วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

The Avenger

 บทนำ

ปลายเดือนมิถุนายน 2568 รัฐบาลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย ตัดสินใจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อดูแลด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีไอดอลเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของบังกลาเทศ ท่านนายกจึงเริ่มเดินหน้าปรับปรุงกองทัพเรือให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในอดีต

        งานชิ้นแรกที่ทำหลังรับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ คือการประชุมร่วมกับลูกประดู่หวังทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ท่านนายกจึงใช้โอกาสนี้สอบถามเรื่องราวค้างคาใจ

        แปดปีที่แล้วดิฉันเห็นมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากแชร์ภาพถ่ายเรือลำหนึ่ง พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น เวลาผ่านพ้นแปดปีฟิลิปปินส์กำลังจะได้เรือฟริเกตลำที่สี่ กำลังจะได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่หนึ่ง และกำลังได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มอีกห้าลำ เวลาเดียวกันมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากยังคงแชร์ภาพถ่ายเรือลำเดิม พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น ดิฉันเห็นภาพเดจาวูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปวดไมเกรน วันนี้เป็นโอกาสดีดิฉันอยากสอบถามทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้นฮึ!”

ความเปลี่ยนแปลง

        หลังได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง จากผู้เกี่ยวข้องโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่านนายกตัดสินใจเด็ดขาดเราต้องสร้างเรือเพิ่มเดี๋ยวนี้ โดยนำแบบเรือดั้งเดิมติดเพียงปืนกลขนาด 30 มม.จากประเทศอังกฤษ มาขยับขยายกลายร่างเป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยติดอาวุธ 3 มิติ สามารถยิงสกัดจรวดทั้งนำวิถีและไม่นำวิถีจากประเทศเพื่อนบ้านได้ สามารถยิงสกัดในโหมดซัลโวได้คือยิงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคลังแสง

ความต้องการนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองได้รับการตอบสนองทันที

        คล้อยหลังเพียงไม่กี่วันมีคำสั่งการถึงบริษัทอู่กรุงเทพ วันรุ่งขึ้นซีอีโอบริษัทอู่กรุงเทพรีบติดต่อซีอีโอบริษัท BAE Systems ประเทศอังกฤษ ให้ทางนั้นส่งนักออกแบบฝีมือขั้นเทพเดินทางมาที่กรุงเทพโดยด่วน ซีอีโอบริษัท BAE Systems ตัดสินใจส่งมือดีที่สุดของตัวเองมายังสยามเมืองยิ้ม เขาคือชายหนุ่มร่างกำยำจากเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากลิเวอร์พูล เป็นคนอังกฤษแท้ๆ มีชื่อในบัตรประชาชนว่า มิสเตอร์เดวิด โทนี่ ปีเตอร์ แอนดริว โอนาน่า

        กลางเดือนกรกฎาคม 2568 มิสเตอร์โอนาน่าเดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ หลังกินหมูกระทะในซอยมหาดไทยจนอิ่มหนำสำราญ เขาเริ่มลงมือพัฒนาแบบเรือให้เหมาะสมกับความต้องการ และสามารถสร้างแบบเรือถึง 4 แบบภายในเวลา 4 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันล้นหลามโดยเฉพาะการใช้เท้าเอ้ยการใช้หัวสมอง

        ได้แบบเรือมาแล้วปัญหาถัดไปคือการตั้งชื่อ มิสเตอร์โอนาน่าเสนอให้ใช้ชื่อ Type 15 เนื่องจากตัวเองคุ้นเคยตัวเลขนี้ ลูกประดู่ไทยไม่มีปัญหาทว่าซีอีโอบริษัท BAE Systems รีบบอกปัด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุใด ท้ายที่สุดโครงการนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมเพิ่มเติมตัวเลขเข้ามา ยิ่งแบบเรือมากขึ้นความยาวของชื่อยิ่งมากขึ้นตามกัน

        โครงการนี้ถูกเรียกขานในภายหลังว่า ดิ อเวนเจอร์

        แบบเรือที่ มิสเตอร์โอนาน่าพัฒนาให้ลูกประดู่ไทยประกอบไปด้วย

1.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100

        มิสเตอร์โอนาน่านำเรือหลวงประจวบมาพัฒนาต่อให้เหมาะสมมากกว่าเดิม โดยการเพิ่มความจาก 90 เมตรเป็น 100 เมตร ระวางขับน้ำ 2,600 ตัน ปล่องระบายความร้อนถอยไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นจึงสร้างโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน เพียงเท่านี้เรือก็เปลี่ยนรูปทรงจากรถกระบะตอนเดียวเป็นรถกระบะสองตอน

        ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก ปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 4 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 นัด และแท่นยิง SIMBAD-RC4 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด

Avenger100 ใช้ระบบอำนวยการรบ CATIZ จากบริษัท Navantia เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB จากบริษัท Saab เรดาร์ควบคุมการยิง DORNA จากบริษัท Navantia เรดาร์เดินเรือ Furuno จำนวน 2 ตัว กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS จำนวน 1 ตัว ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ES-3601 และแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12 ท่อยิงรุ่น SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 ขนาดใหญ่กว่าเดิม พื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม รองรับการปฏิบัติการในทะเลลึกได้เป็นอย่างดี ภาพรวมมีความเหมาะสมกับลูกประดู่ไทย

2.เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO

        ผู้ออกแบบนำเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 มาติดอาวุธเพิ่มเติม ส่งผลให้เรือทำการรบ 3 มิติได้โดยไม่เคอะเขิน สิ่งที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาประกอบไปด้วย

        1.สร้างจุดติดอาวุธเพิ่มโดยตัด Superstructure หัวเรือออกเล็กน้อย เพื่อติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า ในภาพเรือถูกติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง K-VLS จำนวน 4 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถี K-SAAM ระยะยิง 20 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด

        2.ติดตั้งโซนาร์หัวเรือชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า

        3.ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า จุดติดตั้งอยู่ด้านล่างแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM

        4.ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดแทนที่แท่นยิง SIMBAD-RC4

        เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO สามารถติดอาวุธครบ 3 มิติ ทำงานได้เทียบเท่าเรือฟริเกตราคาแพงกว่าขนาดใหญ่กว่า เพียงแต่การติดอาวุธล้นลำทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงพอสมควร การนำเรือไปทำภารกิจเสริมชนิดอื่นจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก

3.เรือฟริเกตชั้น Avenger111

        เป็นแบบเรือดั้งเดิมที่บริษัท BAE Systems ตั้งใจนำเสนอในโครงการเรือฟริเกต Type 31e บังเอิญแบบเรือขาดความเหมาะสมระดับร้ายแรงจนถูกมองข้าม มิสเตอร์โอนาน่านำแบบเรือมาโมใหม่ให้ดูเก๋ไก๋สไลค์เดอร์ ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 ตัน มีการสร้าง Superstructure ขนาดหนึ่งชั้นบนพื้นที่ว่างกลางเรือ ใช้เป็นจุดติดอาวุธทันสมัยทั้งหมดที่มีใช้งานบนเรือ และใช้เชื่อมตัวหัวเรือกับท้ายเรือให้มีความใกล้เคียงกันมากกว่าเดิม

