วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Italian Naval Weapons อาวุธใช้งานทางทะเลจากแดนมักกะโรนี



    อิตาลีเป็นประเทศที่มีบทบาทในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย โดยตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ( Axis Powers) ที่มีเยอรมันและญี่ปุ่นเป็นสมาชิกร่วมประหนึ่งสามทหารเสือ นอกจากนี้ยังมีประเทศสมาชิกรองผู้ให้ความช่วยเหลือทางทหาร คู่สงครามร่วม และรัฐบริวาร รวมกันมากถึง 26 ประเทศด้วยกัน บทสรุปของสงครามเป็นไปอย่างที่ผู้อ่านทุกท่านทราบคือฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้ชนะ และทางด้านกองทัพอิตาลีเองก็มีผลงานการรบในทุกสมรภูมิที่ไม่ดีเอาเสียเลย เรียกว่าเป็นบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ของฝ่ายอักษะก็ไม่น่าจะผิด

    สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 หลังจากญี่ปุ่นได้ประกาศยอมจำนนกับกองทัพอเมริกาที่บุกมาประชิดถึงหน้าบ้าน กองทัพฝ่ายอักษะทุกประเทศถูกปลดอาวุธทันที มีการไต่สวนคดีความต่างๆระหว่างสงคราม มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายทั่วโลกรวมทั้งอิตาลีด้วย 2 ปีต่อมากองทัพเรือของพวกเขาถูกจัดตั้งใหม่อีกหน โดยเปลี่ยนชื่อเรียกจาก Royal Navy หรือ Regia Marina มาเป็น Italian Navy กระทั่งปัจจุบัน เรือรบจำนวนหลายลำได้กลับเข้าประจำการอีกครั้งหนึ่ง เรือช่วยรบบางลำรับโอนมาจากเยอรมัน เรือช่วยรบบางลำรับโอนหรือซื้อมาจากอเมริกา เรือตรวจการณ์จำนวนมากสั่งต่อจากอเมริกาและอังกฤษ โดยติดตั้งอาวุธของอังกฤษและอเมริกาผสมกันไป คล้ายคลึงกับการจัดหาอาวุธของประเทศเยอรมันและญี่ปุ่นในเวลาเดียวกัน

    ช่วงเวลาดังกล่าวอิตาลีได้รับอนุญาติให้ต่อได้เพียงเรือช่วยรบขนาดเล็กเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปรกติของประเทศผู้แพ้สงคราม บางทีอิตาลีอาจต้องซื้อเรือรบจากต่างประเทศตลอดไป ถ้าไม่บังเอิญเกิดภัยคุกคามขนาดใหญ่กับชาติตะวันตกเกิดขึ้น นั่นคือสหภาพโซเวียตและประเทศในสนธิสัญญาวอร์ซอ อาวุธจำนวนมหาศาลถูกผลิตและส่งเข้าประชิดพรมแดนยุโรปตะวันตก ลำพังแค่อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ไม่สามารถพัฒนาและผลิตอาวุธมาคานอำนาจรบอีกฝ่ายได้ทันแน่ กฎเหล็กหลายข้อในอดีตจึงต้องผ่อนคลายลงหรือปรับเปลี่ยนไป  และแล้วในที่สุดอิตาลีก็สามารถต่อเรือรบด้วยตัวเองได้อีกครั้ง โครงการเรือพิฆาตคุ้มกันชั้น Centauro เริ่มต้นขึ้นในปี 1952 เรือลำแรกจาก 4 ลำคือ D 571 Centauro เข้าประจำการในปี 1957 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นเรือฟริเกต F 554 Centauro ในเวลาต่อมา เป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอิตาลียุคใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้เขียนอยากเขียนบทความอาวุธใช้งานทางทะเลจากอิตาลี ทั้งที่ได้รับความนิยมแพร่หลายและไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

76/62 MMI (Allargato) and 76/L62 SMP3 Naval Guns

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาวุธปืนที่ใช้งานบนเรือรบอิตาลีคือปืนใหญ่ Mk.12 127/38 mm จากอเมริกาและปืนกลต่อสู้อากาศยาน Bofors 40/60 mm จากสวีเดน เมื่ออิตาลีเริ่มโครงการต่อเรือพิฆาตคุ้มกันขนาด 2,180 ตัน ชั้น Centauro รวมทั้งเรือคอร์เวตขนาด 1,000 ตัน ชั้น  Albatros จึงได้มีการพิจารณาอาวุธปืนประจำเรือรุ่นใหม่  ผลคือ Mk.12 127/38 mm มีขนาดใหญ่เกินไปไม่สามารถติดตั้งได้ ส่วน Bofors 40/60 mm ก็เหมาะสมเป็นปืนรองมากกว่า พวกเขาจึงได้นำปืนใหญ่ Mk.22 76/50 mm จากอเมริกามาพัฒนาปรับปรุงเพื่อใช้งานบนเรือตนเอง

    76/62 SMP3 คือปืนเรือกระบอกแรกสุดของอิตาลี  Oto Melara พัฒนาสำเร็จและเข้าประจำการช่วงต้นทศวรรษที่ 50  โดยมีทั้งรุ่นลำกล้องเดี่ยวติดตั้งบนเรือชั้น Albatros จำนวน 4 ลำ และรุ่นลำกล้องคู่ซ้อนกันติดตั้งบนเรือชั้น Centauro จำนวน 4 ลำ ปืนสามารถยิงได้ไกลสุด 16 กิโลเมตรที่มุม 45 องศา อัตรายิงสุงสุด 50 นัดต่อนาที ทว่าป้อมปืนของ SMP3 มีขนาดใหญ่พอสมควร ระบบแมกกาซีนมีปัญหาติดขัดบ่อย รวมทั้งปริมาณกระสุนที่บรรจุได้ไม่มากเท่าที่ควร การใช้งานจริงจึงไม่เป็นไปตามความต้องการของกองทัพเรืออิตาลี


    Oto Melara จึงได้พยายามพัฒนาป้อมปืนรุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทน โครงการ Allargato เริ่มเดินหน้าในปี 1958 จนสามารถสร้างรุ่นต้นแบบขึ้นมาทดสอบใช้งานในปี 1961 ถัดมาเพียงปีเดียว Oto Melara 76/62 MMI กระบอกแรกก็ได้เข้าประจำการบนเรือฟริเกตชั้น Carlo Bergamini ป้อมปืนรุ่นใหม่มีขนาดเล็กลงรูปทรงเหลี่ยมหักมุมยกสุงจากดาดฟ้าเรือ ปืนขนาด 76/62 ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยมีอัตรายิงสุงขึ้นเล็กน้อยระยะยิงไกลสุด 18 กิโลเมตรที่มุม 45 องศา น้ำหนักรวมของป้อมปืนและแมกกาซีนอยู่ที่ 12 ตัน 76/62 MMI มียอดผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 84 กระบอก และทยอยติดตั้งบนเรือรบรุ่นใหม่ทุกลำของกองทัพเรืออิตาลีในช่วงนั้น
   

76/62 Compact / Super Rapid and Strales Naval Guns

    Oto Melara นำปืน 76/62  MMI มาพัฒนาต่อยอดให้ทันสมัยมากขึ้น ออกแบบป้อมปืนรูปทรงกลมขนาดกระทัดรัด ระบบแมกกาซีนทันสมัยมากขึ้นฝังใต้ดาดฟ้าเรือ ต้องการพื้นที่ในการติดตั้งป้อมปืนไม่มาก จึงสามารถใช้งานบนเรือตรวจการณ์ขนาดเล็กไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบินได้ เริ่มเข้าประจำการกองทัพเรืออิตาลีในปี 1964 และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมีลูกค้าถึง 51 ชาติ ยอดผลิตรวมถึงปัจจุบันมากกว่า 1,000 กระบอก หลายประเทศได้ขอซื้อลิคสิทธิ์ปืนไปพัฒนาปรับปรุงเพื่อใช้งาน เช่น อิสราเอล อินเดีย เกาหลีใต้ บริษัทผู้ผลิตยังได้พัฒนาปืนรุ่นใหม่ๆให้ทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม ปรับปรุงป้อมปืนรูปทรงเหลี่ยมลดการตรวจจับจากเรดาร์ (Stealth) กองทัพเรือไทยใช้งานปืนรุ่นนี้เป็นจำนวนมากเราสามารถแบ่งรุ่นของปืนออกเป็น 3 รุ่นหลักและ 1 รุ่นย่อยด้วยกัน


    - Compact อัตรายิงสุงสุด 80 นัดต่อนาที ประจำการบนเรือรบจำนวนมาก เช่น เรือชั้นเรือหลวงตาปีจำนวน 2 ลำ เรือชั้นเรือหลวงสัตหีบจำนวน 3 ลำ เรือชั้นเรือหลวงบุรีจำนวน 3 ลำ 6 ระบบ เป็นต้น

    - Rapid Fire ถือเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Compact ฐานข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจำนวนมากจึงนับรวมกันโดยไม่ได้แยกออกมา อัตรายิงสุงสุด 100 นัดต่อนาที ประจำการบนเรือชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์จำนวน 2 ลำ

    - Super Rapid Fire อัตรายิงสุงสุด 120 นัดต่อนาที สามารถปรับปรุงให้ใช้กระสุน Vulcano ได้ ประจำการบนเรือหลวงอ่างทองและเรือชั้นเรือหลวงปัตตานีจำนวน 2 ลำ รวมทั้งเรือฟริเกตสมรรถนะสุงลำใหม่ด้วย

    - Strales  ติดตั้งระบบนำวิถีด้วยคลื่นวิทยุในป้อมปืนด้านขวามือ สามารถยิงกระสุน Vulcano (Long Rang High Accuracy Ammunition Family) ใช้ระบบ GPS/INS ในการนำทาง และใช้ระบบเลเซอร์ IR/SAL (Infrared/Semi-Active LASER) ในการนำวิถีสู่เป้าหมาย กระสุนมีระยะยิงไกลสุด 40 กม. เหมาะสำหรับโจมตีเป้าหมายพื้นน้ำและพื้นดิน และกระสุน DART (Driven Ammunition Reduce Time of Flight) ตัวลูกปืนติดตั้งปีกคานาดเพื่อใช้ปรับวิถีโคจร ควบคุมทิศทางด้วยลำคลื่นวิทยุ (Beam Axis) กระสุนมีระยะยิงไกลสุด 35 กม. เหมาะสำหรับโจมตีเป้าหมายทางอากาศ ปัจจุบันกองทัพเรืออิตาลีใช้เป็นระบบป้องกันระยะประชิดทดแทนระบบเดิม


    นอกจากปืน 4 รุ่นนี้แล้ว ยังมีรุ่น Refurbished ที่ Oto Melara นำปืนเก่า(จากที่ไหนซักแห่ง)มาซ่อมคืนสภาพเพื่อขายให้กับลูกค้าในราคาพิเศษ กองทัพเรือไทยให้ความสนใจจัดหาเข้าประจำการเช่นกัน เท่าที่ผู้เขียนทราบคือบนเรือหลวงกระบี่ และเรือหลวงแหลมสิงห์ Oto Melara 76/62 Compact มีอายุ 52 ปีแล้วนับแต่ปืนกระบอกแรกเข้าประจำการ แต่ยังคงได้รับความนิยมสุงมากและจะเป็นแบบนี้ไปอีก 10-20 ปีเป็นอย่างน้อย

