจำการเมื่ออายุครบ 30 ปีในปี 2025 ทำให้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างนี้อยู่ประมาณ 10 ปีด้วยกัน กองทัพเรือจึงจัดทำโครงการปรับปรุงเรือดำน้ำชั้นชั้น Collins ให้สามารถประจำการได้อีกซักพักใหญ่ๆ จนกว่าจะได้เรือดำน้ำรุ่นใหม่พร้อมใช้งานเข้ามาทดแทน รัฐบาลออสเตรเลียกำหนดให้คงจำนวนเรือดำน้ำไว้ที่ 12 ลำแบบตายตัว นั่นคือถ้ามีการปลดประจำการก็จะมีการจัดหาเรือใหม่มาทดแทนอย่างทันท่วงที

                Project SEA1000 จะมีระยะเวลาดำเนินการนานถึง 25 ปี ในสมุดปกขาวปี 2009 รัฐบาลออสเตรเลียกำหนดให้มีการดำเนินการและสร้างเรือทั้งหมดภายในประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างความรู้และพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต โดยบริษัทผู้ผลิตจะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีและช่วยเหลือในทุกด้านจนกว่าจะจบโครงการ ถือเป็นการควบคุมงานทั้งหมดแบบต้นน้ำปลายน้ำ ตั้งแต่ภาพวาดแบบเรือภาพแรกสุดไปจนถึงขันน๊อตตัวสุดท้าย แต่แนวความคิดนี้ได้รับการคัดค้านมากขึ้น และรัฐบาลเองก็มีความโอนอ่อนลงมาพอสมควร เพราะการสร้างเรือดำน้ำเป็นเทคโนโลยีขั้นสุงมาก ถ้าไม่มีความพร้อมจริงๆจะมีปัญหาตามมาพอสมควร จึงยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ ทว่างานในส่วนอื่นๆรวมทั้งการฝึกอบรมและซ่อมบำรุงจะทำในประเทศทั้งหมดเหมือนเดิม


                ทำไมรัฐบาลออสเตรเลียถึงยอมถอย ทั้งที่เรือดำน้ำจำนวน 12 ลำสามารถสั่งให้ผู้ขายเนรมิตอะไรก็ได้ ผู้เขียนคาดว่าเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีตนั่นเอง ขอย้อนกลับไปในปี 1952 ออสเตรเลียสั่งซื้อเรือพิฆาตชั้น Daring ระวางขับน้ำ 3,820 ตันจากอังกฤษจำนวน 3 ลำ และลงมือสร้างเองทั้งหมดโดยอู่ต่อเรือภายในประเทศชื่อ Cockatoo Island Dockyard 10 ปีต่อมาอู่นี้ยังได้สร้างเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Type 12M ขนาด 2,650 ตัน เข้าประจำการอีกจำนวน 6 ลำด้วย ช่วงเวลาดังกล่าวอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของออสเตรเลียเจริญก้าวหน้ามากพอสมควร นอกจากสร้างเรือรบได้แล้วยังมีอาวุธทันสมัยหลากหลายชนิดเข้าประจำการ (ผู้เขียนจะแยกเรื่องนี้ไปเขียนบทความต่างหากอีกครั้ง) แสงแห่งความรุ่งเรืองที่ว่านี้ดำเนินไปอีก 10 กว่าปีก็ถึงยุคถดถอย

                ประมาณปี 1966 กองทัพเรือออสเตรเลียได้เริ่มต้นโครงการ  Australian light destroyer project หรือ DDL เพื่อพัฒนาเรือพิฆาตเบาติดอาวุธและเรดาร์ทันสมัย เพื่อนำมาทดแทนเรือพิฆาตชั้น Daring และเรือฟริเกตชั้น Type 12M ในช่วงเริ่มต้นโครงการแบบเรือมีความยาว 102 เมตร ระวางขับน้ำ 2,100 ตัน ติดปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว 1 กระบอกพร้อมปืนรอง มีลานจอดและโรงเก็บสำหรับเฮลิคอปเตอร์เบาจำนวน 1 ลำ กระทั่งปี 1970 แบบเรือก็มีขนาดใหญ่ขึ้น จนมีความยาว 129.5 เมตร ระวางขับน้ำ 4,200 ตัน ติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบฮาร์พูน ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ และจรวดต่อสู้อากาศยานระยะกลางรุ่น SM-1 ที่ทันสมัยมากอีกด้วย

