กองทัพเรือสเปนมีเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น
Santa
María หรือ Oliver Hazard Perry จำนวน 6
ลำ เข้าประจำการระหว่างปี 1986 ถึง 1994
ถือว่าอายุมากพอสมควร จึงมีแผนการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน
กำหนดให้ใช้แบบเรือพัฒนาเองสร้างเองไม่ต้องพึ่งพาชาติอื่นให้ยุ่งยากวุ่นวาย
และเนื่องมาจากกองทัพเรือสเปนประจำการเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น
F100
จำนวน 5 ลำ ออกแบบโดยบริษัท Navantia ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมสร้างเรือแห่งเมืองกระทิงดุ
คนในกองทัพจึงหมายมั่นปั้นมือปรับปรุงเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ
อาจเป็นเพราะกำลังหลงใหลละเมอพร่ำเพ้อคำว่า common fleet
พวกเขาวาดฝันว่า F100 จำนวน 5 ลำบวก F100
Batch 2 อีก 5 ลำมันช่างสุดยอดเสียนี่กระไร
ว่าแล้วจึงส่งความต้องการให้ Navantia
ช่วยดัดแปลงเรือตามความต้องการ
การปรับปรุงเรือชั้น
F100
กระทำกันแบบค่อนข้างง่าย รบกวนเพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่หนึ่งไปพร้อมกัน
เป็นเรือฟริเกตชั้น F100 Batch 2 ที่ Navantia นำเสนอให้กองทัพเรือออสเตรเลียในโครงการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ
โดยการสร้างเสากระโดงขนาดใหญ่ยักษ์หน้าตาประหลาด
ถอดเรดาร์ตรวจการณ์สหรัฐอเมริกาออก แทนที่ด้วยเรดาร์ตรวจการณ์ออสเตรเลีย
พยายามลดเสียงจากระบบขับเคลื่อนให้มากที่สุด
และเพิ่มโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์จากหนึ่งเป็นสอง ตรงตามความต้องการลูกค้าพอดิบพอดี
กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ
F100
Batch 2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ ปิดฉากกองเรือ
common fleet จำนวน 10 ลำไปชั่วนิรันดร์
เหตุผลก็คือ F100 Batch 2
อาจเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดี ทว่า F100 Batch 2
ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดีที่สุด และ F100 Batch 2
ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่เหมาะสมที่สุด ในระยะยาวนอกจากไม่เป็นเดอะแบกหนำซ้ำยังอาจเป็นเดอะภาระ
เมื่อ Navantia นำแบบเรือ F100 Batch 2
มานำเสนอให้กับกองทัพเรือออสเตรเลีย ผลลัพธ์ก็คือพ่ายแพ้แบบเรือ Type 26 จากประเทศอังกฤษแบบสู้กันไม่ได้ ปิดตำนานการกลายร่างเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำไปแบบสุดชอกช้ำ
หลังถีบแบบเรือ F100
Batch 2 กระเด็นตกน้ำ บริษัท Navantia
เห็นช่องรวยจึงนำเสนอแบบเรือ F2M2 หรือ
Future Frigate Multi Mission ให้กองทัพเรือสเปนพิจารณาตามภาพประกอบที่สอง
F2M2 เป็นเรือไตรมารันสามตอนเหมือนเรือ LCS ชั้น Independence
กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ผสมผสานระบบเรดาร์น้อยใหญ่ไว้บนเสากระโดงทรงเตี้ย
สะพานเดินเรือรูปทรงคล้ายคลึงเรือพิฆาตชั้น Zumwalt กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา
จัดเป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ทำภารกิจได้อย่างหลากหลาย
มีคุณลักษณะลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ชนิดเต็มคาราเบล มีความทันสมัยก้าวล้ำนำหน้าแบบเรือลำอื่นสองเสาไฟ
หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาดไม่เกิน
127