Lancia Bas and Menon K-113 Mortars

    ในโครงการเรือพิฆาตคุ้มกันชั้น Centauro นอกจากปืนใหญ่เรือขนาด 76/62 มม.แล้ว กองทัพเรืออิตาลีต้องการจรวดปราบเรือดำน้ำที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Bofors 375 mm ASW Mortar ของสวีเดน Lancia Bas ASW Mortar จึงได้เริ่มต้นพัฒนาขึ้นและเข้าประจำการในปี 1960 ติดตั้งท่อยิงจรวดขนาด 305 มม.(12 นิ้ว)จำนวน 3 ท่อยิงบน แท่นยิงขนาดไม่ใหญ่มากพร้อมแมกกาซีนใต้ดาดฟ้าเรือ ลำกล้องท่อยิงทำมุม 45 องศาอัตรายิงสุง 21 นัดใน 70 วินาทีพร้อมระบบโหลดอัตโนมัติ จรวดปราบเรือดำน้ำที่ใช้งานกับ Lancia Bas มีน้ำหนัก 160 กิโลกรัม ระยะยิงไกลสุดประมาณ 900 เมตร จรวดหนึ่งชุดมีอำนาจทำลายล้างครอบคลุมพื้นที่ขนาด 70 x 165 เมตร


                                            
      ต่อมาไม่นานกองทัพเรืออิตาลีจึงพบว่า Lancia Bas มีขนาดใหญ่เกินไปติดตั้งบนเรือเล็กไม่ได้ และอาวุธปราบเรือน้ำจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มล้าสมัยมากขึ้น เนื่องจากตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำขนาด 324 มม.ทำหน้าที่ได้ดีกว่า ทว่าอาวุธรุ่นใหม่มีราคาค่อนข้างแพงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศ พวกเขายังต้องการจรวดปราบเรือดำน้ำเพื่อใช้งานควบคู่กันไป โดยต้องการระบบที่มีขนาดเล็กลงราคาถูกลงใช้พื้นที่น้อยลง  การพัฒนา Menon ASW Mortar K-113 เป็นไปอย่างล้าช้าก่อนเข้าประจำการต้นทษวรรษ 70 ระบบใหม่จะใช้ท่อยิงจรวดขนาด 305 มม.เพียง 1 ท่อยิงเท่านั้น ลำกล้องทำมุม 45 องศา บรรจุจรวดพร้อมยิงในแมกกาซีนจำนวน 7 นัด (สามารถใส่จรวดเพิ่มเติมได้) Menon K-113 ได้รับความนิยมจากกองทัพเรือมากกว่า Lancia Bas เพราะสามารถติดตั้งบนเรือรบที่มีระวางขับน้ำเพียง 1,000 ตันได้ ปัจจุบันอาวุธทั้ง 2 ชนิดปลดประจำการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Milas Ship-Borne Anti-Submarine Weapon

    ปี 1986 บริษัทจากอิตาลีและฝรั่งเศสจับมือกันเพื่อพัฒนาจรวดต่อสู้เรือดำน้ำยุคใหม่ โดยนำตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำมาใส่ในท่อนท้ายของจรวดต่อสู้เรือรบ Otomat  Mk.2 เมื่อถึงพิกัดเป้าหมายตอร์ปิโดจะสลัดตัวออกมาเพื่อทำหน้าที่ตัวเองต่อไป นั่นจะทำให้ Milas มีระยะยิงไกลสุดถึง 35 กิโลเมตร (ไม่รวมระยะยิงตอร์ปิโด) เรือรบสามารถให้ข้อมูลและเปลี่ยนแปลงเป้าหมายผ่านคลื่นวิทยุ จรวดต้นแบบสร้างเสร็จในปี 1989 แต่กว่าการทดสอบจะเสร็จสมบูรณ์เวลาก็ผ่านไปถึง 10 ปีเต็ม ทำให้กองทัพเรือฝรั่งเศสที่ตั้งใจจะนำมาใช้งานแทนจรวดปราบเรือดำน้ำ Malafon ของตัวเอง หมดความสนใจอาวุธชนิดนี้และขอถอนตัวออกไป ทว่าโครงการนี้ยังไม่ล้มเนื่องจากกองทัพเรืออิตาลีสั่งเดินหน้าต่อ กลางปี 2002 จรวด Milas ลูกแรกเข้าประจำการบนเรือพิฆาตต่อสู้อากาศยานชั้น Durand de la Penne แม้ว่า Milas จะใช้ท่อนหลังของ Otomat มาต่อท้าย แต่ก็มีความยาวมากกว่ากันพอสมควรคือ 6 เมตรกับ 4.46 เมตร ระบบแท่นยิงจรวดทั้งสองแบบจึงจึงไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ และระบบแท่นยิง  Milas มีเฉพาะรุ่นแท่นยิงเดี่ยวเท่านั้น โดยสามารถซ้อนกันได้ทำให้จำนวนจรวดไม่ลดลง

                                                   ซ้ายมือคือแท่นยิงแฝด Otomat  ขวามือคือแท่นยิงเดี่ยว Milas
                            
    Milas ประจำการบนเรือรบเพียง 2 ลำมานานพอสมควร กระทั่งเรือฟริเกตชั้น Bergamini หรือ FREMM เวอร์ชั่นอิตาลีทยอยเข้าประจำการ จรวดปราบเรือดำน้ำดาวหางสีแดงจึงได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติม เพื่อติดตั้งบนเรือชุดที่ทำหน้าที่ปราบเรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ ปริมาณสุงสุดที่เรือสามารถติดตั้งจรวด Milas ได้คือ 8 นัด แต่กองทัพเรืออิตาลีจะติดตั้งเพียง 4 นัดในยามปรกติ (ผู้เขียนเห็นแค่ 2 นัดด้วยซ้ำ) เพราะต้องติดตั้งแท่นยิงจรวดต่อสู้เรือรบ Otomat  Mk.2 เข้าไปด้วย  โครงการจรวดปราบเรือดำน้ำ Milas ที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 20 ปี มีเสน่ห์และความลึกลับน่าลุ่มหลงในตัวไม่เหมือนใคร เหมาะสมกับประเทศอิตาลีที่มีความอินดี้ทุกเรื่องกระทั่งช่วงทำสงคราม ปัจจุบัน Milas ได้ย้ายมาร่วมสังกัดกับบริษัท MBDA แล้ว แต่ผู้เขียนยังมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นลูกค้ารายใหม่ที่จะจัดหาไปใช้งาน จึงคาดว่าจะมีเรือรบเพียง 6 ลำเท่านั้นที่ติดตั้ง Milas Ship-Borne Anti-Submarine Weapon

Aspide Missile / Albatros missile launching system


    แม้อิตาลีจะสามารถพัฒนาอาวุธหลายชนิดได้ด้วยตัวเอง ทว่าบางส่วนเป็นการซื้อลิคสิทธิ์มาผลิตและปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจกระทั่งปัจจุบันหลายชาติก็ทำกัน เพราะเทคโนโลยีหลายชนิดต้องใช้เวลาพัฒนาและเม็ดเงินลงทุนมหาศาล อาวุธดังกล่าวจะได้รับการยอมรับและสามารถแจ้งเกิดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อซื้อลิคสิทธิ์มาแล้วพัฒนาต่อยอดได้มากน้อยแค่ไหน และมีหัวการค้าสามารถขายอาวุธให้กับประเทศอื่นๆมากน้อยแค่ไหนด้วย ซึ่งบริษัทผู้ผลิตอาวุธรวมทั้งรัฐบาลอิตาลีทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม

    จรวดต่อสู้อากาศยานเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อน อเมริกาเองยังต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกนับสิบๆปี กองทัพเรืออเมริกาประจำการจรวดต่อสู้อากาศยานรุ่นแรกตั้งแต่ปี 1953 ทว่าจรวด RIM-2 Terrier ที่มีความเร็ว 3 มัค ระยะยิงไกลสุด 32 กิโลเมตร ที่ระดับความสุง 8 หมื่นฟิต มีน้ำหนักรวมทั้งระบบมากถึง 127 ตัน กว่าพวกเขาจะพัฒนาระบบป้องกันเฉพาะจุดขนาดเบา (lightweight  point defense weapon) สำเร็จล่วงมาถึงปี 1976 จรวด RIM-7 Sea Sparrow หรือ Nato Sea Sparrow Missile หรือ NSSM คือจรวดต่อสู้อากาศยานประจำเรือรบแนวคิดใหม่ ที่ทำให้เรือรบขนาด 2,000 ตันมีความสามารถป้องกันภัยทางอากาศได้ทัดเทียมเรือรบขนาดใหญ่ในอดีต ผู้เขียนเคยลงบทความเกี่ยวกับจรวดรุ่นนี้ไว้นานพอสมควร เรามาอ่านทบทวนกันดูซักนิดก็ไม่เลวนะครับ

http://thaimilitary.blogspot.com/2014/10/rim-7-sea-sparrow.html

    อิตาลีมีความจำเป็นต้องใช้งานจรวดต่อสู้อากาศยานเฉกเช่นชาติอื่น บริษัท Selenia จึงได้ขอซื้อลิคสิทธิ์จรวด Sea Sparrow เพื่อนำมาปรับปรุงและผลิตให้กองทัพภายใต้ชื่อ  Aspide โดยในช่วงแรกเป็นการพัฒนาจรวดอากาศ-สู่-อากาศนำวิถีด้วยเรดาร์ สำหรับใช้งานกับเครื่องบินขับไล่ Aeritalia F-104S Starfighter กองทัพอากาศก่อน โดยนำโครงสร้างเดิมของ Sea Sparrow มาติดตั้งระบบค้นหาเป้าหมายและระบบขับเคลื่อนที่พัฒนาเอง ปรับปรุงระบบป้องกันการรบกวนคลื่นเรดาร์ให้ดียิ่งขึ้น เมื่อจรวด  Aspide Mk.1 เข้าประจำการจริงแล้วจึงได้พัฒนารุ่นใช้งานทางทะเลเพิ่มเติมภายใต้ชื่อ Albatros missile launching system ก่อนเข้าประจำการจริงในปี 1983 โดยมีทั้งรุ่นแท่นยิงแฝด 4 ที่พัฒนาเอง และแท่นยิงแฝด 8 ที่ซื้อลิคสิทธ์แท่นยิง Mk 29 ของอเมริกามาปรับปรุงเพิ่มเติม
  
  
    Albatros/Aspide เข้าประจำการในปี 1980 บนเรือฟริเกตอเนกประสงค์ขนาด 2,500 ตันชั้น Lupo ของกองทัพเรืออิตาลี ช่วงเวลาดังกล่าวมีความต้องการซื้อจรวดต่อสู้อากาศยาน Sea Sparrow จากทั่วโลก แต่เพราะว่าอยู่ในช่วงสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียตและสนธิสัญญาวอร์ซอ  สภาคองเกรสอเมริกาจึงอนุมัติให้ขายจรวดเฉพาะสมาชิกนาโต้และประเทศที่มีความสำคัญเท่านั้น ส่งผลให้ Albatros/Aspide ที่เพิ่งพัฒนาเสร็จขายดีมากจนถึงมากที่สุด มีลูกค้าที่ยอมควักเงินซื้อถึง 16 ประเทศทั้งที่สินค้ายังไม่พร้อมที่จะส่งมอบ กองทัพเรือไทยสั่งซื้อจรวดในปี 1984 เพื่อใช้งานร่วมกับแท่นยิง Albatros แฝด 8 บนเรือคอร์เวตชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์จำนวน 2 ลำ รวมทั้งประเทศจีนที่ท้ายสุดได้ขอซื้อลิคสิทธิ์ไปพัฒนาเป็นจรวดรุ่น LY-60 / FD-60 / PL10 ของตนเองต่อไป

