วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

MAJOR OVERHAUL

 

เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช

ปัจจุบันราชนาวีไทยมีเรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 3 ลำประกอบไปด้วย

1.เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชอายุ 5 ปี 10 เดือน

2.เรือหลวงนเรศวรอายุ 30 ปี 9 เดือน

3.เรือหลวงตากสินอายุ 30 ปีเต็ม

นอกจากนี้เรายังมีเรือคอร์เวตติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 1 ลำได้แก่เรือหลวงรัตนโกสินทร์ ทว่าเรือมีขนาดค่อนข้างเล็กระวางขับน้ำไม่ถึง 1,000 ตัน อายุการใช้งานมากถึง 39 ปี ที่สำคัญเรือฝาแฝดเรือหลวงสุโขทัยจมน้ำไปแล้วหลังประสบคลื่นลมแรงในทะเล การใช้งานจำเป็นต้องระมัดระวังและจำกัดภารกิจไม่ให้แบกเกินตัวเหมือนในอดีต

ราชนาวีไทยยังมีเรือรบไม่ได้ติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวนพอสมควร ปัจจุบันถูกนับรวมเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งทุกลำ เท่ากับว่าปี 2569 เรามีเรือฟริเกตใช้งานจำนวน 3 ลำเท่านั้น

วันที่ 9 ตุลาคม 2568 มีการประกาศแผนการจัดซื้อเครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร MTU พร้อมสนับสนุนการติดตั้งและเชื่อมต่อระบบเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชจำนวน 1 ชุดเครื่อง โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง/การจัดซื้อจัดจ้าง(ซื้อ,จ้าง,เช่า,แลกเปลี่ยน) วงเงินงบประมาณ 280 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2569

เท่ากับเป็นการยืนยันชัดเจนกองทัพเรือจะเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซล MTU บนเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชจำนวน 1 ตัว ฉะนั้นเรือจะหยุดทำภารกิจขึ้นมาอยู่บนอู่ลอยเป็นเวลายาวนานหลายเดือน เรือรบซึ่งเปรียบได้กับกระบี่มือหนึ่งของลูกประดู่ไทยจะกลับมาใหม่หลังแก้ไขปัญหาเสร็จครบถ้วน

ซ่อมใหญ่เครื่องยนต์ดีเซลเรือหลวงนเรศวร

วันที่ 9 ตุลาคม 2568 มีการประกาศแผนการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมทำเครื่องจักรใหญ่ดีเซล หมายเลข 1-2 ตราอักษร MTU 20V 1163 TB83 ขั้น MAJOR OVERHAUL เรือหลวงนเรศวร จำนวน 552 รายการ โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง/การจัดซื้อจัดจ้าง(ซื้อ,จ้าง,เช่า,แลกเปลี่ยน) วงเงินงบประมาณ 49.482 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2569

นอกจากการ MAJOR OVERHAUL เครื่องจักรใหญ่ เรือฟริเกตอายุ 30 ปี 9 เดือนยังมีแผนการจัดซื้ออะไหล่เพิ่มเติมประกอบไปด้วย

1.จัดซื้ออะไหล่ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร BOSCH จำนวน 10 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,409,000.00 บาท

2.จัดซื้อแหวนลูกสูบเครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร GOETZE จำนวน 3 รายการ วงเงินงบประมาณ 2,295,000.00 บาท

3.จัดซื้อ CYLINDER LINER ตราอักษร MAHLE จำนวน 40 EA วงเงินงบประมาณ 5,998,500.00 บาท

4.จัดซื้อลิ้นไอดีไอเสียเครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร FEDERAL-MOGUL VALVETRAIN จำนวน 5 รายการ วงเงินงบประมาณ 6,099,000.00 บาท

5.จัดซื้อ MAIN BEARING เครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร MIBA จำนวน 2 รายการ วงเงินงบประมาณ 6,270,700.00 บาท

6.จัดซื้ออะไหล่ซ่อมทำระบบน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรใหญ่ดีเซล หมายเลข 1-2 ตราอักษร L'ORANGE จำนวน 10 รายการ วงเงินงบประมาณ 9,243,700.00 บาท

เท่ากับว่าปีงบประมาณ 2569 เรือหลวงนเรศวรมีแผนการจัดซื้ออะไหล่จำนวน 7 โครงการใหญ่ วงเงินงบประมาณรวมทุกโครงการประมาณ 80.8 ล้านบาท

ฉะนั้นปี 2569 เรือฟริเกตจำนวน 2 จาก 3 ลำของเราต้องเข้ารับการซ่อมใหญ่

การนำเรือขึ้นซ่อมผู้เขียนเข้าใจว่ากองทัพเรือจะทำไม่พร้อมกัน ต้องซ่อมเรือลำใดลำหนึ่งให้เสร็จก่อนถึงนำอีกลำเข้าซ่อม เหตุผลก็คือเรามีเรือฟริเกตติด ESSM เพียง 3 ลำเท่านั้น รวมทั้งสถานที่ในอู่ต่อเรือราชนาวีมหิดลค่อนข้างคับแคบ หากนำเรือฟริเกต 2 ลำเข้าซ่อมพร้อมกันจะไม่มีเหลือที่ว่างให้เรือลำอื่น การซ่อมบำรุงประจำปีหรือซ่อมด่วนต้องเปลี่ยนไปใช้อู่ต่อเรือเอกชน ต้องเสียงบประมาณเพิ่มต้องทำเรื่องเบิกจ่ายวุ่นวายไปหมด

การซ่อมระดับ MAJOR OVERHAUL อาจใช้เวลายาวนานหลายเดือน ยกตัวอย่างเช่น 2 ปีที่แล้วเรือหลวงตากสินเคยซ่อมใหญ่เครื่องยนต์โดยฝีมือนายช่างลูกประดู่ไทย กว่าจะแก้ไขปัญหาจุกจิกหน้างานเสร็จหมดสิ้นใช้เวลาประมาณ 7 เดือน ฉะนั้นการซ่อมใหญ่เครื่องยนต์เรือหลวงนเรศวรย่อมใช้เวลาใกล้เคียงกัน