                DDL Project ถูกยกเลิกในปี 1973 เพราะงบประมาณในโครงการที่แม้จะลดจำนวนเรือจาก 10 ลำมาเป็น 3 ลำแล้วก็ยังแพงมหาศาล  ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเรื่องการตรวจสอบปรับปรุงแบบเรือ และค่าที่ปรึกษาในเรื่องการจัดการโครงการ ปัญหาส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรือติดตั้งระบบจรวดต่อสู้อากาศยานที่ทันสมัยมาก มีระบบแมกกาซีนบรรจุกระสุนที่ยุ่งยากละเอียดอ่อนและจุกจิก ประการต่อมาคือต้องมีการปรับปรุงอู่ต่อเรือ Williamstown Dockyard ให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆได้ ประการที่สามคือแบบเรือที่ขยายใหญ่ขึ้นติดอาวุธมากขึ้นทำให้เรือขาดความสมดุล  ทว่ากองทัพเรือเองก็ไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดเรือจะดีอย่างที่คิดหรือไม่ ประการสุดท้ายก็คือแบบเรือที่นำมาปรับปรุงเป็นของบริษัท Yarrowจากอังกฤษ ซึ่งไม่เคยใช้จรวดต่อสู้อากาศยานของอเมริกา การปรับปรุงแบบเรือจึงกลายเป็นงานที่ไม่มีวันจบ(เพราะแบบเรือไม่รองรับ) และผลาญงบประมาณมากเกินไปจนน่าใจหาย


                เมื่อยกเลิกโครงการ DDLไปออสเตรเลียจึงต้องเปลี่ยนแผน โดยได้ตัดสินใจซื้อเรือฟริเกตอาวุธนำวิถีชั้น Oliver Hazard Perry จากอเมริกาจำนวน 6 ลำมาใช้งานแทน เทคโนโลยีขั้นสุงคือสิ่งที่ออสเตรเลียไม่สามารถก้าวผ่าน พวกเขายอมหยุดไว้ก่อนแล้วค่อยก้าวต่อไปเมื่อคิดว่าตัวเองพร้อม  ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเอง กองทัพเรือสเปนได้สั่งซื้อเรือฟริเกตชั้น Oliver Hazard Perry จำนวน 6 ลำเท่ากัน  แต่เลือกที่จะสร้างเองทุกลำด้วยอู่ต่อเรือภายในประเทศ จากนั้นไม่นานนักอุตสาหกรรมต่อเรือรบของสเปนก็เจริญก้าวหน้ามากขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถขายเรือรบของตัวเองให้กับทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ออสเตรเลียเองก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของสเปนเช่นกัน

Project SEA4000 : Air Warfare Destroyers (AWDs) 

                สมุดปกขาว 2016 ได้กำหนดจำนวนเรือรบผิวน้ำไว้อย่างชัดเจน นั่นคือเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Hobart จำนวน 3 ลำ เรือฟริเกตรุ่นใหม่จำนวน 9 ลำ และเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งอีกจำนวน 12 ลำ  ภาพโดยรวมในปี 2035 กองทัพเรือออสเตรเลียจะประกอบไปด้วยเรือดำน้ำขนาด 4,000 ตันจำนวน 12 ลำ เรือรบผิวน้ำขนาด 7,000 ตันจำนวน 12 ลำ และเรือตรวจการณ์ติดอาวุธขนาด 1,000 ตันขึ้นไปอีกจำนวน 12 ลำ