    Aspide Mk.1 มีระยะยิงไกลสุด 14 กิโลเมตรน้อยกว่า Sea Sparrow ที่ยิงได้ไกลสุด 18.5  กิโลเมตร มีการพัฒนาปรับปรุงเป็นรุ่น Aspide Mk.2 ที่มีระบบนำวิถีดีมากยิ่งขึ้น และรุ่นล่าสุดในปัจจุบันคือ  Aspide 2000 ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่หมดในทุกด้าน ระยะยิงไกลสุดเพิ่มขึ้นเป็น 25 กิโลเมตร แต่ Aspide 2000 ขายได้น้อยมากคือขายดีเฉพาะรุ่นใช้งานบนบก ทราบมาว่ากองทัพเรืออิตาลีปรับปรุงเรือรบตนเองให้ใช้งาน  Aspide 2000 ได้ แต่ผู้เขียนไม่กล้ายืนยันว่ากี่ลำและลำไหนบ้างนะครับ ระบบ  Albatros/Aspide มีใช้งานอยู่บนเรือรบมากกว่า 70 ลำ ระหว่างปี 1980 ถึง 2000 อิตาลีติดตั้งบนเรือรบทุกลำที่ขนาดใหญ่กว่า 1,200 ตัน รวมทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินด้วย

       เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำขนาด 3,100 ตันชั้น  Maestrale ได้รับการติดตั้ง Albatros/Aspide เช่นกัน แม้จะมีภารกิจปราบเรือดำน้ำเป็นหลัก แต่เรือถูกออกแบบให้มีแมกกาซีนสำรองใส่จรวดได้มากสุดถึง 16 นัด ระบบกลไกจะยกแมกกาซีนทั้งชุดขึ้นบนดาดฟ้า แล้วจึงโหลดจรวดเข้าแท่นยิงจากด้านหลัง ทำให้เรือฟริเกตชั้นนี้มีจรวดต่อสู้อากาศยาน  Aspide มากถึง 24 นัด  เรือชั้น Maestrale จึงเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำทรงอานุภาพมากที่สุดลำหนึ่งของนาโต้ จริงอยู่ว่าประเทศอื่นก็มีระบบแมกกาซีนสำรองสำหรับ Sea Sparrow จำนวน 16 นัดเช่นกัน แต่จะติดตั้งอยู่บนเรือฟริเกตต่อสู้อากาศยานขนาดใหญ่เท่านั้น เรือชั้น  Maestrale ยังมีปืนใหญ่ขนาด 127/54 มม.จำนวน 1 กระบอก ระบบป้องกันระยะประชิด DARDO 40/70 มม.แท่นคู่จำนวน 2 กระบอก จรวดต่อสู้เรือรบ Otomat Teseo Mk2 จำนวน 8 นัด ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำขนาด 324 มม.จำนวน 6 ท่อยิง ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำขนาด 533 มม.จำนวน 2 ท่อยิง พร้อมลูกตอร์ปิโด A184 จำนวน 8 นัด ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลางที่ทันสมัย ระบบสงครามอิเลคทรอนิกส์รุ่นใหม่ เรดาร์ควบคุมการยิงจำนวน 3 ระบบ โซนาร์หัวเรือขนาดใหญ่และโซนาร์ลากท้าย DE 1146 VDS ระบบเป้าลวงจรวดและเป้าลวงตอร์ปิโด รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำอีก 2 ลำ



   40L70 Compact / Fast Forty and Other Variations Anti-aircraft Guns

    ต้นทศวรรษที่ 60 กองทัพเรืออิตาลีต้องการปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นใหม่ทดแทนปืน  Bofors 40/60 mm จากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางเลือกของพวกเขาคล้ายคลึงกับอีกหลายสิบชาติคือใช้ปืน  Bofors 40/70 mm ที่ใหม่กว่าทันสมัยกว่ามีประสิทธิภาพสุงกว่า โดยให้บริษัท OTOBreda (Oto Melara และ Breda Meccanica Bresciana) พัฒนาป้อมปืนกับระบบควบคุมให้สอดคล้องกับความต้องการ ระบบปืนในรุ่นแรกๆยังคงใช้ป้อมปืนแบบเปิดด้านบนครึ่งตัว มีทั้งรุ่นควบคุมการยิงด้วยมือหรือใช้เรดาร์ควบคุมการยิงได้ โดยรุ่น Type 64 และ Type 107 จะใช้ลำกล้องแฝด ส่วน Type 107 และ Type 564 เป็นรุ่นลำกล้องเดี่ยว นอกจากกองทัพเรืออิตาลีแล้วยังสามารถส่งออกได้ด้วย เพียงแต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมีลูกค้ามีจำนวนไม่กี่ประเทศ เช่น สเปน เปรู อิรัค อิยิปต์
 

 
    แม้จะสามารถผลิตปืนต่อสู้อากาศยานได้เองก็ตาม แต่กองทัพเรืออิตาลีก็ยังต้องการอาวุธที่ทันสมัยมากกว่านี้ เนื่องจากภัยคุกคามทางอากาศทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาวุธรุ่นใหม่อย่างจรวดต่อสู้เรือรบก็มีแนวโน้มที่จะเป็นภัยร้ายแรงมาก ระบบปืนรุ่นใหม่จะต้องใช้ป้อมปืนแบบปิดทั้งหมด ระบบแมกกาซีนอัตโนมัติและกระสุนจำนวนมากด้านใต้ดาดฟ้าเรือ สามารถใช้ได้กับเรดาร์ควบคุมการยิงรุ่นใหม่หลายรุ่น และกำหนดให้เป็นระบบป้องกันระยะประชิดรุ่นหนึ่งด้วย เพียงแต่ระบบไม่ได้ทำงานอัตโนมัติทั้งหมดเหมือน Phalanx ของอเมริกา โครงการ DARDO เริ่มต้นพัฒนาทันทีกระทั่งสร้างปืนต้นแบบสำเร็จในปี 1976 ผลการทดสอบโอกาสที่ปืนจะยิงสกัดจรวดต่อสู้เรือรบได้อยู่ที่ 30 เปอร์เซนต์ เป็นตัวเลขที่ไม่เลวเลยเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ต้องจ่าย

    OTOBreda 40L70 DARDO ได้รับการพัฒนาเพื่อขายจำนวน 2 รุ่นคือ Compact ยิงได้เร็วสุด 600 นัดต่อนาที และ Fast Forty ยิงได้เร็วสุด 900 นัดต่อนาที และยังติดตั้งระบบแมกกาซีน 2 ชุดสามารถเปลี่ยนชนิดกระสุนได้อย่างรวดเร็ว หลังการเปิดตัวได้ไม่นาน DARDO ก็สามารถทำตลาดได้ทั่วโลก เพราะใช้พื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือไม่มากหรือจะเลือกแบบไม่ใช้เลยก็ได้ ราคาไม่แพงมากใช้งานง่ายประสิทธิภาพสุง กองทัพเรืออิตาลีติดตั้งบนเรือรบสำคัญทุกลำรวมทั้งเรือตรวจการณ์ขนาดเล็กจำนวนมาก DARDO มีประจำการอยู่ในกองทัพเรือมากกว่า 20 ชาติรวมทั้งราชนาวีไทย บนเรือหลวงมกุฎราชกุมาร เรือชั้นเรือหลวงรัตนโกสินทร์จำนวน 2 ลำ และเรือชั้นเรือหลวงชลบุรีจำนวน 3 ลำ ผู้เขียนเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นุร่น Compact ที่มีราคาไม่แพงนัก





         OTOBreda ยังมีระบบปืนลำกล้องเดียวรุ่น ใหม่คือ Type 520 และ Type 520R ขายด้วย รวมทั้งพัฒนา DARDO รุ่นใหม่ที่มีการปรับปรุงทั้งตัวปืนและป้อมปืนให้ทันสมัยมากกว่าเดิม แต่ทั้งหมดไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรคือแทบไม่มีลูกค้าเลย ปัจจุบันกองทัพเรืออิตาลีเลือกใช้งานปืนขนาด 76/62 แทน DARDO ในหน้าที่ป้องกันเรือระยะประชิด เมื่อประเทศตัวเองไม่สั่งซื้อทำให้มองอนาคตได้ไม่ยาก บริษัทผู้ผลิตก็รู้ดีว่าอาวุธเสื่อมความนิยม จึงได้หันไปพัฒนาระบบ Remote Weapon System (RWS) รุ่น  Marlin WS 30 ขึ้นมาขาย ติดตั้งปืนกลขนาด 25-30 มม.ตามความต้องการของลูกค้า  ป้อมปืนกระทัดรัดพร้อมอุปกรณ์ช่วยเล็งควบคุมด้วยรีโมท Marlin WS ได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากจากกองทัพเรืออิตาลีรวมทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ ส่งผลให้ DRADO รุ่นใหม่แทบไม่เหลือที่ยืนอีกต่อไป



Heavyweight and Lightweight Torpedoes

     ปี 1971 กระทรวงกลาโหมอิตาลีต้องการตอร์ปิโดขนาด 533 มม.รุ่นใหม่ ที่มีความสามารถต่อกรได้ทั้งเป้าหมายบนผิวน้ำและใต้น้ำ ภายใต้การออกแบบและพัฒนาโดยบริษัท Whitehead Alenia Sistemi Subacquei หรือ WASS (ต่อมาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Finmeccanica ในปี 1995) โครงการตอร์ปิโดนำวิถีด้วยเส้นใยไฟเบอร์ออปติค  A184 จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1974 และเข้าประจำการกองทัพเรืออิตาลีในเวลาต่อมา A184 Dual-purpose wire-guided heavyweight torpedo สามารถติดตั้งได้ทั้งกับเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำ มีความยาว 6 เมตร หนัก 1,265 กิโลกรัม ระยะยิงไกลสุด 25 กิโลเมตรที่ความเร็ว 24 น๊อต  และ 17 กิโลเมตรที่ความเร็วสุงสุด 36 น๊อต อิตาลีใช้งานทั้งบนเรือดำน้ำและเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ โดยมีลูกค้าหลงเข้ามาเพียงรายเดียวคือเปรู

    หลังจาก A184 เข้าประจำการ 20 ปีเต็ม WASS จึงได้เปิดตัวตอร์ปิโดรุ่นใหม่ทดแทนโดยใช้ชื่อว่า Black Shark ขณะเดียวกันก็ยังมี A184 Mod3 ขายให้กับประเทศที่ต้องการตอร์ปิโดราคาไม่แพง แต่ไม่แน่ใจว่าจะยังขายอีกนานแค่ไหนนะครับ Black Shark ใช้เทคโนโลยีใหม่หมดรูปร่างแตกต่างไปจากเดิม เข้าประจำการในปี 2004 และขายได้ดีกว่ารุ่น  A184 พอสมควร โดยมีลูกค้าถึง 6 ชาติจัดหาไปใช้งาน Black Shark ยาว 6.3 เมตร หนัก 1,483 กิโลกรัม ระยะยิงไกลสุด 75 กิโลเมตรที่ความเร็ว 12 น๊อต และ 22 กิโลเมตรที่ความเร็วสุงสุด 52 น๊อต (ข้อมูลจากวิกิระบุว่าระยะยิงไกลสุด 50 กิโลเมตร แต่ไม่ทราบความเร็ว) ตอร์ปิโดรุ่นใหม่ออกแบบให้ใช้งานกับเรือดำน้ำเท่านั้น  อาจเป็นเพราะความนิยมติดตั้งตอร์ปิโดขนาด 533 มม.บนเรือผิวน้ำลดน้อยลงไปมาก


