อาวุธปราบเรือดำน้ำบนเรือรบราชนาวีไทย ตอนที่ 3 : ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
ความเดิมตอนที่แล้ว ---> Royal Thai Navy Anti-Submarine Weapon Part II : Anti-Submarine Missile
อาวุธปราบเรือดำน้ำบนเรือรบราชนาวีไทย
ตอนที่ 3 : ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
RUM-139 VL-
ASROC คืออาวุธนำวิถีปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ล่าสุด และเป็นอาวุธที่ใช้จัดการกับเรือดำน้ำได้ดีที่สุด
เพราะสามารถโจมตีเป้าหมายตั้งแต่ระยะ 10 กิโลเมตรขึ้นไป
มีลักษณะผสมกันระหว่างอาวุธนำวิถี พื้น-สู่-พื้น กับอาวุธปราบเรือดำน้ำ ได้แก่ ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำหรือระเบิดลึกนิวเคลียร์
แปลเป็นไทยอีกครั้งก็คือ VL-ASROC จะต้องติดตั้งอยู่บนอาวุธปราบเรือดำน้ำอีกที
เราได้รู้จักระเบิดลึกกันไปแล้วตั้งแต่ตอนที่หนึ่ง บทความนี้จะพูดถึงอาวุธปราบเรือดำน้ำอีกหนึ่งชนิด
ที่สามารถใช้งานร่วมกับ VL- ASROC ได้
นั่นก็คือตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ หรือ Anti-Submarine Torpedo
กองทัพเรือไทยประจำการตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำขนาด
324
มม.หรือ 12.74 นิ้ว นับเป็น
Lightweight Anti-Submarine Torpedo
เพราะมีขนาดเล็กที่สุด (ในเวลานี้) โดยมีประจำการรวมทั้งสิ้นจำนวน 3 รุ่นด้วยกัน ในอดีตเราเคยมีตอร์ปิโดขนาด 400 มม.สำหรับต่อต้านเรือรบผิวน้ำด้วย แต่ใช้ยิงเรือดำน้ำไม่ได้ผู้เขียนจึงไม่นำมารวม
ภาพถ่ายเรือหลวงตาปีเมื่อ 42 ปีที่แล้ว มีท่อยิงตอร์ปิโด Mark 32 Mod 5 มาตั้งแต่เริ่มเข้าประจำการ ในภาพยังคงติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยาน Bofors 40/L60 ลำกล้องคู่ และ ปืนใหญ่ 3"/50 Mark 34 ด้านท้ายเรือ ก่อนถอดออกเมื่อได้มีการปรับปรุงใหญ่ แล้วติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยาน Bofors 40/L70 ลำกล้องเดี่ยวจำนวน 1 กระบอก และปืนต่อสู้อากาศยาน 20 มม. GAM-BO1 จำนวน 2 กระบอกทดแทน
ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำกับกองทัพเรือไทย
กลางปี 1947 อเมริกาโอนเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้น PC-461 ปี 1947 จำนวน 3 ลำให้กับไทย
จากนั้นไม่นานทร.ไทยได้จัดหาเพิ่มเติมอีก 5 ลำรวมเป็น 8 ลำด้วยกัน หลังจากผ่านใช้งานมาประมาณ 15
ปีเต็ม ได้มีการทยอยจัดส่งเรือไปปรับปรุงใหญ่ที่เกาะกวม
โดยเป็นการซ่อมแซมตัวเรือรวมทั้งเครื่องยนต์ ติดตั้งระบบวิทยุและห้องควบคุม และระบบเรดาร์เดินเรือรุ่นใหม่
เรือบางลำได้รับการติดตั้งระบบโซนาร์ AN/SQS-17B และตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
Mark 44 Mod 1 โดยใช้ท่อยิงตอร์ปิโด Mark
32 Mod 0 (ซึ่งเป็นระบบแท่นยิงเดี่ยว) จำนวน 2 แท่นยิงบริเวณท้ายเรือ
ในเวลาไล่เรี่ยกันนั้นเอง
เรือฟริเกตตรวจการณ์ชั้น Tacoma ทั้ง 2 ลำ ได้แก่ เรือหลวงท่าจีน (ลำที่สอง) และเรือหลวงประแสร์ (ลำที่สอง) ได้ถูกส่งไปปรับปรุงใหญ่ที่เกาะกวมเช่นกัน
รายละเอียดการปรับปรุงใกล้เคียงกับเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้น PC-461 ในส่วนระบบอาวุธปราบเรือดำน้ำนั้น ได้มีการติดตั้งระบบโซนาร์
AN/SQS-17B ทดแทนระบบโซนาร์
QBF จากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโด
Mark 32 Mod 0 (ซึ่งเป็นระบบแท่นยิงเดี่ยว) จำนวน 2 แท่นยิงบริเวณกลางเรือค่อนไปทางท้าย สำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mark
44 Mod 1
จากนั้นไม่นานนัก
จึงเป็นคิวของเรือพิฆาตคุ้มกันชั้น Cannon ซึ่งมีอยู่ลำเดียว
เรือหลวงปิ่นเกล้าได้รับการปรับปรุงใหญ่เช่นกัน
โดยได้ติดตั้ง AN/SQS-11 ทดแทนระบบโซนาร์ QCJ จากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโด Mark 32 Mod 5
(ซึ่งเป็นระบบแท่นยิงแฝดสาม) จำนวน 2 แท่นยิงบริเวณกลางเรือจากจากปล่องควันเรือ
สำหรับตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ Mark 44 Mod 1 แท่นยิงรุ่นนี้มีเครื่องหันหรือ Training Gear
ติดตั้งอยู่ด้วย ช่วยบังคับให้ท่อยิงหมุนไปยังทิศทางที่ต้องการ
ทำให้สะดวกกับการใช้งานมากกว่ารุ่น Mark 32 Mod 0
ที่ติดตั้งตายตัวบนกราบเรือบังคับทิศทางไม่ได้
วันที่
1
พฤษจิกายน 1971 ทร.ไทยเข้าประจำการเรือหลวงตาปี
วันที่ 2 มิถุนายน 1972 ทร.ไทยเข้าประจำการเรือหลวงคีรีรัฐ เรือทั้งสองลำเป็นเรือฟริเกตตรวจการณ์ชั้น
PF-103 สร้างโดยอเมริกา ติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโด Mark
32 Mod 5 แฝดสามจำนวน 2 แท่นยิงบริเวณท้ายเป็นที่เรียบร้อย
ยุคถัดมาเรือรบขนาดใหญ่ของทร.ไทยเกือบทุกลำ จะติดตั้งตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำกันโดยครบถ้วน
ยกเว้นก็เพียงเรือฟริเกตชั้นเจียงหูจำนวน 4 ลำ
(เรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงบางปะกง เรือหลวงกระบุรี และเรือหลวงสายบุรี) ซึ่งมีเพียงจรวดปราบเรือดำน้ำ
Type 86 (RBU-1200)
ไว้สำหรับป้องกันตัว
ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
Mark
44 Mod 1
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองอันแสนยาวนาน
อเมริกาได้เผชิญหน้ากับอันตรายจากเรืออูเยอรมัน กองทัพเรือจึงได้พยายามหาทางป้องกัน
หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาตอร์ปิโดขนาดเล็กน้ำหนักเบา เพื่อใช้งานกับอากาศยานปีกแข็งประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน
รวมทั้งกับเฮลิคอปเตอร์ที่เริ่มมีมากรุ่นขึ้น ทั้งยังต้องการให้ใช้งานบนเรือผิวน้ำได้ในภายหลัง
ตอร์ปิโดจะต้องติดตั้งระบบนำวิถี มีความแข็งแรงทนทานมากพอสมควร เป็นโจทย์ที่ไม่ยากนักแต่ก็ไม่ง่ายเท่าไหร่
หลังจากใช้เวลาในการพิจารณาโดยผู้ชำนาญการ
การออกแบบจากบริษัท Brush Development จึงได้รับการคัดเลือก
ตอร์ปิโด Mark 43 Mod 1 ขนาด 300 มม.หรือ 10 นิ้วเข้าประจำการในปี 1951 เป็นอาวุธสำคัญประจำเครื่องบินปราบเรือดำน้ำ
Grumman AF2 Guardian และ Grumman
S-2 Tracker รวมทั้งเครื่องบินโจมตี AD-4 Skyraider ซึ่งไม่มีระบบตรวจจับแต่อย่างใด กองทัพเรืออังกฤษได้จัดหา
Mark 43 ไปใช้งานกับอากาศยานของตนเอง
ตอร์ปิโด Mark 43 Mod 1 ติดตั้งบนปีกเครื่องบินโจมตี AD-4 Skyraider
เมื่อ
Mark
43 เข้าประจำการได้ไม่นาน กองทัพเรือได้ริเริ่มโครงการตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่
สามารถใช้งานได้ทั้งกับอากาศยานปีกแข็ง เฮลิคอปเตอร์ และเรือรบผิวน้ำ เพื่อทดแทนตอร์ปิโดรุ่น
Mark 43 ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำรุ่นแรกสุดของอเมริกา แม้ว่า Mark
43 Mod 3 จะสามารถใช้งานกับเรือผิวน้ำได้แล้ว ทว่าตอร์ปิโดมีขนาดเล็กเกินไป