                Air Warfare Destroyers Programme หรือโครงการเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศ เป็นการจัดหาเรือรบขนาด 7,000 ตันจำนวน 3 ลำ ทดแทนเรือฟริเกต Adelaide จำนวน 6 ลำ แม้จำนวนเรือจะน้อยกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง แต่เรือถูกออกแบบมาสำหรับภารกิจป้องกันภัยทางอากาศโดยตรง จึงมีทั้งระบบอำนวยการรบเอจิส ระบบเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติรุ่น  AN/SPY-1D(V) ระบบเรดาร์ควบคุมการยิง MK-99 ระบบท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS 48 ท่อยิง สำหรับจรวดต่อสู้อากาศยานระยะปานกลาง ESSM และจรวดต่อสู้อากาศยานระยะไกล SM-2 ภารกิจป้องกันภัยทางอากาศกองเรือออสเตรเลีย จึงมีประสิทธิภาพสุงมากขึ้นอย่างโดดเด่นชัดเจนกว่าเดิม


                Project SEA4000 เริ่มต้นอย่างจริงจังในปี 2004 มีบริษัทผู้ผลิตเรือเข้าร่วมชิงชัยจำนวน 3 รายประกอบไปด้วย Blohm@Voss จากเยอรมัน  Navantia จากสเปน และ Gibbs & Cox จากอเมริกา ก่อนจะมีการประกาศผลและเซ็นสัญญากันในปี 2007 โดยที่แบบเรือ F-100 ของ Navantia เป็นผู้ได้รับคัดเลือก ก่อนหน้านี้ไม่นานแบบเรือ F-100 เพิ่งได้รับคัดเลือกจากกองทัพเรือสเปน เพื่อเข้าประจำการทดแทนเรือฟริเกตชั้น Oliver Hazard Perry ของตัวเองเช่นกัน ทำให้ยอดรวมของเรือรุ่นนี้มีถึง 8 ลำนับว่าเยอะมาก อุตสาหกรรมต่อเรือรบของสเปนเจริญรุ่งเรืองติดต่อกันมานาน 20 ปีเข้าไปแล้ว ตรงกันข้ามกับอังกฤษที่ขายเรือรบแท้ๆได้น้อยนิดเหลือเกิน

                Air Warfare Destroyer ของออสเตรเลีย ใช้แบบเรือ F-100 ของสเปนมาปรับปรุง และทำการสร้างโดยอู่ต่อเรือ BAE Systems Australia ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอังกฤษ ผู้เขียนอ่านแล้วดูวุ่นวายพิลึกและมันก็วุ่นวายจริงๆ รัฐบาลออสเตรเลียทราบดีว่าจะมีปัญหาเยอะจึงได้กำหนดวงเงินไว้สุงตั้งแต่แรก ทว่าเอาเข้าจริงๆปัญหาเรื่องงบประมาณบานปลายก็ยังตามมาหลอกหลอน ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าเรือพิฆาตระบบเอจิส+เรดาร์ AN/SPY-1D(V) ค่อนข้างมีความยุ่งยากซับซ้อนพอสมควร การสร้างเรือลำแรกจึงมีความล่าช้าและปัญหาเยอะพอสมควร สมุดปกขาว 2016 รัฐบาลออสเตรเลียจึงได้กำหนดวงเงินสร้างเรือ 3 ลำไว้ใหม่ที่ 9.1 พันล้านเหรียญ (ไม่รวมการจัดหาอาวุธและระบบอำนวยการรบ) เข้าใจว่าตอนยกมือโหวตคงมีคนยกมือน้ำตาไหลกันบ้างล่ะ
               
Project SEA5000 : Future Frigates

                นี่โครงการจัดหาเรือผิวน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ กองทัพเรือออสเตรเลียต้องการเรือฟริเกตขนาด 7,000 ตันจำนวน 9 ลำ เพื่อนำมาทดแทนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น  Anzac จำนวน 8 ลำในช่วงปลายทศวรรษ 2020 รายละเอียดของโครงการเท่าที่มีการเปิดเผย จะมีการติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ CEAFAR2 และเรดาร์ควบคุมการยิง CEAMOUNT โดยเรดาร์ทั้ง 2 แบบจะฝังติดอยู่ในเสากระโดงหลักครอบคลุมทุกองศา เรือฟริเกตรุ่นใหม่จะใช้ระบบอำนวยการรบของ SAAB มีระบบท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS จำนวน 48 ท่อยิง รองรับการติดตั้งจรวดร่อนโจมตีชายฝั่งระยะไกล รวมทั้งมีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ ถึง2 ลำด้วยกัน
               