ซ่อมใหญ่เครื่องยนต์ดีเซลเรือ ต.992

วันที่ 9 ตุลาคม 2568 มีการประกาศแผนการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมทำเครื่องจักรใหญ่ ขวา-ซ้าย ตราอักษร MTU รุ่น 16V 4000 M 90 ขั้น MAJOR OVERHAUL เรือ ต.992 จำนวน 332 รายการ  โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง/การจัดซื้อจัดจ้าง(ซื้อ,จ้าง,เช่า,แลกเปลี่ยน) วงเงินงบประมาณ 42.715 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2569

ต.992 เป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ระวางขับน้ำ 185 ตัน ยาว 38.70 เมตร เทียบกับเรือหลวงนเรศวรระวางขับน้ำ 3,000 ตันแล้ว เรือหลวงนเรศวรขนาดใหญ่กว่าประมาณ 16.2 เท่า ทว่าเรือหลวงนเรศวรซ่อมเครื่องจักรใหญ่ขั้น MAJOR OVERHAUL โดยใช้งบประมาณ 49.482 ล้านบาท ต่างกันเพียง 6.76 ล้านบาทถือว่าไม่มากสักเท่าไร เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะราคาอะไหล่ไม่ได้แปรผันกับขนาดเรือ แต่เป็นไปตามวิธีคิดคำนวณบริษัทผู้ผลิตจากประเทศเยอรมัน

นอกจากการ MAJOR OVERHAUL เครื่องจักรใหญ่ เรือ ต.992 ยังมีแผนการจัดซื้ออะไหล่เพิ่มเติมประกอบไปด้วย

1.จัดซื้อ MAIN BEARING เครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร MIBA จำนวน 6 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,883,800.00 บาท

2.จัดซื้อ PISTON BOLT เครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร MAHLE จำนวน 32 EA วงเงินงบประมาณ 684,800.00 บาท

3.จัดซื้อลิ้นไอดีไอเสียเครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร FEDERAL-MOGUL VALVETRAIN จำนวน 2 รายการ วงเงินงบประมาณ 600,000.00 บาท

เท่ากับว่าปีงบประมาณ 2569 เรือต.992 มีแผนการจัดซื้ออะไหล่จำนวน 4 โครงการใหญ่ วงเงินงบประมาณรวมทุกโครงการประมาณ 45.9 ล้านบาท

งบประมาณ 45.9 ล้านบาทที่ได้รับในปีงบประมาณ 2569  จะช่วยให้เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งอายุ 18 ปีสร้างโดยบริษัทมาร์ซัน จำกัดลำแรก มีประสิทธิภาพระบบขับเคลื่อนเทียบเท่าเรือใหม่ตอนเข้าประจำการปี 2550 การซ่อมบำรุงทำโดยเจ้าหน้าที่ราชนาวีไทยช่วยให้ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป

เรื่องน่าสนใจสำหรับเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชั้น ต.99x ก็คือ เรือชุด ต.991-.993 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU รุ่น 16V 4000 M 90 จำนวน 2 ตัว เรือชุด ต.994-.996 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล MTU รุ่นเดียวกัน ส่วนเรือชุด ต.997-.998 เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ดีเซล MAN รุ่น 16V175D-MM ทำให้ผู้เขียนอยากรู้มากๆ ระหว่าง MTU 16V 4000 M 90 กับ MAN 16V175D-MM รุ่นไหนอะไหล่ถูกกว่ากัน

ว่ากันตามจริงผู้เขียนสมควรแสดงความยินดีต่อเรือสร้างในไทยและลูกเรือทั้งหมด โดยมีข้อแม้แผนการจัดซื้ออะไหล่ทุกโครงการของเรือต.992 ต้องเกิดขึ้นจริงในปี 2569

ความล่าช้าของโครงการ

ตอนที่แล้วผู้เขียนสรุปปิดท้ายตัวเองสมควรแสดงความยินดีต่อเรือ ต.992  โดยมีข้อแม้แผนการจัดซื้ออะไหล่ต้องเกิดขึ้นจริงในปี 2569 เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะเพิ่งอยู่ในขั้นตอนแรกเท่านั้น โดยทั่วไปการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพเรือทุกโครงการต้องเริ่มต้นจาก

1.ประกาศแผนการจัดซื้อ/จัดจ้าง

2.ประกาศร่าง TOR กับราคากลาง

3.ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง

4.ประกาศผลการจัดซื้อจัดจ้าง

5.เซ็นสัญญากับผู้ได้รับการคัดเลือก

ผ่าน 5 ด่านสำเร็จถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอะไหล่ ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ หรือจัดหาอาวุธใหม่ บางโครงการอาจเกิดความล่าช้าข้ามปีงบประมาณ ทว่ายังเดินหน้าต่อจนกว่าโครงการดังกล่าวสำเร็จลุล่วง โดยมีบางโครงการถูกจัดตั้งใหม่ในปีงบประมาณถัดไป ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้เพื่อนๆ สมาชิกพิจารณาประกอบไปด้วย

1.เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ต.992

วันที่ 28 ตุลาคม 2567 มีการประกาศแผนการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมทำเครื่องจักรใหญ่ ขวา-ซ้าย ตราอักษร MTU รุ่น 16V 4000 M 90 ขั้น MAJOR OVERHAUL เรือ ต.992 จำนวน 271 รายการ  โดยใช้วิธีคัดเลือก/ซื้อ วงเงินงบประมาณ 13 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2568

ต่อมาในวันที่ 9 ตุลาคม 2568 มีการประกาศแผนการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมทำเครื่องจักรใหญ่ ขวา-ซ้าย ตราอักษร MTU รุ่น 16V 4000 M 90 ขั้น MAJOR OVERHAUL เรือ ต.992 จำนวน 332 รายการ  เฉพาะเจาะจง/การจัดซื้อจัดจ้าง(ซื้อ,จ้าง,เช่า,แลกเปลี่ยน) วงเงินงบประมาณ 42.715 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2569

กรมอู่ทหารเรือกำหนดให้การซ่อมเรือ ต.992 อยู่ในลำดับต้นๆ ทันทีที่เข้าสู่ปีงบประมาณ 2568 มีการเผยแพร่แผนการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมทำเครื่องจักรใหญ่ทันที แต่แล้วโครงการนี้กลับนิ่งเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวตลอดทั้งปี และได้กลายร่างเป็นโครงการใหม่ประจำปีงบประมาณ 2569 โดยมีการจัดซื้ออะไหล่เพิ่มจาก 271 รายการเป็น 332 รายการ วงเงินงบประมาณเพิ่มจาก 13 ล้านเป็น 42.715 ล้านบาท

