วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

F110-class Frigate

 

กองทัพเรือสเปนมีเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Santa María หรือ Oliver Hazard Perry จำนวน 6 ลำ เข้าประจำการระหว่างปี 1986 ถึง 1994 ถือว่าอายุมากพอสมควร จึงมีแผนการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน กำหนดให้ใช้แบบเรือพัฒนาเองสร้างเองไม่ต้องพึ่งพาชาติอื่นให้ยุ่งยากวุ่นวาย

และเนื่องมาจากกองทัพเรือสเปนประจำการเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น F100 จำนวน 5 ลำ ออกแบบโดยบริษัท Navantia ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมสร้างเรือแห่งเมืองกระทิงดุ คนในกองทัพจึงหมายมั่นปั้นมือปรับปรุงเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ อาจเป็นเพราะกำลังหลงใหลละเมอพร่ำเพ้อคำว่า common fleet พวกเขาวาดฝันว่า F100 จำนวน 5 ลำบวก F100 Batch 2 อีก 5 ลำมันช่างสุดยอดเสียนี่กระไร ว่าแล้วจึงส่งความต้องการให้ Navantia ช่วยดัดแปลงเรือตามความต้องการ

การปรับปรุงเรือชั้น F100 กระทำกันแบบค่อนข้างง่าย รบกวนเพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่หนึ่งไปพร้อมกัน เป็นเรือฟริเกตชั้น F100 Batch 2 ที่ Navantia นำเสนอให้กองทัพเรือออสเตรเลียในโครงการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ โดยการสร้างเสากระโดงขนาดใหญ่ยักษ์หน้าตาประหลาด ถอดเรดาร์ตรวจการณ์สหรัฐอเมริกาออก แทนที่ด้วยเรดาร์ตรวจการณ์ออสเตรเลีย พยายามลดเสียงจากระบบขับเคลื่อนให้มากที่สุด และเพิ่มโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์จากหนึ่งเป็นสอง ตรงตามความต้องการลูกค้าพอดิบพอดี

กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ F100 Batch 2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ ปิดฉากกองเรือ common fleet จำนวน 10 ลำไปชั่วนิรันดร์ เหตุผลก็คือ F100 Batch 2 อาจเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดี ทว่า F100 Batch 2 ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดีที่สุด และ F100 Batch 2 ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่เหมาะสมที่สุด ในระยะยาวนอกจากไม่เป็นเดอะแบกหนำซ้ำยังอาจเป็นเดอะภาระ

เมื่อ Navantia นำแบบเรือ F100 Batch 2 มานำเสนอให้กับกองทัพเรือออสเตรเลีย ผลลัพธ์ก็คือพ่ายแพ้แบบเรือ Type 26 จากประเทศอังกฤษแบบสู้กันไม่ได้ ปิดตำนานการกลายร่างเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำไปแบบสุดชอกช้ำ

หลังถีบแบบเรือ F100 Batch 2 กระเด็นตกน้ำ บริษัท Navantia เห็นช่องรวยจึงนำเสนอแบบเรือ F2M2 หรือ Future Frigate Multi Mission ให้กองทัพเรือสเปนพิจารณาตามภาพประกอบที่สอง

F2M2 เป็นเรือไตรมารันสามตอนเหมือนเรือ LCS ชั้น Independence กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ผสมผสานระบบเรดาร์น้อยใหญ่ไว้บนเสากระโดงทรงเตี้ย สะพานเดินเรือรูปทรงคล้ายคลึงเรือพิฆาตชั้น Zumwalt กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา จัดเป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ทำภารกิจได้อย่างหลากหลาย มีคุณลักษณะลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ชนิดเต็มคาราเบล มีความทันสมัยก้าวล้ำนำหน้าแบบเรือลำอื่นสองเสาไฟ

หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาดไม่เกิน 127 มม.ถัดมาด้านหลังคือแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 32 ท่อยิง สะพานเดิมเรือกับเสากระโดงผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียว จุดติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบกับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ ซ่อนอยู่ในตัวเรือเปิดใช้เฉพาะตอนทำสงคราม มีจุดรับส่งเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 จุด มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำ มีจุดติดตั้งปืนรองหรือระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด มีพื้นที่อเนกประสงค์หรือ Mission bay ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มีประตูขนาดใหญ่รับส่งยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 1 จุด และมีประตูขนาดกลางรับส่งยานใต้น้ำไร้คนขับอีก 2 จุด

กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ F2M2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ ปิดฉากกองเรือ modern fleet ไตรมารันไปชั่วนิรันดร์ เหตุผลก็คือ F2M2 เสียงดังเกินกว่าจะเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ มีความยุ่งยากซับซ้อนในการซ่อมบำรุงและการใช้งาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการออกทะเลมากกว่าเรือฟริเกตตอนเดียวโดยทั่วไป

หลังถีบแบบเรือ F100 Batch 2 กระเด็นตกน้ำ ปี 2011 กองทัพเรือสเปนกำหนดให้ Navantia ออกแบบเรือฟริเกตใหม่ทั้งลำ พร้อมทำสัญญามูลค่า 2 ล้านยูโรให้บริษัท INDRA ออกแบบเสากระโดง integrated sensor mast เท่ากับเป็นการประกาศเดินหน้าโครงการเรือฟริเกตรุ่นใหม่ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า F110 อย่างเต็มรูปแบบ

        ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือ F110 รุ่นต่างๆ ที่ Navantia กับ INDRA ร่วมมือกันเสกสรรปั้นแต่ง เริ่มจากเรือไตรมารันสามตอนซึ่งดูจากทรงยังไงก็ไม่เหมาะสม ลำถัดไปคือเรือฟริเกตตอนเดียวที่หยิบยืมเสากระโดง F2M2 มาใช้งาน ลำถัดไปยืมดีไซน์เสากระโดงเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์สหรัฐอเมริกามาใช้งาน เรืออีกลำใช้เสากระโดงรูปทรงพีระมิดเหมือนเรือคอร์เวต Gowind 2500  กระทั่งมาสำเร็จเป็นแบบเรือ F110 เสากระโดงรูปทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มุมขวาด้านล่าง

        กองทัพเรือสเปนชอบอะไรที่มันเหลี่ยมจัด เห็นเสากระโดงแปดเหลี่ยมครั้งแรกขอแต่งงานทันที เป็นอันว่าแบบเรือ F110 รุ่นแรกได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ

ภาพประกอบที่สี่คือแบบเรือ F110 รุ่นแปดเหลี่ยมจำนวน 5 มุมมอง หัวเรือติดปืนใหญ่ 5 นิ้วจากสหรัฐอเมริกา ถัดมาคือแท่นยิงแนวดิ่ง MK41 จำนวน 16 ท่อยิง ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-7(V)2 ใหม่เอี่ยมแต่เป็นรุ่นส่ง ทำงานร่วมระบบอำนวยการรบ SCOMBA ที่ Navantia นำเทคโนโลยีระบบอำนวยการรบ AEGIS มาผสมผสานเป็นผลงานฝีมือตัวเอง แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ซ่อนอยู่ในช่องเจาะลึกกลางเรือ เป็นการอำพรางเนื่องจากแท่นยิง MK141 ค่อนข้างสูงจนน่าตกใจ ส่วนปืนรองตามภาพประกอบน่าจะเป็น BOFORS 57 mm MK3  อัตรายิง 200 นัดต่อนาที มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ลำกับเรือยางท้องแข็งขนาดใหญ่อีก 3 ลำ ภาพรวมแลดูคล้ายคลึงนำแบบเรือ F100 มาพัฒนาให้ทันสมัยมากกว่าเดิม