หัวรบมีขนาดเล็กเกินไป ความเร็วสุงสุดน้อยเกินไป โจมตีเป้าหมายได้ตื้นเกินไป ค้นหาเป้าหมายได้ไม่ดีเท่าที่ควร
รวมทั้งใช้งานกับเรือผิวน้ำแล้วค่อนข้างมีปัญหา ท้ายสุดจึงได้ปลดประจำการในปี 1957 หลังโครงการใหม่สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย
ตอร์ปิโดรุ่นใหม่ต้องการระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่
จะเริ่มทำงานเมื่อตอร์ปิโดอยู่ในทะเลแล้ว ต้องมีเสียงเครื่องยนต์เบากว่าเดิม จึงต้องออกแบบใหม่แทบจะทุกชิ้นส่วน
โครงการนี้ได้แบ่งออกเป็นรหัสโครงการ EX-2A พัฒนาโดย Naval Ordnance Test Station หรือ NTOS และรหัสโครงการ EX-2B พัฒนาโดย
General Electric หรือ GE ในท้ายที่สุดการออกแบบจาก
EX-2B ได้รับการคัดเลือก ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
Mark 44 Mod 1 เข้าประจำการกองทัพเรืออเมริกาในปี
1957
Mark 44 มีขนาดความยาว
2.5 เมตร กว้าง 324 มิลลิเมตร หนัก 196
กิโลกรัม สามารถใช้งานได้ทั้งบนเรือผิวน้ำและอากาศยาน ติดหัวรบ HBX-3
ขนาด 34 กิโลกรัม
ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จ่ายกระแสไฟด้วยระบบแบตเตอรี่น้ำทะเล (Seawater
Battery) หลักการก็คือเมื่อตอร์ปิโดถูกปล่อยออกจากท่อยิง ลวดนิรภัยกั้นรูรับน้ำทะเลจะถูกดึงออก
น้ำทะเลจะไหลเข้าไปกระตุ้นระบบแบตเตอรี่ เพื่อจ่ายกระแสไฟให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อนต่อไป
ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ตอร์ปิโดติดตั้ง 2 ใบจักรและ
2 เพลา หมุนสวนทางกันช่วยลดเสียงดังและพรายน้ำ
Mark
44 สามารถโจมตีเป้าหมายได้ตั้งแต่ความลึก 50 ฟุตจนถึง
3,000 ฟุต ความเร็วสุงสุดเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 น๊อต (ขณะที่ Mark 43 ความเร็วสุงสุดเพียง 21 น๊อต) ระยะปฎิบัติการณ์ไกลสุด
(Operational Range หรือ Optimum
Range หรือ Endurance) อยู่ที่ประมาณ 5,500
เมตร จากนั้นแบตเตอรี่จะหมดพลังงานไม่จ่ายกระแสไฟ
ส่วนจมูก (Nose
Section) ติดตั้ง Transducer จำนวน 2 ชุดใช้สำหรับวัดสัญญานสะท้อนกลับ โดยจะแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียงส่งไปในน้ำ
แล้วรอรับเสียงสะท้อนกลับส่งคืนเครื่องรับต่อไป ระบบนำวิถีค้นหาเป้าหมายได้ไกลสุด 911
เมตร นับเป็น ASW Homing Torpedo รุ่นใหม่อย่างแท้จริง
ทั้งยังมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ดูแลสะดวก ระบบแท่นยิงใช้พื้นที่น้อย ไม่ต้องการพื้นที่ใต้ดาดฟ้าเรือ
เทียบกับจรวดปราบเรือดำน้ำ (Anti-Submarine Rocket)
ที่มีขนาดใหญ่เทอะทะ ใช้พื้นที่ทั้งบนและใต้ดาดฟ้าเรือจำนวนมาก การใช้งานค่อนข้างยุ่งยาก
มีความแม่นยำต่ำ และมีระยะยิงน้อยกว่า อาวุธชนิดใหม่จึงดีกว่ากันเกือบทุกด้าน
ยกเว้นเพียงราคาต่อหน่อยเท่านั้น (ทดแทนได้ด้วยปริมาณใช้งานที่น้อยกว่า)
ประเทศไทยใช้งานตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
Mark
44 ตั้งแต่กลางทศวรรษ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังใช้งานอยู่หรือไม่
นั่นก็เพราะทั่วโลกได้เลิกใช้งานหมดแล้ว ชาติท้ายสุดที่ปลดประจำการก็คือนิวซีแลนด์ในปี
1993 สาเหตุสำคัญนอกจากเรื่องประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ขนาด 24
กิโลวัตต์ซึ่งมีอายุใช้งานแค่เพียง 5 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการปลดประจำการ
ด้านเรือรบที่ติดตั้ง Mark 44 Mod 1
และยังประจำการอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ เรือหลวงตาปี เรือหลวงคีรีรัฐ รวมทั้งเรือหลวงปิ่นเกล้า
ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
Mark
46 Mod 5
เมื่อตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
Mark
44 เข้าประจำการได้ไม่นาน อเมริกาได้พบปัญหาเรื่องใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา
นั่นคือเรือดำน้ำรุ่นใหม่ล่าสุดของโซเวียต สามารถแล่นเรือได้เร็วกว่าเดิม มีระยะปฎิบัติการณ์มากกว่าเดิม
มีความเงียบน้อยลงกว่าเดิม และดำน้ำได้ลึกกว่าเดิม ขณะเดียวกับที่ Mark 44 มีปัญหาเรื่องความเร็วในการเข้าโจมตี รวมทั้งปัญหากับการใช้งานในเขตน้ำตื้น
พวกเขาต้องการตอร์ปิโดรุ่นใหม่ที่ดีกว่าเดิม เข้ามาปิดช่องว่างขนาดใหญ่กว่าเดิม
จากเรือดำน้ำรุ่นใหม่ที่ทันสมัยกว่าเดิม
Mark 46 เข้าประจำการในปี 1965 ขนาดใหญ่โตกว่าเดิมนิดหน่อย มีความยาว
2.6 เมตร กว้าง 324 มิลลิเมตร หนัก 230
กิโลกรัม ติดหัวรบ PBXN-103 ขนาด 44 กิโลกรัม สามารถใช้งานได้ทั้งกับเรือผิวน้ำ อากาศยานปีกแข็งและปีกหมุน
รวมทั้งอาวุธนำวิถีปราบเรือดำน้ำ ASROC ระบบขับเคลื่อนเปลี่ยนมาเป็นเชื้อเพลิงเหลว
(OTTO FUEL II) เครื่องยนต์ลูกสูบแบบสันดาบภายนอก ทำความเร็วสุงสุดถึง
43.5 น๊อตในช่วงการโจมตีรวมทั้งขณะดำน้ำ และความเร็วสุงสุด 36
น๊อตในช่วงค้นหาเป้าหมาย ระยะปฎิบัติการณ์ 11,200 เมตรที่ความเร็ว 43.5 น๊อต และ18,000 เมตรที่ความเร็ว 43.5 น๊อต
เมื่อใช้บนเรือผิวน้ำ
Mark
46 สามารถโจมตีเป้าหมายในระดับความลึก 50 ฟุตถึง
2,500 ฟุต แต่ถ้ายิงจากอากาศยานหรือ ASROC สามารถตั้งค่าลึกต่ำสุดที่ 20 ฟุตได้
ส่วนจมูกติดตั้งระบบนำวิถีครบถ้วนทั้ง Active Sonar และ Passive
Sonar ค้นหาเป้าหมายได้ไกลมากกว่าเดิมคือ 1,483 เมตร ตอร์ปิโดมีประสิทธิภาพสุงกว่าเดิมพร้อมเสียงที่ดังมากกว่าเดิม กองทัพเรืออเมริกายุติการใช้งาน
Mark 44 ในปี 1967 ทว่ายังคงมีจำหน่ายให้กับกลุ่มประเทศสมาชิกนาโต้
รวมทั้งพันธมิตรอื่น ๆ ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 21 ประเทศ และหนึ่งในนั้นก็คือไทยแลนด์ของพวกเรานี่เอง
ตอร์ปิโดทั้งสองรุ่นใช้ท่อยิงตอร์ปิโด
Mark
32 Mod 5 รุ่นเดียวกัน ใช้ระบบควบคุมการยิง Mark
309 Mod 0 รุ่นเดียวกัน แสดงผลผ่านแผงควบคุม Mark 264 Mod 0 รุ่นเดียวกัน แต่ขั้นตอนในการยิงมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน อเมริกามีข้อกำหนดในการยิงอยู่ว่า
เรือจะต้องเข้าใกล้จนถึงระยะยิงหวังผล (Optimum Range) เนื่องจากเปอร์เซนต์ยิงโดนเป้าหมายที่ระยะยิงไกลสุดอยู่ที่
50 เปอร์เซนต์ แต่ถ้ายิงจากระยะยิงหวังผลจะขึ้นมาที่ 80
เปอร์เซนต์ รวมทั้งต้องหันหัวเรือไปในทิศทางที่ต้องการ
เพื่อให้ตอร์ปิโดค้นหาและทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
หลังจากตรวจพบเป้าหมายใต้น้ำที่ต้องการยิง
ระบบโซนาร์จะส่งข้อมูลทั้งหมดมายังแผงควบคุม ได้แก่ แบริงเป้า ระยะเป้า
รวมทั้งสัญญาน Sonar On Target เจ้าหน้าที่จะต้องเลือกทิศทางการยิงตอร์ปิโด
ก่อนกดปุ่มส่งสัญญานบอกทิศทางไปยังสะพานเดินเรือ เพื่อทำการเบนเข็มหัวเรือไปยังมุมองศาที่ต้องการ
จากนั้นจึงเลือก Weapon Mode แล้วตั้ง ISD (Initial Search Depth) ซึ่งก็คือระดับความลึกและข้อมูลอื่น