ปรกติการซ่อมบำรุงเครื่องจักรใหญ่บนเรือแบ่งเป็น TOP OVERHAUL หรือ LIGHT OVERHAUL ตามคู่มือประจำเรือซึ่งจะทำทุก 15,000 ชั่วโมง กับ MAJOR OVERHAUL หรือ HEAVY OVERHAUL ตามคู่มือประจำเรือซึ่งจะทำทุก 60,000 ชั่วโมง การซ่อมบำรุงแบบหลังต้องยกฝาสูบทั้งหมดขึ้นมาตรวจสอบบนโรงงาน เพื่อดำเนินการเปลี่ยนและประกอบลิ้นไอดี ลิ้นไอเสีย บ่าวาล์ว และวาล์วไกด์ทั้งหมด มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการดำเนินการ ฉะนั้น MAJOR OVERHAUL จึงใช้เวลาซ่อมนานกว่าซับซ้อนกว่า TOP OVERHAUL โดยทั่วไป

ผู้เขียนไม่เข้าใจเรื่องจำนวนอะไหล่ที่เพิ่มจาก 271 รายการเป็น 332 เป็นไปได้ว่ากองทัพเรือมีการตรวจสอบเรืออีกครั้ง หรือได้รับคำแนะนำจากบริษัทผู้ผลิตเรื่องการจัดซื้ออะไหล่ จึงมีการจัดทำโครงการใหม่ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นในปีถัดไป เพื่อให้การซ่อมเรือมีความเหมาะสมเพิ่มความมั่นใจต่อผู้ใช้งาน

2.เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช

วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 มีการประกาศแผนการจัดซื้อเครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร MTU รุ่น 16 V 1163 M94 เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 1 เครื่อง  โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง วงเงินงบประมาณ 240.75 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2568

ต่อมาในวันที่ 9 ตุลาคม 2568 มีการประกาศแผนการจัดซื้อเครื่องจักรใหญ่ดีเซล ตราอักษร MTU พร้อมสนับสนุนการติดตั้งและเชื่อมต่อระบบเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชจำนวน 1 ชุดเครื่อง โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง/การจัดซื้อจัดจ้าง(ซื้อ,จ้าง,เช่า,แลกเปลี่ยน) วงเงินงบประมาณ 280 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2569

เวลาเพียง 5 เดือนกองทัพเรือตั้งโครงการเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชถึงสองครั้ง โครงการนี้การค้นหาเหตุผลน่าจะไม่ยากสักเท่าไร

การตั้งโครงการครั้งแรกกำหนดแค่จัดซื้อเครื่องยนต์ MTU รุ่น 16 V 1163 M94  เป็นไปได้ว่ากองทัพเรือมีการตรวจสอบเรืออีกครั้ง หรือได้รับคำแนะนำจากบริษัทผู้ผลิตในการแก้ไขปัญหา จึงมีการจัดทำโครงการใหม่ใช้งบประมาณมากขึ้นในปีถัดไป โดยเพิ่มคำว่าสนับสนุนการติดตั้งและเชื่อมต่อระบบเข้ามา และเพิ่มงบประมาณจาก 240.75 ล้านบาทเป็น 280 ล้านบาท

อย่าลืมนะครับว่าเราไม่ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชตามวงรอบการซ่อมบำรุง แต่เป็นเพราะเรือประสบปัญหาบางประการซึ่งร้ายแรงเสียจนต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ ทีนี้ถ้าเปลี่ยนเครื่องยนต์อย่างเดียวโดยไม่แก้ไขทุกอย่างให้เรียบร้อย ใช้งานต่ออีกไม่กี่ปีอาจเกิดปัญหาเดิมซ้ำรอยให้เจ็บช้ำน้ำใจ บริษัทผู้ผลิตจึงอาจแนะนำว่าสมควรเปลี่ยน xxx นะ แล้วนำ yyy มาทำอย่างโน้นอย่างนี้นะ ต่อด้วยโม zzz ให้เป็นโน่นนั่นนี่นะ เรือยูถึงใช้งานได้ตามปรกติทราบแล้วเปลี่ยน

ราคาที่เพิ่มขึ้นจาก 240.75 ล้านบาทเป็น 280 ล้านบาท หากซ่อมแล้วเรือใช้งานได้ตามปรกติถือว่าคุ้มค่า แต่ถ้าซ่อมแล้วเรือยังไม่ปรกติวุ่นวายแน่ ผู้เขียนหวังว่าจะไม่เกิดเหตุไม่พึงประสงค์นะครับ

บทสรุปปิดท้าย

โครงการทั้งสามประกอบไปด้วย เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เรือหลวงนเรศร และเรือ ต.992 ในปีงบประมาณ 2569 กรมอู่ทหารเรือกำหนดให้อยู่ในลำดับต้นๆ ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าไม่น่ามีปัญหาจนต้องเลื่อนโครงการออกไปอีกครั้ง การปรับปรุงซ่อมแซมต้องสำเร็จลุล่วงภายในปี 2569 อย่างแน่นอน ให้บังเอิญความแน่นอนคือความไม่แน่นอน มนุษย์ตัวเล็กตัวน้อยทุกคนไม่อาจคาดเดาอนาคตภายภาคหน้า อาจมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนก็เป็นได้

ผู้เขียนขอดีใจกับเรือทั้งสามลำเพียงครึ่งหนึ่งก่อน อีกครึ่งหนึ่งไว้รอดีใจตอนเรือซ่อมเสร็จ

++++++++++++

อ้างอิงจาก

https://www.navy.mi.th/procurement-plan

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568

Multi-Role Helicopter Dock Ship (MHD 150)

 

ระหว่างปี 2006 บริษัท ThyssenKrupp Marine Systems หรือ TKMS ประเทศเยอรมันเปิดตัวแบบเรือใหม่ล่าสุด เป็นได้ทั้งเรือทำการรบในเขตใกล้ฝั่งและเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบ โดยใช้ระบบ MEKO modular system อันแสนโด่งดังช่วยพัฒนาแบบเรือ กระทั่งได้เรือรูปร่างหน้าตาคล้ายลูกเป็ดขี้เหร่ในภาพประกอบที่หนึ่ง