                ทั้งเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศและเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ ล้วนมีระวางขับน้ำใกล้เคียงกัน (และอาจจะเป็นแบบเรือเดียวกันด้วย ถ้าแบบเรือ F-100ได้รับคัดเลือกอีกครั้ง) กองทัพเรือออสเตรเลียต้องการให้เรือทั้ง 12 ลำทำงานร่วมกันได้ในทุกภารกิจอย่างดีเยี่ยม ระบบอาวุธ ระบบตรวจการณ์ ระบบสื่อสารและระบบอื่นๆของเรือทั้ง 2 ชั้นจึงเป็นมาตราฐานเดียวกัน (ยกเว้นระบบอำนวยการรบและระบบเรดาร์หลัก) รวมทั้งสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์กับเรือดำน้ำและอากาศยานจากกองทัพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                Project SEA5000 เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีบริษัทผู้ผลิตเรือรบเข้าร่วมชิงชัยจำนวนมาก อาทิเช่น Navantia จากสเปนเจ้าเก่า DCNS จากฝรั่งเศษ Fincantieri จากอิตาลี BAE Systems จากอังกฤษ TKMS จากเยอรมันที่ต้องการจะล้างตาอีกซักครั้ง และ Mitsubishi Heavy Industries ในนามรัฐบาลญี่ปุ่น ยังคงต้องรอดูกันต่อไปกับโครงการใหญ่ราคา 30 พันล้านเหรียญ แต่จะมีการสรัางเรือทุกลำในประเทศออสเตรเลียอย่างแน่นอน ผู้เขียนคิดว่าคงไม่มีปัญหาซักเท่าไหร่ เพราะเคยมีประสบการณ์ที่หนักหนามาแล้วจาก Project SEA4000

Offshore patrol vessels

                กองทัพเรือออสเตรเลียต้องการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งรุ่นใหม่จำนวน 12 ลำ ทดแทนเรือตรวจการณ์ชั้น Armidale จำนวน 13 ลำในอนาคต โครงการนี้จะเริ่มต้นในปี 2018 และกำหนดให้มีการส่งมอบเรือทุกลำภายในปี 2030 รายละเอียดต่างๆยังไม่เป็นที่ชัดเจน ทราบแต่เพียงว่าเรือยาวประมาณ 70-80 เมตร มีประสิทธิภาพและระยะทำกาไกลกว่าเรือรุ่นเก่าทุกด้าน จึงคาดว่าจะมีระวางขับน้ำประมาณ 1,500 ตัน

                เคยมีแบบเรือจากสิงคโปร์จัดแสดงพร้อมแบบเรือตรวจการณ์รุ่นใหม่ของตัวเอง ระบุว่าเสนอให้กับกองทัพเรือออสเตรเลียในโครงการนี้ โดยใช้แบบเรือ FEARLESS-75 Multi-role Combat ติดปืนใหญ่ Oto Melara 76/62 1กระบอก ปืนกล 12.7 mm 2 กระบอก และจรวดต่อสู้เรือรบฮาร์พูนจำนวน 4 นัด ทว่าเอาเข้าจริงๆเรืออาจติดแค่ปืนกลอัตโนมัติ Mk 38 25 มม. 1 กระบอก กับปืนกล 12.7 mm 2 กระบอกก็เป็นได้ ตามมาตราฐานกองทัพเรือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในปัจจุบัน รัฐบาลกำหนดให้เรือทั้ง 12 ลำสร้างในออสเตรเลียเท่านั้น