        ระบบเรดาร์และอาวุธยกมาจากเรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO โดยเปลี่ยนมาใช้เรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A ทำงานร่วมกับ Sea Giraffe 1X แทนที่ Sea Giraffe AMB พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิง MK.41 ขนาด 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวนมากสุด 32 นัด ติดตั้งเสาสัญญาณนำวิถี Sea Ceptor ระหว่างเดินทางทรงกระบอกจำนวน 2 จุด ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโด Mk137 ขนาด 6 ท่อยิงเพิ่มจำนวน 4 แท่นยิง ระบบสื่อสารทันสมัยกว่าเดิมตามภารกิจ ส่งผลให้เรือทำการรบในทะเลลึกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมด

เรือฟริเกตชั้น Avenger111 ยังมีพื้นที่ว่างสำหรับแท่นยิง MK.41 จำนวน 8 ท่อยิง ปัญหาเรื่องหนึ่งของเรือก็คือไม่มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัย เพราะแบบเรือถูกขยายความายาวจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธเบาประเทศอังกฤษ เรือลำนี้จึงเป็นได้เพียงเรือฟริเกตอเนกประสงค์หรือเรือฟริเกตปราบเรือผิวน้ำ

4.เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO

ผู้ออกแบบนำเรือฟริเกตชั้น Avenger111 มาติดเสากระโดงขนาดใหญ่ เพื่อฝังเรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A จำนวน 4 ตัวในเสากระโดง การตรวจจับเป้าหมายกลางอากาศก็เลยดีขึ้นทันตาเห็น นอกจากนี้ยังติดตั้งแท่นยิง MK.41 เพิ่มจาก 8 ท่อยิงเป็น 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวน 32 นัด กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด ส่งผลให้เรือมียอดรวมอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 48 นัด

เนื่องจาก CAMM MR ระยะยิงไกลสุดมากถึง 100 กิโลเมตร ฉะนั้นเสาสัญญาณนำวิถีระหว่างเดินทางจึงพลอยใหญ่โตตามกัน อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกติดตั้งบนยอดเสากระโดงกับหลังปล่องระบายความร้อน ข้อแตกต่างอีกหนึ่งประการเกี่ยวข้องกับขนาดเสากระโดงที่ใหญ่กว่าเดิม จุดติดตั้งปืนกลขนาด 30 มม.ถูกเบียดเสียจนแทบไม่เหลือที่ว่าง จำเป็นต้องสร้างระเบียงใช้เป็นทางเดินจากหัวเรือไปท้ายเรือเพิ่มเติมเข้ามา

เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO ช่วยให้ลูกประดู่ไทยมีเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเหมือนดั่งชาติอื่น ที่สำคัญสามารถติดตั้ง CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรได้มากสุด 32 นัด โดยมีค่าตัวไม่แตกต่างจากเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ลำที่เป็นตำนาน

บทสรุป

ผลงานมิสเตอร์โอนาน่าเข้าตานายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศ เธอตัดสินใจเพิ่มงบประมาณสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 จำนวน 2 ลำ เรือฟริเกตชั้น Avenger111 จำนวน 1 ลำ ปิดท้ายด้วยเรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO อีก 1 ลำ พร้อมให้สัญญาว่าอีก 5 ปีข้างหน้าหากตัวเองยังอยู่ในตำแหน่ง จะลงนามสร้างเรือเฟสสองจากโครการดิ อเวนเจอร์เพิ่มจำนวน 4 ลำ

                +++++++++++++++

 

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

DW 2000H

 

เรือฟริเกตรุ่นส่งออกลำแรกของเกาหลีใต้ กับสงครามใหญ่ระหว่างผู้หญิงสองคน

ระหว่างปี 1994 รัฐบาลบังกลาเทศภายใต้การนำนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia ต้องการจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติรุ่นใหม่ทันสมัยให้กับกองทัพเรือ ความพยายามผลักดันโครงการในครั้งแรกประสบความล้มเหลว รัฐบาลมีงบประมาณไม่เพียงพอในการจัดสรรให้กับกองทัพเรือ ประกอบกับพรรค BNP แกนนำรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้การเลือกตั้งในปี 1996 นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของบังกลาเทศประสบความแพ้พ่าย ต้องยกตำแหน่งผู้นำประเทศให้กับ Sheikh Hasina จากพรรค Awami League เท่ากับว่าบังกลาเทศมีนายกรัฐมนตรีหญิงสองคนติดกัน

         หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เพียงไม่กี่เดือน Sheikh Hasina ประกาศเดินหน้าโครงการจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติต่อ มีบริษัทเอกชนต่างชาติ 9 แห่งเสนอแบบเรือเข้าร่วมชิงชัย และผู้ชนะเลิศได้แก่แบบเรือ DW 2000H จากบริษัท Daewoo ประเทศเกาหลีใต้ ต้นปี 1999 มีการเซ็นสัญญาสร้างเรือ วันที่ 12 พฤษภาคม 1999 มีการประกอบพิธีวางกระดูกงู วันที่ 29 สิงหาคม 2000 มีการประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำ และในวันที่ 20 มิถุนายน 2001 มีการประกอบพิธีเข้าประจำการ กองทัพเรือบังกลาเทศตั้งชื่อเรือฟริเกตใหม่เอี่ยมลำนี้ว่า BNS Khalid Bin Walid


         แบบเรือ DW 2000H ถูกดัดแปลงจากเรือฟริเกตชั้น Ulsan กองทัพเรือเกาหลีใต้ โดยการเพิ่มโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางบริเวณบั้นท้าย เรือมีระวางขับน้ำ 2,350 ตัน ยาว 103.7 เมตร กว้าง 12.5 เมตร กินน้ำลึก 3.8 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG เหมือนเรือหลวงตากสิน ความเร็วสูงสุด 34 นอต หากใช้งานเพียงเครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัวยังทำความเร็วได้มากถึง 28 นอต เป็นเรือฟริเกตดีที่สุด ใหม่ที่สุด ทันสมัยที่สุด และติดอาวุธหนักที่สุดของกองทัพเรือบังกลาเทศ

         หน้าที่หลักของเรือคือรักษาความปลอดภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่อต้านการก่อการร้ายทางทะเล การสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และการลักลอบขนของผิดกฎหมาย กองทัพสามารถนำเรือไปใช้ในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยได้ ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 40 มม.ลำกล้องแฝดจำนวน 2 กระบอก ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำจำนวน 6 ท่อยิง และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ OTOMAT Mk2 ระยะยิง 180 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด โดยใช้ระบบเรดาร์และระบบอำนวยการรบจากบริษัท Thales ประเทศเนเธอร์แลนด์

         Sheikh Hasina คือผู้จัดตั้งโครงการจัดหาเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ เธอได้ชื่นชมความสำเร็จร่วมกับประชาชนชาวบังกลาเทศแค่เพียงไม่นาน ผลการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม 2001 พรรค Awami League พ่ายแพ้ต่อพรรค BNP ที่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia จัดตั้งรัฐบาลผสม 4 พรรคขึ้นครองตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยที่สอง สิ่งแรกที่เธอทำคือการทวงแค้นต่อศัตรูหมายเลขหนึ่ง เล็งเป้าหมายมาที่เรือฟริเกตลำแรกที่เกาหลีใต้สร้างขายต่างชาติ

         วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2002 หลังการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน เรือฟริเกต BNS Khalid Bin Walid ถูกปลดประจำการโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหญิง Khaleda Zia เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเรือไม่พร้อมใช้งานเพราะประสบปัญหาหลายอย่าง ต้องส่งกลับคืนให้บริษัท Daewoo แก้ไขเพราะยังอยู่ในประกัน จากนั้นไม่นานสำนักงานปราบปรามการทุจริตออกมาตามซ้ำดาบสอง โดยให้ข่าวว่าโครงการจัดหาเรือฟริเกตสมัย Sheikh Hasina เป็นนายกรัฐมนตรีมีความผิดปรกติ บริษัทจีนเสนอราคาต่ำสุด 68 ล้านเหรียญไม่ได้รับการคัดเลือก ส่วนข้อเสนอของ Daewoo ราคารวมทั้งโครงการเท่ากับ 99.97 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับ 4 จาก 9 บริษัทกลับได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาล ทั้งที่บริษัทจากเกาหลีใต้ไม่มีความชำนาญเรื่องการสร้างเรือ

         รัฐบาลตัดสินใจฟ้อง Sheikh Hasina และเจ้าหน้าที่จำนวน 5 คนในข้อหาทุจริต รวมทั้งอดีตผู้บัญชาการทหารเรือ Nurul Islam วันที่ 30 สิงหาคม 2003 ผู้นำฝ่ายค้านหญิงเดินทางมาศาล ก่อนได้รับการประกันตัวคดีทุจริตซื้อเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ ในช่วงเวลาที่เธอดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ประเทศสูญเสียเงินจากการทุจริตมากถึง 88 ล้านเหรียญ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดเธออาจถูกติดคุกเป็นเวลามากถึง 5 ปี

         การต่อสู้ระหว่างนายกรัฐมนตรีหญิงกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ส่งผลให้ประเทศเกิดความแตกแยกแบ่งออกเป็นสองข้าง สถานการณ์การเมืองวุ่นวายเสียจนควบคุมไม่ได้ เมื่อรัฐบาลร่วมภายใต้การนำพรรค BNP หมดอำนาจตามวาระในปี 2006 การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด มีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการโดยคำสั่งประธานาธิบดีขึ้นมาทำหน้าที่ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติและแก้ไขปัญหามากมายอันเกิดจากสนิมเนื้อใน

         เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลปกครองประเทศ ผู้โชคร้ายในสงครามใหญ่ระหว่างผู้หญิงสองคนพลันได้รับการเหลียวแล วันที่ 12 กรกฎาคม 2007 มีการประกอบพิธีเข้าประจำการเรือฟริเกต BNS Khalid Bin Walid ครั้งที่สอง ต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2009 มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ Sheikh Hasina ออกจากคุกกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงสมัยที่สอง งานแรกที่เธอให้กับเรือฟริเกตลำโปรดก็คือ เปลี่ยนชื่อเรือจาก BNS Khalid Bin Walid เป็น BNS Bangabandhu และติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน HQ-7 ขนาด 8 ท่อยิงบริเวณหน้าสะพานเดินเรือ ส่งผลให้เรือสามารถทำภารกิจครบ 3 มิติสมความตั้งใจ และอยู่รับใช้ชาติเป็นเดอะแบกบังกลาเทศจนถึงปัจจุบัน

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568

Multipurpose Patrol Vessel

 

เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์สำหรับราชนาวีไทย

ระหว่างรอคอยการถือกำเนิดโครงการเรือฟริเกตราชนาวีไทย ผู้เขียนขอแนะนำแบบเรือที่เหมาะสมกับโครงการเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ นำมาทดแทนเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงสัตหีบซึ่งปลดประจำการไปแล้ว 2 ลำ ที่เหลืออีก 4 ลำอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของการรับใช้ชาติ มีความจำเป็นต้องจัดหาเรือตรวจการณ์รุ่นใหม่มาใช้งานทดแทน

        บทความนี้จะพูดถึงแบบเรือจากบริษัท DAMEN จำนวน 2 แบบเรือประกอบไปด้วย

1.SIGMA Fast Combatant 6110

        เรือมีระวางขับน้ำ 750 ตัน ยาว 61 เมตร กว้าง 10 เมตร กินน้ำลึก 3 เมตร ยาวกว่าเรือหลวงแหลมสิงห์เพียง 3 เมตร ฉะนั้นราคาเรือจึงแพงกว่ากันเล็กน้อย ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,000 ไมล์ทะเล ใช้ลูกเรือน้อยมากเพียง 33 นาย

        แบบเรือตามภาพประกอบได้รับการปรับปรุงเป็นเวอร์ชันใหม่ หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8 นัด ใช้ระบบอำนวยการรบ เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ และเรดาร์ควบคุมการยิงจากบริษัท SAAB เพื่อแสดงให้เห็นว่าแบบเรือจากเนเธอร์แลนด์ติดตั้งระบบประเทศอื่นได้

        เสากระโดงรูปทรงพีระมิดเข้ากันได้ดีกับสะพานเดินเรือ ปล่องระบายความร้อนถูกตัดออกเพิ่มพื้นที่ใช้สอย พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงจำนวน 2 แท่นยิง ปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก ปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอก และเรือยางท้องแข็งขนาด 5.5 เมตรกับเครนอเนกประสงค์พับเก็บได้

        พื้นที่ว่างท้ายเรือติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM ขนาด 21 ท่อยิง มีพื้นที่สำหรับรับ/ส่งสิ่งของกลางทะเลแค่พอใช้งานได้ ภาพรวม SIGMA Fast Combatant 6110 เทียบได้กับเรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี ราคาเรือเปล่าอาจถือว่าไม่แพงมากเกินไป แต่ราคาอาวุธที่ติดตั้งล้นลำอาจทำให้กองทัพเรือหมดตัว ฉะนั้นต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับเป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์

        ปืนใหญ่ 76/62 มม.จากอิตาลีราคาแพงจนแทบจับต้องไม่ได้ เปลี่ยนมาใช้งานปืนใหญ่จากเกาหลีใต้หรือตุรเคียซึ่งมีราคาถูกกว่ากัน อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบมีเพียงจุดติดตั้งเท่านั้น วันไหนรัฐบาลกระเป๋าตุงค่อยจัดหามาใช้งานจำนวน 2-4 นัดต่อลำ ปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.เปลี่ยนเป็นรุ่นธรรมดา ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด RAM ให้ถอดออกไปเลย พื้นที่ว่างท้ายเรือใช้ติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบ

        การปรับปรุงจะช่วยให้ SIGMA Fast Combatant 6110 เหมาะสมกับราชนาวีไทยมากกว่าเดิม ราคาเรือถูกลงจนสามารถจับต้องได้ และสามารถปรับปรุงเรือให้ทำการรบได้ดียิ่งขึ้น แบบเรือก็ดูเหมาะสมแม้ผู้เขียนแอบคิดในใจว่าขนาดเล็กไปสักนิด

2.SIGMA Fast Combatant 7311

        เรือมีระวางขับน้ำ 1,000 ตัน ยาว 73 เมตร กว้าง 11 เมตร กินน้ำลึก 3 เมตร ยาวกว่าเรือหลวงแหลมสิงห์ 15 เมตรสะใจกันไปเลย ฉะนั้นจึงใช้งานเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งได้อีกหนึ่งภารกิจ ราคาเรือย่อมมากกว่ากันพอสมควรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 2,500 ไมล์ทะเล ใช้ลูกเรือจำนวน 63 นาย และมีที่ว่างสำหรับกำลังพลอีก 12 นาย