กองทัพเรือสเปนเลือก F110 รุ่นแปดเหลี่ยมก็จริง ทว่าแบบเรือยังต้องพัฒนาปรับปรุงลดจุดอ่อนออกไปทั้งหมด เพื่อให้เรือสามารถเข้าประจำการเป็นกำลังรบหลักถึงปี 2060

เมื่อได้แบบเรือฟริเกตตรงตามความต้องการกองทัพเรือสเปน ท่านประธานบริษัท Navantia สั่งเดินหน้าต่อทันที โดยการนำแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design มาทำแบบรายละเอียดหรือ Construction Drawings กระทั่งเสร็จสมบูรณ์ กลายเป็นโมเดลเรือในภาพประกอบที่ห้าซึ่งมีรายละเอียดประกอบไปด้วย

เรือมีระวางขับน้ำ 6,100 ตัน ยาว 145 เมตร กว้าง 18 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อน CODLOG เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ GE LM2500 จำนวน 1 ตัว เครื่องยนต์ดีเซล MTU 4000 จำนวน 4 ตัว ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ความเร็วสูงสุด 25 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 150 นาย ข้อมูลตัวเรือมีหลุดมาเพียงเท่านี้

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 127/64 LW Vulcano บริเวณหัวเรือ เหตุผลที่เปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่อิตาลีเพราะสเปนอยากใช้กระสุน Vocalno ระยะยิงไกลสุด 100 กิโลเมตร ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง MK41 จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM Block 2 ซึ่งสเปนลงขันพัฒนาร่วมกับหลายชาติในนาโต้ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจน กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง อาวุธใต้น้ำคือตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ MK 54 รุ่นยอดนิยม กับแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.จำนวน 2 กระบอกขนาบสองกราบเรือ รวมทั้งมีปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.เพิ่มเติมอีก 2 กระบอก

เรือใช้ระบบอำนวยการรบรุ่น SCOMBA ที่สเปนพัฒนาเอง ติดเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 จากสหรัฐอเมริกาจำนวน 4 ตัว ด้านบนคือเรดาร์ตรวจการณ์ X-Band ที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดจำนวน 4 ตัว ระบบสื่อสารกับระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของสเปนทั้งหมด ติดเรดาร์ควบคุมการยิงปืนใหญ่ NS-30S MK2 จำนวน 1 ตัว (สำหรับยิงกระสุนต่อระยะ) ติดเรดาร์ควบคุมอาวุธปล่อยนำวิถี AN/SPG-62 จำนวน 2 ตัว ระบบตรวจจับใต้น้ำคือโซนาร์หัวเรือ BlueMaster UMS 4110 กับ โซนาร์ลากท้าย CAPTAS-4 รุ่น Compact น้ำหนักน้อยกว่าเดิม รองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำ

พัฒนาการของเรือยังไม่จบสิ้นแค่เพียงเท่านี้ ภาพประกอบที่หกมีการเปลี่ยนเล็กน้อยให้เหมาะสมกว่าเดิม โดยการโยกเรดาร์เดินเรือมาติดบนเสากระโดงแปดเหลี่ยม สร้างแท่นวางเรดาร์ควบคุมการยิงยาวมาถึงสะพานเดินเรือ เพื่อติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง NS-30S MK2 ต่อด้วยจานรับสัญญาณดาวเทียมหรือ SATCOM ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จุดอื่นบนเรือมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย และทุกคนคาดว่านี่คือแบบเรือรุ่นสร้างจริงของ F110

หัวเรือสูง สะพานเดินเรือเตี้ย กลางเรือค่อนข้างราบเรียบ มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มีโซนาร์ลากท้ายตัวพ่อ เรือฟริเกต F110 ถือว่าดีที่สุดเท่าที่สเปนสามารถพัฒนาได้

เรือฟริเกต F110 อาจมีหลายส่วนโดยเฉพาะหัวเรือคล้ายเรือฟริเกต F1 00 แต่ถึงกระนั้นเรือมีความแตกต่างหลายอย่างประกอบไปด้วย