มม.ถัดมาด้านหลังคือแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 32 ท่อยิง สะพานเดิมเรือกับเสากระโดงผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียว
จุดติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบกับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
ซ่อนอยู่ในตัวเรือเปิดใช้เฉพาะตอนทำสงคราม มีจุดรับส่งเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 จุด มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10
ตันจำนวน 2 ลำ มีจุดติดตั้งปืนรองหรือระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด
มีพื้นที่อเนกประสงค์หรือ Mission bay ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์
มีประตูขนาดใหญ่รับส่งยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 1 จุด และมีประตูขนาดกลางรับส่งยานใต้น้ำไร้คนขับอีก
2 จุด
กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ
F2M2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ
ปิดฉากกองเรือ modern fleet ไตรมารันไปชั่วนิรันดร์ เหตุผลก็คือ
F2M2
เสียงดังเกินกว่าจะเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ มีความยุ่งยากซับซ้อนในการซ่อมบำรุงและการใช้งาน
รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการออกทะเลมากกว่าเรือฟริเกตตอนเดียวโดยทั่วไป
หลังถีบแบบเรือ F100
Batch 2 กระเด็นตกน้ำ ปี 2011 กองทัพเรือสเปนกำหนดให้
Navantia ออกแบบเรือฟริเกตใหม่ทั้งลำ พร้อมทำสัญญามูลค่า 2
ล้านยูโรให้บริษัท INDRA ออกแบบเสากระโดง integrated
sensor mast เท่ากับเป็นการประกาศเดินหน้าโครงการเรือฟริเกตรุ่นใหม่ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า
F110 อย่างเต็มรูปแบบ
ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือ
F110 รุ่นต่างๆ ที่ Navantia กับ INDRA ร่วมมือกันเสกสรรปั้นแต่ง เริ่มจากเรือไตรมารันสามตอนซึ่งดูจากทรงยังไงก็ไม่เหมาะสม
ลำถัดไปคือเรือฟริเกตตอนเดียวที่หยิบยืมเสากระโดง F2M2 มาใช้งาน
ลำถัดไปยืมดีไซน์เสากระโดงเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์สหรัฐอเมริกามาใช้งาน
เรืออีกลำใช้เสากระโดงรูปทรงพีระมิดเหมือนเรือคอร์เวต Gowind 2500 กระทั่งมาสำเร็จเป็นแบบเรือ F110
เสากระโดงรูปทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มุมขวาด้านล่าง
กองทัพเรือสเปนชอบอะไรที่มันเหลี่ยมจัด
เห็นเสากระโดงแปดเหลี่ยมครั้งแรกขอแต่งงานทันที เป็นอันว่าแบบเรือ F110 รุ่นแรกได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ
ภาพประกอบที่สี่คือแบบเรือ
F110 รุ่นแปดเหลี่ยมจำนวน 5 มุมมอง หัวเรือติดปืนใหญ่ 5
นิ้วจากสหรัฐอเมริกา ถัดมาคือแท่นยิงแนวดิ่ง MK41 จำนวน 16 ท่อยิง ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-7(V)2 ใหม่เอี่ยมแต่เป็นรุ่นส่ง
ทำงานร่วมระบบอำนวยการรบ SCOMBA ที่ Navantia นำเทคโนโลยีระบบอำนวยการรบ AEGIS มาผสมผสานเป็นผลงานฝีมือตัวเอง
แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ซ่อนอยู่ในช่องเจาะลึกกลางเรือ
เป็นการอำพรางเนื่องจากแท่นยิง MK141 ค่อนข้างสูงจนน่าตกใจ
ส่วนปืนรองตามภาพประกอบน่าจะเป็น BOFORS 57 mm MK3 อัตรายิง 200 นัดต่อนาที
มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ลำกับเรือยางท้องแข็งขนาดใหญ่อีก 3
ลำ ภาพรวมแลดูคล้ายคลึงนำแบบเรือ F100 มาพัฒนาให้ทันสมัยมากกว่าเดิม
