วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

F110-class Frigate

 

กองทัพเรือสเปนมีเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Santa María หรือ Oliver Hazard Perry จำนวน 6 ลำ เข้าประจำการระหว่างปี 1986 ถึง 1994 ถือว่าอายุมากพอสมควร จึงมีแผนการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่เข้าประจำการทดแทน กำหนดให้ใช้แบบเรือพัฒนาเองสร้างเองไม่ต้องพึ่งพาชาติอื่นให้ยุ่งยากวุ่นวาย

และเนื่องมาจากกองทัพเรือสเปนประจำการเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศชั้น F100 จำนวน 5 ลำ ออกแบบโดยบริษัท Navantia ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมสร้างเรือแห่งเมืองกระทิงดุ คนในกองทัพจึงหมายมั่นปั้นมือปรับปรุงเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ อาจเป็นเพราะกำลังหลงใหลละเมอพร่ำเพ้อคำว่า common fleet พวกเขาวาดฝันว่า F100 จำนวน 5 ลำบวก F100 Batch 2 อีก 5 ลำมันช่างสุดยอดเสียนี่กระไร ว่าแล้วจึงส่งความต้องการให้ Navantia ช่วยดัดแปลงเรือตามความต้องการ

การปรับปรุงเรือชั้น F100 กระทำกันแบบค่อนข้างง่าย รบกวนเพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่หนึ่งไปพร้อมกัน เป็นเรือฟริเกตชั้น F100 Batch 2 ที่ Navantia นำเสนอให้กองทัพเรือออสเตรเลียในโครงการจัดหาเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ โดยการสร้างเสากระโดงขนาดใหญ่ยักษ์หน้าตาประหลาด ถอดเรดาร์ตรวจการณ์สหรัฐอเมริกาออก แทนที่ด้วยเรดาร์ตรวจการณ์ออสเตรเลีย พยายามลดเสียงจากระบบขับเคลื่อนให้มากที่สุด และเพิ่มโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์จากหนึ่งเป็นสอง ตรงตามความต้องการลูกค้าพอดิบพอดี

กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ F100 Batch 2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ ปิดฉากกองเรือ common fleet จำนวน 10 ลำไปชั่วนิรันดร์ เหตุผลก็คือ F100 Batch 2 อาจเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดี ทว่า F100 Batch 2 ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่ดีที่สุด และ F100 Batch 2 ไม่ใช่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำที่เหมาะสมที่สุด ในระยะยาวนอกจากไม่เป็นเดอะแบกหนำซ้ำยังอาจเป็นเดอะภาระ

เมื่อ Navantia นำแบบเรือ F100 Batch 2 มานำเสนอให้กับกองทัพเรือออสเตรเลีย ผลลัพธ์ก็คือพ่ายแพ้แบบเรือ Type 26 จากประเทศอังกฤษแบบสู้กันไม่ได้ ปิดตำนานการกลายร่างเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำไปแบบสุดชอกช้ำ

หลังถีบแบบเรือ F100 Batch 2 กระเด็นตกน้ำ บริษัท Navantia เห็นช่องรวยจึงนำเสนอแบบเรือ F2M2 หรือ Future Frigate Multi Mission ให้กองทัพเรือสเปนพิจารณาตามภาพประกอบที่สอง

F2M2 เป็นเรือไตรมารันสามตอนเหมือนเรือ LCS ชั้น Independence กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ผสมผสานระบบเรดาร์น้อยใหญ่ไว้บนเสากระโดงทรงเตี้ย สะพานเดินเรือรูปทรงคล้ายคลึงเรือพิฆาตชั้น Zumwalt กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา จัดเป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ทำภารกิจได้อย่างหลากหลาย มีคุณลักษณะลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ชนิดเต็มคาราเบล มีความทันสมัยก้าวล้ำนำหน้าแบบเรือลำอื่นสองเสาไฟ

หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาดไม่เกิน 127 มม.ถัดมาด้านหลังคือแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 32 ท่อยิง สะพานเดิมเรือกับเสากระโดงผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียว จุดติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบกับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ ซ่อนอยู่ในตัวเรือเปิดใช้เฉพาะตอนทำสงคราม มีจุดรับส่งเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 จุด มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำ มีจุดติดตั้งปืนรองหรือระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด มีพื้นที่อเนกประสงค์หรือ Mission bay ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มีประตูขนาดใหญ่รับส่งยานผิวน้ำไร้คนขับจำนวน 1 จุด และมีประตูขนาดกลางรับส่งยานใต้น้ำไร้คนขับอีก 2 จุด

กองทัพเรือสเปนพิจารณาแบบเรือ F2M2 ได้ไม่นาน ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกปัดไม่ตอบรับ ปิดฉากกองเรือ modern fleet ไตรมารันไปชั่วนิรันดร์ เหตุผลก็คือ F2M2 เสียงดังเกินกว่าจะเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำ มีความยุ่งยากซับซ้อนในการซ่อมบำรุงและการใช้งาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการออกทะเลมากกว่าเรือฟริเกตตอนเดียวโดยทั่วไป

หลังถีบแบบเรือ F100 Batch 2 กระเด็นตกน้ำ ปี 2011 กองทัพเรือสเปนกำหนดให้ Navantia ออกแบบเรือฟริเกตใหม่ทั้งลำ พร้อมทำสัญญามูลค่า 2 ล้านยูโรให้บริษัท INDRA ออกแบบเสากระโดง integrated sensor mast เท่ากับเป็นการประกาศเดินหน้าโครงการเรือฟริเกตรุ่นใหม่ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า F110 อย่างเต็มรูปแบบ

        ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือ F110 รุ่นต่างๆ ที่ Navantia กับ INDRA ร่วมมือกันเสกสรรปั้นแต่ง เริ่มจากเรือไตรมารันสามตอนซึ่งดูจากทรงยังไงก็ไม่เหมาะสม ลำถัดไปคือเรือฟริเกตตอนเดียวที่หยิบยืมเสากระโดง F2M2 มาใช้งาน ลำถัดไปยืมดีไซน์เสากระโดงเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์สหรัฐอเมริกามาใช้งาน เรืออีกลำใช้เสากระโดงรูปทรงพีระมิดเหมือนเรือคอร์เวต Gowind 2500  กระทั่งมาสำเร็จเป็นแบบเรือ F110 เสากระโดงรูปทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มุมขวาด้านล่าง