Mine countermeasures systems and Hydrographic survey

                เรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น Huon จำนวน 4 ลำจะได้รับการปรับปรุงช่วงปี 2018-2025 เพื่อประจำการไปจนถึงปลายทศวรรษ 2030 การปรับปรุงใหญ่ทำให้พวกเขาทำสงครามทุนระเบิดได้ดีขึ้น ออสเตรเลียมีเรือกวาดทุ่นระเบิดค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะภูมิประเทศที่เป็นเกาะใหญ่แยกออกมาต่างหาก ทำให้การลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในจุดเสี่ยงทำได้จากเรือดำน้ำเท่านั้น
                ออสเตรเลียมีเรือสำรวจอุทกศาสตร์ขนาดใหญ่จำนวน 2 ลำและขนาดเล็กอีก 4 ลำและจะปลดระวางในช่วงปลายทศวรรษ 2020 กองทัพเรือจะจัดหาเรือสำรวจรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ โดยจะติดตั้งอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีรุ่นใหม่ในการสำรวจแผนที่ทะเลและสำรวจสมุทรศาสตร์ งานฝึก และการกู้ภัยทางทะเล ตลอดจนสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งรองรับปฎิบัติการทางทหารได้ด้วย  

Maritime combat helicopters

                ออสเตรเลียสั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ MH-60R Romeo Seahawk จำนวน 24 ลำ เพื่อนำมาทดแทนของเก่าคือ S-70B Seahawk จำนวน 16 ลำ โดย 2 ลำแรกถูกส่งมอบแล้วให้กับฝูงบินที่ 725 ซึ่งมีภารกิจฝึกนักบิน ดูจากจำนวนแล้วมากขึ้นแต่ความต้องการใช้เครื่องก็มากกขึ้นด้วย เพราะฝูงบิน 816 ซึ่งประจำการยู่บนเรือรบจะใช้จำนวนเครื่องถึง 21 ลำ (เรือฟริเกตรุ่นใหม่ 9 ลำต่อเฮลิคอปเตอร์ 18 ลำ และเรือพิฆาต 3 ลำต่อเฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ) จึงเหลือเครื่องบินลำหรับฝึกบินจริงๆแค่เพียง 3 ลำเท่านั้น

Maritime surveillance and response aircraft

                ฝูงบินลาดตระเวณทางทะเลซึ่งเป็นของกองทัพอากาศ มีการจัดหาเครื่องบิน P-8 Poseidon จำนวน 15 ลำ เพื่อทดแทนเครื่องบิน  AP-3C Orion จำนวน 19 ลำ โดยได้สั่งซื้อล๊อตแรก 8 ลำและเข้าประจำการแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนอีก 7 ลำจะตามมาในล๊อตที่สองจนครบฝูงในปี 2025 นอกจากนี้จะมีการจัดหาอากาศยานไร้คนขับรุ่น MQ-4C Triton unmanned aircraft จำนวน 7 ลำเข้าประจำการเพิ่มเติมในช่วงช่วงปลายทศวรรษ 2030 ภารกิจลาดตระเวณทางทะเลที่ค่อนข้างสำคัญมากในเวลานี้ จะมีประสิทธิภาพและศักยภาพสุงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  Canberra class amphibious ships

                เรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกชั้น Canberra ระวางขับน้ำ 27,500 ตันดาดฟ้าเรียบพร้อมลานสกีจั๊มพ์ จำนวน 2 ลำเข้าประจำการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้ออกปฎิบัติภารกิจแรกสุดแล้วด้วย คือเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุไซโคลนที่ประเทศฟิจิ กองทัพเรือทำการบรรจุอากาศยานประจำเรือแต่ละลำดังนี้คือ  เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MRH-90 จำนวน 3 ลำเท่านั้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะพวกเขามี  MRH-90 จำนวน 6 ลำเท่านั้นเอง (มีเรือที่ดาดฟ้าโล่งกว่าเรือหลวงจักรีนฤเบศรแล้ว ไชโย) กองทัพเรือออสเตรเลียจะใช้เรือทั้ง 2 ลำนี้ ในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัย การอพยพคนจากภัยสงคราม และฐานบินกลางทะเลเป็นหลัก