กองทัพเรือสเปนเลือก
F110 รุ่นแปดเหลี่ยมก็จริง ทว่าแบบเรือยังต้องพัฒนาปรับปรุงลดจุดอ่อนออกไปทั้งหมด
เพื่อให้เรือสามารถเข้าประจำการเป็นกำลังรบหลักถึงปี 2060
เมื่อได้แบบเรือฟริเกตตรงตามความต้องการกองทัพเรือสเปน
ท่านประธานบริษัท Navantia สั่งเดินหน้าต่อทันที
โดยการนำแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design มาทำแบบรายละเอียดหรือ Construction
Drawings กระทั่งเสร็จสมบูรณ์ กลายเป็นโมเดลเรือในภาพประกอบที่ห้าซึ่งมีรายละเอียดประกอบไปด้วย
เรือมีระวางขับน้ำ
6,100
ตัน ยาว 145 เมตร กว้าง 18 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์
ใช้ระบบขับเคลื่อน CODLOG เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ GE
LM2500 จำนวน 1 ตัว เครื่องยนต์ดีเซล MTU
4000 จำนวน 4 ตัว ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
ความเร็วสูงสุด 25 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 150 นาย ข้อมูลตัวเรือมีหลุดมาเพียงเท่านี้
ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย
ปืนใหญ่ OTO
127/64 LW Vulcano บริเวณหัวเรือ
เหตุผลที่เปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่อิตาลีเพราะสเปนอยากใช้กระสุน Vocalno ระยะยิงไกลสุด 100 กิโลเมตร ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง MK41
จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
ESSM Block 2 ซึ่งสเปนลงขันพัฒนาร่วมกับหลายชาติในนาโต้
ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจน
กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon
จำนวน 8 ท่อยิง อาวุธใต้น้ำคือตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ MK
54 รุ่นยอดนิยม กับแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด
25 มม.จำนวน 2 กระบอกขนาบสองกราบเรือ
รวมทั้งมีปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.เพิ่มเติมอีก
2 กระบอก
เรือใช้ระบบอำนวยการรบรุ่น
SCOMBA ที่สเปนพัฒนาเอง ติดเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 จากสหรัฐอเมริกาจำนวน 4 ตัว ด้านบนคือเรดาร์ตรวจการณ์
X-Band ที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดจำนวน 4 ตัว ระบบสื่อสารกับระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของสเปนทั้งหมด
ติดเรดาร์ควบคุมการยิงปืนใหญ่ NS-30S MK2 จำนวน 1 ตัว (สำหรับยิงกระสุนต่อระยะ) ติดเรดาร์ควบคุมอาวุธปล่อยนำวิถี AN/SPG-62
จำนวน 2 ตัว ระบบตรวจจับใต้น้ำคือโซนาร์หัวเรือ
BlueMaster UMS 4110 กับ โซนาร์ลากท้าย CAPTAS-4 รุ่น Compact น้ำหนักน้อยกว่าเดิม รองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด
10 ตันจำนวน 2 ลำ
พัฒนาการของเรือยังไม่จบสิ้นแค่เพียงเท่านี้
ภาพประกอบที่หกมีการเปลี่ยนเล็กน้อยให้เหมาะสมกว่าเดิม
โดยการโยกเรดาร์เดินเรือมาติดบนเสากระโดงแปดเหลี่ยม สร้างแท่นวางเรดาร์ควบคุมการยิงยาวมาถึงสะพานเดินเรือ
เพื่อติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง NS-30S MK2 ต่อด้วยจานรับสัญญาณดาวเทียมหรือ
SATCOM ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
จุดอื่นบนเรือมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย
และทุกคนคาดว่านี่คือแบบเรือรุ่นสร้างจริงของ F110
หัวเรือสูง