        กองทัพเรือสเปนชอบอะไรที่มันเหลี่ยมจัด เห็นเสากระโดงแปดเหลี่ยมครั้งแรกขอแต่งงานทันที เป็นอันว่าแบบเรือ F110 รุ่นแรกได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ

ภาพประกอบที่สี่คือแบบเรือ F110 รุ่นแปดเหลี่ยมจำนวน 5 มุมมอง หัวเรือติดปืนใหญ่ 5 นิ้วจากสหรัฐอเมริกา ถัดมาคือแท่นยิงแนวดิ่ง MK41 จำนวน 16 ท่อยิง ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AN/SPY-7(V)2 ใหม่เอี่ยมแต่เป็นรุ่นส่ง ทำงานร่วมระบบอำนวยการรบ SCOMBA ที่ Navantia นำเทคโนโลยีระบบอำนวยการรบ AEGIS มาผสมผสานเป็นผลงานฝีมือตัวเอง แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon ซ่อนอยู่ในช่องเจาะลึกกลางเรือ เป็นการอำพรางเนื่องจากแท่นยิง MK141 ค่อนข้างสูงจนน่าตกใจ ส่วนปืนรองตามภาพประกอบน่าจะเป็น BOFORS 57 mm MK3  อัตรายิง 200 นัดต่อนาที มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ลำกับเรือยางท้องแข็งขนาดใหญ่อีก 3 ลำ ภาพรวมแลดูคล้ายคลึงนำแบบเรือ F100 มาพัฒนาให้ทันสมัยมากกว่าเดิม

กองทัพเรือสเปนเลือก F110 รุ่นแปดเหลี่ยมก็จริง ทว่าแบบเรือยังต้องพัฒนาปรับปรุงลดจุดอ่อนออกไปทั้งหมด เพื่อให้เรือสามารถเข้าประจำการเป็นกำลังรบหลักถึงปี 2060

เมื่อได้แบบเรือฟริเกตตรงตามความต้องการกองทัพเรือสเปน ท่านประธานบริษัท Navantia สั่งเดินหน้าต่อทันที โดยการนำแบบเบื้องต้นหรือ Preliminary Design มาทำแบบรายละเอียดหรือ Construction Drawings กระทั่งเสร็จสมบูรณ์ กลายเป็นโมเดลเรือในภาพประกอบที่ห้าซึ่งมีรายละเอียดประกอบไปด้วย

เรือมีระวางขับน้ำ 6,100 ตัน ยาว 145 เมตร กว้าง 18 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อน CODLOG เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ GE LM2500 จำนวน 1 ตัว เครื่องยนต์ดีเซล MTU 4000 จำนวน 4 ตัว ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ความเร็วสูงสุด 25 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 150 นาย ข้อมูลตัวเรือมีหลุดมาเพียงเท่านี้

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 127/64 LW Vulcano บริเวณหัวเรือ เหตุผลที่เปลี่ยนมาใช้ปืนใหญ่อิตาลีเพราะสเปนอยากใช้กระสุน Vocalno ระยะยิงไกลสุด 100 กิโลเมตร ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง MK41 จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM Block 2 ซึ่งสเปนลงขันพัฒนาร่วมกับหลายชาติในนาโต้ ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจน กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง อาวุธใต้น้ำคือตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ MK 54 รุ่นยอดนิยม กับแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.จำนวน 2 กระบอกขนาบสองกราบเรือ รวมทั้งมีปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.เพิ่มเติมอีก 2 กระบอก

เรือใช้ระบบอำนวยการรบรุ่น SCOMBA ที่สเปนพัฒนาเอง ติดเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 จากสหรัฐอเมริกาจำนวน 4 ตัว ด้านบนคือเรดาร์ตรวจการณ์ X-Band ที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดจำนวน 4 ตัว ระบบสื่อสารกับระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของสเปนทั้งหมด ติดเรดาร์ควบคุมการยิงปืนใหญ่ NS-30S MK2 จำนวน 1 ตัว (สำหรับยิงกระสุนต่อระยะ) ติดเรดาร์ควบคุมอาวุธปล่อยนำวิถี AN/SPG-62 จำนวน 2 ตัว ระบบตรวจจับใต้น้ำคือโซนาร์หัวเรือ BlueMaster UMS 4110 กับ โซนาร์ลากท้าย CAPTAS-4 รุ่น Compact น้ำหนักน้อยกว่าเดิม รองรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำ

พัฒนาการของเรือยังไม่จบสิ้นแค่เพียงเท่านี้ ภาพประกอบที่หกมีการเปลี่ยนเล็กน้อยให้เหมาะสมกว่าเดิม โดยการโยกเรดาร์เดินเรือมาติดบนเสากระโดงแปดเหลี่ยม สร้างแท่นวางเรดาร์ควบคุมการยิงยาวมาถึงสะพานเดินเรือ เพื่อติดตั้งเรดาร์ควบคุมการยิง NS-30S MK2 ต่อด้วยจานรับสัญญาณดาวเทียมหรือ SATCOM ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จุดอื่นบนเรือมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย และทุกคนคาดว่านี่คือแบบเรือรุ่นสร้างจริงของ F110

หัวเรือสูง สะพานเดินเรือเตี้ย กลางเรือค่อนข้างราบเรียบ มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มีโซนาร์ลากท้ายตัวพ่อ เรือฟริเกต F110 ถือว่าดีที่สุดเท่าที่สเปนสามารถพัฒนาได้

เรือฟริเกต F110 อาจมีหลายส่วนโดยเฉพาะหัวเรือคล้ายเรือฟริเกต F1 00 แต่ถึงกระนั้นเรือมีความแตกต่างหลายอย่างประกอบไปด้วย

1.เรือมีความเงียบเทียบเท่าเรือฟริเกตปราบเรือน้ำรุ่นใหม่ทันสมัยหลายชาติ ผลลัพธ์จากการออกแบบตัวเรือส่วนใต้น้ำใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก CODOG เป็น CODLOG ส่งผลให้การทำภารกิจไล่ล่าและทำลายเรือดำน้ำแจ่มแจ๋วกว่าเดิม

2.เรือถูกออกแบบลดการตรวจจับจากคลื่นอิเล็กทรอนิกส์และคลื่นความร้อน มีเพียงปล่องระบายอากาศกลางลำเรือจุดเดียวที่เผยแพร่คลื่นความร้อน การออกแบบสองกราบเรือก็นำเรือฟริเกตชั้น Iver Huitfeldt กองทัพเรือเดนมาร์กมาเป็นต้นแบบ