ๆ เพื่อป้อนข้อมูลล่วงหน้าให้กับตอร์ปิโดลูกนั้น สำหรับใช้ช่วงการเดินทางสู่เป้าหมาย
(หรือ Guide) ตรงนี้เองที่ตอร์ปิโดทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกัน เราไปดูที่รุ่นเก่ากว่ากันก่อนนะครับ
ตอร์ปิโด Mark
44 เลือก Weapon Mode เพื่อยิงตอร์ปิโดได้ 2
รูปแบบ รูปแบบแรกก็คือ Run Out โดยปรกติจะใช้งานกับเรือผิวน้ำ
โดยตอร์ปิโดจะวิ่งส่ายซ้าย-ขวาทำมุม 45 องศาตลอดการเดินทางช่วงแรก (Snake Search)
กระทั่งลงไปสู่ระดับลึกสุดของค่า ISD ที่ตั้งไว้
(หรือระยะทางประมาณ 3,000 ฟุต) จากนั้นจะค้นหาเป้าหมายโดยหมุนวนเป็นวงกลม
(Circle Search) โดยจะวนซ้ายขึ้นสุงและลงต่ำสลับกันไปมา
กระทั่งตรวจจับเป้าหมายได้หรือแบตเตอรี่หมดกำลัง
ตอร์ปิโด Mark 44 Mod 1 ค้นหาเป้าหมายในโหมด Run Out ด้วยการวิ่งส่ายซ้าย-ขวาไปจนถึงระดับความลึกที่ตั้งไว้ล่วงหน้า ก่อนค้นหาเป้าหมายแบบวงกลมวนซ้าย เหมาะสมกับเรือผิวน้ำโจมตีเป้าหมายระยะไกล
รูปแบบที่สองก็คือ No
Run Out โดยปรกติจะใช้งานกับอากาศยานเท่านั้น แต่ต่อมาได้ปรับปรุงให้ใช้งานบนเรือผิวน้ำได้
การตั้งค่า ISD ใส่ข้อมูลได้น้อยกว่าแบบแรก เมื่อยิงไปแล้วตอร์ปิโดจะดำลงไปสู่ระดับลึกสุดของค่า
ISD โดยไม่มีการส่ายซ้าย-ขวาแบบ Run
Out แต่อย่างใด จากนั้นจึงเริ่มค้นหาเป้าหมายด้วยการหมุนวนซ้าย และจะค้นหาตั้งแต่ระยะ
250 ฟุตลงไปเท่านั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกันเรือผิวน้ำ
ตอร์ปิโด Mark 44 Mod 1 ค้นหาเป้าหมายในโหมด No Run Out ด้วยการค้นหาเป้าหมายแบบวงกลมวนซ้าย หลังจากมาถึงระดับความลึกที่ตั้งไว้ (การตั้งค่าทำได้ไม่ละเอียดเท่าโหมด Run Out) เหมาะสมกับอากาศยาน หรือเรือผิวน้ำโจมตีเป้าหมายแบเร่งด่วนหรือระยะประชิด
ส่วนทางด้านตอร์ปิโด
Mark 46 นั้น สามารถตั้งค่า ISD ให้ค้นหาตื้นสุดที่
24 เมตร เพื่อใช้งานในพื้นที่เขตน้ำตื้นความลึกต่ำกว่า 40
เมตร หรือกับเป้าหมายความเร็วต่ำสุงระดับกล้องเพอริสโคป โดยสามารถเลือก
Weapon Mode ได้รูปแบบเดียวคือ Run Out
แต่รูปแบบการค้นหาเป้าหมายหรือ Search Pattern สามารถกำหนดได้ทั้งการค้นหาแบบวงกลมวนขวา
(Circle Search) หรือการค้นหาแบบส่ายซ้าย-ขวา (Snake Search) ซึ่งถ้าเป็นการยิงระยะประชิดหรือการยิงเร่งด่วน
มีข้อแนะนำให้ใช้การค้นหาแบบวงกลมจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากตอร์ปิโดเข้าสู่โหมดค้นหาได้เร็วกว่า
เหมือนการยิงจากอากาศยานหรืออาวุธนำวิถี ASROC
สามารถเลือกโหมดยิงเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ได้ด้วย
ขอกลับมายังเจ้าหน้าที่ยิงตอร์ปิโดอีกครั้ง
เมื่อหัวเรือจำลองชี้เป้าตรงกับ Ordered Heading แล้ว ตอร์ปิโดถูกตั้งค่าตรงตามข้อมูลจากโซนาร์แล้ว
และผู้ควบคุมได้ทำการสั่งยิงแล้ว พนักงานจะผลักกุญแจจากตำแหน่ง Standby ไปยัง Fire ตอร์ปิโดจะวิ่งพ้นท่อแหวกอากาศตกสู่พื้นน้ำ
Mk-46 จะดำดิ่งทำมุม 45 องศาลงมาระดับความลึก
ISD ด้วยความเร็ว 43.5 น๊อต (สามารถตั้งได้ลึกสุดที่
427 เมตร) แล้วเริ่มค้นหารูปแบบวงกลมหรือรูปแบบส่ายที่ความเร็ว
36 น๊อต เมื่อถึงระยะการเข้าหาและต่อตีเป้าหมาย (Acquisition
and Attack Phase) ตอร์ปิโดจะวิ่งด้วยความเร็ว 43.5 น๊อตพุ่งชนเป้าหมาย
ตอร์ปิโด
Mk-46