        แบบเรือตามภาพประกอบได้รับการปรับปรุงเป็นเวอร์ชันใหม่ หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.พื้นที่ว่างหน้าสะพานเดินเรือสำหรับติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 8 ท่อยิง (แต่ไม่ได้ติด) ใช้ระบบอำนวยการรบ เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ และเรดาร์ควบคุมการยิงจากบริษัท THALES  อันเป็นระบบที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากกองทัพเรือทั่วโลก

        เสากระโดงรูปทรงปรกติช่วยลดราคาสร้างเรือ ปล่องระบายความร้อนถูกตัดออกเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สองกราบเรือทาสีเข้มช่วยปิดบังคราบสกปรก ระเบียงสะพานเดินเรือติดตั้งปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 2 กระบอก พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงจำนวน 2 แท่นยิง เหนือห้องเครื่องยนต์ติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 4 นัด ต่อด้วยเรือยางท้องแข็งขนาด 9 เมตรจำนวน 2 ลำ ปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 1 กระบอก ปิดท้ายด้วยลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดไม่เกิน 5.5 ตัน ลูกค้าเปลี่ยนมาติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 2 ใบได้อย่างสบาย

        ภาพรวม SIGMA Fast Combatant 7311 เทียบได้กับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งขนาดเล็ก การปรับปรุงเป็นเรือตรวจการณ์อเนกประสงค์จึงง่ายกว่า SIGMA Fast Combatant 6110 ถ้ากองทัพเรือมีงบประมาณเพียงพอไม่ต้องปรับปรุงอะไรเลยก็ได้ ถ้าบังเอิญงบน้อยให้เปลี่ยนมาใช้งานปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.จากเกาหลีใต้หรือตุรเคีย และถอดแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบออกไปก่อน อากาศยานประจำเรือเปลี่ยนมาใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่บรรทุกทุ่นระเบิดชนิดต่างๆ ได้ประมาณ 40 นัด

เพียงเท่านี้ SIGMA Fast Combatant 7311 ก็เหมาะสมกับการทำหน้าที่ทดแทนเรือตรวจการณ์ปืนชั้นเรือหลวงสัตหีบ หนำซ้ำยังทำภารกิจได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม หรืออาจเรียกว่าคุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์ยิ่งกว่าแบบเรือคู่แข่งทุกลำ

การสร้างเรือในประเทศ

        ความต้องการสร้างเรือในประเทศโดยบริษัทเอกชน เป็นออปชันเสริมที่บริษัท DAMEN ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เหตุผลส่วนหนึ่งการสร้างเรือในเนเธอร์แลนด์ราคาแพงเกินไป ปัจจุบันเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่ถูกโยกย้ายมาสร้างที่โรมาเนีย เพื่อให้ราคาเรือลดต่ำจนสามารถทำตลาดแข่งกับเจ้าอื่นได้ ในเมื่อกองทัพเรือไทยต้องการให้สร้างเรือทุกลำในประเทศ บริษัท DAMEN ก็แค่ทำธุรกิจร่วมกับบริษัทเอกชนในประเทศสักแห่ง เลือกที่มีอู่ต่อเรือขนาดมาตรฐาน พนักงานมีฝีมือบวกประสบการณ์พอสมควร มีกำลังทรัพย์มากเพียงพอที่จะร่วมทุน เพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างเรือตรวจการณ์ SIGMA Fast Combatant 6110 หรือ SIGMA Fast Combatant 7311 ในประเทศได้ครบทุกลำ

 

อ้างอิงจาก

https://www.damen.com/vessels/defence-and-security/sigma-frigates/sigma-fast-combatant-6110

https://www.damen.com/vessels/defence-and-security/sigma-frigates/sigma-fast-combatant-7311

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

Hisar-class Offshore Patrol Vessel

  

วันที่ 20 มกราคม 2025 บริษัท Dearsan ร่วมมือกับบริษัท Desan และอู่ต่อเรือ Özata Shipyards ประเทศตุรเคีย ประกาศเดินหน้าสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Hisar ลำที่สามโดยใช้หมายเลข P-1222 บริษัทร่วมทุนทั้งสามได้รับสัญญาจากกองทัพเรือตุรเคียในการสร้างเรือตรวจการณ์ชั้น Hisar จำนวน 4 ลำ ส่งผลให้ยอดรวมเรือชั้นนี้อยู่ที่ 6 ลำจากความต้องการทั้งหมด 10 ลำ

 การเปิดตัวเรือลำใหม่เรียกเสียงฮือฮาจากสื่อมวลชนทั่วโลก เนื่องจากแบบเรือมีความแตกต่างจากเรือสองลำแรกพอสมควร เป็นความแตกต่างที่ส่งผลดีต่อเรือมากกว่าผลร้าย รวมทั้งอาจทำให้เรือตระกูลนี้ขายดีมากกว่าเดิมซึ่งจัดว่าดียอดเยี่ยมอยู่แล้ว

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Hisar ลำที่สามมีระวางขับน้ำประมาณ 2,300 ตัน ยาว 99.56 เมตร กว้าง 14.42 เมตร กินน้ำลึก 3.77 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อน CODELOD (COmbined Diesel-eLectric Or Diesel) เครื่องยนต์ดีเซลทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,500 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ใช้ลูกเรือจำนวน 104 นาย

 ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ MKE 76/62 mm อัตรายิง 85 นัดต่อนาที ถัดไปเล็กน้อยคือแท่นยิงแนวดิ่ง MİDLAS จำนวน 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Hisar-O รุ่นนำวิถีอินฟราเรดระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวนมากสุด 32 นัด ส่วน Hisar-O รุ่นนำวิถีเรดาร์ระยะยิง 35 กิโลเมตรน่าจะไม่ได้รับการติดตั้ง หน้าสะพานเดินเรือสร้างแท่นยิงยกสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่า สำหรับแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ Rocketsan ASW ระยะยิง 2 กิโลเมตรจำนวน 6 นัด

พื้นที่ว่างกลางเรือคือจุดติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ Atmaca จำนวน 8 นัด ถัดไปเล็กน้อยคือจุดติดตั้งแท่นยิงเป้าลวง ต่อด้วยปืนกลอัตโนมัติขนาด 12.7 มม.รุ่น STAMP บนโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์คือระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Gökdeniz ขนาด 35 มม.ลำกล้องแฝด ลานจอดท้ายเรือรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน มีจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 6 เมตรที่กราบขวาเรือ กับจุดรับส่งเรือยางท้องแข็งขนาด 8 เมตรที่บั้นท้ายเรือ

 ใช้ระบบอำนวยการรบ HAVELSAN ADVENT SYS ตามความคาดหมาย เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติรุ่น CENK 200-N ระยะตรวจจับไกลสุด 100 กิโลเมตร เรดาร์ควบคุมการยิง AKR-D จำนวน 1 ตัว ออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง OCTOPUS-S จำนวน 1 ตัว เรดาร์เดินเรือจำนวน 3 ตัว โซนาร์หัวเรือ YAKAMOS 2020 และระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์

 ทั้งแบบเรือ ระบบเรดาร์ และระบบอาวุธเป็นสินค้าจากตุรเคียทั้งหมด

 

นี่คือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธ 3 มิติเมดอินตุรเคียทั้งลำ

รบกวนผู้อ่านทุกคนชมภาพประกอบที่สองกันสักนิด บริเวณสองกราบเรือคือจุดเติมเชื้อเพลิงหรือรับส่งสิ่งของกลางทะเล มีการติดตั้งปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเพิ่มเติมเข้ามา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเหลือพื้นที่ว่างอีกพอสมควร ถ้าติดแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำขนาด 3 ท่อยิงเพิ่มเติมเข้ามา เรือลำนี้จะกลายเป็นเรือคอร์เวตปราบเรือดำน้ำได้อย่างภาคภูมิใจ โดยมีอาวุธปราบเรือดำน้ำทั้งตอร์ปิโดเบา จรวดระยะใกล้ และเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน

ไม่ธรรมดาชะเอิงเอยไม่ธรรมดา

โครงการเรือตรวจการณ์ชั้น Hisar สร้างเรือเสร็จแล้วจำนวน 2 ลำโดยบริษัท ASFAT ภาพประกอบที่สามเป็นการเปรียบเทียบระหว่างเรือลำที่สามหมายเลข P-1222 ลำบน กับเรือลำที่หนึ่งชื่อ TCG Akhisar P-1220 ลำล่าง จะพบว่าตั้งแต่หัวเรือไล่มาจนถึงเสากระโดงหลักมีความแตกต่างราวกับเรือคนละรุ่น

 

TCG Akhisar P-1220 ใช้รูปทรงเดียวกับเรือคอร์เวตชั้น MILGEM ตั้งแต่หัวจรดท้าย กว้านสมอเรือกับจุดผูกเชือกหัวเรือย้ายลงไปอยู่ใต้ดาดฟ้าเรือ เพื่อให้เรือลดการตรวจจับจากคลื่นเรดาร์ให้มากที่สุด มีการสร้างจุดติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-พื้นระยะใกล้ L-UMTAS ขนาด 4 ท่อยิงเพิ่มเติมหน้าสะพานเดินเรือ พื้นที่ส่วนอื่นของเรือเหมือนเรือต้นฉบับเกือบทั้งหมด ยกเว้นมีการสร้างเสากระโดงรองขนาดเล็กเพิ่มเติมหลังปล่องระบายความร้อน กับปรับเปลี่ยนมาใช้งานระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดแบบปืนกล

ส่วนเรือหมายเลข P-1222 ออกแบบหัวเรือคล้ายคลึงเรือฟริเกตชั้น I-Class กว้านสมอเรือกับจุดผูกเชือกหัวเรือย้ายมาอยู่เหนือดาดฟ้าเรือตามปรกติ ปืนใหญ่ขนาด 76/62 มม.ขยับมาด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งกับแท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำ สะพานเดินเรือเรียกว่ายกมาจากเรือฟริเกตชั้น I-Class ยังไงยังงั้น ระเบียงสะพานเดินเรือยาวขึ้นถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น ตั้งแต่กลางเรือจนถึงท้ายเรือมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

 เราอาจเรียกเรือหมายเลข P-1222 ว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Hisar Batch 2 ก็คงไม่ผิด

ถ้าบริษัท Dearsan ร่วมกับบริษัท บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ เสนอแบบเรือ Hisar Batch 2 ให้กับราชนาวีไทยในโครงการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ผู้เขียนขอจินตนาการและทำภาพประกอบที่สี่ให้ได้รับชมพอเป็นน้ำจิ้มดังนี้


หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid ถัดไปคือแท่นยิงแนวดิ่งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL-MICA จำนวน 8 ท่อยิง ใช้เรดาร์ควบคุมการยิงและระบบอำนวยการรบจากสเปน ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe 1X จากสวีเดน กลางเรือติดตั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 4-8 นัด ท้ายเรือติดตั้งปืนกลอัตโนมัติ Sentinel 30 จำนวน 2 กระบอก มาพร้อมแท่นยิงเป้าลวงกับระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ ESM รุ่นเดียวกับเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ ส่วนระบบปราบเรือดำน้ำตัดทิ้งปล่อยให้เป็นหน้าที่กองเรือฟริเกตจะเหมาะสมกว่า

เท่ากับว่าเรือลำนี้คือเรือคอร์เวตติดอาวุธ 2 มิติดีๆ นี่เอง

 โครการนี้ Hisar Batch 2 ต้องสร้างต่อเนื่องควบคู่ไปกับเรือฟริเกต กำหนดให้สร้างเฟสแรกจำนวน 2 ลำแทนที่เรือหลวงปิ่นเกล้ากับเรือหลวงมกุฎราชกุมาร สร้างเฟสสองจำนวน 2 ลำแทนที่เรือหลวงเจ้าพระยากับเรือหลวงบางปะกง และสร้างเฟสสามจำนวน 2 ลำแทนที่เรือหลวงกระบุรีกับเรือหลวงสายบุรี เท่ากับว่าราชนาวีไทยจะมีเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง 2+2+6=10 ลำ (ติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 7 ลำ) ถือว่ากำลังเหมาะสม

 นี่คืออีกหนึ่งความฝันที่อยู่ห่างไกลความจริงเสียเหลือเกิน

อ้างอิงจาก

 https://x.com/KeremHok/status/1892609339191431382

 https://x.com/T_Nblty/status/1892613174848790623

 https://en.wikipedia.org/wiki/Hisar-class_offshore_patrol_vessel

 https://www.navalnews.com/naval-news/2023/07/turkish-navys-first-hisar-class-opv-is-ready-for-launch/


วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

Indonesian Navy

 

        กองเรือฟริเกต/คอร์เวตอินโดนีเซียในอดีตคล้ายกองเรือฟริเกต/คอร์เวตไทยในปัจจุบัน พวกเขามีแต่เรือรบรุ่นเก่าอายุการใช้งานมากกว่า 30 ปี ที่สำคัญเป็นเรือมือสองติดอาวุธหลากหลายไม่เป็นมาตรฐาน ส่วนเรืออายุน้อยก็เป็นเรือคอร์เวตขนาดเล็กเพียง 2 ลำ แม้มีการปรับปรุงติดอาวุธรุ่นใหม่ทันสมัยเพิ่มเติมบนเรือหลายลำ ทว่ายังมีเรืออีกหลายลำใกล้หมดสภาพต้องปลดประจำการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

        เพื่อแก้ปัญหากองฟริเกต/คอร์เวตขนาดค่อนข้างใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพ กองทัพเรืออินโดนีเซียตัดสินใจขึ้นโครงการระยะยาวเพื่อจัดหาเรือรบรุ่นใหม่แบ่งแยกได้ตามนี้

1.เรือฟริเกต/คอร์เวตขนาดไม่เกิน 3,000 ตันจำนวน 8 ลำ

2.เรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000 ตันจำนวน 8 ลำ

ตั้งแต่ปี 2002 อินโดนีเซียเดินหน้าโครงการนี้อย่างจริงจัง โดยเริ่มนับหนึ่งจากเรือคอร์เวตรุ่นใหม่ติดอาวุธครบ 3 มิติเพราะง่ายที่สุดใช้เงินน้อยที่สุด

เรือคอร์เวต Sigma 9113

        ปี 2004 กองทัพเรืออินโดนีเซียสั่งซื้อเรือคอร์เวต Sigma 9113 จากบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์จำนวน 4 ลำ เรือมีระวางขับน้ำ 1,692 ตัน ยาว 90.71 เมตร กว้าง 13.02 เมตร กินน้ำลึก 3.60 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SEMT Pielstick 20PA6B STC จำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,800 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 80 นาย

ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบยกมาจากบริษัท Thales เนเธอร์แลนด์ทั้งลำ ต่อมาได้กลายเป็นระบบมาตรฐานกองทัพเรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน ระบบอาวุธป้องกันตัวค่อนข้างทันสมัยประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact จำนวน 1 กระบอก ปืนกล Denel GI-2 ขนาด 20 มม.จำนวน 2 กระบอก แท่นยิงแฝดสี่ TETRAL จำนวน 2 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral จำนวน 8 นัด อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III จำนวน 4 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด

เรือคอร์เวต Sigma 9113 รูปทรงทันสมัยสมกับเป็นเรือยุคใหม่ หัวเรือค่อนข้างสูงสะพานเดินเรือทรงหกเหลี่ยมอยู่ในระดับเหมาะสม สันเรือค่อนข้างเตี้ยลากยาวจรดท้ายเรือแลดูสวยงาม เชื่อมต่อตัวเรือหรือ Hull กับเก๋งเรือหรือ Superstructure ได้อย่างลงตัวจนดูเป็นชิ้นเดียวกัน เรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ทุกรุ่นทุกบริษัททำแบบนี้ไม่ได้นะครับ

        เรือคอร์เวต Sigma 9113 จำนวน 4 ลำเข้าประจำการระหว่างปี 2007-2009 ปัจจุบันกลายเป็นม้างานทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับกองทัพเรืออินโดนีเซีย รวมทั้งทำภารกิจรักษาความปลอดภัยให้กับเลบานอนในนามองค์การสหประชาชาติ ราคาเรือลำละประมาณ 5,000 ล้านบาทต้องบอกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเหมือนแฟลตปลาทอง เรือชั้นนี้ถือเป็นการพลิกโฉมกองเรือคอร์เวต/ฟริเกตอินโดนีเซีย ให้มีความทันสมัยเทียบเท่าหรือมากกว่าเรือรบเพื่อนบ้านในย่านเดียวกัน

เรือฟริเกต Sigma 10514

        วันที่ 12 มิถุนายน 2012 กองทัพเรืออินโดนีเซียกับบริษัท Damen ประเทศเนเธอร์แลนด์เซ็นสัญญามูลค่า 220 ล้านเหรียญ เพื่อสั่งซื้อเรือฟริเกต Sigma 10514 จำนวน 1 ลำกำหนดให้สร้างโดยบริษัท PT PAL ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีออปชันเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างเรือรบรุ่นใหม่ ชิ้นส่วนเรือฟริเกตชั้นนี้แบ่งออกเป็น 4 โมดูลขนาดใหญ่ บริษัท PT PAL สร้าง 4 โมดูลแบ่งให้บริษัท Damen สร้างอีก 2 โมดูล ก่อนนำมารวมกันเพื่อประกอบเป็นเรือลำจริงในประเทศอินโดนีเซีย

เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 2,365 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,946 ตัน ยาว 105.11 เมตร กว้าง 14.02 เมตร กินน้ำลึก 3.75 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ใช้ระบบขับเคลื่อน Combined Diesel or Electric หรือ CODOE ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2 ตัวกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 14 นอต ใช้ลูกเรือจำนวน 122 นาย

ระบบเรดาร์กับระบบอำนวยการรบใช้ Thales ทั้งลำเหมือนเดิม ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 1 กระบอก ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium Gun จำนวน 1 กระบอก แท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA จำนวน 12 นัด อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III จำนวน 8 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด

        เรือฟริเกต Sigma 10514 เปรียบได้กับการนำเรือคอร์เวต Sigma 9113 มาแช่น้ำมันก๊าดให้มีขนาดใหญ่โตกว่าเดิม ส่งผลให้เรือติดอาวุธมากกว่าเดิมทำภารกิจในทะเลลึกได้ดีกว่าเดิม สมควรจัดหามาใช้งานจำนวน 4 ลำให้ครบตามแผนการ แต่กองทัพเรืออินโดนีเซียกลับสั่งซื้อเพียง 2 ลำเข้าประจำการระหว่างปี 2017-2018 จากนั้นก็เงียบหายไปไม่มีข่าวสารความเคลื่อนไหวแม้สักนิดเดียว

เรือคอร์เวตชั้น F2000

        ปี 2012 กองทัพเรืออินโดนีเซียซื้อเรือคอร์เวต F2000 จากบริษัท Yarrow ประเทศอังกฤษจำนวน 3 ลำ โดยสามารถต่อราคาจาก 600 ล้านเหรียญลงมาอยู่ที่ 380 ล้านเหรียญ เรือทั้ง 3 ลำสร้างเสร็จแล้วพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าตั้งแต่ปี 2003 บังเอิญรัฐบาลบรูไนบอกปัดไม่ยอมรับเรือเข้าประจำการ จนเกิดเป็นคดีความต้องฟ้องร้องข้ามชาติกินเวลาหลายปี

        เหตุผลที่กองทัพเรืออินโดนีเซียตัดสินใจซื้อเรือคอร์เวตสร้างเสร็จแล้วแต่ขายไม่ออก เนื่องจากงบประมาณในการจัดหาเรือคอร์เวต/ฟรีเกตค่อนข้างอัตคัด และมีแนวโน้มลดลงกว่าเดิมเนื่องจากตัวเองต้องการจัดหาเรือดำน้ำเพิ่มจำนวน 6 ลำ เมื่อมีโอกาสซื้อเรือคอร์เวตสภาพดีมาใช้งานพวกเขาจึงไม่ลังเลใจ เรือคอร์เวต F2000 เป็นเรือเก่าเก็บสามารถใช้งานได้อีก 40 ปี เพียงแต่ต้องมีการปรับปรุงเรือให้ทันสมัยมากกว่าเดิม และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นมาตรฐานกองทัพเรืออินโดนีเซีย

วันที่ 14 กรกฎาคม 2014 เรือคอร์เวต F2000 ทั้ง 3 ลำเข้าประจำการกองทัพเรืออินโดนีเซีย ประกอบไปด้วย KRI Bung Tomo หมายเลข 357 KRI John Lie หมายเลข  358 และ 359 KRI Usman-Harun หมายเลข 359 เรือมีระวางขับน้ำปรกติ 1,500 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 2,000 ตัน ยาว 95 เมตร กว้าง 12.8 เมตร กินน้ำลึก 3.6 เมตรไม่รวมโดมโซนาร์ ติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Compact จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.รุ่น DS30B จำนวน 2 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III จำนวน 8 นัด และแท่นยิงแฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงสำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ A244-S mod.3 จำนวน 6 นัด ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL-Sea Wolf ไม่มีสินค้าวางขาย เรือจึงมีแค่เพียงพื้นที่ว่างสำหรับติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 ท่อยิง

        เรือทั้ง 3 ลำเข้าประจำการรับใช้ชาติตามปรกติ กระทั่งวันที่ 4 พฤศจิกายน 2022 เรือ KRI Bung Tomo 357 เข้ารับการปรับปรุงใหญ่ให้เหมือนภาพประกอบที่ 4 โดยการติดตั้งระบบอำนวยการรบ TACTICOS เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Smart-S Mk2 เรดาร์ควบคุมการยิง STIR 1.2 EO Mk2 โซนาร์หัวเรือ KINGKLIP และแท่นยิงแนวดิ่งจำนวน 12 แท่นยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA จำนวน 12 นัด ส่งผลให้เรือมีความทันสมัยใกล้เคียงเรือฟริเกต Sigma 10514

        การปรับปรุงเรือจะทำทีละ 1 ลำใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี อินโดนีเซียไม่รีบเนื่องจากตัวเองมีเรือใช้งานมากเพียงพอ ปัจจุบันเรือฟริเกต/คอร์เวตติดอาวุธ 3 มิติขนาดไม่เกิน 3,000 ตันของพวกเขามีจำนวน 9 ลำประกอบไปด้วย

        -เรือคอร์เวต Sigma 9113 จำนวน 4 ลำ

-เรือฟริเกต Sigma 10514 จำนวน 2 ลำ

-เรือคอร์เวตชั้น F2000 จำนวน 3 ลำ

        เนื่องจากจำนวนเรือเกินความต้องการมา 1 ลำ อินโดนีเซียจึงระงับการสั่งซื้อเรือฟริเกต Sigma 10514 เฟสสอง ส่วนเรือคอร์เวตรุ่นเก่าที่ยังใช้งานได้ยังคงใช้งานต่อ เมื่อปลดประจำการจะถูกแทนที่ด้วยเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบขนาด 2,000 ตัน ปัจจุบันมีการสร้างจริงจำนวน 2 ลำและอยู่ระหว่างการติดตั้งอาวุธ

เรือฟริเกต Arrowhead 140

        ระหว่างเดือนกันยายน 2021 กองทัพเรืออินโดนีเซียซื้อแบบเรือฟริเกต Arrowhead 140 จากบริษัท Babcock ประเทศอังกฤษมาสร้างเองจำนวน 2 ลำ ปัจจุบันเรือฟริเกตทั้ง 2 ลำอยู่ระหว่างการสร้างโดยอู่ต่อเรือบริษัท PT PALประเทศอินโดนีเซีย

นี่คือก้าวแรกของโครงการจัดหาเรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000 ตัน

        เรือฟริเกต Arrowhead 140 มีระวางขับน้ำ 5,700 ตัน ยาว 138.7 เมตร กว้าง 19.8 เมตร กินน้ำลึกสุด 4.8 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล MTU 20V 8000 M71 จำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 28 ระยะปฏิบัติการไกลสุด 9,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็วเดินทาง ถือเป็นเรือฟริเกตขนาดใหญ่โตมากที่สุดในย่านอาเซียน

        อาวุธและเรดาร์ที่ติดตั้งบนเรือยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ภาพประกอบที่ 5 มาจากวันประกอบพิธีวางกระดูกงูเรือฟริเกตลำที่ 1 เรือลำจริงน่าจะติดตั้งอาวุธและเรดาร์ใกล้เคียงเรือในภาพประกอบ หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 76/62 Super Rapid จำนวน 2 กระบอก ใช้เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ AESA จำนวน 4 ตัวฝังรอบเสากระโดง กลางเรือคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบและอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ห้องตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำซ่อนอยู่สองกราบเรือ ส่วนระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดบนหลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ น่าจะเป็น Millennium Gun เหมือนเรือฟริเกต Sigma 10514 รวมทั้งมีเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกลเพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว

        เรือฟริเกต Arrowhead 140 คือก้าวกระโดดสำคัญของอุตสาหกรรมสร้างเรือประเทศอินโดนีเซีย

เรือฟริเกต PPA

วันที่ 28 มีนาคม 2024 บริษัท Fincantieri ประเทศอิตาลีและกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย ลงนามร่วมกันในสัญญามูลค่า 1.18 พันล้านยูโร เพื่อจัดหาเรือฟริเกต  PPA ในกรณีพิเศษให้กับกองทัพเรืออินโดนีเซียจำนวน 2 ลำ โดยการโอนเรือ Marcantonio Colonna (P434) กับเรือ Ruggiero di Lauria (P435) ซึ่งเป็นของกองทัพเรืออิตาลี ให้กับลูกค้าเงินถุงเงินถังคนสำคัญจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เรือทั้งสองลำเป็นเรือฟริเกต PPA รุ่น Light+ ระวางขับน้ำปรกติ 4,994 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 6,270 ตัน ยาว 143 เมตร กว้าง 16.5 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODAG ความเร็วสูงสุด 31.6 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 5,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต

การสั่งซื้อเรือครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน กองทัพเรืออินโดนีเซียเคยมีข่าวอยากได้เรือฟริเกต FREMM เวอร์ชันอิตาลีจำนวน 6-8 ลำ แต่แล้วปุบปับกลับจัดหาเรือฟริเกต PPA และได้เรือที่สร้างเสร็จแล้วจากกองทัพเรืออิตาลี ผู้เขียนมีความเห็นเกี่ยวข้องกับดีลหยุดโลกประจำปี 2024 ตามนี้

1.เศรษฐกิจอินโดนีเซียอยู่ในช่วงขาขึ้น รัฐบาลจึงเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ

2.สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ไม่ดีเอาเสียเลย แม้อินโดนีเซียไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรงกับจีนหรือสหรัฐอเมริกา แต่พวกเขาจำเป็นต้องมีเรือรบขนาดใหญ่ใช้เป็นไม้เท้าตีสุนัข และควรได้รับเรือให้เร็วที่สุดไม่ใช้รอสร้างเรือไปอีก 5 ปีเหมือนดั่งเรือฟริเกต Arrowhead 140

3.บริษัท Fincantieri เล็งเห็นช่องทางทำมาหากินกับลูกค้าใหม่ จึงยื่นข้อเสนอขายเรือฟริเกต PPA ให้กับอินโดนีเซีย รวมทั้งเป็นคนกลางช่วยเจรจากับรัฐบาลทั้งสองฝ่าย

4.กองทัพเรืออินโดนีเซียบังเอิญได้ส้มหล่นจำเป็นต้องรีบคว้าไว้

เบื้องลึกเบื้องหลังดีลหยุดโลกน่าจะเป็นไปตามนี้ เรามาพิจารณาเรือฟริเกต PPA เวอร์ชันอินโดนีเซียลำจริงกันให้ละเอียดตามภาพประกอบที่ 6

หัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ OTO 127/64 Vulcano หน้าสะพานเดินเรือติดตั้งท่อยิงแนวดิ่ง SYLVER A50 จำนวน 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Aster 15/30 หรือ Albatross NG ถัดไปเล็กน้อยคือจุดติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบจำนวน 8 ท่อยิง อินโดนีเซียคงติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ MM40 Exocet Block III ในภายหลัง กลางเรือติดปืนกลอัตโนมัติขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก หลังคาโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด OTO 76/62 Sovraponte หายไป อินโดนีเซียคงติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium Gun ในภายหลัง

เรือฟริเกต PPA รุ่น Light+ ติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Phase Array รุ่น KRONOS C-band จำนวน 4 ตัว แต่ไม่มีเรดาร์ KRONOS X-band เหมือนดั่งรุ่น Full ประสิทธิภาพจึงไม่เต็มร้อย ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ใช้รุ่น ZEUS System ซึ่งมีทั้งระบบดักจับคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ RESM และระบบก่อกวนคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ RECM ส่วนระบบปราบเรือดำน้ำปรกติเรือฟริเกต PPA รุ่น Light+ มีพื้นที่รองรับแต่ไม่ได้ติดตั้ง ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรืออินโดนีเซียได้โซนาร์ลากท้ายกับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำเพิ่มเติมหรือไม่

เรือฟริเกต PPA ทั้ง 2 ลำพร้อมส่งมอบภายในปี 2025

โครงการในอนาคต

อินโดนีเซียเพิ่งจัดหาเรือฟริเกตขนาดมากกว่า 3,000 ตันได้เพียง 4 ลำ ยังขาดอีก 4 ลำถือเป็นชาติใหญ่ในย่านอาเซียนที่เนื้อหอมเอามากๆ บริษัทสร้างเรือหลายรายแวะเวียนมาเยี่ยมชนิดหัวกระไดไม่แห้ง แบบเรือซึ่งอาจได้รับการคัดเลือกในอนาคตประกอบไปด้วย

-เรือฟริเกต FDI

เดือนพฤษภาคม 2024 เจ้าหน้าที่บริษัท Naval Group ประเทศฝรั่งเศสเดินทางมานำเสนอแบบเรือฟริเกต FDI ต่อกองทัพเรืออินโดนีเซีย โดยมีออปชันเสริมเรือลำที่ 1 สร้างในฝรั่งเศส เรือลำถัดไปสร้างในอินโดนีเซียพร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมทั้งมีออปชันพิเศษเรือลำที่ 1 พร้อมส่งมอบภายในเวลา 24 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริงเพราะ Naval Group กำลังสร้างเรือฟริเกต FDI จำนวนมากให้กับกองทัพเรือฝรั่งเศสและกรีซ

ตัวเลือกจากฝรั่งเศสมีความเป็นไปได้ก็จริงแต่ค่อนข้างน้อย ฝรั่งเศสต้องมีออปชันที่ดีมากเป็นตัวช่วยในการขายเรือ เหตุผลก็คือราคาเรือค่อนข้างแพงเพราะติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ Sea Fire 4D ฝังรอบเสากระโดง

-เรือฟริเกต Mogami

ญี่ปุ่นอยากขายเรือฟริเกต Mogami ให้กับอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2021 ความพยายามล่าสุดมาพร้อมข้อเสนอสร้างเรือในอินโดนีเซียทุกลำพร้อมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ว่ากันตามจริงถือเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นไม่เคยขายเรือรบให้กับต่างชาติแม้แต่ลำเดียว ถือเป็นมือใหม่หัดขายอาจประสบปัญหาวุ่นวายขายปลาช่อน เหมือนดั่งสมัยเกาหลีใต้ขายเรือรบครั้งแรกให้กับกองทัพเรือบังกลาเทศ

แต่ถ้าเราตัดความเสี่ยงเรื่องพ่อค้าป้ายแดงออก เรือฟริเกต Mogami เป็นตัวเลือกที่ผู้เขียนให้คะแนนความเป็นไปอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบ ถ้ารัฐบาลญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือเป็นเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำพร้อมของแถมโน่นนั่นนี่ เราอาจเห็นเรือรบจากดินแดนอาทิตย์อุทัยพากันแล่นฉิวรอบเกาะชวาก็เป็นได้

-เรือฟริเกต Arrowhead 140 เฟสสอง

ความเห็นส่วนตัวนี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดเหมาะสมมากที่สุด แต่รัฐบาลและกองทัพเรืออินโดนีเซียต้องใจเย็นและใจแข็งพอสมควร พวกเขาต้องสร้างเรือฟริเกต Arrowhead 140 เฟสแรกทั้ง 2 ลำให้เสร็จเรียบร้อยและเข้าประจำการเสียก่อน จากนั้นจึงหันมาวิเคราะห์ความเหมาะสมก่อนตัดสินใจสั่งซื้อเรือจากอังกฤษเพิ่มอีกกี่ลำก็ว่ากันไป

-เรือฟริเกต Sigma 10514 เฟสสอง

มีความเป็นไปได้เช่นกันแต่ค่อนข้างน้อย จะเกิดขึ้นในกรณีรัฐบาลต้องการประหยัดงบประมาณในการจัดหาเรือ กองทัพเรืออินโดนีเซียจึงเลือกแบบเรือ Sigma 10514 รุ่นใหม่ซึ่งยาวกว่าเดิม 2 เมตร ระวางขับน้ำปรกติเพิ่มเป็น 2,800 ตัน ระวางขับน้ำสูงสุดมากกว่า 3,000 ตัน ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน VL MICA NG จำนวน 16 นัด เปลี่ยนมาใช้งานเรดาร์ตรวจการณ์ 4 มิติ NS100 ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม และติดตั้งโซนาร์ลากท้าย CAPTAS-2 ช่วยค้นหาเป้าหมายใต้น้ำไกลสุดมากถึง 60 กิโลเมตร

-เรือฟริเกต PPA เฟสสอง

ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยจนถึงน้อยมาก บริษัท Fincantieri ไม่ชอบถ่ายทอดเทคโนโลยีสร้างเรือรบรุ่นใหม่ให้กับลูกค้า ที่ผ่านมามักใช้วิธีหักคอโดยการลดราคาสินค้าให้ต่ำกว่าคู่แข่ง รัฐบาลและกองทัพเรืออินโดนีเซียจึงไม่น่าให้ความสนใจสักเท่าไร

-เรือพิฆาต Type 052D รุ่นส่งออก

จีนค่อนข้างจริงจังกับการขายเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศขนาด 6,000 ตัน โดยบอกออปชันเรือดำน้ำ S26T สร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่มีเครื่องยนต์ให้กับอินโดนีเซีย (ก็ลำที่สร้างให้ไทยนั่นแหละครับ) เหตุผลก็คือปากีสถานลูกค้ารายใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด ซื้ออาวุธจากจีนจำนวนมหาศาลจนเป็นหนี้ไปอีกหลายสิบปี เท่ากับว่านับจากวันนี้จะไม่มีคำสั่งซื้อจากปากีสถาน จำเป็นต้องหาลูกค้ากระเป๋าหนักรายใหม่มาช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ความเป็นไปได้ผู้เขียนไม่กล้าให้คะแนน อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดไม่มีใครห้ามได้

บทสรุป

        การจัดหาเรือฟริเกตจำนวน 16 ลำเป็นเรื่องยากมากจนถึงมากที่สุด อินโดนีเซียใช้เวลา 20 กว่าปียังจัดหาเข้าประจำการไม่ครบถ้วน ระหว่างนี้มีความแปรปรวนของโครงการตลอดเวลา แปรปรวนเสียจนผู้เขียนไม่กล้าแตะทำได้เพียงเฝ้ามองห่างๆ กระทั่งเล็งเห็นแล้วว่าคงไม่มีเหตุการณ์คดีพลิกเกิดขึ้น จึงตัดสินใจเขียนบทความถึงกองทัพเรืออินโดนีเซียเป็นครั้งแรก โดยหวังว่าจะมีบทความที่สองบทความที่สามตามมาในอีกไม่ช้าไม่นาน

อ้างอิงจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_active_Indonesian_Navy_ships

https://en.wikipedia.org/wiki/Martadinata-class_frigate

https://www.reddit.com/r/WarshipPorn/comments/2p65e4/indonesias_sigma_class_corvette_built_in_the/

https://www.navalnews.com/naval-news/2023/08/indonesia-lays-keel-of-first-red-white-frigate/

https://x.com/gara_nam/status/1878779191833108957

https://x.com/The_Ascalon/status/1862744898472157691