3.เรือมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม ทำภารกิจได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม รวมทั้งทำภารกิจเสริมต่างๆ ได้โดยไม่ขัดเขิน F110 จึงมีความแตกต่างจาก F100 มากพอสมควร

ภาพประกอบที่เจ็ดมาจากเว็บไซต์บริษัท Navantia เรือฟริเกต F110 ที่จะจริงมีการปรับปรุงเสากระโดงแปดเหลี่ยมให้มีขนาดเล็กลง เมื่อน้ำหนักเสาลดลงส่งผลให้เรือไม่โคลงมากเกินไป ตำแหน่งเรดาร์ตรวจการณ์ AN/SPY-7(V)2 สูงกว่าเดิมอย่างชัดเจน สลับกับเรดาร์ตรวจการณ์ X-Band ลดต่ำลงเล็กน้อย เปลี่ยนมาใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM แทนที่ Harpoon และเนื่องมาจากแท่นยิง NSM ขนาดค่อนข้างเล็กและเตี้ย ไม่มีความจำเป็นต้องเจาะช่องเรือเพื่ออำพราง ส่งผลให้การสร้างเรือง่ายกว่าเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ

ความเปลี่ยนแปลงอีก 2 จุดที่ผู้เขียนตรวจพบก็คือ จรวดปราบเรือดำน้ำ Rokestan ขนาด 6 ท่อยิงเหนือโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ไม่อยู่แล้ว และเปลี่ยนมาใช้งานปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.รุ่นเดียวกับเรือหลวงช้าง แทนที่ปืนกลอัตโนมัติขนาด 25 มม.ที่กำลังจะสูญหายจากท้องตลาด ถือเป็นการสนับสนุนสินค้าพัฒนาและผลิตในสเปนไปพร้อมกัน

กองทัพเรือสเปนต้องการสร้างเรือฟริเกต F110 จำนวน 5 ลำ โดยมีออปชันเสริมอีก 2 ลำขึ้นอยู่กับสถานการณ์และกระเป๋าเงิน ราคาต่อลำอยู่ที่ 1.02 ล้านเหรียญหรือ 32,956 ล้านบาท ขณะที่เรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่กองทัพเรือเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ใช้ระบบเรดาร์รุ่นใหม่กับระบบอำนวยการรบ THALES ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 16 ท่อยิงเท่ากัน กลับมีราคาค่อนข้างสูงลำละ 1 พันล้านยูโรหรือ 37,750 ล้านบาท

เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์เรือฟริเกตสเปนราคาถูกกว่า สามารถใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน SM2 ได้ทันที (เรดาร์ควบคุมการยิงพร้อมมาก) ที่สำคัญอาวุธกับเรดาร์สหรัฐอเมริกาผ่านสงครามจริงมานักต่อนัก จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้ใคร ยังไม่เคยเกิดปัญหายิงไม่ออกให้เป็นที่เจ็บใจ ความน่าเชื่อถือสูงกว่าแม้ไม่ใช่ระบบอำนวยการรบ AEGIS ของจริงก็ตาม

อ้างอิงจาก

https://www.secretprojects.co.uk/threads/navantia-f2m2-future-frigate-multi-mission.11463/#post-261587

https://www.navantia.es/en/product/f110/

https://www.seaforces.org/marint/Spanish-Navy/Frigate/Bonifaz-class.htm

 

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

Frigate 4000

 

ในงานแสดงอาวุธ MADAX 2025 ซึ่งถูกจัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ บริษัท Hanwha Ocean นำแบบเรือฟริเกตรุ่นส่งออกลำใหม่มาเปิดตัวในงาน และถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่าเรือฟริเกตชั้น Frigate 4000

รูปร่างหน้าตาเรือมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างดี เหตุผลก็คือแบบเรือถูกปรับปรุงจากเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชของราชนาวีไทย

Frigate 4000 มีความยาวประมาณ 124 เมตร กว้าง 14.4 เมตร กินน้ำลึกสุด 8 เมตร ระวางขับน้ำ 3,750 ตัน ใกล้เคียงเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชซึ่งปรับปรุงจากแบบเรือ DW 3000F อีกหนึ่งทอด ส่งผลให้หัวเรือค่อนข้างยาวและแหลม สะพานเดินเรือค่อนข้างสูง แหล่งข่าวในงานแจ้งว่าบริษัท Hanwha Ocean ตั้งใจเสนอแบบเรือ Frigate 4000 ให้กับราชนาวีไทย ในโครงการจัดหาเรือฟริเกตรุ่นใหม่มูลค่าลำล่ะ 17,500 ล้านบาท

ชมภาพประกอบที่หนึ่งไปพร้อมกัน เพราะเป็นเรือรุ่นส่งออกที่ยังไม่ได้ปรับปรุงตามความต้องการลูกค้า ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบใช้ของเกาหลีใต้ไปก่อน หัวเรือติดปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ถัดไปเล็กน้อยคือแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 16 ท่อยิงติดตั้งตามยาว ขนาบข้างด้วยแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดจำนวน 12 แท่นยิง หน้าสะพานเดินเรือยกสูงเล็กน้อยประมาณหนึ่งฟุต ติดตั้งเสาเหล็กสำหรับรับ/ส่งสิ่งของกลางทะเล กับแท่นยิง SIMBAD-RC สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 จำนวน 2 ท่อยิง

เหตุผลที่ติดตั้งแท่นยิง SIMBAD-RC นั้นมีอยู่ว่า ต้องการใช้อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ยิงสกัดอากาศยานไร้คนขับชนิดต่างๆ เหตุผลก็คือ Mistral 3 ราคาถูกที่สุด ติดตั้งง่ายที่สุด อีกไม่กี่ปีจะมีแท่นยิง SIMBAD-RC4 ขนาด 4 ท่อยิงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก การติดตั้ง SIMBAD-RC เพิ่มเติมเข้ามาของบริษัท Hanwha Ocean เพื่อให้ตัวเองสามารถโม้ได้ว่าเรือทำภารกิจต่อต้านอากาศยานไร้คนขับได้