Mod 5 ประจำการอยู่บนเรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน และเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B จำนวน 6 ลำ ที่ประจำการอยู่บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ขนาด 11,544
ตันลำแรกและลำเดียวของกองทัพเรือไทย รวมทั้งติดตั้งบนอาวุธนำวิถีปราบเรือดำน้ำ
RUR-5 ASROC
ท่อยิงตอร์ปิโด Mark 32 Mod 5 บนเรือหลวงตากสินก่อนปรับปรุงใหญ่ ประจำการด้วยตอร์ปิโด Mark 46 Mod 5
ตอร์ปิโด Mark 46 Mod 5 (ลูกฝึก) ติดตั้งบนเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B กองทัพเรือไทย ระหว่างการฝึกผสม Guardian Sea 2016
ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
Stringray
ตอร์ปิโดรุ่นสุดท้ายมาจากอังกฤษครับ
ขับเคลื่อนด้วยด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยแบตเตอรี่แมกนิเซี่ยม-เงิน ทำความเร็วสุงสุดได้ถึง 45 น๊อต
ระยะปฎิบัติการณ์ไกลสุด 8 ถึง 11 กิโลเมตร
ติดตั้งระบบนำวิถีทั้ง Active Sonar และ Passive
Sonar ระบบควบคุมอัตโนมัติ (Auto Pilot)
รวมทั้งระบบป้องกันสัญญานรบกวน มีความยาว 2.6 เมตร กว้าง 324 มิลลิเมตร หนัก 267 กิโลกรัม ติดหัวรบ
Torpex (Torpedo Explosive) ขนาด 45 กิโลกรัม ใช้งานได้ทั้งกับเรือผิวน้ำและอากาศยาน
ขอย้อนเวลากลับไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
กองทัพเรืออังกฤษมีแนวคิดเรื่องตอร์ปิโดระบบนำวิถี หรือ Guided Torpedo ขนาด 533 มม.กระทั่งในปี 1952 จึงได้สร้างต้นแบบแล้วเสร็จ ตอร์ปิโด Mark 12 Fancy ติดหัวรบ Torpex ขนาด 340 กิโลกรัม ใช้ระบบขับเคลื่อน
Hydrogen-Peroxide ระยะปฎิบัติการณ์ไกลสุด 5 กิโลเมตร ที่ความเร็ว 28 น๊อต สามารถใช้งานได้ทั้งบนเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำ
แต่แล้วก็ต้องยุติโครงการนี้ลงในอีกไม่กี่ปี เนื่องจากระหว่างทดสอบบนเรือดำน้ำชื่อ
HMS Sidon (P259) ตอร์ปิโดได้เกิดอุบัติเหตุระเบิดขึ้นภายในเรือ
ส่งผลให้ลูกเรือเสียชีวิตจำนวน 13 นาย บาดเจ็บจำนวนมาก เรือดำน้ำเสียหายหนักจนต้องปลดประจำการ
เป็นก้าวแรกของความล้มเหลวที่อาจนำพาสู่ความสำเร็จ
อังกฤษยังมีโครงการพัฒนาตอร์ปิโดรุ่นอื่น
นั่นก็คือตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำขนาด 533 มม.
Mark 20 Bidder ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
ติดตั้งระบบนำวิถี Passive Sonar ระยะปฎิบัติการณ์ไกลสุด
11 กิโลเมตร ที่ความเร็ว 20 น๊อต ตอร์ปิโดรุ่นนี้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม
สามารถติดตั้งบนเรือผิวน้ำขนาด 1,000 ตันได้อย่างสบาย และได้เข้าประจำการทร.อังกฤษในปี 1955 บนเรือฟริเกตปราบเรือดำน้ำชั้น Type
14 Blackwood และชั้น Type 12 Whitby ตามลำดับ
เรือฟริเกตชั้น Type 12 Whitby ของอังกฤษ ติดตั้ง Mark 20 Bidder จำนวน 12 ท่อยิง โดยเป็นท่อยิงเดี่ยวจำนวน 8 ท่อยิง และท่อยิงแฝดจำนวน 2 แท่นยิง ก่อนถอดออกในภายหลัง
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ตอร์ปิโดเบาปราบเรือดำน้ำ
Mark 44 ของอเมริกาเข้าประจำการแล้วเช่นกัน แม้จะมีระยะยิงน้อยกว่า Mark
20 Bidder ทว่ามีน้ำหนักเบา ขนาดเล็ก
ใช้งานได้ทั้งกับเรือผิวน้ำและอากาศยาน และมีความอเนกประสงค์มากกว่ากัน อังกฤษและออสเตรเลียได้คิดแก้ไขเรื่องระยะยิง
ด้วยการพัฒนาอาวุธนำวิถีปราบเรือดำน้ำ Ikara ขึ้นมา โดยใช้จรวดไร้คนขับขนาดใหญ่ติดตั้งตอร์ปิโด