1.เรือมีความเงียบเทียบเท่าเรือฟริเกตปราบเรือน้ำรุ่นใหม่ทันสมัยหลายชาติ ผลลัพธ์จากการออกแบบตัวเรือส่วนใต้น้ำใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก CODOG เป็น CODLOG ส่งผลให้การทำภารกิจไล่ล่าและทำลายเรือดำน้ำแจ่มแจ๋วกว่าเดิม

2.เรือถูกออกแบบลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์และคลื่นความร้อน มีเพียงปล่องระบายอากาศกลางลำเรือจุดเดียวที่เผยแพร่คลื่นความร้อน การออกแบบสองกราบเรือก็นำเรือฟริเกตชั้น Iver Huitfeldt กองทัพเรือเดนมาร์กมาเป็นต้นแบบ

3.เรือมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม ทำภารกิจได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม รวมทั้งทำภารกิจเสริมต่างๆ ได้โดยไม่ขัดเขิน F110 จึงมีความแตกต่างจาก F100 มากพอสมควร

ภาพประกอบที่เจ็ดมาจากเว็บไซต์บริษัท Navantia เรือฟริเกต F110 ที่จะจริงมีการปรับปรุงเสากระโดงแปดเหลี่ยมให้มีขนาดเล็กลง เมื่อน้ำหนักเสาลดลงส่งผลให้เรือไม่โคลงมากเกินไป ตำแหน่งเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 สูงกว่าเดิมอย่างชัดเจน สลับกับเรดาร์ตรวจการณ์ X-Band ลดต่ำลงเล็กน้อย เปลี่ยนมาใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM แทนที่ Harpoon และเนื่องมาจากแท่นยิง NSM ขนาดค่อนข้างเล็กและเตี้ย ไม่มีความจำเป็นต้องเจาะช่องเรือเพื่ออำพราง ส่งผลให้การสร้างเรือง่ายกว่าเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ

ความเปลี่ยนแปลงอีก 2 จุดที่ผู้เขียนตรวจพบก็คือ จรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ไม่อยู่แล้ว และเปลี่ยนมาใช้งานปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.รุ่นเดียวกับเรือหลวงช้าง แทนที่ปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.ที่กำลังจะสูญหายจากท้องตลาด ถือเป็นการสนับสนุนสินค้าพัฒนาและผลิตในสเปนไปพร้อมกัน

กองทัพเรือสเปนต้องการสร้างเรือฟริเกต F110 จำนวน 5 ลำ โดยมีออปชันเสริมอีก 2 ลำขึ้นอยู่กับสถานการณ์และกระเป๋าเงิน ราคาต่อลำอยู่ที่ 1.02 ล้านเหรียญหรือ 32,956 ล้านบาท ขณะที่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ใช้ระบบเรดาร์รุ่นใหม่กับระบบอำนวยการรบ THALES ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 16 ท่อยิงเท่ากัน กลับมีราคาค่อนข้างสูงลำละ 1 พันล้านยูโรหรือ 37,750 ล้านบาท

เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์เรือฟริเกตสเปนราคาถูกกว่า สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้ทันที (เรดาร์ควบคุมการยิงพร้อมมาก) ที่สำคัญอาวุธกับเรดาร์สหรัฐอเมริกาผ่านสงครามจริงมานักต่อนัก จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้ใคร ยังไม่เคยเกิดปัญหายิงไม่ออกให้เป็นที่เจ็บใจ ความน่าเชื่อถือสูงกว่าแม้ไม่ใช่ระบบอำนวยการรบ AEGIS ของจริงก็ตาม

อ้างอิงจาก

https://www.secretprojects.co.uk/threads/navantia-f2m2-future-frigate-multi-mission.11463/#post-261587

https://www.navantia.es/en/product/f110/

https://www.seaforces.org/marint/Spanish-Navy/Frigate/Bonifaz-class.htm

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น