MHD 150

MHD 150 ระวางขับน้ำประมาณ 15,000 ตัน ยาว 182 เมตร กว้าง 26.5 เมตร กินน้ำลึก 6 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลบวกมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นระบบขับเคลื่อน ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต ใช้ลูกเรือเพียง 94 นาย ใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินอีก 56 นาย บนเรือมีพื้นที่ว่างสำหรับนาวิกโยธินจำนวน 750 นาย

รูปทรงเรือคล้ายเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบชั้น San Giorgio กองทัพเรืออิตาลี โดยมีหัวเรือปรกติกับดาดฟ้าเรือใช้เป็นจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์ ให้บังเอิญ MHD 150 มีทั้งโรงเก็บอากาศยานและโรงเก็บยานพาหนะซ้อนกันสองชั้น สะพานเดินเรือกับดาดฟ้าหลักอยู่สูงกว่าหัวเรือพอสมควร ผู้อ่านหลายคนนึกอยากหักคะแนนความสวยความงาม บอกตามตรงผู้เขียนก็หักคะแนนเช่นกัน เพราะเรือมีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างประหลาดเทียบกับคู่แข่งไม่ได้ แต่แล้วในท้ายที่สุดผู้เขียนกลับเลือกเรืออเนกประสงค์ทรงประสิทธิภาพลำนี้เขียนบทความ เมื่ออ่านเรื่องราวครบถ้วนทุกตัวอักษรคาดว่าผู้อ่านน่าจะเข้าใจความหมายชัดเจน

การสร้างเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบสักหนึ่งลำ หัวใจสำคัญคือการออกแบบภายในพื้นที่ใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสม บริษัท TKMS แสดงข้อมูลการออกแบบในภาพประกอบที่สอง สีเขียวคือสะพานเดินเรือ ห้องควบคุมอากาศยาน และห้องยุทธการ สีแดงคือห้องพักลูกเรือ สีน้ำเงินคือห้องพักนาวิกโยธิน สีเหลืองคือโรงเก็บอากาศยาน สีม่วงคือโรงเก็บยานพาหนะ สีฟ้าคืออู่ลอยสำหรับจอดเรือระบายพล ปิดท้ายด้วยสีส้มคือห้องเครื่องจักร แสดงการจัดพื้นที่ภายในเรืออย่างเป็นระเบียบถูกต้องเหมาะสม

ภาพประกอบที่สามภาพล่างคือดาดฟ้าลานบินซึ่งแบ่งเป็นสองชั้น ดาดฟ้าหลักหรือ Flight Deck อยู่บนชั้นบนติดกับสะพานเดินเรือ มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน 5 จุด เชื่อมโยงกับโรงเก็บอากาศยานด้วยลิฟต์อเนกประสงค์จำนวน 1 ตัว (สีแดง) โดยมีเครนอเนกประสงค์ขนาด 30 ตันติดตั้งอยู่ที่กราบขวาท้ายลานจอดหลัก สำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ อากาศยานชนิดต่างๆ ยานพาหนะชนิดต่างๆ รวมทั้งเรือเล็กชนิดต่างๆ

ส่วนดาดฟ้ารองมีชื่อเรียกว่า Multi-Purpose Deck มีจุดบินขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่จำนวน 1 จุด เชื่อมโยงกับโรงเก็บอากาศยานซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันด้วยประตูบานใหญ่ อารมณ์คล้ายเรือพิฆาตหรือเรือฟริเกตยังไงยังงั้น เหตุผลที่ออกแบบดาดฟ้ารองให้เตี้ยระดับเดียวกับโรงเก็บอากาศยานนั้นมีอยู่ว่า สามารถใช้จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวนมหาศาล โดยใช้เครนอเนกประสงค์ขนาด 30 ตันในการยกขึ้นยกลง ส่งผลให้เรือทำภารกิจลำเลียงสินค้าหรืออุปกรณ์จำนวนมากได้ไม่แพ้เรือสินค้าลำจริง

ภาพประกอบที่สามภาพบนคือโรงเก็บอากาศยานอยู่ถัดจากดาดฟ้าหลัก (ระดับเดียวกับดาดฟ้ารอง) ใช้จอดเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันแบบหลวมๆ ได้ถึง 9 ลำ (ถ้าจอดแบบเบียดๆ ได้ 10 ลำพอดิบพอดี) มีลิฟต์อเนกประสงค์เชื่อมโยงระหว่างดาดฟ้าหลักลงไปถึงโรงเก็บยานพาหนะ เจ้าของเรือนำรถหุ้มเกราะ รถบรรทุก หรืออะไรก็ตามขึ้นมาจัดเก็บบนดาดฟ้าหลักร่วมกับอากาศยาน โดยมีออปชันเสริมจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตในโรงเก็บยานพาหนะได้ แต่ลูกค้าต้องติดตั้งเครนหลังคาสำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ไปจัดเก็บ เพิ่มความอเนกประสงค์ให้กับแบบเรือจากประเทศเยอรมัน โดยไม่รบกวนที่พักลูกเรือหรือที่พักนาวิกโยธินบริเวณหัวของเรือ

ภาพประกอบที่สี่แสดงการติดระบบเรดาร์และอาวุธ หัวเรือมีจุดติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 1 กระบอก รอบเรือมีจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติจำนวน 6 จุด หน้า-หลังสะพานเดินเรือมีจุดติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่งสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานจำนวน 2 จุด 16 ท่อยิง เรือสามารถติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ 2 มิติกับ 3 มิติพร้อมกัน ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์มีครบถ้วนไม่แพ้เรือรบลำไหน การป้องกันตัวเองถือว่าดียอดเยี่ยมกว่าเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบทั่วไป

แบบเรือ MHD 150 ได้รับความสนใจจากกองทัพเรือแอฟริกาใต้ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยจัดหาเรือฟริเกต MEKO A-200 จำนวน 4 ลำกับเรือดำน้ำ Type 210 จำนวน 3 ลำจากเยอรมันมาใช้งาน มีการนำเสนอข้อมูลและราคาเรือโดยบริษัท TKMS และมีแนวโน้มว่าจะสามารถขายเรือได้จำนวนหนึ่งลำ แต่แล้วในท้ายที่สุดโครงการนี้กลับล่มสลายกลางทาง รัฐบาลแอฟริกาใต้ไม่สนับสนุนงบประมาณด้วยเหตุผลมากมาย ลูกเป็ดขี้เหร่จากเมืองเบียร์พลอยไม่ได้แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการเสียที

จุดอ่อนสำคัญที่ผู้เขียนพบบนแบบเรือ MHD 150 ก็คือ จุดติดตั้งลิฟต์อเนกประสงค์อยู่ในตำแหน่งไม่เหมาะสม และอาจส่งผลรบกวนการบินขึ้นลงของเฮลิคอปเตอร์ในจุดที่สี่

MHD 200

        ในงาน IMDEX Asia Exhibition 2009 ประเทศสิงคโปร์ บริษัท TKMS ประเทศเยอรมันเปิดตัวแบบเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบ MHD 200 เป็นครั้งแรก โดยนำแบบเรือ MHD 150 มาขัดเกลาให้ลงตัวมากกว่าเดิม สร้างหัวเรือสูงใหญ่ใช้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบเต็มพื้นที่ ความขี้เหร่ที่เคยรบกวนจิตใจได้พลันเลือนหายในชั่วพริบตา

MHD 200 ระวางขับน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ตัน ยาว 190 เมตร กว้าง 28 เมตร ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต ออกทะเลได้นานสุด 42 วัน มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน 6 จุดเท่าเดิม โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์รองรับอากาศยานมากสุด 11 ลำ มาพร้อมเครนอเนกประสงค์ขนาด 30 ตัน เรือระบายพลขนาดเล็กจำนวน 2 ลำ เรือระบายพลขนาดกลางจำนวน 2 ลำ และดาดฟ้ารองหรือ Multi-Purpose Deck บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตพร้อมกันมากถึง 54 ใบ

บริษัท TKMS ให้ข้อมูลว่าแบบเรือ MHD 200 สามารถบรรทุกนาวิกโยธินมากสุด 2,000 นาย หรือปรับเปลี่ยนเป็นเรือพยาบาลรองรับผู้ป่วยจำนวน 120 เตียง มีจุดติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิดจำนวน 2 จุด กับจุดติดตั้งปืนกลอัตโนมัติจำนวน 4 จุด รองรับการทำงานได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม โดยมีราคาเรือเพียง 150 ล้านยูโรหรือ 189 ล้านเหรียญไม่รวมระบบอำนวยการรบ

แบบเรือ MHD 200 มีความสวยงามและใหญ่โตมากขึ้น แต่ต้องแลกกับจุดติดตั้งอาวุธป้องกันตัวจำนวนลดลง จำเป็นต้องพึ่งพาเรือฟริเกตในการปกป้องคุ้มครองภัย

จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีลูกค้าแสดงความสนใจแบบเรือ MHD 200

MESHD

        หลังเปิดตัวแบบเรือ MHD 200 ใหม่เอี่ยมอ่องได้เพียงไม่นาน บริษัท TKMS เร่งเดินหน้าโครงการ Multi-role Expeditionary Support Helicopter Dock โดยนำแบบเรือ MHD 150 รูปทรงแปลกประหลาดเป็นสารตั้งต้น ในการพัฒนาเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบรุ่นใหม่ไฉไลกว่าเดิมใช้ชื่อว่า MESHD

เรือมีระวางขับน้ำระหว่าง 19,600 ถึง 23,800 ตัน ยาว 195.7 เมตร กว้าง 33.2 เมตร กินน้ำลึก 6.5 ถึง 7.5 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลบวกมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นระบบขับเคลื่อน ความเร็วสูงสุด 22 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 15 นอต ใช้ลูกเรือเพียง 94 นาย ใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินอีก 56 นาย ขยายพื้นที่ใช้งานในเรือจนมีขนาด 10,600 ตารางเมตร มีการย้ายลิฟต์อเนกประสงค์จากกราบซ้ายมาอยู่กราบขวา การใช้งานจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์หมายเลขสี่กับหมายเลขห้าพลอยดีขึ้นตามกัน

แบบเรือ MESHD เปรียบได้กับนำแบบเรือ MHD 150 มาแช่น้ำมันก๊าดขยายร่าง ปรับปรุงปล่องระบายความร้อนจากขนาดใหญ่หนึ่งจุดเปลี่ยนเป็นขนาดเล็กสองจุด หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้นกว่าเดิมชนิดเทียบกันไม่ได้ บังเอิญจุดตั้งอาวุธป้องกันตัวถูกถอดออกเกือบทั้งหมด เหมาะสมกับชาติใหญ่มีเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติตามปกป้องคุ้มภัยตลอดเวลา หากเป็นชาติเล็กชาติน้อยใช้เรือฟริเกตรุ่นเดอะภาระมีแนวโน้มจะวอดวายทั้งกองเรือ

จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีลูกค้าแสดงความสนใจแบบเรือ MESHD

MHD 150 for RTN

        วันที่ 30 กันยายน 2025 เสี่ยหนูเดินทางมาเยี่ยมกองทัพเรือถึงสัตหีบ มีการบรรยายข้อมูลเขี้ยวเล็บแหลมคมให้ผู้มาเยือนรับ ทันทีที่ทราบว่าเรือหลวงจักรีนฤเบศรอายุอานามมากถึง 28 ปี เสี่ยหนูเผลออุทานคำว่า คุณพระคุณเจ้า!’ เขาเริ่มแสดงอาการกลุ้มอกกลุ้มใจผ่านสีหน้าแววตา ก่อนระบายความรู้สึกให้ลูกประดู่ไทยมากมายได้รับรู้โดยถ้วนหน้า

        ข้าพเจ้าในฐานะผู้นำคนใหม่ให้สัญญาว่า ข้าพเจ้าจะจัดสรรงบประมาณซื้อเรือธงลำใหม่แทนที่เรือเก่า รบกวนพวกท่านขึ้นโครงการจัดหาเรือขนาดถูกต้องเหมาะสมให้เร็วที่สุด

         วันที่ 1 ตุลาคม 2025 ราชนาวีไทยประกาศจัดหาเรือยกพลขึ้นบกอเนกประสงค์ขนาดไม่เกิน 20,000 ตันจำนวน 1 ลำ มีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าร่วมโครงการมากหน้าหลายตา หนึ่งในนั้นคือบริษัทมาร์ซันจับมือกับบริษัท TKMS ประเทศเยอรมัน นำเสนอแบบเรือ MHD 150T รุ่นปรับปรุงใหม่สำหรับราชนาวีไทยโดยเฉพาะตามภาพประกอบสุดท้าย