    WASS ยังได้พัฒนาตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำขนาด 324 มม.เช่นกัน โครงการ  A244-S Lightweight torpedo เริ่มต้นช่วงปลายทศวรรษที่ 70 และเข้าประจำการในปี 1982 ตอร์ปิโดรุ่นใหม่มีความยาว 2.75 เมตร หนัก 254 กิโลกรัม ความเร็วสุงสุด 30 น๊อต ระยะยิงไกลสุด 6 กิโลเมตรสำหรับรุ่น  Mod1 และ 13.5 กิโลเมตรสำหรับรุ่น  Mod3 สามารถติดตั้งบนอากาศยานรุ่นต่างๆได้โดยไม่มีปัญหา ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจากแดนมักกะโรนีได้รับความนิยมสุงมาก มียอดผลิตรวมจนถึงปัจจุบันมากกว่า 1,000 นัด โดยมีกองทัพเรือจำนวน 23 ชาติจัดหาไปใช้งาน รวมทั้งจีนที่ได้ขอซื้อลิคสิทธิ์ไปพัฒนาเป็นตอร์ปิโดรุ่น ET52 ของตัวเองต่อไป ปัจจุบัน A244-S Mod3 ยังคงขายได้เรื่อยๆแต่ไม่มากนัก ทั้งยังได้ลูกค้าใหม่เพิ่มเติมอาทิเช่น บังคลาเทศ ส่วนทางด้านกองทัพเรืออิตาลีเหลือใช้งานน้อยเต็มที เพราะถูกแทนที่โดยของใหม่เอี่ยมราคาแพงคือ MU90 Impact ตอร์ปิโดยุคที่ 3 จาก EuroTorp เช่นกัน


127/54 Compact and 127 mm/64 LW Naval Guns

    เมื่อกองทัพเรืออิตาลีผุดโครงการเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศชั้น Audace ขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 60  พวกเขาต้องการปืนใหญ่เรือขนาดที่เหมาะสมกับเรือขนาด 4,500 ตันด้วย ประมาณต้นปี 1965 บริษัท OTOBreda ได้นำปืนใหญ่เรือขนาด 127/54 มม.จากอเมริกา มาปรับปรุงและติดตั้งในป้อมปืนและระบบแมกกาซีนที่ออกแบบใหม่หมด ปืนใหญ่ 127 mm/54 Compact เข้าประจำการในอีก 3 ปีต่อ ขณะที่ปืนใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดของอเมริกาคือ 127/54 Mk 45 เข้าประจำการในปี 1971 คือห่างกันแค่เพียง 3 ปี เมื่อนำระบบปืนทั้งสองรุ่นมาเปรียบเทียบกันแล้ว ปืนจากอิตาลีจะมีขนาดใหญ่กว่าและน้ำหนักมากกว่าพอสมควร แต่ก็มีอัตรายิงสุงสุดมากกว่าคือ 40 นัดกับ 20 นัดต่อนาที และมีระยะยิงไกลสุดมากกว่าด้วยคือ 30 กิโลเมตรกับ 24 กิโลเมตร


    127 mm/54 Compact ขายดีพอสมควรทั้งที่มีคู่แข่งเยอะมากคือ 10 ประเทศจำนวนรวม 65 กระบอก ช่วงเวลานั้นนอกจาก 127/54 Mk 45 ของอเมริกาแล้ว ยังมี 4.5 inch Mark 8 ของอังกฤษ และ 100 mm naval gun จากฝรั่งเศสด้วย ในปี 1985 OTOBreda ยังได้พัฒนา 127 mm/54 LW (Light Weight) ขึ้นมาอีกรุ่น เพื่อใช้งานกับเรือรบขนาดต่ำกว่า 2,000 ตันได้ด้วย มีน้ำหนักรวมลดลงจาก 37.5 ตันมาเป็น 22 ตัน จำนวนกระสุนพร้อมใช้งานลดลงจาก 66 นัดเป็น 20-40 นัดกองทัพเรืออิตาลีนำมาติดตั้งกับเรือฟริเกตเบาชั้น Soldati ซึ่งก็คือเรือชั้น Lupo ที่อิรัคได้สั่งซื้อจำนวน 4 ลำ แต่ทว่าเมื่อเกิดสงครามอิรัค-อิหร่านขึ้น เรือจึงเข้าประจำการกับกองทัพเรืออิตาลีแทนในที่สุด

    วันเวลาผ่านไป อาวุธที่ทันสมัยก็เริ่มเก่าและกลายเป็นของตกรุ่น ปืนใหญ่เรือก็เป็นอีกหนึ่งที่ไม่พ้นคำกล่าวข้อนี้ เมื่อ 127 mm/54 Compact เริ่มล้าสมัยมากขึ้น อิตาลีจึงต้องการปืนรุ่นใหม่มาทดแทนในการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่ โครงการ 127/64 LW เริ่มเดินหน้าเต็มตัวในปี 2005 และสามารถเข้าประจำการในปี 2012 เป็นปืนใหญ่เรือยุคใหม่สามารถยิงเป้าหมายผิวน้ำและเป้าหมายอากาศยานได้ ใช้กระสุนรุ่นใหม่จากค่ายนาโต้ได้ทุกชนิด รวมทั้งกระสุนต่อระยะนำวิถี Vulcano ที่อิตาลีพัฒนาขึ้นมาเองซึ่งมีระยะยิงไกลสุดมากถึง 120 กิโลเมตร ลำกล้องปืนยาวขึ้นขนาดป้อมปืนใกล้เคียงกัน แต่น้ำหนักรวมทั้งระบบลดลงมาเหลือเพียง 33 ตัน อัตรายิงสุงสุดลดลงนิดหน่อยที่ 35 นัดต่อนาที ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานทั้งระบบ ออกแบบป้อมปืนลดการตรวจจับจากเรดาร์


    ปืนรุ่นใหม่ได้รับคำสั่งซื้อจากอิตาลี เยอรมัน อินเดีย และอัลจีเรียแล้ว และอาจรวมลูกค้าเก่าแคนาดากับโครงการ Canadian Surface Combatant (CSC) ในอนาคตข้างหน้า OTOBreda127/64 LW และกระสุน Vulcano ยังคงมีอนาคตอยู่ในตลาดโลก ยอดขายอาจไม่มากเหมือนเดิมแต่ก็ยังขายได้เรื่อยๆ ต่างจาก 4.5 inch Mark 8 ของอังกฤษ และ 100 mm naval gun จากฝรั่งเศส ที่แม้กระทั่งประเทศตนเองก็ไม่เลือกใช้งานอีกต่อไป

Otomat Medium-range anti-ship missile

     ระบบอาวุธท้ายสุดในบทความนี้คือจรวดต่อสู้เรือรบระยะกลาง Otomat  โครงการเริ่มต้นในปี 1967 โดยเป็นการร่วมพัฒนาระหว่าง Oto Melara ของอิตาลีกับ Matra ของฝรั่งเศส (หรือ MBDA ในปัจจุบัน) ซึ่งชื่อโครงการ Otomat ก็มาจาก OTO Melara+ MATra นั่นเอง จรวดตามคอนเซปแรกสุดจะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบแฟน เพื่อเพิ่มระยะยิงให้ไกลขึ้นและสามารถใส่หัวรบขนาดใหญ่ขึ้น ได้เริ่มทดสอบจรวดต้นแบบในปี 1971 ก่อนเสร็จสมบรูณ์ในปี 1974 ทว่ายังไม่ทันเริ่มผลิตจริงก็พบปัญหาขนาดใหญ่เสียแล้ว เมื่อกองทัพเรือฝรั่งเศสตัดสินใจเลือกจรวดต่อสู้เรือรบ Exocet ของ Nord Aviation เข้าประจำการ Oto Melara จึงต้องพัฒนาโครงการร่วมนี้แต่เพียงลำพัง

    Otomat  Mk1 เริ่มเข้าประจำการจริงในปี 1976 บนเรือฟริเกตอเนกประสงค์ชั้น Lupo อาวุธใหม่เอี่ยมใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ท ยาว 4.46 เมตร หนัก 770 กิโลกรัม หัวรบหนัก 210 กิโลกรัม ระยะยิงไกลสุด 60 กิโลเมตร ความเร็ว 0.9 มัค ระบบแท่นยิงเดี่ยวเป็นกล่องไฟเบอร์กลาสทรงเหลี่ยมวางมุม15 องศา เพียงเปิดตัวในปีแรกก็สามารถขายจรวดได้แล้วถึง 210 นัด Oto Melara จึงมีกำลังใจเร่งพัฒนา Otomat  Mk2  Block I สำเร็จในอีก 2 ปีต่อมา จรวดรุ่นที่ 2 สามารถยิงได้ไกลถึง 180 กิโลเมตร เพราะมีระบบ Datalink สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างจรวดกับเรือรบและเฮลิคอปเตอร์ได้ ทำให้สามารถยิงเป้าหมายข้ามเส้นขอบฟ้าได้อย่างมีประเสิทธิภาพ จรวดรุ่นใหม่สามารถพับปีกได้จึงใช้พื้นที่จัดเก็บน้อยลง Oto Melara ออกแบบให้ใส่จรวด 2 นัดในกล่องไฟเบอร์กลาสทรงสี่เหลี่ยมเกือบจตุรัสได้ นับเป็นระบบแท่นยิงแฝดที่มีรูปทรงแปลกตาที่สุดในสามโลก


                                                                  แท่นยิงเดี่ยว Otomat  Mk1
   
   
                          
                                                                Otomat  Teseo Mk2 Block IV

    Otomat มีการพัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลา จนถึงรุ่นปัจจุบันคือ Teseo Mk2 Block IV ซึ่งใช้ระบบค้นหาเป้าหมายรุ่นใหม่ ระบบสร้างภาพ 3 มิติใหม่ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียวใหม่ สามารถโจมตีเป้าหมายบนชายฝั่งได้ มีลูกค้า 10 ชาติจัดหา Otomat ไปใช้งาน โดยมียอดขายรวมทั้งหมด 1019 นัด (ไม่รวมจรวดต่อสู้เรือดำน้ำ Milas) นับเป็นอาวุธจากอิตาลีอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมสุงมาก ปัจจุบัน Otomat อยู่ภายใต้สังกัด  MBDA เช่นเดียวกับจรวด Exocet ผู้เขียนไม่ทราบเรื่องการจัดวางตำแหน่งสินค้า แต่เวลาขายจริงคงมีการทับไลน์กันบ้างไม่มากก็น้อย

    Oto Melara ได้ริเริ่มโครงการ Teseo Mk 3 หรือโครงการ Ulisee ในปี 1993 จรวดมีหน้าตาแปลกไปจนดูคล้ายหัวฉลาม มีการปรับปรุงใหม่หมดทุกจุด ระยะยิงไกลสุด 300 กิโลเมตร และสามารถใช้งานบนอากาศยานได้ด้วย ปี 1996 กองทัพเรืออเมริกาให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการนี้ มีการเซ็นสัญญาและกำหนดเข้าประจำการในปี 2003-2005 ทว่าในปี 1999 กองทัพเรืออเมริกาตัดสินใจถอนตัว ทำให้โครงการ Ulisee ต้องยกเลิกในท้ายที่สุด