                แล้วภารกิจสนับสนุนการยกพลขึ้นบกจะทำอย่างไร ก็ต้องเป็นหน้าที่ของนาวิกโยธินนั่นแหละครับ เหล่าคอหนังออสเตรเลียจะมีอายุครบ 103 ปีในเดือนตุลาคม 2016 พวกเขาเคยผ่านการทำภารกิจมาแล้วมากมาย ทั้ง สงครามเกาหลี สงครามเวียตนาม ติมอร์ตะวันออก และสงครามอิรัค  ทว่านาวิกโยธินทุกนายสังกัดกองทัพบกออสเตรเลียนะครับ เป็นหน่วยปฎิบัติการพิเศษมีกำลังพลรวมเพียง 650 นาย ในการทำภารกิจจริงต้องใช้ทหาร อาวุธ และยานภาหนะทั้งหมดจากกองทัพบก ผู้อ่านจะได้เห็นนาวิกโยธินเตรียมพร้อมบนเรือระบายพลขนาดกลาง ในโรงเก็บและดาดฟ้าเรือกว้างๆจะมีเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MRH-90 จำนวน 12 ลำ กับเฮลิคอปเตอร์โจมตี AS-665 Tiger จำนวน 6 ลำจอดเรียงรายแน่นขนัด โดยมีเฮลิคอปเตอร์ลำโตอย่าง CH-47D แวะมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้งและอาจค้างคืนบนดาดฟ้าเรือด้วย แม้จะมีการติดตั้งลานสกีจั๊มพ์ที่หัวเรือแต่จะไม่มีเครื่องบิน F-35B อย่างแน่นอน กองทัพเรือยกเลิกฝูงบินปีกแข็งประจำเรือตั้งแต่ปลายปี 1984 ทั้งนี้ก็เพราะได้ปลดประจำการเรือบรรทุกเครื่องบินลำสุดท้าย HMAS Melbourne (R21) ในปี 1982 โดยที่ A-4G Skyhawk คือฝูงบินท้ายสุดของกองบินราชนาวี 

 Air and sea lift

            ผู้เขียนจะพูดถึงการลำเลียงขนส่งร่วมทางอากาศและทางทะเลเพียงสั้นๆ โดยจะประกอบไปด้วย
                -เครื่องบินลำเลียง C-17A Globemaster III 8 ลำ  C-130J Hercules 12 ลำ และ C-27J Spartans 10 ลำ
                -เครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC-30A  7ลำ
                - เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง  CH-47F Chinooks 7ลำ และ  MRH-90 47 ลำ
                - ปรับปรุงเรือลำเลียงสนับสนุน HMAS Choules และสร้างเรืออเนกประสงค์ขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก 1 ลำ
                - เรือชั้น Canberra จะถูกใช้ในการลำเลียงขนส่งร่วมทางทางทะเลเป็นภารกิจรองเท่านั้น

Strike and air combat warfare


            กองทัพอากาศออสเตรเลียมีแผนการจัดหาเครื่องบินรบที่ค่อนข้างชัดเจน คือเอาเครื่องบิน F-35มาทดแทน F/A-18 A/B ในจำนวนเท่าเดิม ในปี 2023 หรืออีก 8ปีข้างหน้า กำลังรบของพวกเขาจะประกอบไปด้วย

                -เครื่องบินขับไล่ F-35A Lightning II Joint Strike Fighters  72 ลำ ทดแทน F/A-18 A/B Hornet  71 ลำ
                -เครื่องบินขับไล่โจมตี F/A-18 F Super Hornet  24 ลำ
                -เครื่องบินสงครามอิเลคทรอนิค EA-18G Growler 12 ลำ
                -เครื่องบินเตือนภัยทางอากาศ E-7 Wedgetail  6 ลำ 

                F-35A Lightning II จำนวน 2 ลำ ถูกส่งมายังออสเตรเลียแล้ว ความน่าสนใจของการจัดหาเครื่องบินขับไล่ยุค 5 จำนวน 72 ลำไม่ใช่ที่ประสิทธิภาพดีไม่ดี ความล่าช้าของโครงการ หรือปัญหาต่างๆที่ตามมาแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นเรื่องการเข้าร่วมของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศต่างหาก โครงการ Joint Strike Fighters หรือ JSF จะมีปริมาณการผลิตเครื่องบินสุงถึงประมาณ 3,000 ลำในเวลา 30 ปี ออสเตรเลียเป็นชาติที่เข้าร่วมโครงการนี้มาตั้งแต่แรก มีบริษัทน้อยใหญ่ภายในประเทศจำนวนมากเข้าร่วมในการผลิตด้วย นับจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2015 บริษัทจากออสเตรเลียได้รับสัญญาสั่งซื้อจากโครงการJSFรวมถึง 554.5 ล้านเหรียญแล้ว และจะมีสัญญาสั่งซื้อเข้ามาอีกเรื่อยๆตราบใดที่F-35 ยังเปิดสายการผลิต นอกจากนี้ยังสามารถขายเป็นอะไหล่ในการซ่อมบำรุงได้อีกด้วย นั่นหมายถึงเงินก้อนโตที่ใช้ซื้อเครื่องบินรบ จะกลับคืนสู่ประเทศจำนวนหนึ่งมากน้อยก็ว่ากันไป