Mark 44 ใต้ท้องเครื่อง ก่อนจะกางปีกหลักออกหลังบินขึ้นไปบนฟ้า บนสุดของแพนหางติดตั้งเสาอากาศรับส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุ
Ikara มีระยะปฎิบัติการณ์ไกลสุด 19 กิโลเมตร
(ไม่รวมระยะปฎิบัติการณ์ของตอร์ปิโด) เข้าประจำการช่วงต้นทศวรรษ
1960 และกลายเป็นอาวุธปราบเรือดำน้ำมาตราฐานทร.อังกฤษ ส่งผลให้ Mark 20 Bidder ไม่ได้ไปต่อ เรือที่ติดตั้งไปก่อนหน้านี้ได้ถูกทยอยถอด ก่อนปลดประจำการอย่างเงียบเชียบต้นทศวรรษ
1980
อาวุธนำวิถีปราบเรือดำน้ำ Ikara มีทั้งข้อดีและข้อด้อยอย่างชัดเจน ข้อดีก็คือระยะปฎิบัติการณ์
ส่วนข้อด้อยก็คือต้องการพื้นที่มหาศาล การออกแบบเรือรบรุ่นใหม่จึงเต็มไปด้วยอุปสรรค
เพราะต้องติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานพร้อมเรดาร์ควบคุมการยิง บริษัทผู้ผลิตพยายามพัฒนาระบบท่อยิงเดี่ยว
เป็นกล่องสี่เหลี่ยมเหมือนจรวดปราบเรือรบนี่แหละ แต่แล้วก็ต้องยกเลิกแผนการทั้งหมด
Ikara ปลดประจำการต้นทศวรรษ 1980
ขณะที่ ASROC ของอเมริกาได้ไปต่อ ด้วยการพัฒนาให้ใช้งานกับระบบแท่นยิงแนวดิ่ง
(Vertical Launching System) ได้
Ikara ถูกแทนที่ด้วยเฮลิคอปตอร์ปราบเรือดำน้ำ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น
บรรทุกอาวุธและระบบตรวจจับได้มากขึ้น ระยะปฎิบัติการณ์ไกลขึ้นและบินได้นานขึ้น อังกฤษยังได้พัฒนาตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำของตัวเอง
เพื่อใช้เป็นอาวุธประจำตัวเฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งติดตั้งบนเรือผิวน้ำทดแทน Ikara โดยได้รวบรวมข้อด้อยจ่าง ๆของตอร์ปิโด Mark 44
เพื่อใช้กำหนดคุณสมบัติอาวุธใหม่ล่าสุด โครงการที่มีชื่อว่า Stringray จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
เนื่องจากมีประสบการณ์จาก Mark
44 มาก่อนแล้ว การพัฒนาจึงเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว โครงสร้างส่วนใหญ่ของตอร์ปิโดรุ่นใหม่ทำจากอลูมิเนียมอัลลอย
ใส่หัวรบขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่จะใส่ได้ เพื่อรับมือกับเรือดำน้ำตัวถังสองชั้นของสหภาพโซเวียต
ส่วนจมูกติดตั้งระบบนำวิถีและติดตามเป้าอัตโนมัติ ระบบโซนาร์สามารถส่งสัญญานได้ 4
รูปแบบ ได้แก่
1.Board Band ใช้สำหรับตรวจจับเป้าระยะไกล
และใช้เป็นระบบหลักในการปฏิบัติการในเขตน้ำลึก
2.Narrow
Band ใช้เป็นหลักในการตรวจจับเป้าหมาย เมื่อต้องปฏิบัติการในเขตน้ำตื้น
3.Passive
ใช้ตรวจจับเสียงซึ่งแพร่ออกมาโดยไม่ตั้งใจจากเป้าหมาย และในกรณีเป้าหมายทำมาตราการต่อต้าน
4.Heightsense
ใช้ในการตรวจสอบความลึกของตอร์ปิโดเหนือพื้นท้องทะเล เมื่อต้องปฏิบัติการในเขตน้ำตื้น
Stringray ใช้งานกับระบบท่อยิง PMW 49 A
ผ่านเครื่องควบคุมการยิง LCC จากอังกฤษ สามารถใช้งานผ่านระบบท่อยิงของอเมริกาได้
โดยการปรับปรุงไอ้โน่นนิดไอ้นี่หน่อย การใช้งานง่ายกว่าตอร์ปิโดจากอเมริกามากมาย
เพราะสามารถยิงตอร์ปิโดออกไปได้เลย โดยไม่ต้องจำเป็นต้องหันหัวเรือให้เข้ามุมยิง เมื่อได้รับข้อมูลเป้าหมายใต้น้ำจากระบบโซนาร์
เจ้าหน้าที่จะตั้งค่าการเดินทางสู่เป้าหมายให้กับตอร์ปิโด ได้แก่
ระดับความลึกของน้ำ ระยะทางที่ตอร์ปิโดเคลื่อนที่โดยไม่ส่งสัญญานหรือ Silent
Mode (กำหนดได้มากสุดถึง 3,656 เมตร) รวมทั้งวิธีการค้นหาเป้าหมาย