สะพานเดินเรือเตี้ย กลางเรือค่อนข้างราบเรียบ มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ 2
ลำ มีโซนาร์ลากท้ายตัวพ่อ เรือฟริเกต F110
ถือว่าดีที่สุดเท่าที่สเปนสามารถพัฒนาได้
เรือฟริเกต F110
อาจมีหลายส่วนโดยเฉพาะหัวเรือคล้ายเรือฟริเกต F1 00
แต่ถึงกระนั้นเรือมีความแตกต่างหลายอย่างประกอบไปด้วย
1.เรือมีความเงียบเทียบเท่าเรือฟริเกตปราบเรือน้ำรุ่นใหม่ทันสมัยหลายชาติ
ผลลัพธ์จากการออกแบบตัวเรือส่วนใต้น้ำใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก CODOG
เป็น CODLOG
ส่งผลให้การทำภารกิจไล่ล่าและทำลายเรือดำน้ำแจ่มแจ๋วกว่าเดิม
2.เรือถูกออกแบบลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์และคลื่นความร้อน
มีเพียงปล่องระบายอากาศกลางลำเรือจุดเดียวที่เผยแพร่คลื่นความร้อน
การออกแบบสองกราบเรือก็นำเรือฟริเกตชั้น Iver Huitfeldt กองทัพเรือเดนมาร์กมาเป็นต้นแบบ
3.เรือมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม
ทำภารกิจได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม รวมทั้งทำภารกิจเสริมต่างๆ ได้โดยไม่ขัดเขิน F110 จึงมีความแตกต่างจาก F100 มากพอสมควร
ภาพประกอบที่เจ็ดมาจากเว็บไซต์บริษัท
Navantia
เรือฟริเกต F110 ที่จะจริงมีการปรับปรุงเสากระโดงแปดเหลี่ยมให้มีขนาดเล็กลง
เมื่อน้ำหนักเสาลดลงส่งผลให้เรือไม่โคลงมากเกินไป ตำแหน่งเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 สูงกว่าเดิมอย่างชัดเจน
สลับกับเรดาร์ตรวจการณ์ X-Band ลดต่ำลงเล็กน้อย
เปลี่ยนมาใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM แทนที่ Harpoon และเนื่องมาจากแท่นยิง NSM ขนาดค่อนข้างเล็กและเตี้ย
ไม่มีความจำเป็นต้องเจาะช่องเรือเพื่ออำพราง ส่งผลให้การสร้างเรือง่ายกว่าเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ
ความเปลี่ยนแปลงอีก
2
จุดที่ผู้เขียนตรวจพบก็คือ จรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ไม่อยู่แล้ว
และเปลี่ยนมาใช้งานปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.รุ่นเดียวกับเรือหลวงช้าง แทนที่ปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.ที่กำลังจะสูญหายจากท้องตลาด
ถือเป็นการสนับสนุนสินค้าพัฒนาและผลิตในสเปนไปพร้อมกัน
กองทัพเรือสเปนต้องการสร้างเรือฟริเกต
F110 จำนวน 5 ลำ โดยมีออปชันเสริมอีก 2 ลำขึ้นอยู่กับสถานการณ์และกระเป๋าเงิน ราคาต่อลำอยู่ที่ 1.02 ล้านเหรียญหรือ 32,956 ล้านบาท ขณะที่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม
ใช้ระบบเรดาร์รุ่นใหม่กับระบบอำนวยการรบ THALES ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน
16 ท่อยิงเท่ากัน กลับมีราคาค่อนข้างสูงลำละ 1 พันล้านยูโรหรือ 37,750 ล้านบาท
เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์เรือฟริเกตสเปนราคาถูกกว่า
สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้ทันที
(เรดาร์ควบคุมการยิงพร้อมมาก)
ที่สำคัญอาวุธกับเรดาร์สหรัฐอเมริกาผ่านสงครามจริงมานักต่อนัก
จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้ใคร
ยังไม่เคยเกิดปัญหายิงไม่ออกให้เป็นที่เจ็บใจ ความน่าเชื่อถือสูงกว่าแม้ไม่ใช่ระบบอำนวยการรบ
AEGIS ของจริงก็ตาม
อ้างอิงจาก
https://www.navantia.es/en/product/f110/
https://www.seaforces.org/marint/Spanish-Navy/Frigate/Bonifaz-class.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น