ภาพประกอบที่สองเป็นบั้นท้ายเรือที่ทุกคนคุ้นเคย ลานจอดกับโรงเก็บรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัยหากลูกค้าอยากเสียเงินเพิ่ม บนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ติดตั้งปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิงจำนวน 2 ตัว และแท่นยิง SIMBAD-RC อีก 1 แท่นยิง ส่วนจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ แท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ เป้าลวงอาวุธปล่อยนำวิถี และจุดรับส่งเรือยางท้องแข็ง เหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชชนิดต่อให้หลับตาเดินก็ไม่เตะ

ข้อแตกต่างอย่างชัดเจนเกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์ Frigate 4000 ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD เครื่องยนต์ดีเซลล้วน ความเร็วสูงสุด 27 นอต ส่วนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์กับดีเซล ความเร็วสูงสุด 33 นอต ทั้งนี้ทั้งนั้นระบบขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการลูกต้า ส่วนเปลี่ยนแล้วใช้งานดีหรือเปลี่ยนแล้วใช้งานไม่กี่ปีเครื่องยนต์พังขึ้นอยู่กับแต้มบุญหนุนนำ

คำถามในเมื่อบริษัท Hanwha Ocean ตั้งใจเสนอแบบเรือ Frigate 4000 ให้กับราชนาวีไทย บังเอิญแบบเรือมีหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างจากเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เราจะซื้อมาใช้งานโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงได้หรือไม่?

คำตอบได้แน่นอน

ระบบขับเคลื่อนเปลี่ยนเป็น CODAG ได้แน่นอน ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบเปลี่ยนเป็นบริษัท SAAB ได้แน่นอน รบกวนเพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่สามกันสักนิด แม้แบบเรือ Frigate 4000 ไม่มีเสากระโดงรองสำหรับติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลาง แต่มีพื้นที่ว่างหน้าปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.พอสมควร สามารถสร้างเสากระโดงรองเหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชได้แน่นอน การติดตั้งระบบเรดาร์จึงทำได้เหมือนเรือต้นฉบับทุกประการ

คำถามส่วนที่แตกต่างอยู่ตรงไหน?

คำตอบอยู่ที่หัวเรือ

เพื่อนๆ สมาชิกชมภาพประกอบที่สี่กันต่อ

ภาพซ้ายมือเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชกำลังยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM เนื่องจากเกาหลีใต้ออกแบบหัวเรือสูงจากระดับน้ำไม่มาก ติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งบนดาดฟ้าเรือตรงๆ ไม่ได้เนื่องจากความสูงไม่พอ จำเป็นต้องสร้างดาดฟ้าเรือชั้นที่สองหลังปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.รองรับแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อยิงไม่มากไปกว่านี้ ขนาบสองฝั่งด้วยเสาเหล็กสำหรับรับ/ส่งสิ่งของกลางทะเล และมีพื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือมากพอสมควร

พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือออกแบบมาเพื่อติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx บังเอิญลูกค้าเปลี่ยนใจอยากย้าย Phalanx มาติดบนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ พื้นที่ดังกล่าวจึงใช้ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโดจำนวน 12 แท่นยิง

เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชมีสะพานเดินเรือรูปทรงห้าเหลี่ยม ภาพรวมคล้ายเรือ LCS ชั้น Independence กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เพื่อนๆ สมาชิกหันมาพิจารณาภาพขวามือกันบ้าง สะพานเดินเรือของแบบเรือ Frigate 4000 รูปทรงหกเหลี่ยมแต่คล้ายกันมาก พูดง่ายๆ ก็คือความแหลมถูกเฉือนออกไปเล็กน้อย นี่คือความเปลี่ยนแปลงจุดที่หนึ่งของเรือ

ความเปลี่ยนแปลงจุดที่สองอยู่ที่ความทันสมัยหัวเรือ แม้หัวเรือจะมีความสูงเท่าเดิมเมื่อพิจารณาจากภาพประกอบ (ลำจริงหัวเรืออาจสูงกว่านี้ก็เป็นได้) ทว่า Hanwha Ocean ออกแบบหัวเรือให้ราบเรียบเหมือนเรือฟริเกตรุ่น Full Steath ของแท้ จุดผูกเชือกเรือกับรอกสมอเรือย้ายมาอยู่ใต้ดาดฟ้าเรือ ส่วนแท่นยิงแนวดิ่ง 16 ท่อยิงติดบนดาดฟ้าเรือหลังปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.

เท่ากับว่า Frigate 4000 มีความทันสมัยกว่าเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช

เท่ากับว่า Frigate 4000 มีความเหมือนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์

ส่วนจะจัดเป็นเรือชั้นเดียวกันหรือไม่เรื่องนี้เกินความรู้ความสามารถผู้เขียน

ข้อสังเกตเล็กน้อยแต่ไม่น่าน้อยสักเท่าไร โมเดลแบบเรือ Frigate 4000 แม้ออกแบบหัวเรือใหม่ทันสมัยมากขึ้น ทว่าหัวเรือกลับสูงเท่าเดิมแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลง จุดติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งย่อมกินพื้นที่ลึกกว่าเดิมนิดหน่อย และต้องเสียพื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือสำหรับจุดผูกเชือกเรือกับรอกสมอเรือ ถ้าออกแบบให้หัวเรือสูงกว่าเดิมประมาณ 1.7 เมตรเทียบเท่าดาดฟ้าเรือชั้นสองเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช น่าจะเหมาะสมมากกว่า มีพื้นที่ใช้งานมากกว่า สวยกว่า ดุดันกว่า และเผชิญหน้าคลื่นลมแรงได้ดีกว่า

การออกแบบกลับทำให้ทุกคนเห็นว่าหัวเรือเตี้ยกว่าเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ

เป็นข้อตำหนิเล็กๆ ที่ผู้เขียนบังเอิญมองเห็นจากแบบเรือ

ปล.เรือฟริเกต Frigate 4000 ลำจริงอาจแตกต่างจากโมเดลเรือหยาบๆ ตามภาพประกอบ

อ้างอิงจาก

https://www.navalnews.com/event-news/madex-2025/2025/07/new-destroyers-and-export-frigates-by-hanwha-ocean-at-madex-2025/

https://www.janes.com/osint-insights/defence-news/sea/madex-2025-hanwha-positions-frigate-4000-for-thai-navy-requirements

 

 

 