Airborne electronic attack aircraft 

            สงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Warfare) หรือปฏิบัติการทางทหารต่อระบบอิเล็กทรอนิกส์ของข้าศึก ด้วยการโจมตีเพื่อให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของข้าศึกไม่สามารถใช้การได้เต็มประสิทธิภาพ การโจมตีที่ว่าสามารถแบ่งออกได้หลายรูปแบบ อาทิ การดักฟังสัญญาณ การก่อกวน การทำลายเป้าหมาย การดักฟังรวบรวมข่าวกรอง กระทั่งการโจรกรรมข้อมูล เครื่องบินสงครามอิเล็คทรอนิกส์แบบ EA-18G Growler จะเข้าประจำการครบฝูง 12 ลำในปี 2018 โดยมาพร้อมอาวุธสุดทันสมัยในการทำสงคราม ระบบสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกภาคพื้นดิน รวมทั้งการปรับปรุงฐานทัพอากาศที่เครื่องบินประจำการ เพื่อให้สามารถปฎิบัติภารกิจได้ยาวนานถึง 20-30 ปี


 Integrated air and missile defence

                อีกหนึ่งเรื่องที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจมาก นั่นคือกองทัพอากาศออสเตรเลียในปัจจุบัน มีแค่เพียงจรวดต่อสู้อากาศยานประทับบ่า RBS-70 .ไม่กี่ระบบในการป้องกันฐานทัพสำคัญๆ พวกเขาไม่มีจรวดต่อสู้อากาศยานแท้ๆประจำการเลยแม้แต่ระบบเดียว นั่นก็เพราะความที่เป็นเกาะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก และตั้งอยู่ห่างจากภัยคุกคามหลายพันไมล์ทะเลนั่นเอง โอกาสที่จะมีเครื่องบินรบฝ่ายตรงข้ามบินเข้ามาถึงฐานทัพน่าจะเป็นไปได้กรณีเดียว นั่นคือกองทัพเรือออสเตรเลียแตกเสียแล้ว กองทัพอากาศก็โดนไปเก็บหมด กองทัพบกยันอีกฝ่ายให้ตกทะเลไม่ได้ นั่นแหละถึงจะได้ใช้งานจรวดระยะยิง 5 กิโลเมตร

                แต่รัฐบาลออสเตรเลียก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด เพราะภัยคุกคามรูปแบบใหม่กำลังพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อาทิเช่นจรวดร่อนโจมตีชายฝั่งระยะไกล ที่เรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามอาจเล็ดเข้ามาใกล้แล้วยิงเข้าใส่ชายฝั่งได้ (แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรเลียจะเป็นของเอกชน และใช้ทำปศุสัตว์เป็นหลักก็ตามเถอะ) กองทัพอากาศมีแผนที่จะจัดหาจรวดต่อสู้อากาศยานประทับบ่ารุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ RBS-70 ในช่วงต้นทศวรรษ 2020 และโครงการจัดหาจรวดต่อสู้อากาศยานระยะปานกลางรุ่นใหม่อีกจำนวนหนึ่ง มาป้องกันฐานทัพอากาศสำคัญๆในช่วงปลายทศวรรษ 2020

