บทนำ
ปลายเดือนมิถุนายน 2568
รัฐบาลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย
ตัดสินใจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อดูแลด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีไอดอลเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของบังกลาเทศ
ท่านนายกจึงเริ่มเดินหน้าปรับปรุงกองทัพเรือให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในอดีต
งานชิ้นแรกที่ทำหลังรับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งสัปดาห์
คือการประชุมร่วมกับลูกประดู่หวังทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ท่านนายกจึงใช้โอกาสนี้สอบถามเรื่องราวค้างคาใจ
“แปดปีที่แล้วดิฉันเห็นมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากแชร์ภาพถ่ายเรือลำหนึ่ง
พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น
เวลาผ่านพ้นแปดปีฟิลิปปินส์กำลังจะได้เรือฟริเกตลำที่สี่
กำลังจะได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่หนึ่ง และกำลังได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มอีกห้าลำ
เวลาเดียวกันมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากยังคงแชร์ภาพถ่ายเรือลำเดิม พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย
มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น ดิฉันเห็นภาพเดจาวูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปวดไมเกรน
วันนี้เป็นโอกาสดีดิฉันอยากสอบถามทุกคนว่า…เกิดอะไรขึ้นฮึ!”
ความเปลี่ยนแปลง
หลังได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง
จากผู้เกี่ยวข้องโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่านนายกตัดสินใจเด็ดขาดเราต้องสร้างเรือเพิ่มเดี๋ยวนี้
โดยนำแบบเรือดั้งเดิมติดเพียงปืนกลขนาด 30 มม.จากประเทศอังกฤษ มาขยับขยายกลายร่างเป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยติดอาวุธ
3 มิติ สามารถยิงสกัดจรวดทั้งนำวิถีและไม่นำวิถีจากประเทศเพื่อนบ้านได้
สามารถยิงสกัดในโหมดซัลโวได้คือยิงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคลังแสง
ความต้องการนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองได้รับการตอบสนองทันที
คล้อยหลังเพียงไม่กี่วันมีคำสั่งการถึงบริษัทอู่กรุงเทพ
วันรุ่งขึ้นซีอีโอบริษัทอู่กรุงเทพรีบติดต่อซีอีโอบริษัท BAE
Systems ประเทศอังกฤษ ให้ทางนั้นส่งนักออกแบบฝีมือขั้นเทพเดินทางมาที่กรุงเทพโดยด่วน
ซีอีโอบริษัท BAE Systems ตัดสินใจส่งมือดีที่สุดของตัวเองมายังสยามเมืองยิ้ม
เขาคือชายหนุ่มร่างกำยำจากเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากลิเวอร์พูล เป็นคนอังกฤษแท้ๆ
มีชื่อในบัตรประชาชนว่า ‘มิสเตอร์เดวิด โทนี่ ปีเตอร์ แอนดริว
โอนาน่า’
กลางเดือนกรกฎาคม 2568 มิสเตอร์โอนาน่าเดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
หลังกินหมูกระทะในซอยมหาดไทยจนอิ่มหนำสำราญ เขาเริ่มลงมือพัฒนาแบบเรือให้เหมาะสมกับความต้องการ
และสามารถสร้างแบบเรือถึง 4 แบบภายในเวลา 4 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันล้นหลามโดยเฉพาะการใช้เท้า…เอ้ย…การใช้หัวสมอง
ได้แบบเรือมาแล้วปัญหาถัดไปคือการตั้งชื่อ
มิสเตอร์โอนาน่าเสนอให้ใช้ชื่อ Type 15 เนื่องจากตัวเองคุ้นเคยตัวเลขนี้
ลูกประดู่ไทยไม่มีปัญหาทว่าซีอีโอบริษัท BAE Systems
รีบบอกปัด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุใด
ท้ายที่สุดโครงการนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมเพิ่มเติมตัวเลขเข้ามา
ยิ่งแบบเรือมากขึ้นความยาวของชื่อยิ่งมากขึ้นตามกัน
โครงการนี้ถูกเรียกขานในภายหลังว่า ‘ดิ อเวนเจอร์’
แบบเรือที่ มิสเตอร์โอนาน่าพัฒนาให้ลูกประดู่ไทยประกอบไปด้วย
1.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100
มิสเตอร์โอนาน่านำเรือหลวงประจวบมาพัฒนาต่อให้เหมาะสมมากกว่าเดิม
โดยการเพิ่มความจาก 90 เมตรเป็น 100 เมตร ระวางขับน้ำ 2,600 ตัน ปล่องระบายความร้อนถอยไปด้านหลังเล็กน้อย
จากนั้นจึงสร้างโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน เพียงเท่านี้เรือก็เปลี่ยนรูปทรงจากรถกระบะตอนเดียวเป็นรถกระบะสองตอน
ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย
ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1
กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.จำนวน
2 กระบอก ปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 4 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM
จำนวน 8 นัด และแท่นยิง SIMBAD-RC4 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง
7 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด
Avenger100 ใช้ระบบอำนวยการรบ CATIZ
จากบริษัท Navantia เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB จากบริษัท Saab เรดาร์ควบคุมการยิง DORNA จากบริษัท Navantia เรดาร์เดินเรือ Furuno จำนวน 2 ตัว กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS จำนวน 1
ตัว ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ES-3601 และแท่นยิงเป้าลวงขนาด
12 ท่อยิงรุ่น SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 ขนาดใหญ่กว่าเดิม พื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม รองรับการปฏิบัติการในทะเลลึกได้เป็นอย่างดี