    อาวุธใช้งานทางทะเลของอิตาลียังมีอีกหลากหลายชนิด อาทิเช่น ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ MU-90 จรวดต่อสู้อากาศยาน  ASTER 15/30 แต่เนื่องจากเป็นโครงการร่วมหลายชาติจึงไม่ได้เขียนถึง นอกจากนี้แล้ว เรือรบรุ่นต่างๆทั้งเก่าและใหม่ ระบบเรดาร์ตรวจการณ์และควบคุมการยิง อากาศยานปีกแข็งและปีกหมุน รวมทั้งอาวุธยุทธปัจจัยอื่นๆจากอิตาลีล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้เขียนตั้งใจจะเขียนถึงอีกครั้งในอนาคตที่ไม่แน่นอนของตัวเอง เจอกันใหม่บทความหน้าขอบคุณครับ
   
           ----------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก


http://www.navweaps.com/Weapons/WNIT_Main.php
http://www.navweaps.com/Weapons/WAMIT_ASW.php
http://www.seaforces.org/marint/Italian-Navy/Frigate/Centauro-class.htm
http://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Oto-Melara-76mm-Allargato.htm
https://en.wikipedia.org/wiki/Albatros-class_corvette
http://forum.worldofwarships.com/index.php?/topic/8441-albatros-class-corvettes-1950s/
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_decommissioned_ships_of_the_Italian_Navy
https://en.wikipedia.org/wiki/76mm/L62_Allargato
http://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Oto-Melara-76mm-compact-super-rapid.htm
http://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Otomat-Teseo-SSM.htm
http://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Albatros-missile-launcher.htm
https://en.wikipedia.org/wiki/Aspide
http://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Oto-Melara-40L70-DARDO.htm
https://it.wikipedia.org/wiki/A184
http://www.naval-technology.com/contractors/missiles/whitehead/
https://en.wikipedia.org/wiki/Otomat#Developments
https://en.wikipedia.org/wiki/A244-S
http://www.seaforces.org/wpnsys/SURFACE/Oto-Melara-127mm-64caliber-gun.htm
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_active_Italian_Navy_ships


           ----------------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Republic of Korea Navy and Japan Maritime Self-Defense Force Part II


กองทัพเรือเกาหลีใต้และกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่นภาค 2

    หลังจากที่ผู้เขียนได้เขียนถึงกองทัพเรือเกาหลีใต้ไว้เมื่อหลายเดือนก่อน จากนั้นก็หายไปทำโน่นนั่นนี่จนสาแก่ใจตัวเอง(หรือเปล่า) บัดนี้ถึงเวลาอันควรแล้ว ที่จะเอางานดองชิ้นนี้มาจัดการต่อให้เสร็จสมบรูณ์ ก่อนอื่นเราไปทบทวนเรื่องเก่าจากบทความเดิมกันก่อนนะครับ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดจะเป็นของกองทัพเรือเกาหลีใต้ แล้วต่อด้วยกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นในบทความนี้กันเลยครับ

http://thaimilitary.blogspot.com/2015/08/republic-of-korea-navy-and-japan.html


  
Japan Maritime Self-Defense Force 

    กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น หรือ Japan Maritime Self-Defense Force หรือ JMSDF ได้ถือกำเนิดในปี 1954 พูดง่ายๆก็คือกองทัพเรือญี่ปุ่นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นจึงต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้แทน JMSDF มีขนาดใหญ่กว่ากองทัพเรือเกาหลีใต้อยู่พอสมควร มีเรือรบและเรือช่วยรบน้อยใหญ่เข้าประจำการถึง 154 ลำ และอากาศยานทุกชนิดรวมกันถึง 346 ลำด้วยกัน (ไม่รวมหน่วยามฝั่งญี่ปุ่นที่แยกออกไปต่างหาก) ซึ่งถ้านับเฉพาะเรือรบและเรือช่วยรบที่สำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วย

       - เรือดำน้ำโจมตี จำนวน 17 ลำ
       - เรือพิฆาตบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ดาดฟ้าเรียบ (หรือเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์) จำนวน 4 ลำ
       - เรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศ จำนวน 8 ลำ
       - เรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำ จำนวน 18 ลำ
       - เรือพิฆาตอเนกประสงค์ (หรือเรือฟริเกต) จำนวน 11 ลำ
       - เรือพิฆาตคุ้มกัน (หรือเรือคอร์เวต) จำนวน 6 ลำ
       - เรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบ จำนวน 3 ลำ
       - เรือกวาดทุ่นระเบิด จำนวน 27 ลำ
       - เรือตรวจการณ์อาวุธนำวิถี จำนวน 6 ลำ
       -เรือฝึกแบบต่างๆ จำนวน 8 ลำ (รวมเรือดำน้ำฝึกหัดจำนวน 2 ลำ)
       - เรือสนับสนุนขนาดใหญ่แบบต่างๆ จำนวน 22 ลำ

เรือดำน้ำโจมตี

    กองเรือดำน้ำญี่ปุ่นในปัจจุบันมีเรือเข้าประจำการรวมจำนวน 17 ลำ แบ่งเป็นเรือดำน้ำชั้น Oyashio  จำนวน 11 ลำ ทว่าในปี 2015 เรือ SS-590 Oyashio ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเรือฝึก ปัจจุบันจึงเหลือแค่เพียง 10 ลำ เรือทั้งหมดต่อขึ้นโดยอู่ต่อเรือ Kawasaki และ Mitsubishi ระหว่างปี 1994 ถึง 2008 เรือชั้น Oyashio มีความยาว 81.7 เมตร กว้าง 8.9 เมตร ระวางขับน้ำสุงสุดขณะดำ 4,000 ตัน ติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533 มม.จำนวน 6 ท่อยิง สำหรับตอร์ปิโด Type 89 และจรวดต่อสู้เรือรบ UGM-84 Harpoon ใช้เครื่องยนต์ดีเซลและระบบโซนาร์ที่พัฒนาเองหรือร่วมพัฒนากับต่างชาติ ความเร็วสุงสุดผิวน้ำ 12 นอต ความเร็วสุงสุดใต้น้ำ 20 นอต
   
    เรือดำน้ำอีกรุ่นที่ใหม่กว่า ใหญ่กว่า และทันสมัยกว่าคือ เรือดำน้ำชั้น Soryu ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงของเรือชั้น Oyashio ให้ทันสมัยมากขึ้น โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2005 โดยมีแผนที่จะต่อเรือทั้งหมดจำนวน 12 ลำและเข้าประจำการแล้วจำนวน 7 ลำ นั่นจะทำให้กองเรือมีเรือดำน้ำโจมตีรวมทั้งสิ้น  22 ลำ เรือดำชั้น Soryu มีความยาว 84 เมตร กว้าง 9.1 เมตร ระวางขับน้ำสุงสุดขณะดำ 4,200 ตัน เรือเฟสแรกจำนวน 6 ลำได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อน AIP แบบ Sterling Engine รุ่น Kawasaki Kockums V4-275R จึงสามารถปฏิบัติการใต้น้ำได้มากกว่าเดิม 3 ถึง  5 เท่า (ที่ความเร็วต่ำมากคือประมาณ 4 น๊อต) เรือเฟสต่อไปจำนวน 6 ลำจะยกเลิกระบบขับเคลื่อน AIP แบบ Sterling และเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่เรือดำน้ำแบบ Lithium Ion แทนการใช้แบตเตอรี่แบบ lead–acid ทำให้ราคาต่อเรือต่อลำสุงขึ้นกว่าเดิมประมาณ 18 เปอร์เซนต์ (จาก 16,000 ล้านบาทเป็น 19,000 ล้านบาท) ญี่ปุ่นได้เสนอแบบเรือ Soryu ในโครงการจัดหาเรือดำน้ำรุ่นใหม่ของออสเตรเลียด้วย แต่ผลการตัดสินที่เพิ่งออกมาสดๆร้อนๆทำให้ญี่ปุ่นต้องอกหัก เพราะผู้ที่ได้รับการคัดเลือกในโครงการนี้คือ แบบเรือ Shortfin Barracuda จากฝรั่งเศส



เรือพิฆาตบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ดาดฟ้าเรียบ

    JMSDF ประจำการเรือพิฆาตบรรทุกเฮลิคอปเตอร์มาตั้งยุคทศวรรษที่ 70 ประกอบไปด้วยเรือชั้น Haruna จำนวน 2 ลำและเรือชั้น Shirane อีก 2 ลำ โดยปรับปรุงจากแบบเรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำมาขยายความยาวของลานจอดและโรงเก็บอากาศยาน ทำให้สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด 10 ตันได้ 4 ลำ เรือติดตั้งระบบอาวุธป้องกันตัวครบครันทั้ง 3 มิติ จึงสามารถทำการรบได้อย่างอิสระเฉกเช่นเรือรบทั่วไป เรือพิฆาตบรรทุกเฮลิคอปเตอร์มีความสำคัญมากในภารกิจปราบเรือดำน้ำ เพราะพื้นที่รับผิดชอบของ JMSDF มีขนาดใหญ่และกว้างขวางมาก มีการตรวจพบการรุกล้ำเข้าน่านน้ำหวงห้ามจากเรือดำน้ำไม่ปรากฎสัญชาติอยู่บ่อยครั้ง จำเป็นที่จะต้องมีเรือรบขนาดใหญ่บรรทุกอากาศยานได้หลายลำเข้าประจำการ

    เรือชั้น Haruna และ Shirane น่าจะเป็นเรือในอุดมคติของผู้อ่านหลายท่านรวมทั้งผู้เขียนด้วย เพราะได้ติดตั้งระบบอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆชนิดแน่นเอี๊ยดเต็มลำ เมื่อวันเวลาผ่านไปยุทธวิธีในการรบก็เปลี่ยนแปลงไป การจัดหาเรือตามแผนยุทธศาสตร์จึงต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เมื่อพิฆาตบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 4 ลำถึงเวลาต้องปลดประจำการ JMSDF ได้ตั้งโครงการเรือพิฆาตบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ดาดฟ้าเรียบขึ้นมา ผู้อ่านจะเรียกว่าโครงการจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ก็ได้นะครับ เพียงแต่ญี่ปุ่นตั้งชื่อเรียกเรือให้แตกต่างออกไปเท่านั้นเอง นัยว่าไม่ให้ผิดไปจากรัฐธรรมนูญของตัวเอง ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างคงต้องคุยกันอีกยาว  และถ้าผู้อ่านยังสับสนว่าเรือที่กำลังพูดถึงมันเป็นอย่างไรกันแน่ ได้โปรดนึกถึงภาพเรือหลวงจักรีนฤเบศที่ไม่มีลานสกีจั๊มพ์เข้าไว้ครับ

    วันที่ 18 มีนาคม 2009 เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ชั้น Hyuga ลำแรกคือ DDH-181 Hyuga เข้าประจำการ เรือลำที่ 2 คือ DDH-182 Ise เข้าประจำการในวันที่ 16 มีนาคม 2011 เรือชั้น Hyuga มีความยาว 197 เมตร กว้าง 33 เมตร กินน้ำลึก 7 เมตร ระวางขับน้ำเต็มที่ 19,000 ตัน มีความกว้างและยาวมากกว่าเรือหลวงจักรีนฤเบศนิดหน่อย ทว่ามีระวางขับน้ำสุงสุดมากกว่ากันอยู่พอสมควร ที่น่าสนใจมากก็คือ ระบบเรดาร์และอาวุธต่างๆที่ติดตั้งอยู่บนเรือชั้นนี้มาแบบครบเครื่อง เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ในอุดมคติของผู้อ่านหลายท่านรวมทั้งผู้เขียนอีกแล้ว ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ OPS-50 AESA และเรดาร์ควบคุมการยิง FCS-3A ที่พัฒนาเอง ระบบป้องกันตัวระยะประชิด Phalanx CIWS จำนวน 2 ระบบ ระบบท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS จำนวน 16 ท่อยิง สำหรับจรวดปราบเรือดำน้ำ RUM-139 VL ASROC จำนวน 12 นัด และจรวดต่อสู้อากาศยานระยะกลาง ESSM จำนวน 16 นัด แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสามขนาด 324 มม.จำนวน 2 แท่นยิง พร้อมระบบเป้าลวงจรวดต่อสู้เรือรบและระบบเป้าลวงตอร์ปิโด
 

    เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ชั้น Hyuga ออกแบบมาเพื่อภารกิจปราบเรือดำน้ำ รวมทั้งการช่วยเหลือผู้ประสบภัย การอพยพคนจากภัยสงคราม และเป็นฐานบินกลางทะเลได้อีกด้วย สามารถบรรทุกอากาศยานได้สุงสุด 18 ลำ ประจำการด้วยเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำรุ่น SH-60K Seahawk และเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงรุ่น  MCH101 ซึ่งในปีนี้เองเรือ DDH-182 Ise ได้ออกปฎิบัติการจริงร่วมกับเครื่องบินปีกหมุนแบบเอียงรุ่น V-22 Osprey ของอเมริกา ในภารกิจลำเลียงความช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่เมืองคุมาโมโตะ ญี่ปุ่นเป็นลูกค้ารายแรกที่สั่งซื้อเครื่องบิน V-22B Block C Osprey จำนวน 17 ลำ มีมูลค่ารวมทั้งโครงการอยู่ที่ 3 พันล้านเหรียญ เครื่องบินเฟสแรกจำนวน 5 ลำมูลค่า 332 ล้านเหรียญ จะสามารถจัดส่งให้ญี่ปุ่นได้ในเดือนมิถุนายน 2018 เครื่องบินอเนกประสงค์รุ่นใหม่สามารถลงลิฟท์ขนส่งของเรือชั้น Hyuga ได้อย่างพอดี

    เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำถัดไปคือเรือชั้น Izumo มีการจัดหาเข้าประจำการจำนวน 2 ลำเช่นกัน เรือลำแรก DDH-183 Izumo เข้าประจำการวันที่ 25 มีนาคม 2515 ส่วนเรือลำที่ 2 DDH-184 Kaga ทำพิธีปล่อยลงน้ำวันที่ 27 สิงหาคม 2015 และพร้อมเข้าประจำการในเดือนมีนาคม 2017 เรือชั้น Izumo มีความยาว 248 เมตร กว้าง 38 เมตร กินน้ำลึก 7.5 เมตร ระวางขับน้ำเต็มที่ 27,000 ตัน สามารถบรรทุกอากาศยานได้ 28 ลำ มีขนาดใหญ่กว่าเรือชั้น Hyuga แบบบังกันมิด ติดตั้งระบบเรดาร์ต่างๆใกล้เคียงกันมากแต่ใช้ระบบอาวุธแตกต่างออกไป เพราะมีเพียงระบบป้องกันตัวระยะประชิด Phalanx CIWS จำนวน 2 ระบบ และระบบป้องกันตัวระยะประชิด SeaRam CIWS จำนวน 2 ระบบ ผู้เขียนเข้าใจว่ามีพื้นที่รองรับระบบท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS อยู่แล้ว ระบบเรดาร์ควบคุมการยิงก็รองรับจรวดต่อสู้อากาศยาน ESSM อยู่แล้ว ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีการติดตั้งในภายหลังหรือไม่ 

    เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำแรกสุดเพิ่งเข้าประจำการในปี 2009 ก็จริง ทว่าโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ปลายทศวรรษที่ 50 JMSDF ได้เริ่มต้นโครงการสำคัญภายใต้ชื่อ CVH Project โดยได้ออกแบบเรือขึ้นมาจำนวน 2 แบบเรือคือ CVH-A ระวางขับน้ำสุงสุด 23,000 ตัน สามารถบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ HSS-2 Sea Kings จำนวน 18 ลำ และเครื่องบินลาดตระเวนปราบเรือดำน้ำ S2F Trackers จำนวน 6 ลำ แบบเรือที่ 2 คือ CVH-B มีความยาว 166.5 เมตร กว้าง 26.5 เมตร กินน้ำลึก 6.5 เมตร ระวางขับน้ำเต็มที่ 14,000 ตัน  สามารถบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ HSS-2 Sea Kings จำนวน 18 ลำ โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อคุ้มกันกองขบวนเรือสินค้า จากเรือดำน้ำโจมตีรุ่นใหม่ของโซเวียตคือ Type XXI (Whisky และ Foxtrot) โดยการแปรขบวนเรือจะใช้เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำจำนวน 4 ถึง 6 ลำ เฮลิคอปเตอร์ HSS-2 Sea Kings จำนวน 12 ลำ และเครื่องบิน S2F Trackers อีกจำนวน 4 ถึง 6 ลำ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำภารกิจตลอดการเดินทาง

   
    ปี 1959 JMSDF ได้ตัดสินใจเลือกแบบเรือ CVH-B ที่มีขนาดเล็กกว่า เพราะมีราคารวมถูกกว่าแบบเรือ CVH-A อยู่พอสมควร ทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆตลอดอายุการใช้งานก็ต่ำกว่ากันมาก แบบเรือ CVH-B จะใช้ระบบขับเคลื่อนเช่นเดียวกับเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศชั้น 35DDG ซึ่งเป็นเรือรบติดอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานลำแรกสุดของญี่ปุ่น ราคารวมทั้งโครงการอยู่ที่ 1 หมื่นล้านเยนต่อลำ แยกเป็นเงินของญี่ปุ่น 62.8 เปอร์เซนต์และของอเมริกา 37.2 เปอร์เซนต์ตามลำดับ อย่างไรก็ตามในปี 1961 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจยุติโครงการนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะมีข้อขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มีความกังวลเรื่องการแข่งขันสะสมอาวุธจะรุนแรงมากขึ้น และประสบปัญหาสำคัญสุดก็คือเรื่องงบประมาณ เพราะโครงการ 35DDG ใช้งบบานปลายมาก ทำให้สามารถต่อเรือพิฆาตได้เพียง 1 ลำคือ JDS Amatsukaze ในราคา 9.8 พันล้านเยน

เรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศ

    JMSDF ประจำการเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศจำนวน 8 ลำ โดยเป็นเรือรบติดตั้งระบบเอจิสจำนวน 6 ลำ ต้นปี 1990 ญี่ปุ่นเริ่มต้นโครงการเรือพิฆาตขนาด 9,500 ตันพร้อมเทคโนโลยีสุดทันสมัยจากอเมริกา โดยใช้แบบเรือ  Arleigh Burke Flight II ของอเมริกามาปรับปรุงให้ตรงตามความต้องการของตัวเอง วันที่ 25 มีนาคม 1993 หรือ 3 ปีถัดมา เรือพิฆาตชั้น Kongo ลำแรกคือ DDG-173 Kongo เข้าประจำการ ส่วนเรืออีก 3 ลำได้ทยอยเข้าประจำการจนครบภายใน 5 ปี  ช่วยแบ่งเบาภาระจากเรือพิฆาตชั้น Hatakaze ที่มีระบบเรดาร์และอาวุธทันสมัยน้อยกว่ากันพอสมควร

    เรือชั้น Kongo มีความยาว 161 เมตร กว้าง 21 เมตร กินน้ำลึก 6.2 เมตร ระวางขับน้ำเต็มที่ 9,500 ตัน ติดตั้งระบบอำนวยการรบ  Aegis และเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-1D ติดตั้งปืนใหญ่ Oto-Breda 127/54 มม. จำนวน 1 กระบอก ระบบป้องกันตัวระยะประชิด Phalanx CIWS จำนวน 2 ระบบ จรวดต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 นัด แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสามขนาด 324 มม.จำนวน 2 แท่นยิง และระบบท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS จำนวน 90 ท่อยิง สำหรับจรวดปราบเรือดำน้ำ RUM-139 VL ASROC รวมทั้งอาวุธสำคัญคือจรวดต่อสู้อากาศยานระยะไกล SM-2 และ SM-3 ที่ยิงได้ไกลถึง 500 กิโลเมตร

    หลังโครงการเรือพิฆาตชั้น Kongo สิ้นสุดลง โครงการเรือพิฆาตชั้น  Atago ก็เริ่มต้นเดินหน้าอย่างเต็มตัวในปี 2000 โครงการสำคัญนี้ได้รับการจัดหาเรือในเฟสแรกจำนวน 2 ลำ โดยเข้าประจำการในปี 2007 และ 2008 ตามลำดับ เรือชั้น Kongo มีความยาว 165 เมตร กว้าง 21 เมตร กินน้ำลึก 6.2 เมตร ระวางขับน้ำเต็มที่ 10,000 ตัน และใช้แบบเรือพิฆาตชั้น Kongo มาปรับปรุงให้ทันสมัยมากกว่าเดิม ใช้ระบบอำนวยการรบรุ่นใหม่กว่าคือ  Aegis Baseline 7 phase 1 ใช้ปืนใหญ่รุ่นใหม่  Mk-45 Mod 4 127/62 มม. ใช้จรวดต่อสู้เรือรบ Type 90 (SSM-1B) ที่ญี่ปุ่นพัฒนาเอง และเพิ่มจำนวนท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS เป็น 96 ท่อยิง

    นอกจากเรือพิฆาตระบบเอจิสจำนวน 6 ลำแล้ว โครงการ 27DD Destroyer Project หรือเรือพิฆาตชั้น  Atago เฟส 2 ก็เดินหน้าแล้วเช่นกัน เพื่อรองรับภัยคุกคามจากอาวุธนำวิถีและขีปนาวุธที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เรือชั้น 27DD Destroyer Project มีระวางขับน้ำ 8,200 ตันใช้แบบเรือพิฆาตชั้น  Atago มาปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น โดยจะเป็นเรือรบลำแรกของญี่ปุ่นที่ใช้ระบบขับเคลื่อน COGLAG (COmbined Gas turbine eLectric And Gas turbine) กำหนดการส่งมอบเรือลำแรกในปี 2020 เรือชั้น 27DD จะมาทดแทนเรือพิฆาตชั้น Hatakaze ในจำนวนเท่ากันคือ 2 ลำ เท่ากับว่า JMSDF จะคงจำนวนเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศไว้ที่ 8 ลำ


เรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำและเรือพิฆาตอเนกประสงค์


           โครงการสำคัญอีก 1 โครงการของ JMSDF ก็คือ 25DD Class Destroyer Project เป็นโครงการจัดหาเรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำขนาด 5,000 ตัน ทดแทนเรือชั้น Hatsuyuki จำนวน 3 ลำในเฟสแรก และทดแทนเรือชั้น  Asagiri จำนวน 8 ลำในเฟสถัดไป (แต่อาจจะไม่ครบทุกลำ)  โครงการเฟสแรกได้มีการสั่งต่อเรือไปแล้วจำนวน 2 ลำ ใช้งบประมาณปี 2013 และ 2014 ใช้หมายเลขเรือ DD-119 และ DD-120 เข้าประจำการปี 2018 และ 2019