Deployable light helicopters

            โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์เข้าประจำการอีกครั้งในช่วงประมาณปี 2025 โดยจะเป็นเฮลิคอปเตอร์เบาอเนกประสงค์ ใช้ในภารกิจขนส่งโดยสาร ลาดตระเวณตรวจการณ์ สนับสนุนปฎิบัติการพิเศษ รวมทั้งเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีได้ด้วย สามารถขนส่งทางอากาศโดยเครื่องบิน C-17 ได้เพื่อความสะดวก โปรดนึกถึงเฮลิคอปเตอร์ลาโกต้าของกองทัพบกเราไว้ครับ

                โครงการอื่นๆของกองทัพอากาศไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ส่วนมากเป็นการปรับปรุงเครื่องบินที่ประจำการอยู่ ให้มีความทันสมัยมากขึ้น มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น มีประสิทธิภาพสุงขึ้น รวมทั้งทยอยติดตั้งระบบสื่อสาร Datalink สามารถส่งข้อมูลเรียลไทม์ให้กับเครื่องบินด้วยกัน สถานีเรดาร์พื้นดิน รวมทั้งเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศและเรือฟริเกตรุ่นใหม่ได้ด้วย 

Land combat and amphibious warfare


            กองทัพบกออสเตรเลียและนาวิกโยธิน มีความน่าสนใจอยู่ในระดับนั่งหลับเช้ายันเย็นได้เลย นั่นคือไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าที่ควร งบประมาณส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยมากขึ้นในทุกด้าน ทว่าการจัดหาอาวุธใหม่ก็มีน้อยมาก อาทิเช่น โครงการจัดหาอากาศยานไร้คนขับสำหรับลาดตระเวนตรวจการณ์ โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตีรุ่นใหม่ทดแทนเฮลิคอปเตอร์ AS-665 Tiger ในช่วงประมาณปี 2025 อีกโครงการก็คือการปรับปรุงรถถังหลัก M1A1 Abrams ให้ทันสมัยมากกว่าเดิม (ดูเหมือนทั่วโลกจะเลือกปรับปรุงรถถังมากกว่าซื้อของใหม่ไปเสียแล้ว) 

                โครงการจัดหายานเกราะติดอาวุธรุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน ASLAV เป็นโครงการสำคัญมากเช่นกัน ภูมิประเทศของออสเตรเลียเหมาะสมกับยานเกราะล้อยางมากกว่ารถถัง เพราะรถมีความคล่องตัวสุงกว่า มีความเร็วในการเดินทางมากกว่า มีความอเนกประสงค์มากกว่า มีความยืดหยุ่นในทุกภารกิจมากกว่า อีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจก็คือ โครงการจัดหาจรวดพื้น-สู่-พื้นระยะยิงไกลสุด 300 กิโลเมตรรุ่นใหม่ โดยจะมีกำหนดเข้าประจำการช่วงประมาณปี 2025 


                ทางด้านนาวิกโยธินและภารกิจยกพลขึ้นบก จะเหมือนอย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงไปแล้ว ในหัวข้อเรือเรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกชั้น Canberra นอกจากเรือระบายพลขนาดกลาง LCM8 และรถสะเทินน้ำสะเทินบก LARC V แล้ว จะมีการจัดหาเรือตรวจการณ์ลำน้ำเข้าประจำการจำนวนหนึ่ง ส่วนโครงการอื่นๆที่เหลือไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าที่ควร

บทสรุป

            Australian Defence White Paper 2016 ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปจากสมุดปกขาวปี 2013 แต่เป็นการกำหนดความชัดเจนของทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดเจนมากกว่าเดิม ไม่ว่าภัยคุกคามที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ประเทศที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดปัญหากับการป้องกันประเทศ ความชัดเจนในทุกโครงการจัดหาอาวุธและโครงการพัฒนาปรับปรุงกองทัพ ตลอดจนความชัดเจนในเรื่องอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการปรับตัวให้เข้ากับนวัตกรรมใหม่ๆที่เพิมขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนได้นำเสนอบางประเด็นที่น่าสนใจเท่านั้น บทความนี้จึงไม่คลอบคลุมข้อมูลทั้งหมดของสมุดปกขาว 2016 ผู้อ่านท่านใดต้องการข้อมูลทั้งหมด แนะนำให้โหลดเอกสารเพิ่มเติมจากลิงค์แรกของส่วนอ้างอิงครับ


      -----------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก