วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

The Avenger

 บทนำ

ปลายเดือนมิถุนายน 2568 รัฐบาลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย ตัดสินใจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อดูแลด้วยตัวเอง เนื่องจากตัวเองมีไอดอลเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของบังกลาเทศ ท่านนายกจึงเริ่มเดินหน้าปรับปรุงกองทัพเรือให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในอดีต

        งานชิ้นแรกที่ทำหลังรับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ คือการประชุมร่วมกับลูกประดู่หวังทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ท่านนายกจึงใช้โอกาสนี้สอบถามเรื่องราวค้างคาใจ

        แปดปีที่แล้วดิฉันเห็นมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากแชร์ภาพถ่ายเรือลำหนึ่ง พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น เวลาผ่านพ้นแปดปีฟิลิปปินส์กำลังจะได้เรือฟริเกตลำที่สี่ กำลังจะได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำที่หนึ่ง และกำลังได้เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มอีกห้าลำ เวลาเดียวกันมิตรรักแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากยังคงแชร์ภาพถ่ายเรือลำเดิม พร้อมกับระบุว่านีคือเรือสร้างเองโดยฝีมือคนไทย มีคนนับหมื่นกดไลก์ มีคนนับพันแสดงความเห็น ดิฉันเห็นภาพเดจาวูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปวดไมเกรน วันนี้เป็นโอกาสดีดิฉันอยากสอบถามทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้นฮึ!”

ความเปลี่ยนแปลง

        หลังได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง จากผู้เกี่ยวข้องโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่านนายกตัดสินใจเด็ดขาดเราต้องสร้างเรือเพิ่มเดี๋ยวนี้ โดยนำแบบเรือดั้งเดิมติดเพียงปืนกลขนาด 30 มม.จากประเทศอังกฤษ มาขยับขยายกลายร่างเป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ทันสมัยติดอาวุธ 3 มิติ สามารถยิงสกัดจรวดทั้งนำวิถีและไม่นำวิถีจากประเทศเพื่อนบ้านได้ สามารถยิงสกัดในโหมดซัลโวได้คือยิงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคลังแสง

ความต้องการนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองได้รับการตอบสนองทันที

        คล้อยหลังเพียงไม่กี่วันมีคำสั่งการถึงบริษัทอู่กรุงเทพ วันรุ่งขึ้นซีอีโอบริษัทอู่กรุงเทพรีบติดต่อซีอีโอบริษัท BAE Systems ประเทศอังกฤษ ให้ทางนั้นส่งนักออกแบบฝีมือขั้นเทพเดินทางมาที่กรุงเทพโดยด่วน ซีอีโอบริษัท BAE Systems ตัดสินใจส่งมือดีที่สุดของตัวเองมายังสยามเมืองยิ้ม เขาคือชายหนุ่มร่างกำยำจากเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากลิเวอร์พูล เป็นคนอังกฤษแท้ๆ มีชื่อในบัตรประชาชนว่า มิสเตอร์เดวิด โทนี่ ปีเตอร์ แอนดริว โอนาน่า

        กลางเดือนกรกฎาคม 2568 มิสเตอร์โอนาน่าเดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ หลังกินหมูกระทะในซอยมหาดไทยจนอิ่มหนำสำราญ เขาเริ่มลงมือพัฒนาแบบเรือให้เหมาะสมกับความต้องการ และสามารถสร้างแบบเรือถึง 4 แบบภายในเวลา 4 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันล้นหลามโดยเฉพาะการใช้เท้าเอ้ยการใช้หัวสมอง

        ได้แบบเรือมาแล้วปัญหาถัดไปคือการตั้งชื่อ มิสเตอร์โอนาน่าเสนอให้ใช้ชื่อ Type 15 เนื่องจากตัวเองคุ้นเคยตัวเลขนี้ ลูกประดู่ไทยไม่มีปัญหาทว่าซีอีโอบริษัท BAE Systems รีบบอกปัด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุใด ท้ายที่สุดโครงการนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมเพิ่มเติมตัวเลขเข้ามา ยิ่งแบบเรือมากขึ้นความยาวของชื่อยิ่งมากขึ้นตามกัน

        โครงการนี้ถูกเรียกขานในภายหลังว่า ดิ อเวนเจอร์

        แบบเรือที่ มิสเตอร์โอนาน่าพัฒนาให้ลูกประดู่ไทยประกอบไปด้วย

1.เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100

        มิสเตอร์โอนาน่านำเรือหลวงประจวบมาพัฒนาต่อให้เหมาะสมมากกว่าเดิม โดยการเพิ่มความจาก 90 เมตรเป็น 100 เมตร ระวางขับน้ำ 2,600 ตัน ปล่องระบายความร้อนถอยไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นจึงสร้างโรงเก็บกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตัน เพียงเท่านี้เรือก็เปลี่ยนรูปทรงจากรถกระบะตอนเดียวเป็นรถกระบะสองตอน

        ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก ปืนกลขนาด 30 มม.จำนวน 2 กระบอก ปืนกลขนาด 12.7 มม.จำนวน 4 กระบอก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM จำนวน 8 นัด และแท่นยิง SIMBAD-RC4 ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral 3 ระยะยิง 7 กิโลเมตรจำนวน 4 นัด

Avenger100 ใช้ระบบอำนวยการรบ CATIZ จากบริษัท Navantia เรดาร์ตรวจการณ์ 3 มิติ Sea Giraffe AMB จากบริษัท Saab เรดาร์ควบคุมการยิง DORNA จากบริษัท Navantia เรดาร์เดินเรือ Furuno จำนวน 2 ตัว กล้องตรวจการณ์ออปโทรนิกส์ D CoMPASS จำนวน 1 ตัว ระบบดักจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ES-3601 และแท่นยิงเป้าลวงขนาด 12 ท่อยิงรุ่น SKWS DL-12T จำนวน 2 แท่นยิง

เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 ขนาดใหญ่กว่าเดิม พื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม รองรับการปฏิบัติการในทะเลลึกได้เป็นอย่างดี ภาพรวมมีความเหมาะสมกับลูกประดู่ไทย

2.เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO

        ผู้ออกแบบนำเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 มาติดอาวุธเพิ่มเติม ส่งผลให้เรือทำการรบ 3 มิติได้โดยไม่เคอะเขิน สิ่งที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาประกอบไปด้วย

        1.สร้างจุดติดอาวุธเพิ่มโดยตัด Superstructure หัวเรือออกเล็กน้อย เพื่อติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า ในภาพเรือถูกติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง K-VLS จำนวน 4 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถี K-SAAM ระยะยิง 20 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด

        2.ติดตั้งโซนาร์หัวเรือชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า

        3.ติดตั้งแท่นยิงตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำชนิดต่างๆ ตามความต้องการลูกค้า จุดติดตั้งอยู่ด้านล่างแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ NSM

        4.ติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดแทนที่แท่นยิง SIMBAD-RC4

        เรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO สามารถติดอาวุธครบ 3 มิติ ทำงานได้เทียบเท่าเรือฟริเกตราคาแพงกว่าขนาดใหญ่กว่า เพียงแต่การติดอาวุธล้นลำทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงพอสมควร การนำเรือไปทำภารกิจเสริมชนิดอื่นจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก

3.เรือฟริเกตชั้น Avenger111

        เป็นแบบเรือดั้งเดิมที่บริษัท BAE Systems ตั้งใจนำเสนอในโครงการเรือฟริเกต Type 31e บังเอิญแบบเรือขาดความเหมาะสมระดับร้ายแรงจนถูกมองข้าม มิสเตอร์โอนาน่านำแบบเรือมาโมใหม่ให้ดูเก๋ไก๋สไลค์เดอร์ ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 ตัน มีการสร้าง Superstructure ขนาดหนึ่งชั้นบนพื้นที่ว่างกลางเรือ ใช้เป็นจุดติดอาวุธทันสมัยทั้งหมดที่มีใช้งานบนเรือ และใช้เชื่อมตัวหัวเรือกับท้ายเรือให้มีความใกล้เคียงกันมากกว่าเดิม

        ระบบเรดาร์และอาวุธยกมาจากเรือคอร์เวตชั้น Avenger100EVO โดยเปลี่ยนมาใช้เรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A ทำงานร่วมกับ Sea Giraffe 1X แทนที่ Sea Giraffe AMB พื้นที่ว่างกลางเรือติดตั้งแท่นยิง MK.41 ขนาด 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวนมากสุด 32 นัด ติดตั้งเสาสัญญาณนำวิถี Sea Ceptor ระหว่างเดินทางทรงกระบอกจำนวน 2 จุด ติดตั้งแท่นยิงเป้าลวงตอร์ปิโด Mk137 ขนาด 6 ท่อยิงเพิ่มจำนวน 4 แท่นยิง ระบบสื่อสารทันสมัยกว่าเดิมตามภารกิจ ส่งผลให้เรือทำการรบในทะเลลึกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมด

เรือฟริเกตชั้น Avenger111 ยังมีพื้นที่ว่างสำหรับแท่นยิง MK.41 จำนวน 8 ท่อยิง ปัญหาเรื่องหนึ่งของเรือก็คือไม่มีจุดติดตั้งโซนาร์ลากท้ายรุ่นใหม่ทันสมัย เพราะแบบเรือถูกขยายความายาวจากเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งติดอาวุธเบาประเทศอังกฤษ เรือลำนี้จึงเป็นได้เพียงเรือฟริเกตอเนกประสงค์หรือเรือฟริเกตปราบเรือผิวน้ำ

4.เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO

ผู้ออกแบบนำเรือฟริเกตชั้น Avenger111 มาติดเสากระโดงขนาดใหญ่ เพื่อฝังเรดาร์ตรวจการณ์ Sea Giraffe 4A จำนวน 4 ตัวในเสากระโดง การตรวจจับเป้าหมายกลางอากาศก็เลยดีขึ้นทันตาเห็น นอกจากนี้ยังติดตั้งแท่นยิง MK.41 เพิ่มจาก 8 ท่อยิงเป็น 16 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Ceptor ระยะยิง 25 กิโลเมตรจำนวน 32 นัด กับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรจำนวน 16 นัด ส่งผลให้เรือมียอดรวมอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 48 นัด

เนื่องจาก CAMM MR ระยะยิงไกลสุดมากถึง 100 กิโลเมตร ฉะนั้นเสาสัญญาณนำวิถีระหว่างเดินทางจึงพลอยใหญ่โตตามกัน อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกติดตั้งบนยอดเสากระโดงกับหลังปล่องระบายความร้อน ข้อแตกต่างอีกหนึ่งประการเกี่ยวข้องกับขนาดเสากระโดงที่ใหญ่กว่าเดิม จุดติดตั้งปืนกลขนาด 30 มม.ถูกเบียดเสียจนแทบไม่เหลือที่ว่าง จำเป็นต้องสร้างระเบียงใช้เป็นทางเดินจากหัวเรือไปท้ายเรือเพิ่มเติมเข้ามา

เรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO ช่วยให้ลูกประดู่ไทยมีเรือฟริเกตป้องกันภัยทางอากาศเหมือนดั่งชาติอื่น ที่สำคัญสามารถติดตั้ง CAMM MR ระยะยิง 100 กิโลเมตรได้มากสุด 32 นัด โดยมีค่าตัวไม่แตกต่างจากเรือฟริเกตจากเกาหลีใต้ลำที่เป็นตำนาน

บทสรุป

ผลงานมิสเตอร์โอนาน่าเข้าตานายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศ เธอตัดสินใจเพิ่มงบประมาณสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชั้น Avenger100 จำนวน 2 ลำ เรือฟริเกตชั้น Avenger111 จำนวน 1 ลำ ปิดท้ายด้วยเรือฟริเกตชั้น Avenger111EVO อีก 1 ลำ พร้อมให้สัญญาว่าอีก 5 ปีข้างหน้าหากตัวเองยังอยู่ในตำแหน่ง จะลงนามสร้างเรือเฟสสองจากโครการดิ อเวนเจอร์เพิ่มจำนวน 4 ลำ

                +++++++++++++++

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น