    เรือชั้น 25DD มีความยาว 151 เมตร กว้าง 18.3 เมตร กินน้ำลึก 5.3 เมตร  ระวางขับน้ำปรกติ 5,000 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 6,800 ตัน โดยใช้แบบเรือพิฆาตชั้น Akizuki มาปรับปรุงให้ทันสมัยมากกว่าเดิม ทว่าเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อน COGLAG  ติดตั้งปืนใหญ่ Mk-45 Mod 4 127/62 มม.จำนวน 1 กระบอก ระบบท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS จำนวน 16 ท่อยิง สำหรับจรวดปราบเรือดำน้ำ RUM-139 VL ASROC จำนวน 12 นัด และจรวดต่อสู้อากาศยานระยะกลาง ESSM จำนวน 16 นัด  ระบบป้องกันตัวระยะประชิด Phalanx CIWS จำนวน 2 ระบบ จรวดต่อสู้เรือรบ Type 90 (SSM-1B) จำนวน 8 นัด แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำแฝดสามขนาด 324 มม.จำนวน 2 แท่นยิง นอกจากเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำจำนวน 1 ลำแล้ว จะประจำการอากาศยานไร้คนขับอีกจำนวน 1 ลำด้วย ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ OPS-50 AESA และเรดาร์ควบคุมการยิง FCS-3A FCS-3A แบบฝังติด 4 ตัวรอบเสากระโดง

    โครงการถัดไป DDR Destroyer Revolution Project จะเริ่มต้นในปี 2021 เป็นการจัดหาเรือรบรุ่นใหม่ทดแทนเรือชั้น  Murasame และอาจจะรวมเรือชั้น Asagiri จำนวนหนึ่งด้วย แบบเรือ DDR Destroyer ทันสมัยมากขึ้น .ใช้ระบบเรดาร์ทั้งหมดทันสมัยมากขึ้น ลดการตรวจจับของเรดาร์หรือ Stealth มากขึ้น ใช้อาวุธทันสมัยมากขึ้นอาทิเช่น ระบบป้องกันตัวระยะประชิดแบบ Laser ที่พัฒนาเอง (มีแผนจะติดตั้งกับเรือพิฆาตระบบเอจิสชั้น 27DDเป็นลำแรกสุดหลังพัฒนาเสร็จแล้ว) แต่ก็ยังเป็นการใช้แบบเรือ 25DD มาปรับปรุงใหญ่เหมือนเดิมอยู่ดี โครงการนี้ยังไม่เริ่มต้นนะครับจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงแบบเรือสุดท้ายได้ ข้อมูลอันน้อยนิดที่ผู้เขียนพอหามาปะติดปะต่อได้ ช่วยให้เราพอมองเห็นภาพกองเรือพิฆาตปราบเรือดำน้ำในอีก 20 ปีข้างหน้าได้ไม่มากก็น้อย

เรือพิฆาตคุ้มกัน

    JMSDF มีโครงการเรือรบขนาด 3,000 ตันใช่ชื่อ 30DEX (Destroyer Escort Xperimental) Project อู่ต่อเรือ  Mitsubishi Heavy Industries (MHI) ได้เผยโฉมโมเดลเรือชั้นนี้ในปี 2015 เป็นแบบเรือขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่จะนำมาทดแทนเรือพิฆาตคุ้มกันชั้น Abukuma ซึ่งมีระวางขับน้ำสุงสุด 2,550 ตัน เรือชั้น 30DEX ถูกออกแบบให้สามารถทำความเร็วได้สุงมาก ลดการตรวจจับของเรดาร์หรือ Stealth แบบเต็มตัว ไม่ปรากฎปล่องไอเสียระบายความร้อนที่ปรกติจะอยู่กลางลำ เพราะโดนย้ายไปไว้ที่บั้นท้ายของเรือใกล้เคียงกับตำแหน่งของ Waterjet  ใช้เสากระโดงเรือรูปทรง 6 เหลี่ยมด้านไม่เท่าขนาดไม่ใหญ่ ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AESA รอบ 4 ด้านเสากระโดง เรือลำแรกของโครงการจะเริ่มต่อในปี 2018 โดยคาดว่าจะมีจำนวนรวมทั้งโครงการอยู่ที่ 15 ลำ

    30DEX มีความยาว 120 เมตร กว้าง 18 เมตร ระวางขับน้ำปรกติ 3,000 ตัน ความเร็วสุงสุด 40 นอต จากโมเดลเรือติดตั้งปืนใหญ่ Mk-45 Mod 4 127/62 มม.จำนวน 1 กระบอก ระบบป้องกันตัวระยะประชิด SeaRam CIWS จำนวน 1 ระบบ ปืนกลอัตโนมัติควบคุมด้วยรีโมท Remote Weapon System (RWS) รุ่น  Marlin WS 30 จำนวน 2 กระบอก นับเป็นเรือรบแท้ๆลำแรกของญี่ปุ่นที่ติดปืนกลอัตโนมัติควบคุมด้วยรีโมท บริเวณกลางเรือมีที่ว่างสำหรับติดตั้งจรวดต่อสู้เรือรบจำนวน 8 นัด ผู้เขียนมองไม่เห็นระบบท่อยิงแนวดิ่ง MK-41 VLS จึงไม่กล้ายืนยันว่าบนเรือลำจริงจะมีการติดตั้งหรือไม่ เพราะเรือพิฆาตคุ้มกันชั้น Abukuma ก็ไม่ได้ติดจรวดต่อสู้อากาศยาน แต่ที่ผู้เขียนสามารถยืนยันได้ก็คือ เรือบางลำจะติดตั้งระบบป้องกันตัวระยะประชิดแบบ Laser ด้วย

    แบบเรือเดียวกันนี้เองที่รัฐบาลญี่ปุ่นร่วมกับ MHI เสนอตัวเข้าชิงชัยในโครงการ Project SEA5000 ของกองทัพเรือออสเตรเลีย เป็นโครงการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำขนาด 7,000 ตันจำนวนถึง 9 ลำ ผู้เขียนคาดว่าน่าจะตกรอบแรกแน่นอน เพราะขนาดเรือแตกต่างจากความต้องการพอสมควร และเมื่อแอบดูผลการคัดเลือกจากโครงการ Project SEA1000 ที่เป็นโครงการจัดหาเรือดำน้ำขนาด 4,000 ตัน จำนวน 12 ลำของออสเตรเลียแล้ว แบบเรือดำน้ำชั้น Soryu ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นตัวเต็งหนึ่งมาโดยตลอด แต่พอเอาเข้าจริงๆดันตกรอบสุดท้ายเป็นลำแรกสุด เพราะออสเตรเลียมองว่าญี่ปุ่นไม่เคยขายเรือดำน้ำจำนวนมากมาก่อน (อันที่จริงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้ขายเลยซักลำต่างหาก) ความเสี่ยง( risk management ) ที่โครงการขนาดใหญ่ของเขาจะมีปัญหาจึงสุงตามไปด้วย เพราะฉะนั้นกับโครงการจัดหาเรือฟริเกตจึงน่าจะคล้ายๆกันคือตกรอบแรกก่อนใครเพื่อน

    30DEX (Destroyer Escort Xperimental) Project  สมควรจะจบแต่เพียงเท่านี้ ถ้าบังเอิญผู้เขียนไม่ไปพบกับภาพ CG ของ 30DEX เวอร์ชั่น 2016 โดยบังเอิญเข้า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือนำระบบป้องกันตัวระยะประชิด SeaRam CIWS มาอยู่ด้านหน้าสะพานเดินเรือ และย้ายปืนกลอัตโนมัติควบคุมด้วยรีโมท  Marlin WS 30 จำนวน 2 กระบอกไปไว้กลางเรือ Superstructure ของเรือก็เปลี่ยนจากแบบสามเหลี่ยมด้านไม่เท่ามาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายคลึงกับแบบเรือฟริเกตสมรรถนะสุงของไทยไม่มากก็น้อย ผู้เขียนไม่ยืนยันนะครับว่าแบบเรือปี 2016 จะเป็นแบบเรือที่สร้างจริง จึงอยากให้ยึดถือแบบเรือปี 2015 เป็นแบบเรือทางการเช่นเดิมจะดีกว่าครับ

เรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบก

    JMSDF ประจำการเรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบชั้น Oaumi จำนวน 3 ลำ โดยใช้ชื่อว่าเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่หรือ Tank Landing Ship หรือ Landing Ship, Tank น่าจะเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นนั่นแหละครับ เรือชั้น Oaumi มีความยาว 178 เมตร กว้าง 25.8 เมตร กินน้ำลึก 6 เมตร  ระวางขับน้ำปรกติ 8,900 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 14,000 ตัน  ติดตั้งระบบป้องกันตัวระยะประชิด Phalanx CIWS จำนวน 2 ระบบ อู่ลอยใต้ท้องเรือสามารถบรรทุกยานลำเลียงโฮเวอร์คราฟ  Landing Craft  Air Cushion (LCAC) จำนวน 2 ลำ มีจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ท้ายเรือจำนวน 2 จุด แต่ไม่ปรากฎลิฟท์ขนาดใหญ่รองรับเฮลิคอปเตอร์ ส่วนลิฟท์ด้านหน้าเรือก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก โรงเก็บขนาดใหญ่ใต้ดาดฟ้าเรือรองรับรถถังหลักจำนวน 10 คันพร้อมทหารจำนวน 330 นาย บริเวณหัวเรือไม่มีประตูเปิดจึงไม่สามารถส่งกำลังบำรุงถึงหน้าหาดได้ ดูจากภาพแล้วน่าจะเรียกว่าเรือ LPD Landing Platform, Dock มากกว่า เรือชั้น Oaumi เข้าประจำการระหว่างปี 1998 ถึง 2003

    นอกจากเรือชั้น Oaumi จำนวน 3 ลำแล้ว JMSDF ยังมีโครงการศึกษาเรืออเนกประสงค์รุ่นใหม่ที่มีความสามารถในการสั่งการและควบคุม การขนส่งลำเลียงทางทะเล การปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบก การค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล และเป็นฐานปฏิบัติการกลางทะเล Multipurpose Vessels รุ่นใหม่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น มีลิฟท์ขนาดใหญ่รองรับเครื่องบิน V-22B Osprey และเฮลิคอปเตอร์ CH-47J Chinook นับเป็นเรือ LPD รุ่นใหม่ที่ครบเครื่องในทุกภารกิจอย่างแท้จริง รอดูกันต่อไปครับว่า JMSDF จะตัดสินใจอย่างไรกับโครงการนี้

เรือกวาดทุ่นระเบิด
   
    JMSDF มีเรือกวาดทุ่นระเบิดประจำการถึง 27 ลำ เป็นปริมาณที่มากเพียงพอในการป้องกันประเทศ เรือบางลำรับใช้ชาติมานานแล้วจึงต้องหาเรือใหม่มาทดแทน โครงการ 25MSO Ocean Minesweeper Project จึงได้ถือกำเนิดขึ้น วันที่ 27 ตุลาคม 2015 ได้มีพิธีปล่อยเรือ JS Awaji (MSO-304) ลงน้ำ ซึ่งเป็นเรือกวาดทุ่นระเบิดชั้น  Awaji ลำแรกสุด มีความยาว 69 เมตร กว้าง 11 เมตร กินน้ำลึก 5.2 เมตร  ระวางขับน้ำ 690 ตัน  ตัวเรือทำจากวัสดุไฟเบอร์กลาส ติดตั้งอุปกรณ์กวาดทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ทันสมัย  ติดตั้งปืนกลแกตลิ่งอัตโนมัติ JM61 Sea Vulcan 20 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติ 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก เรือชั้น Awaji จะมาทดแทนเรือชั้น Yaeyama โดยเรือเฟสแรกจำนวน 3 ลำจากความต้องการรวม 6 ลำ โดยจะเริ่มเข้าประจำการตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นไป