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

The Avenger

 บทนำ

ปลายเดือนมิถุนายน 2568 รัฐบาลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย ตัดสินใจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อดูแลด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีไอดอลเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของบังกลาเทศ ท่านนายกจึงเริ่มเดินหน้าปรับปรุงกองทัพเรือให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในอดีต

        งานชิ้นแรกที่ทำหลังรับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ คือการประชุมร่วมกับลูกประดู่หวังทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ท่านนายกจึงใช้โอกาสนี้สอบถามเรื่องราวค้างคาใจ

        แปดปีที่แล้วดิฉันเห็นมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากแชร์ภาพถ่ายเรือลำหนึ่ง พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น เวลาผ่านพ้นแปดปีฟิลิปปินส์กำลังจะได้เรือฟริเกตลำที่สี่ กำลังจะได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่หนึ่ง และกำลังได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มอีกห้าลำ เวลาเดียวกันมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากยังคงแชร์ภาพถ่ายเรือลำเดิม พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น ดิฉันเห็นภาพเดจาวูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปวดไมเกรน วันนี้เป็นโอกาสดีดิฉันอยากสอบถามทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้นฮึ!”

ความเปลี่ยนแปลง

        หลังได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง จากผู้เกี่ยวข้องโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่านนายกตัดสินใจเด็ดขาดเราต้องสร้างเรือเพิ่มเดี๋ยวนี้ โดยนำแบบเรือดั้งเดิมติดเพียงปืนกลขนาด 30 มม.จากประเทศอังกฤษ มาขยับขยายกลายร่างเป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยติดอาวุธ 3 มิติ สามารถยิงสกัดจรวดทั้งนำวิถีและไม่นำวิถีจากประเทศเพื่อนบ้านได้ สามารถยิงสกัดในโหมดซัลโวได้คือยิงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคลังแสง

ความต้องการนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองได้รับการตอบสนองทันที

        คล้อยหลังเพียงไม่กี่วันมีคำสั่งการถึงบริษัทอู่กรุงเทพ วันรุ่งขึ้นซีอีโอบริษัทอู่กรุงเทพรีบติดต่อซีอีโอบริษัท BAE Systems ประเทศอังกฤษ ให้ทางนั้นส่งนักออกแบบฝีมือขั้นเทพเดินทางมาที่กรุงเทพโดยด่วน ซีอีโอบริษัท BAE Systems ตัดสินใจส่งมือดีที่สุดของตัวเองมายังสยามเมืองยิ้ม เขาคือชายหนุ่มร่างกำยำจากเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากลิเวอร์พูล เป็นคนอังกฤษแท้ๆ มีชื่อในบัตรประชาชนว่า มิสเตอร์เดวิด โทนี่ ปีเตอร์ แอนดริว โอนาน่า

        กลางเดือนกรกฎาคม 2568 มิสเตอร์โอนาน่าเดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ หลังกินหมูกระทะในซอยมหาดไทยจนอิ่มหนำสำราญ เขาเริ่มลงมือพัฒนาแบบเรือให้เหมาะสมกับความต้องการ และสามารถสร้างแบบเรือถึง 4 แบบภายในเวลา 4 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันล้นหลามโดยเฉพาะการใช้เท้าเอ้ยการใช้หัวสมอง

        ได้แบบเรือมาแล้วปัญหาถัดไปคือการตั้งชื่อ มิสเตอร์โอนาน่าเสนอให้ใช้ชื่อ Type 15 เนื่องจากตัวเองคุ้นเคยตัวเลขนี้ ลูกประดู่ไทยไม่มีปัญหาทว่าซีอีโอบริษัท BAE Systems รีบบอกปัด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุใด ท้ายที่สุดโครงการนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมเพิ่มเติมตัวเลขเข้ามา ยิ่งแบบเรือมากขึ้นความยาวของชื่อยิ่งมากขึ้นตามกัน

        โครงการนี้ถูกเรียกขานในภายหลังว่า ดิ อเวนเจอร์

        แบบเรือที่ มิสเตอร์โอนาน่าพัฒนาให้ลูกประดู่ไทยประกอบไปด้วย

1.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100

        มิสเตอร์โอนาน่านำเรือหลวงประจวบมาพัฒนาต่อให้เหมาะสมมากกว่าเดิม โดยการเพิ่มความจาก 90 เมตรเป็น 100 เมตร ระวางขับน้ำ 2,600 ตัน ปล่องระบายความร้อนถอยไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นจึงสร้างโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน เพียงเท่านี้เรือก็เปลี่ยนรูปทรงจากรถกระบะตอนเดียวเป็นรถกระบะสองตอน

        ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก ปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 4 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 นัด และแท่นยิง SIMBAD-RC4 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด

Avenger100 ใช้ระบบอำนวยการรบ CATIZ จากบริษัท Navantia เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB จากบริษัท Saab เรดาร์ควบคุมการยิง DORNA จากบริษัท Navantia เรดาร์เดินเรือ Furuno จำนวน 2 ตัว กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS จำนวน 1 ตัว ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ES-3601 และแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12 ท่อยิงรุ่น SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 ขนาดใหญ่กว่าเดิม พื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม รองรับการปฏิบัติการในทะเลลึกได้เป็นอย่างดี ภาพรวมมีความเหมาะสมกับลูกประดู่ไทย

2.เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO

        ผู้ออกแบบนำเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 มาติดอาวุธเพิ่มเติม ส่งผลให้เรือทำการรบ 3 มิติได้โดยไม่เคอะเขิน สิ่งที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาประกอบไปด้วย

        1.สร้างจุดติดอาวุธเพิ่มโดยตัด Superstructure หัวเรือออกเล็กน้อย เพื่อติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า ในภาพเรือถูกติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง K-VLS จำนวน 4 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถี K-SAAM ระยะยิง 20 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด

        2.ติดตั้งโซนาร์หัวเรือชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า

        3.ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า จุดติดตั้งอยู่ด้านล่างแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM

        4.ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดแทนที่แท่นยิง SIMBAD-RC4

        เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO สามารถติดอาวุธครบ 3 มิติ ทำงานได้เทียบเท่าเรือฟริเกตราคาแพงกว่าขนาดใหญ่กว่า เพียงแต่การติดอาวุธล้นลำทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงพอสมควร การนำเรือไปทำภารกิจเสริมชนิดอื่นจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก

3.เรือฟริเกตชั้น Avenger111

        เป็นแบบเรือดั้งเดิมที่บริษัท BAE Systems ตั้งใจนำเสนอในโครงการเรือฟริเกต Type 31e บังเอิญแบบเรือขาดความเหมาะสมระดับร้ายแรงจนถูกมองข้าม มิสเตอร์โอนาน่านำแบบเรือมาโมใหม่ให้ดูเก๋ไก๋สไลค์เดอร์ ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 ตัน มีการสร้าง Superstructure ขนาดหนึ่งชั้นบนพื้นที่ว่างกลางเรือ ใช้เป็นจุดติดอาวุธทันสมัยทั้งหมดที่มีใช้งานบนเรือ และใช้เชื่อมตัวหัวเรือกับท้ายเรือให้มีความใกล้เคียงกันมากกว่าเดิม

        ระบบเรดาร์และอาวุธยกมาจากเรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO โดยเปลี่ยนมาใช้เรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A ทำงานร่วมกับ Sea Giraffe 1X แทนที่ Sea Giraffe AMB พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิง MK.41 ขนาด 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวนมากสุด 32 นัด ติดตั้งเสาสัญญาณนำวิถี Sea Ceptor ระหว่างเดินทางทรงกระบอกจำนวน 2 จุด ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโด Mk137 ขนาด 6 ท่อยิงเพิ่มจำนวน 4 แท่นยิง ระบบสื่อสารทันสมัยกว่าเดิมตามภารกิจ ส่งผลให้เรือทำการรบในทะเลลึกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมด

เรือฟริเกตชั้น Avenger111 ยังมีพื้นที่ว่างสำหรับแท่นยิง MK.41 จำนวน 8 ท่อยิง ปัญหาเรื่องหนึ่งของเรือก็คือไม่มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัย เพราะแบบเรือถูกขยายความายาวจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธเบาประเทศอังกฤษ เรือลำนี้จึงเป็นได้เพียงเรือฟริเกตอเนกประสงค์หรือเรือฟริเกตปราบเรือผิวน้ำ

4.เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO

ผู้ออกแบบนำเรือฟริเกตชั้น Avenger111 มาติดเสากระโดงขนาดใหญ่ เพื่อฝังเรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A จำนวน 4 ตัวในเสากระโดง การตรวจจับเป้าหมายกลางอากาศก็เลยดีขึ้นทันตาเห็น นอกจากนี้ยังติดตั้งแท่นยิง MK.41 เพิ่มจาก 8 ท่อยิงเป็น 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวน 32 นัด กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด ส่งผลให้เรือมียอดรวมอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 48 นัด

เนื่องจาก CAMM MR ระยะยิงไกลสุดมากถึง 100 กิโลเมตร ฉะนั้นเสาสัญญาณนำวิถีระหว่างเดินทางจึงพลอยใหญ่โตตามกัน อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกติดตั้งบนยอดเสากระโดงกับหลังปล่องระบายความร้อน ข้อแตกต่างอีกหนึ่งประการเกี่ยวข้องกับขนาดเสากระโดงที่ใหญ่กว่าเดิม จุดติดตั้งปืนกลขนาด 30 มม.ถูกเบียดเสียจนแทบไม่เหลือที่ว่าง จำเป็นต้องสร้างระเบียงใช้เป็นทางเดินจากหัวเรือไปท้ายเรือเพิ่มเติมเข้ามา

เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO ช่วยให้ลูกประดู่ไทยมีเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเหมือนดั่งชาติอื่น ที่สำคัญสามารถติดตั้ง CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรได้มากสุด 32 นัด โดยมีค่าตัวไม่แตกต่างจากเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ลำที่เป็นตำนาน

บทสรุป

ผลงานมิสเตอร์โอนาน่าเข้าตานายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศ เธอตัดสินใจเพิ่มงบประมาณสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 จำนวน 2 ลำ เรือฟริเกตชั้น Avenger111 จำนวน 1 ลำ ปิดท้ายด้วยเรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO อีก 1 ลำ พร้อมให้สัญญาว่าอีก 5 ปีข้างหน้าหากตัวเองยังอยู่ในตำแหน่ง จะลงนามสร้างเรือเฟสสองจากโครการดิ อเวนเจอร์เพิ่มจำนวน 4 ลำ

                +++++++++++++++

 

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

DW 2000H

 

เรือฟริเกตรุ่นส่งออกลำแรกของเกาหลีใต้ กับสงครามใหญ่ระหว่างผู้หญิงสองคน

ระหว่างปี 1994 รัฐบาลบังกลาเทศภายใต้การนำนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia ต้องการจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติรุ่นใหม่ทันสมัยให้กับกองทัพเรือ ความพยายามผลักดันโครงการในครั้งแรกประสบความล้มเหลว รัฐบาลมีงบประมาณไม่เพียงพอในการจัดสรรให้กับกองทัพเรือ ประกอบกับพรรค BNP แกนนำรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้การเลือกตั้งในปี 1996 นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของบังกลาเทศประสบความแพ้พ่าย ต้องยกตำแหน่งผู้นำประเทศให้กับ Sheikh Hasina จากพรรค Awami League เท่ากับว่าบังกลาเทศมีนายกรัฐมนตรีหญิงสองคนติดกัน

         หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เพียงไม่กี่เดือน Sheikh Hasina ประกาศเดินหน้าโครงการจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติต่อ มีบริษัทเอกชนต่างชาติ 9 แห่งเสนอแบบเรือเข้าร่วมชิงชัย และผู้ชนะเลิศได้แก่แบบเรือ DW 2000H จากบริษัท Daewoo ประเทศเกาหลีใต้ ต้นปี 1999 มีการเซ็นสัญญาสร้างเรือ วันที่ 12 พฤษภาคม 1999 มีการประกอบพิธีวางกระดูกงู วันที่ 29 สิงหาคม 2000 มีการประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำ และในวันที่ 20 มิถุนายน 2001 มีการประกอบพิธีเข้าประจำการ กองทัพเรือบังกลาเทศตั้งชื่อเรือฟริเกตใหม่เอี่ยมลำนี้ว่า BNS Khalid Bin Walid


         แบบเรือ DW 2000H ถูกดัดแปลงจากเรือฟริเกตชั้น Ulsan กองทัพเรือเกาหลีใต้ โดยการเพิ่มโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางบริเวณบั้นท้าย เรือมีระวางขับน้ำ 2,350 ตัน ยาว 103.7 เมตร กว้าง 12.5 เมตร กินน้ำลึก 3.8 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG เหมือนเรือหลวงตากสิน ความเร็วสูงสุด 34 นอต หากใช้งานเพียงเครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัวยังทำความเร็วได้มากถึง 28 นอต เป็นเรือฟริเกตดีที่สุด ใหม่ที่สุด ทันสมัยที่สุด และติดอาวุธหนักที่สุดของกองทัพเรือบังกลาเทศ

         หน้าที่หลักของเรือคือรักษาความปลอดภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่อต้านการก่อการร้ายทางทะเล การสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และการลักลอบขนของผิดกฎหมาย กองทัพสามารถนำเรือไปใช้ในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยได้ ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 40 มม.ลำกล้องแฝดจำนวน 2 กระบอก ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 6 ท่อยิง และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ OTOMAT Mk2 ระยะยิง 180 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด โดยใช้ระบบเรดาร์และระบบอำนวยการรบจากบริษัท Thales ประเทศเนเธอร์แลนด์

         Sheikh Hasina คือผู้จัดตั้งโครงการจัดหาเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ เธอได้ชื่นชมความสำเร็จร่วมกับประชาชนชาวบังกลาเทศแค่เพียงไม่นาน ผลการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม 2001 พรรค Awami League พ่ายแพ้ต่อพรรค BNP ที่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia จัดตั้งรัฐบาลผสม 4 พรรคขึ้นครองตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยที่สอง สิ่งแรกที่เธอทำคือการทวงแค้นต่อศัตรูหมายเลขหนึ่ง เล็งเป้าหมายมาที่เรือฟริเกตลำแรกที่เกาหลีใต้สร้างขายต่างชาติ

         วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2002 หลังการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน เรือฟริเกต BNS Khalid Bin Walid ถูกปลดประจำการโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเรือไม่พร้อมใช้งานเพราะประสบปัญหาหลายอย่าง ต้องส่งกลับคืนให้บริษัท Daewoo แก้ไขเพราะยังอยู่ในประกัน จากนั้นไม่นานสำนักงานปราบปรามการทุจริตออกมาตามซ้ำดาบสอง โดยให้ข่าวว่าโครงการจัดหาเรือฟริเกตสมัย Sheikh Hasina เป็นนายกรัฐมนตรีมีความผิดปรกติ บริษัทจีนเสนอราคาต่ำสุด 68 ล้านเหรียญไม่ได้รับการคัดเลือก ส่วนข้อเสนอของ Daewoo ราคารวมทั้งโครงการเท่ากับ 99.97 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับ 4 จาก 9 บริษัทกลับได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาล ทั้งที่บริษัทจากเกาหลีใต้ไม่มีความชำนาญเรื่องการสร้างเรือ

         รัฐบาลตัดสินใจฟ้อง Sheikh Hasina และเจ้าหน้าที่จำนวน 5 คนในข้อหาทุจริต รวมทั้งอดีตผู้บัญชาการทหารเรือ Nurul Islam วันที่ 30 สิงหาคม 2003 ผู้นำฝ่ายค้านหญิงเดินทางมาศาล ก่อนได้รับการประกันตัวคดีทุจริตซื้อเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ ในช่วงเวลาที่เธอดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ประเทศสูญเสียเงินจากการทุจริตมากถึง 88 ล้านเหรียญ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดเธออาจถูกติดคุกเป็นเวลามากถึง 5 ปี

         การต่อสู้ระหว่างนายกรัฐมนตรีหญิงกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ส่งผลให้ประเทศเกิดความแตกแยกแบ่งออกเป็นสองข้าง สถานการณ์การเมืองวุ่นวายเสียจนควบคุมไม่ได้ เมื่อรัฐบาลร่วมภายใต้การนำพรรค BNP หมดอำนาจตามวาระในปี 2006 การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด มีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการโดยคำสั่งประธานาธิบดีขึ้นมาทำหน้าที่ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติและแก้ไขปัญหามากมายอันเกิดจากสนิมเนื้อใน

         เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลปกครองประเทศ ผู้โชคร้ายในสงครามใหญ่ระหว่างผู้หญิงสองคนพลันได้รับการเหลียวแล วันที่ 12 กรกฎาคม 2007 มีการประกอบพิธีเข้าประจำการเรือฟริเกต BNS Khalid Bin Walid ครั้งที่สอง ต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2009 มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ Sheikh Hasina ออกจากคุกกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงสมัยที่สอง งานแรกที่เธอให้กับเรือฟริเกตลำโปรดก็คือ เปลี่ยนชื่อเรือจาก BNS Khalid Bin Walid เป็น BNS Bangabandhu และติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน HQ-7 ขนาด 8 ท่อยิงบริเวณหน้าสะพานเดินเรือ ส่งผลให้เรือสามารถทำภารกิจครบ 3 มิติสมความตั้งใจ และอยู่รับใช้ชาติเป็นเดอะแบกบังกลาเทศจนถึงปัจจุบัน

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568

Multipurpose Patrol Vessel

 

เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์สำหรับราชนาวีไทย

ระหว่างรอคอยการถือกำเนิดโครงการเรือฟริเกตราชนาวีไทย ผู้เขียนขอแนะนำแบบเรือที่เหมาะสมกับโครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ นำมาทดแทนเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงสัตหีบซึ่งปลดประจำการไปแล้ว 2 ลำ ที่เหลืออีก 4 ลำอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของการรับใช้ชาติ มีความจำเป็นต้องจัดหาเรือตรวจการณ์รุ่นใหม่มาใช้งานทดแทน

        บทความนี้จะพูดถึงแบบเรือจากบริษัท DAMEN จำนวน 2 แบบเรือประกอบไปด้วย

1.SIGMA Fast Combatant 6110

        เรือมีระวางขับน้ำ 750 ตัน ยาว 61 เมตร กว้าง 10 เมตร กินน้ำลึก 3 เมตร ยาวกว่าเรือหลวงแหลมสิงห์เพียง 3 เมตร ฉะนั้นราคาเรือจึงแพงกว่ากันเล็กน้อย ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,000 ไมล์ทะเล ใช้ลูกเรือน้อยมากเพียง 33 นาย