รูปร่างหน้าตายังคงลักษณะขี้เหร่เหลือกำลังเหมือนเก่า มีการปรับปรุงพื้นที่ใช้งานภายในเรือให้ทันสมัยมากขึ้น แล้วย้ายลิฟต์อเนกประสงค์จากกราบซ้ายมาอยู่กราบขวา ในภาพประกอบแสดงการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจำนวน 54 ใบบนดาดฟ้ารองหรือ Multi-Purpose Deck โดยมีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 3 รุ่นทั้ง Chinook ขนาดใหญ่ Seahawk ขนาดกลาง และ Superlynx 300 ขนาดเล็กสุดสามารถลงจอดบนเรือได้

ระบบอาวุธป้องกันตัวมาแบบจัดแน่นจัดเต็ม หัวเรือติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง Mk41 จำนวน 8 ท่อยิง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM จำนวน 32 นัด มาพร้อมระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Millennium Gun จำนวน 2 ระบบ กับปืนกลอัตโนมัติขนาด 20 มม.รุ่น Searanger จำนวน 4 กระบอก สามารถป้องกันตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเรือลำอื่น ยกเว้นกรณีมีเรือดำน้ำเข้ามาเพ่นพ่านบริเวณสถานที่ยกพลขึ้นบก

ผู้อ่านอาจนึกสงสัยว่าการใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM จะรบกวนการบินขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์บริเวณหัวเรือมากน้อยแค่ไหน คำตอบก็คือแทบไม่รบกวนการบินขึ้นลงเลยสักนิด เพราะเรือออกแบบให้จุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์อยู่กราบซ้าย ส่วนสะพานเดินอยู่กราบขวา เวลาลงจอดเฮลิคอปเตอร์ต้องเข้าทางด้านหลังฝั่งซ้าย เวลาบินขึ้นต้องออกทางด้านหน้าฝั่งซ้าย ป้องกันใบพัดเฮลิคอปเตอร์ฟาดสะพานเดินเรือเพราะสู้กระแสลมไม่ได้ เท่ากับว่าการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน ESSM ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานเรือ

MHD 150T ติดตั้งระบบอำนวยการรบ 9LV Mk4 มาพร้อมเรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกล Sea Giraffe 4A กับเรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำระยะใกล้ Sea Giraffe 1X มีเรดาร์ควบคุมการยิง CEROS 200 จำนวน 2 ตัว มีออปโทรนิกส์ควบคุมการยิง EOS 500 อีก 1 ตัว ใช้ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์กับระบบเป้าลวงเหมือนเรือหลวงตากสิน ส่งผลให้เรือมีความพร้อมรบเทียบเท่าเรือฟริเกตติดอาวุธ 3 มิติแห่งราชนาวีไทย

สี่เดือนถัดมากองทัพเรือประกาศให้แบบเรือ MHD 150T คือผู้ชนะโครงการ มาร์ซันกับ TKMS ได้สัญญาสร้างเรือระยะเวลา 4 ปี หนึ่งชั่วโมงถัดมามีการเดินทางไปพบท่านผู้นำคนใหม่ เพื่อแจ้งข่าวดีและถือโอกาสทวงงบประมาณตามคำมั่นสัญญา ให้บังเอิญขบวนรถยังเดินทางไม่ถึงที่หมาย เสี่ยหนูประกาศยุบสภาตามคำมั่นสัญญาที่มีต่อเสี่ยเท้งเสียก่อน โครงการจัดหาเรือขนาดถูกต้องเหมาะสมจึงถูกดองเค็มโดยความไม่ตั้งใจ

เรือธงลำใหม่แห่งราชนาวีไทยลอยเท้งเต้งไปโผล่ที่ไหนไม่มีใครรู้

อ้างอิงจาก

 

https://www.globalsecurity.org/military/world/europe/mhd.htm

www.shibucket.com

http://www.mdc.idv.tw/mdc/navy/euronavy/mhd-mrd.htm


 

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

HC1200 VSTOL Aircraft Carrier

 

ปีงบประมาณ 2531 กองทัพเรือไทยศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเรือสินค้าเก่า มาดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์เช่นเดียวกับเรือฝึกนักบินนาวีกองทัพเรืออังกฤษ ก่อนได้พบว่าการดำเนินการดังกล่าวมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก โดยมีค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงเรือมากถึง 5-6,000 พันล้านบาท กองทัพเรือจึงได้พิจารณาแนวความคิดในการต่อเรือใหม่ จากการสอบถามราคาเรือขนาดประมาณ 5-8,000 ตันกับอู่ต่อเรือยุโรปหลายแห่ง พบว่าอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับการนำเรือสินค้ามาดัดแปลง

        ต่อมาในปีงบประมาณ 2533 กองทัพเรือได้ดำเนินการขั้นตอนต่างๆ กระทั่งเสนอขออนุมัติว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ จากบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนประเทศเยอรมนีในราคาประมาณ 5,200 ล้านบาท วันที่ 22 มกราคม 2534 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กองทัพเรือผูกพันงบประมาณ ถัดมาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2534 กองทัพเรือลงนามว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์กับบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน แต่แล้วในวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 กองทัพเรือตัดสินใจยกเลิกสัญญาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนปฏิบัติผิดสัญญาไม่เป็นไปตามข้อตกลง

ข้อมูลขั้นต้นมาจากบทความ The Off-Shore Navy ที่ผู้เขียนเคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว บทความนี้ผู้เขียนจะลงลึกรายละเอียดและสร้างแรงบันดาลใจไปพร้อมกัน

เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ HC600

แบบเรือบริษัทบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนที่ถูกคัดเลือกโดยกองทัพเรือ ใช้ชื่อว่า HC600 รูปร่างหน้าตาตามภาพประกอบที่หนึ่ง เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 6,000 ตัน ยาว 127 เมตร กว้าง 29.8 เมตร กินน้ำลึก 5 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOD ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 4 ตัว ความเร็วสูงสุด 25 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุดไม่เกิน 13,000 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน

HC600 มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 จุดที่หัวเรือกับท้ายเรือ พื้นที่ว่างกลางเรือมีจุดจอดเฮลิคอปเตอร์อีก 2 จุด มีลิฟต์ขนส่งอากาศยานจำนวน 1 ตัว บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ Sea King มากสุดจำนวน 8 ลำ หรือปรับเปลี่ยนเป็นเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 7 ลำ โดยที่เรือเวอร์ชันไทยจะติดอาวุธค่อนข้างมาก ทั้งแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Sea Sparrow จำนวน 1 แท่นยิง ปืนใหญ่ขนาด 76 มม.จำนวน 2 กระบอก และปืนกลขนาด 30 มม.อีกจำนวน 4 กระบอก ส่วนปืนกลขนาด 40 มม.บนหลังคาห้องควบคุมอากาศยาน ข้อเท็จจริงสมควรเป็นเรดาร์ควบคุมการยิงตัวที่สองสำหรับ Sea Sparrow

บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนหาได้มีแบบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์เพียงหนึ่งเดียว แท้จริงแล้วเรือในตระกูล HC มีมากถึง 4 แบบเรือ ประกอบไปด้วยน้องเล็ก HC500 ขนาด 110 เมตร ถัดไปคือน้องสาม HC600 ขนาด 127 เมตร ถัดไปคือน้องรอง HC800 ขนาด 151 เมตร ปิดท้ายด้วยพี่ใหญ่ HC1100 ขนาด 170 เมตร

ข้อผิดพลาดส่งผลให้กองทัพเรือยกเลิกสัญญาบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน เกิดจากรัฐบาลเยอรมันอนุมัติการขายเรือให้กับประเทศไทยค่อนข้างล่าช้า บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนส่งเรื่องขออนุมัติล่วงหน้าก่อนทำสัญญาอย่างเป็นทางการ ให้บังเอิญไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ผลลัพธ์ตามมาบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนต้องสูญเสียลูกค้าคนสำคัญ ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินกระทั่งทำให้บริษัทต้องปิดกิจการในเวลาต่อมา

การสูญเสียแบบเรือ HC600 ส่งผลต่อราชนาวีไทยมากเช่นกัน เพราะต้องปรับแผนเปลี่ยนมาจัดหาเรือขนาดใหญ่กว่าเดิม แล้วยังบานปลายซื้อเครื่องบินขึ้นลงแทนดิ่งสภาพแก่ชรามาใช้งานอีก 10 ลำ (ตกก่อนส่งมอบ 1 ลำ) ส่งผลให้เรือไม่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ระบบอาวุธบนเรือก็แตกต่างจาก HC600 ชนิดฟ้ากับเหว จะไปไหนมาไหนต้องมีเรือฟริเกตทำหน้าที่คุ้มกัน รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการใช้เรือสูงขึ้นตามระวางขับน้ำ

นับต่อจากนี้ผู้เขียนจะติ๊งต่างว่าระหว่างปี 2534 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเล็งเห็นภัยร้ายจากการขยายอิทธิพลของประเทศจีน จึงให้การสนับสนุนกองทัพไทยด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทั้งเรื่องขายอาวุธมือหนึ่งและมือสองในราคามิตรภาพ ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ทหารให้มีความรู้ความสามารถ ที่สำคัญมีการฝึกสอนการวางแผนจัดหาอาวุธระยะยาวอย่างเป็นระบบ

เมื่อรู้ว่ากองทัพเรือตั้งใจจัดหาเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ตัวแทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ความเห็นว่าอย่ากระนั้นเลย เราขอแนะนำให้ท่านจัดหาเรือขนาดใหญ่กว่าเดิม สามารถใช้งานเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งได้อย่างสะดวกสบาย ทางเราจะช่วยสนับสนุนและมอบของขวัญล้ำค่าแทนใจ ส่วนจะเป็นสิ่งใดขออนุญาตแจ้งผ่านท่านนายกรัฐมนตรีในภายหลัง

กองทัพเรือได้รับแจ้งข่าวพลันยกเลิกการเซ็นสัญญากับบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน พร้อมกับสอบถามท่านมีเรือบรรทุกเครื่องบินติดลานสกีจัมป์หรือไม่ ข้าพเจ้าต้องการใช้งานร่วมกับเครื่องบินขับไล่โจมตี Harrier ที่สหรัฐอเมริกาตั้งใจมอบให้

บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนให้คำตอบอย่างรวดเร็วว่า เรามีแบบเรือพี่ใหญ่ที่เหมาะสมกับความต้องการ ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติรับฟังข้อมูลทั้งหมดได้ที่สำนักงานใหญ่

เรือบรรทุกเครื่องบิน HC1100

ภาพประกอบที่สามคือแบบเรือบรรทุกเครื่องบินลานสกีจัมป์ HC1100 ซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ เรือมีระวางขับน้ำประมาณ 11,000 ตัน ยาว 170 เมตร กว้าง 32 เมตร กินน้ำลึก 6.1 เมตร ใช้ระบบขับเคลื่อน CODOG ติดตั้งเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์จำนวน 2 ตัวกับเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน 2 ตัว ความเร็วสูงสุดมากกว่า 26 นอต ระยะปฏิบัติการไกลสุด 10,000 ไมล์ทะเล ออกทะเลได้นานสุด 21 วัน ใช้ลูกเรือจำนวน 455 นาย

แบบเรือ HC1100 มีจุดติดตั้งอาวุธจำนวน 3 จุด บริเวณหัวเรือ 2 จุดกับท้ายเรืออีก 1 จุด เสากระโดงติดตั้งเรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลางกับระยะไกลอย่างละ 1 ตัว มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน  4 จุด มีลิฟต์ขนส่งอากาศยานจำนวน 2 ตัว บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ Sea King มากสุดจำนวน 14 ลำ หรือเปลี่ยนเป็นเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 10 ลำ

กองทัพเรือค่อนข้างพอใจแบบเรือ HC1100 บังเอิญที่ปรึกษาชาวสหรัฐอเมริกาให้คำแนะนำว่า สมควรขยายขนาดเรือให้ยาวกว่าเดิ มด้วยเหตุผลหลักสองประการ

1.นอกจากเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 10 ลำ เรือสมควรบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันเพิ่มจำนวน 2 ลำ สำหรับภารกิจค้นหากู้ภัย ลำเลียง และปราบเรือดำน้ำ