ซึ่งกำหนดได้ถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ การค้นหาแบบวงกลม (Circular)
ในน้ำตื้น การค้นหาแบบซิกแซก (Corridor) ในน้ำตื้น
การค้นหาแบบวงกลมในน้ำลึก และการค้นหาแบบซิกแซกในน้ำลึก พร้อมกับคำนวนความเร็วลม
ความเร็วเรือ ทิศทางและความเร็วของเป้าหมาย
เมื่อ
Stringray ได้ถูกยิงลงสู่ท้องทะเล ระบบควบคุมอัตโนมัติจะเริ่มทำงานทันที
ตอร์ปิโดจะขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อตรวจเช็คความห่างจากท้องทะเล จากนั้นจะดำลงไปสู่ระดับ 15 เมตรจากท้องทะเลในการปฎิบัติงานเขตน้ำตื้น
หรือ 34 เมตรถึงระดับเหมาะสมในการปฎิบัติงานเขตน้ำลึก การกำหนดว่าเป็นเขตน้ำตื้นหรือน้ำลึกนั้น
โซนาร์ .Heightsense จะวัดระดับว่ามีความลึกเท่าไหร่
ถ้าน้อยกว่า 180 เมตรให้ถือเป็นเขตน้ำตื้น ถ้ามากกว่า 180
เมตรให้ถือเป็นเขตน้ำลึก จากนั้นตอร์ปิโดจึงเริ่มเดินทางตามข้อมูล
แล้วเริ่มค้นหาเป้าหมายใต้น้ำด้วยระบบโซนาร์ ส่วนจมูกของ Stringray ติดตั้ง Transducer ถึง 31 ตัว สามารถส่งบีมพร้อมกันได้ถึง
8 บีมในโหมด Active และจำนวน 6
บีมในโหมด Passive สามารถโจมตีเป้าหมายได้ตั้งแต่ความลึก 40
เมตรจนถึง 700 เมตร นับเป็นตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำที่มีประสิทธิภาพสุงรุ่นหนึ่ง
สี่เหลี่ยมสีแดงคือการทำงานในเขตน้ำตื้น สี่เหลี่ยมสีฟ้าคือการทำงานในเขตน้ำลึก โดยมีระดับความลึก 180 เมตรจากท้องทะเลเป็นตัวแบ่งเขต
Stringray เข้าประจำการในปี 1983 (มีรายงานในสงครามฟอคแลนด์ปี
1982 ว่า เรือหลวง HMS Antelope
ที่โดนเครื่องบิน A-4 ของอาเจนติน่าทิ้งระเบิดจนจมนั้น
มีตอร์ปิโด Stringray จำนวน 4 นัดอยู่บนเรือ)
ปัจจุบันกองทัพเรืออังกฤษประจำการ Stringray Mod 1 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ส่วนกองทัพเรือไทยประจำการ Stringray Mod 0 บนเรือรบจำนวน 6 ลำ ได้แก่
เรือหลวงคำรณสินธุ เรือหลวงทยานชล เรือหลวงล่องลม เรือหลวงรัตนโกสินทร์
เรือหลวงสุโขทัย รวมทั้งเรือหลวงมกุฎราชกุมาร
เรือหลวงรัตนโกสินทร์ ติดตั้งระบบท่อยิง PMW 49 A แฝดสามพร้อมตอร์ปิโด Stringray Mod 0 เป็นอาวุธปราบเรือดำน้ำ
ตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ
Mark
54 Lightweight Hybrid Torpedo (LHT)
วันที่
29
สิงหาคม 2016 บริษัท Raytheon ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เสนอข่าวว่า กองทัพเรือไทยจัดหาตอร์ปิโดรุ่น
Mk. 54 จากบริษัท โดยไม่มีการเปิดเผยจำนวนหรือข้อมูลเชิงลึก
ข่าวชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นนี้ช่วยชี้ทางสว่างให้กับผู้เขียน ถึงเรื่องอาวุธปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ของทร.ไทย ว่าจะมีประสิทธิภาพสุงเทียบเท่าอารยประเทศ สามารถนอนหลับฝันดีโดยไม่มีสำลีแปะหัว
เนื่องจากยังไม่ได้ประจำการอย่างเป็นทางการ จึงขอลงแค่ภาพอย่างเดียวแล้วกันนะครับ
บทส่งท้าย
บทความตอนต่อไปจะเป็นตอนสุดท้ายของอาวุธปราบเรือดำน้ำ
ผู้เขียนพยายามที่จะใส่รวมกับตอนนี้…แต่สุดท้ายก็จนด้วยเกล้า
โดยเป็นเรื่องระบบโซนาร์และอากาศยานปราบเรือดำน้ำ ตามอ่านเพื่อเป็นกำลังใจกันต่อไปนะครับ ;)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก
ภาพประกอบอ้างอิงจาก
สู้ๆนะครับ เขียนออกมาเยอะๆเลยผมนี้เป็น fcพี่เลยนะเนี่ยติดตามพี่ตั้งแต่อยู่ใน thaifighterclub
ตอบลบขอบคุณครับ ตามกันต่อไป ;)
ลบ