        แบบเรือตามภาพประกอบได้รับการปรับปรุงเป็นเวอร์ชันใหม่ หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8 นัด ใช้ระบบอำนวยการรบ เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ และเรดาร์ควบคุมการยิงจากบริษัท SAAB เพื่อแสดงให้เห็นว่าแบบเรือจากเนเธอร์แลนด์ติดตั้งระบบประเทศอื่นได้

        เสากระโดงรูปทรงพีระมิดเข้ากันได้ดีกับสะพานเดินเรือ ปล่องระบายความร้อนถูกตัดออกเพิ่มพื้นที่ใช้สอย พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงจำนวน 2 แท่นยิง ปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอก และเรือยางท้องแข็งขนาด 5.5 เมตรกับเครนอเนกประสงค์พับเก็บได้

        พื้นที่ว่างท้ายเรือติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM ขนาด 21 ท่อยิง มีพื้นที่สำหรับรับ/ส่งสิ่งของกลางทะเลแค่พอใช้งานได้ ภาพรวม SIGMA Fast Combatant 6110 เทียบได้กับเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี ราคาเรือเปล่าอาจถือว่าไม่แพงมากเกินไป แต่ราคาอาวุธที่ติดตั้งล้นลำอาจทำให้กองทัพเรือหมดตัว ฉะนั้นต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับเป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์

        ปืนใหญ่ 76/62 มม.จากอิตาลีราคาแพงจนแทบจับต้องไม่ได้ เปลี่ยนมาใช้งานปืนใหญ่จากเกาหลีใต้หรือตุรเคียซึ่งมีราคาถูกกว่ากัน อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบมีเพียงจุดติดตั้งเท่านั้น วันไหนรัฐบาลกระเป๋าตุงค่อยจัดหามาใช้งานจำนวน 2-4 นัดต่อลำ ปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.เปลี่ยนเป็นรุ่นธรรมดา ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM ให้ถอดออกไปเลย พื้นที่ว่างท้ายเรือใช้ติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ

        การปรับปรุงจะช่วยให้ SIGMA Fast Combatant 6110 เหมาะสมกับราชนาวีไทยมากกว่าเดิม ราคาเรือถูกลงจนสามารถจับต้องได้ และสามารถปรับปรุงเรือให้ทำการรบได้ดียิ่งขึ้น แบบเรือก็ดูเหมาะสมแม้ผู้เขียนแอบคิดในใจว่าขนาดเล็กไปสักนิด

2.SIGMA Fast Combatant 7311

        เรือมีระวางขับน้ำ 1,000 ตัน ยาว 73 เมตร กว้าง 11 เมตร กินน้ำลึก 3 เมตร ยาวกว่าเรือหลวงแหลมสิงห์ 15 เมตรสะใจกันไปเลย ฉะนั้นจึงใช้งานเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้อีกหนึ่งภารกิจ ราคาเรือย่อมมากกว่ากันพอสมควรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,500 ไมล์ทะเล ใช้ลูกเรือจำนวน 63 นาย และมีที่ว่างสำหรับกำลังพลอีก 12 นาย

        แบบเรือตามภาพประกอบได้รับการปรับปรุงเป็นเวอร์ชันใหม่ หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือสำหรับติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อยิง (แต่ไม่ได้ติด) ใช้ระบบอำนวยการรบ เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ และเรดาร์ควบคุมการยิงจากบริษัท THALES  อันเป็นระบบที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากกองทัพเรือทั่วโลก

        เสากระโดงรูปทรงปรกติช่วยลดราคาสร้างเรือ ปล่องระบายความร้อนถูกตัดออกเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สองกราบเรือทาสีเข้มช่วยปิดบังคราบสกปรก ระเบียงสะพานเดินเรือติดตั้งปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงจำนวน 2 แท่นยิง เหนือห้องเครื่องยนต์ติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 นัด ต่อด้วยเรือยางท้องแข็งขนาด 9 เมตรจำนวน 2 ลำ ปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอก ปิดท้ายด้วยลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดไม่เกิน 5.5 ตัน ลูกค้าเปลี่ยนมาติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบได้อย่างสบาย

        ภาพรวม SIGMA Fast Combatant 7311 เทียบได้กับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาดเล็ก การปรับปรุงเป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์จึงง่ายกว่า SIGMA Fast Combatant 6110 ถ้ากองทัพเรือมีงบประมาณเพียงพอไม่ต้องปรับปรุงอะไรเลยก็ได้ ถ้าบังเอิญงบน้อยให้เปลี่ยนมาใช้งานปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จากเกาหลีใต้หรือตุรเคีย และถอดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบออกไปก่อน อากาศยานประจำเรือเปลี่ยนมาใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่บรรทุกทุ่นระเบิดชนิดต่างๆ ได้ประมาณ 40 นัด

เพียงเท่านี้ SIGMA Fast Combatant 7311 ก็เหมาะสมกับการทำหน้าที่ทดแทนเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงสัตหีบ หนำซ้ำยังทำภารกิจได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม หรืออาจเรียกว่าคุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์ยิ่งกว่าแบบเรือคู่แข่งทุกลำ

การสร้างเรือในประเทศ

        ความต้องการสร้างเรือในประเทศโดยบริษัทเอกชน เป็นออปชันเสริมที่บริษัท DAMEN ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เหตุผลส่วนหนึ่งการสร้างเรือในเนเธอร์แลนด์ราคาแพงเกินไป ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่ถูกโยกย้ายมาสร้างที่โรมาเนีย เพื่อให้ราคาเรือลดต่ำจนสามารถทำตลาดแข่งกับเจ้าอื่นได้ ในเมื่อกองทัพเรือไทยต้องการให้สร้างเรือทุกลำในประเทศ บริษัท DAMEN ก็แค่ทำธุรกิจร่วมกับบริษัทเอกชนในประเทศสักแห่ง เลือกที่มีอู่ต่อเรือขนาดมาตรฐาน พนักงานมีฝีมือบวกประสบการณ์พอสมควร มีกำลังทรัพย์มากเพียงพอที่จะร่วมทุน เพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างเรือตรวจการณ์ SIGMA Fast Combatant 6110 หรือ SIGMA Fast Combatant 7311 ในประเทศได้ครบทุกลำ

 

อ้างอิงจาก

https://www.damen.com/vessels/defence-and-security/sigma-frigates/sigma-fast-combatant-6110

https://www.damen.com/vessels/defence-and-security/sigma-frigates/sigma-fast-combatant-7311