2.ลานบินสมควรยาวกว่านี้สักสิบกว่าเมตร เมื่อเครื่องบินแล่นผ่านสกีจัมป์เพื่อไต่ระดับขึ้นสู่ฟากฟ้า จะมีความเร็วมากกว่าเดิมไต่ระดับง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อขึ้นบินโดยแบกอาวุธค่อนข้างหนัก ในการรบจริงจะช่วยให้นักบินทำงานง่ายขึ้นความเครียดลดลง

บริษัทเบรเมอร์ วูลแคนนำคำแนะนำทั้งหมดไปปรับปรุงแก้ไข กระทั่งได้เรือบรรทุกเครื่องบินลานสกีจัมป์ลำใหม่ที่ปิดจุดอ่อนทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

เรือบรรทุกเครื่องบิน HC1200

เทียบกับแบบเรือ HC1100 ซึ่งถือเป็นเรือต้นแบบ HC1200 มีระวางขับน้ำประมาณ 12,000 ตันเพิ่มขึ้น 1000 ตัน ยาว 183 เมตรเพิ่มขึ้น 13 เมตร บรรทุกเครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่งจำนวน 10 ลำกับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันจำนวน 2 ลำตรงตามความต้องการ มีจุดขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์จำนวน  5 จุดเพิ่มขึ้น 1 จุด ส่งผลให้การทำภารกิจสะดวกสบายมากกว่าเดิม โดยปรับปรุงแบบเรือเพียงเล็กน้อยตามคำแนะนำบุคคลผู้มีประสบการณ์

กองทัพเรือไทยเห็นแบบเรือตัดสินใจวางเงินจองอย่างรวดเร็ว

วันที่ 17 มีนาคม 2535 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กองทัพเรือ ว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินจำนวน 1 ลำ จากบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน ประเทศเยอรมันในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล ต่อมาในวันที่ 27 มีนาคม 2535 กองทัพเรือลงนามสัญญาว่าจ้างสร้างเรือกับบริษัทเบรเมอร์ วูลแคนในวงเงินประมาณ 7,500 ล้านบาท และในวันที่ 31 ตุลาคม 2535 คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้กองทัพเรือจัดซื้อเครื่องมือและส่วนสนับสนุน รวมทั้งระบบอาวุธป้องกันตนเองระยะประชิดในวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท ราคารวมทั้งโครงการประมาณ 10,500 ล้านบาทแพงขึ้นสองเท่าตัวพอดิบพอดี

ภาพประกอบที่สี่คือเรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 หลังเข้าประจำการปี 2540

นอกจากเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B SEA HAWK จำนวน 6 ลำในวงเงิน 3,600 ล้านบาท สหรัฐอเมริกายังมอบของขวัญล้ำค่าเครื่องบินขับไล่โจมตี AV-8B Harrier II อายุใช้งานเพียง 5 ปีจำนวน 6 ลำ ประกอบไปด้วยรุ่นที่นั่งเดี่ยวจำนวน 5 ลำใช้งานบนเรือ กับรุ่นสองที่นั่งจำนวน 1 ลำใช้ฝึกนักบินบนบก โดยคิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงตามวงรอบ อะไหล่จำนวนหนึ่ง และการฝึกสอนนักบินกับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเพียง 1,200 ล้านบาท

เท่ากับว่าเรือหลวงเรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 ประจำการเครื่องบินขับไล่โจมตี AV-8B Harrier II จำนวน 5 ลำ (เท่าเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Invincible ในยามปรกติ) กับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B SEA HAWK จำนวน 6 ลำ อากาศยานทั้ง 11 ลำมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 35 ปี มีอะไหล่สำหรับซ่อมบำรุงยาวนานใกล้เคียงกัน เรือใหญ่ที่สุดของไทยลำนี้จะมีเขี้ยวเล็บแหลมคมยาวนานใกล้เคียงอายุเรือ

ระบบอาวุธป้องกันตัวประกอบไปด้วย ระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Phalanx Block 1 รุ่นใหม่ล่าสุดจำนวน 3 ระบบ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาช่วยจ่ายเงินเป็นจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ หลังคาห้องควบคุมอากาศยานติดตั้งระบบป้องกันตัวเองระยะประชิด Sadral อีก 1 ระบบ สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน Mistral จำนวน 6 นัด แม้ติดตั้ง Sadral เพียงจุดเดียวทว่ามุมยิงครอบคลุม 360 องศา เท่ากับว่าในการป้องกันตัวเองเรือจะใช้ Mistral ยิงสกัดที่ระยะ 6 กิโลเมตร หากหลุดเข้ามาให้เป็นหน้าที่ Phalanx ในระยะ 2 กิโลเมตร รวมทั้งยังมีปืนกลขนาด 12.7 มม.ติดรอบลำเรือจำนวน 8 กระบอก

หมายเหตุ : Phalanx กระบอกท้ายเรือผู้เขียนวัดอย่างละเอียดแล้ว ปืนหมุนได้ 360 องศาไม่ถูกเสาบังแต่อย่างใด สามารถยิงสกัดเป้าหมายสองกราบเรือได้อย่างราบรื่น

ระบบตรวจจับบนเรือประกอบไปด้วย เรดาร์เดินเรือจำนวน 2 ตัว เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศระยะไกล LW08 เหมือนเรือหลวงนเรศวร เรดาร์ตรวจการณ์ระยะกลาง Type 360 เหมือนเรือหลวงนเรศวร ระบบสื่อสารทั้งหมดเหมือนเรือหลวงนเรศวร ส่วนระบบอำนวยการรบยังไม่ติดเนื่องจากงบประมาณหมดเสียก่อน

บทสรุป

        เรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 ช่วยเติมเต็มความต้องการราชนาวีไทย ช่วยให้กองบินทหารเรือมีเครื่องบินขับไล่โจมตีใช้งานอย่างยาวนาน เรือหลวงจักรนฤเบศร HC1200 ยังช่วยประคับประคองบริษัทเบรเมอร์ วูลแคน ให้กลับมาทำธุรกิจได้เหมือนเก่าไม่ล้มหายตายจากไปเสียก่อน ถือเป็นแบบเรือค่อนข้างเหมาะสมกับประเทศเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่ต้องการเวหานุภาพช่วยปกป้องกองเรือตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย

อ้างอิงจาก

 www.shibucket.com