อากาศยาน

    กองบินนาวีของ JMSDF มีขนาดใหญ่โตมากจนผู้เขียนยังตกใจ ในปี 2012 พวกเขามีเครื่องบินปีกแข็งจำนวน 200 ลำและเฮลิคอปเตอร์จำนวน 150 ลำ เครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเลที่มีมากที่สุดก็คือ Lockheed P-3 Orion โดยมีรุ่นต่างๆทั้งหมดรวมกันถึง 86 ลำ JMSDF มีแผนที่จะนำเครื่องบินตรวจการณ์รุ่นใหม่เข้ามาทดแทนในอนาคต โดยเลือกเครื่องบินเจ็ท 4 เครื่องยนต์  Kawasaki P-1 ที่มีขนาดใหญ่กว่า ติดอาวุธได้มากกว่า และมีระยะทำการไกลกว่า Kawasaki P-1 เป็นเครื่องบินที่ญี่ปุ่นพัฒนาเองตั้งแต่ปี 2007 ในชื่อ XP-1 maritime patrol test aircraft ก่อนเข้าประจำการจริงในปี 2014 มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบิน Boeing P-8 Poseidon อยู่นิดหน่อย

    Kawasaki P-1 ถูกสั่งซื้อแล้วจำนวน 23 ลำ คาดว่าตัวเลขทั้งโครงการน่าจะอยู่ที่ประมาณ 60 ลำ ผู้เขียนคาดว่า P-3 Orion รุ่น ELINT Electronic Warfare และ รุ่น Optical Reconnaissance น่าจะยังประจำการต่อไป ส่วนเครื่องบินปีกแข็งที่เหลือล้วนเป็นขนาดกลางและขนาดเล็ก เช่น เครื่องบินฝึกใบพัดขั้นต้น Fuji T-5 จำนวน 41 ลำ และเครื่องบินลำเลียง 2 ใบพัด Beechcraft King Air จำนวน 27 ลำ รวมทั้งเครื่องบินค้นหากู้ภัย ShinMaywa US-2 จำนวน 5 ลำ ซึ่งมีคุณสมบัติสะเทินน้ำสะเทินบกบินขึ้นลงจากทะเลได้ เครื่องบินรุ่นนี้อินเดียเพิ่งซื้อไปใช้งานจำนวน 18 ลำวงเงิน 1.65 พันล้านเหรียญ และญี่ปุ่นเคยเสนอให้กับกองทัพเรือไทยพิจารณาด้วย

    มาดูทางด้านเฮลิคอปเตอร์กันบ้างนะครับ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำและค้นหาช่วยเหลือตระกูล Mitsubishi H-60 มีจำนวนมากสุดคือ 114 ลำ นอกจากนี้ยังมีคำสั่งซื้อปริมาณไม่มากในทุกปีงบประมาณอีกด้วย เฮลิคอปเตอร์ที่น่าสนใจอีกรุ่นก็คือ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงและกวาดทุ่นระเบิด AgustaWestland MCH101 โดย JMSDF ได้สั่งซื้อแล้วจำนวน 14 ลำ รับมอบแล้วจำนวน 9 ลำ เพื่อนำมาทดแทนเครื่องรุ่นเก่าคือ CH-53E Super Stallion นอกนั้นก็เป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็ก เช่น Eurocopter EC135 จำนวน 12 ลำในภารกิจฝึกบิน

ภัยคุกคามทางทะเล

    หลังสงครามเกาหลีภัยคุกคามสำคัญที่สุดของญี่ปุ่นก็คือสหภาพโซเวียต ดินแดนทางภาคเหนือทั้งหมดเป็นพื้นที่แจ้งเตือนสีส้มคือลดจากระดับสุงสุดลงมานิดเดียว เพราะสหภาพโซเวียตในเวลาดังกล่าวมีกองทัพขนาดใหญ่โตมหาศาล มีเทคโนโลยีสุงผลิตอาวุธทันสมัยออกมาให้เห็นตลอดเวลา ผู้นำทุกคนใช้นโยบายการทหารนำหน้าการเมือง และมีประเทศต่างๆในสนธิสัญญาวอร์ซอเป็นลูกคู่คอยสนับสนุน ภัยคุกคามทางทะเลของญี่ปุ่นที่สำคัญที่สุดก็คือ บรรดาเรือดำน้ำของโซเวียตทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่จำนวนนับร้อยลำ ช่วงเวลาดังกล่าวนอกจากกองเรืออรบเมริกาจำนวนมากในญี่่ปุ่นแล้ว กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นก็จำเป็นที่จะต้องมีศักยภาพในการรับมือด้วย เรือรบของ JMSDF ทุกลำจึงติดตั้งระบบโซนาร์และติดอาวุธปราบเรือดำน้ำอย่างน้อยที่สุดก็ 2 ระบบ คือ ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำขนาด 324 มม. และจรวดปราบเรือดำน้ำตระกูล ASROC กระทั่งเรือรบขนาดเล็กกว่า 2,500 ตันที่ไม่สามารถติด ASROCได้ ก็ได้ใช้บริการจรวดปราบเรือดำน้ำระยะใกล้  Bofors M/50 ASW Rocket แทน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเรือดำน้ำโซเวียตคือมหันตภัยร้ายอย่างแท้จริง

    ทว่าภัยคุกคามในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร สหภาพโซเวียตได้กลายมาเป็นประเทศรัสเซียไปแล้ว ขนาดของกองทัพเล็กลงกว่าเดิมและไม่มีสนธิสัญญาวอร์ซออีกต่อไป แน่นอนว่าทางภาคเหนือยังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์ แต่โอกาสที่จะเกิดสงครามใหญ่เต็มรูปแบบกับรัสเซียมีน้อยเหลือเกิน ส่วนทางนั้นเองก็มีเรื่องวุ่นวายอยู่กับชายแดนฝั่งยุโรปรวมทั้งปัญหาเรื่องสงครามเศรษฐกิจ เมื่อรัสเซียมีขนาดเล็กลงประเทศจีนก็มีขนาดใหญ่ขึ้น การขยายตัวของกองทัพจีนในทุกเหล่าทัพเป็นไปด้วยความรวดเร็วมาก รวมทั้งมีนโยบายขยายอิทธิพลของตนเองออกไปทั่วโลก ดูได้จากกรณีความขัดแย้งในพื้นที่ทับซ้อนทะเลจีนใต้ บริเวณหมู่เกาะพาราเซลและหมู่เกาะสเเปรตลีย์ ส่งผลให้จอเรดาร์ของญี่ปุ่นตรวจพบเรือรบและเครื่องบินประเทศจีน บินโฉบไปมาหรือแล่นตัดฟองคลื่นเข้าใกล้เขตน่านน้ำหวงห้ามอยู่บ่อยครั้ง จีนกำลังพยายามทำแบบที่สหภาพโซเวียตเคยทำมาในอดีต

    แต่ แต่ แล้วก็แต่ ภัยคุกคามจากจีนก็ยังไม่ใช่อันดับหนึ่งอยู่ดี ประเทศที่มาแรงแซงนำในช่วงนี้ก็คือเกาหลีเหนือ ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังไม่ได้ประกาศยุติสงครามกับเกาหลีใต้แต่อย่างใด กลับพยายามแสดงอำนาจทางทหารตนเองให้คนทั้งโลกได้เห็นบ่อยครั้ง เรื่องสำคัญก็คือการทดลองยิงจรวดรุ่นต่างๆในทะเลญี่ปุ่น โดยจงใจให้จรวดตกลงใกล้กับน่านน้ำเกาหลีใต้และญี่ปุ่น วันที่ 6 มกราคม 2016 เกาหลีเหนือทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 4 พวกเขามีแผนที่จะทดสอบครั้งที่ 5 ในอีกไม่นานเท่าไหร่ วันที่ 8 และ 23 เมษายน 2016 เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากเรือดำน้ำและประสบผลสำเร็จ เฉพาะปีนี้มีการทดสอบยิงขีปนาวุธไปแล้วถึง 5 ครั้ง เป็นสาเหตสำคัญที่สุดที่ JMSDF รีบจัดหาเรือพิฆาตระบบเอจิสเพิ่มเติม ในภารกิจป้องกันภัยทางอากาศจากความคุ้มดีคุ้มร้ายของท่านผู้นำคิม ผู้เขียนก็เห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นมากขืนมัวแต่นิ่งเฉยอยู่จะไม่ทันกาล ภัยคุกคามหลักในปัจจุบันและอนาคตได้เปลี่ยนรูปโฉมไปแล้ว ทำให้กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นต้องปรับตัวตามไปด้วยเช่นกัน

    ผู้เขียนขอจบบทความเรื่อง Republic of Korea Navy and Japan Maritime Self-Defense Force Part II ลงห้วนๆตรงนี้ โดยยังมีความอยากที่จะเขียนภาค 3 ต่อแต่ไม่ยืนยันนะครับ เพราะข้อมูลที่ต้องการช่างหาได้ยากเย็นเหลือเกิน อีกทั้งภาษาเกาหลีและญี่ปุ่นก็ไม่เข้าใจเลยซักนิด ขอบคุณครับที่ติดตามจนกว่าจะพบกันใหม่

          --------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก

https://ja.wikipedia.org/wiki/%E6%B5%B7%E4%B8%8A%E8%87%AA%E8%A1%9B%E9%9A%8A%E3%81%AE%E8%88%AA%E7%A9%BA%E6%AF%8D%E8%89%A6%E5%BB%BA%E9%80%A0%E6%A7%8B%E6%83%B3
http://www.globalsecurity.org/military/world/japan/cv-newcon.htm
http://www.secretprojects.co.uk/forum/index.php/topic,23959.msg243789.html#msg243789
http://www.navyrecognition.com/index.php?option=com_content&task=view&id=2821
http://adf20021021.pixnet.net/blog/post/440613148-%E6%BE%B3%E6%B4%B2pacific-2015%E5%B9%B4%E5%A4%AA%E5%B9%B3%E6%B4%8B%E5%9C%8B%E9%9A%9B%E6%B5%B7%E4%BA%8B%E5%8D%9A%E8%A6%BD%E6%9C%83%3A%E6%97%A5%E6%9C%AC
http://www.japantimes.co.jp/news/2013/07/07/national/japan-eyes-two-new-aegis-destroyers-to-counter-n-korea-missile-threat/#.Vx2aU7V3TIX
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_active_Japan_Maritime_Self-Defense_Force_ships
http://kaito1412.wp-x.jp/25dd-%E6%9C%80%E6%96%B0%E6%83%85%E5%A0%B1-%E5%BB%BA%E9%80%A0%E7%8A%B6%E6%B3%81-16%E3%82%BB%E3%83%AB-49
http://www.japantimes.co.jp/news/2015/10/27/national/anticipating-muscular-missions-msdf-launches-new-minesweeper/#.Vx3D2rV3TIV
http://www.janes.com/article/55634/japanese-shipyard-launches-new-minesweeper-for-jmsdf
https://ja.wikipedia.org/wiki/25DD
http://www.worldlibrary.org/articles/type_90_ship-to-ship_missile
http://www.forumdefesa.com/forum/index.php?topic=5843.30
http://www.navyrecognition.com/index.php/news/defence-news/year-2015-news/july-2015-navy-naval-forces-defense-industry-technology-maritime-security-global-news/2925-japan-defense-ministry-unveiled-details-of-q27ddq-class-railgun-a-laser-armed-aegis-destroyer.html

         --------------------------------------------------------------------------------------------------