ภาพรวมมีความเหมาะสมกับลูกประดู่ไทย
2.เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO
ผู้ออกแบบนำเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 มาติดอาวุธเพิ่มเติม ส่งผลให้เรือทำการรบ 3 มิติได้โดยไม่เคอะเขิน
สิ่งที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาประกอบไปด้วย
1.สร้างจุดติดอาวุธเพิ่มโดยตัด Superstructure หัวเรือออกเล็กน้อย เพื่อติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า ในภาพเรือถูกติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง K-VLS จำนวน 4 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถี K-SAAM ระยะยิง 20 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด
2.ติดตั้งโซนาร์หัวเรือชนิดต่างๆ
ตามความต้องการลูกค้า
3.ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำชนิดต่างๆ
ตามความต้องการลูกค้า จุดติดตั้งอยู่ด้านล่างแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM
4.ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดแทนที่แท่นยิง
SIMBAD-RC4
เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO สามารถติดอาวุธครบ 3 มิติ
ทำงานได้เทียบเท่าเรือฟริเกตราคาแพงกว่าขนาดใหญ่กว่า
เพียงแต่การติดอาวุธล้นลำทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงพอสมควร การนำเรือไปทำภารกิจเสริมชนิดอื่นจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก
3.เรือฟริเกตชั้น Avenger111
เป็นแบบเรือดั้งเดิมที่บริษัท BAE
Systems ตั้งใจนำเสนอในโครงการเรือฟริเกต Type 31e บังเอิญแบบเรือขาดความเหมาะสมระดับร้ายแรงจนถูกมองข้าม มิสเตอร์โอนาน่านำแบบเรือมาโมใหม่ให้ดูเก๋ไก๋สไลค์เดอร์
ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 ตัน มีการสร้าง Superstructure
ขนาดหนึ่งชั้นบนพื้นที่ว่างกลางเรือ ใช้เป็นจุดติดอาวุธทันสมัยทั้งหมดที่มีใช้งานบนเรือ
และใช้เชื่อมตัวหัวเรือกับท้ายเรือให้มีความใกล้เคียงกันมากกว่าเดิม
ระบบเรดาร์และอาวุธยกมาจากเรือคอร์เวตชั้น
Avenger100EVO โดยเปลี่ยนมาใช้เรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A ทำงานร่วมกับ
Sea Giraffe 1X แทนที่ Sea Giraffe AMB
พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิง MK.41 ขนาด 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวนมากสุด 32 นัด ติดตั้งเสาสัญญาณนำวิถี Sea Ceptor
ระหว่างเดินทางทรงกระบอกจำนวน 2 จุด
ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโด Mk137 ขนาด 6 ท่อยิงเพิ่มจำนวน 4 แท่นยิง ระบบสื่อสารทันสมัยกว่าเดิมตามภารกิจ
ส่งผลให้เรือทำการรบในทะเลลึกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมด
เรือฟริเกตชั้น Avenger111 ยังมีพื้นที่ว่างสำหรับแท่นยิง MK.41 จำนวน 8
ท่อยิง
ปัญหาเรื่องหนึ่งของเรือก็คือไม่มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัย
เพราะแบบเรือถูกขยายความายาวจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธเบาประเทศอังกฤษ
เรือลำนี้จึงเป็นได้เพียงเรือฟริเกตอเนกประสงค์หรือเรือฟริเกตปราบเรือผิวน้ำ
4.เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO
ผู้ออกแบบนำเรือฟริเกตชั้น Avenger111
มาติดเสากระโดงขนาดใหญ่ เพื่อฝังเรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe
4A จำนวน 4 ตัวในเสากระโดง การตรวจจับเป้าหมายกลางอากาศก็เลยดีขึ้นทันตาเห็น
นอกจากนี้ยังติดตั้งแท่นยิง MK.41 เพิ่มจาก 8 ท่อยิงเป็น 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวน 32
นัด กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด
ส่งผลให้เรือมียอดรวมอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 48 นัด
เนื่องจาก CAMM
MR ระยะยิงไกลสุดมากถึง 100 กิโลเมตร ฉะนั้นเสาสัญญาณนำวิถีระหว่างเดินทางจึงพลอยใหญ่โตตามกัน
อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกติดตั้งบนยอดเสากระโดงกับหลังปล่องระบายความร้อน ข้อแตกต่างอีกหนึ่งประการเกี่ยวข้องกับขนาดเสากระโดงที่ใหญ่กว่าเดิม
จุดติดตั้งปืนกลขนาด 30 มม.ถูกเบียดเสียจนแทบไม่เหลือที่ว่าง
จำเป็นต้องสร้างระเบียงใช้เป็นทางเดินจากหัวเรือไปท้ายเรือเพิ่มเติมเข้ามา
เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO ช่วยให้ลูกประดู่ไทยมีเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเหมือนดั่งชาติอื่น
ที่สำคัญสามารถติดตั้ง CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรได้มากสุด 32 นัด
โดยมีค่าตัวไม่แตกต่างจากเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ลำที่เป็นตำนาน
บทสรุป
ผลงานมิสเตอร์โอนาน่าเข้าตานายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศ เธอตัดสินใจเพิ่มงบประมาณสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 จำนวน 2 ลำ เรือฟริเกตชั้น Avenger111 จำนวน 1 ลำ ปิดท้ายด้วยเรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO อีก 1 ลำ พร้อมให้สัญญาว่าอีก 5 ปีข้างหน้าหากตัวเองยังอยู่ในตำแหน่ง จะลงนามสร้างเรือเฟสสองจากโครการดิ อเวนเจอร์เพิ่มจำนวน 4 ลำ
+++++++++++++++